คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Mini HBD Fic : The miracle of love Part 3
Mini HBD Fic : The miracle of love Part END
[Starring] Micky & Xiah
[Author] : Project_Y^^
สายตาคมไล่เรื่อยไปทั่วบริเวณเพื่อมองหาคนที่คาดว่าคงกำลังรอคอย หากแต่กลับไม่พบใคร ยิ่งท่ามกลางผู้คนที่มากมายภายในท่าอากาศยานนี่ยิ่งเป็นการลำบากหนักมากยิ่งขึ้นที่จะหาคน ๆ หนึ่งให้เจอได้
ถอนหายใจออกมายาว ๆ พลางถามตัวเองว่านี่คิดถูกหรือคิดผิดกันแน่ที่มาเกาหลีคราวนี้ มันไม่แน่ใจเรื่องระดับความสำคัญของตัวเองเลยซักนิด ว่าจะมีมากขนาดไหน
ขนาดว่าบอกแม้แต่เที่ยวบิน เวลาวันเดินทาง จนป่านนี้ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของคนที่รอคอย เห็นท่าจะไม่ต้องรอแล้วมั้ง มันไม่อยากผิดหวัง หากแต่ก็พยายามคิดไปในทางที่ดี มันอาจจะติดงาน รถติด ไม่สบาย อะไรเทือกนั้นก็ได้
อย่าลืมซิ ว่าใครบางคนได้สอนให้นายรู้จักการวางใจกับคนอื่นบ้าง มองโลกในแง่ดีอย่าคิดมาก
เตือนตัวเองอย่างนั้นก่อนที่ขายาวค่อยก้าวออกมาเรื่อย ๆ ตามเส้นทางของผู้โดยสารขาออก ทำท่าจะก้าวออกจากตัวตึกก็ได้ยินเสียงเรียกดังมาจากทางด้านหลังจนต้องหันไปมอง
ใครบางคนโบกมือไหว ๆ เรียกรั้งให้หยุดรอ พร้อมกับรีบวิ่งเข้ามา สีหน้าและระดับลมหายใจบ่งบอกได้ว่าเร่งรีบจนเหนื่อยหอบ
“โทษ ๆ พอดีมีงาน”ไม่รู้ว่าทำหน้าแบบไหนออกไป เพราะว่าถูกอีกฝ่ายตีไหล่เข้าให้เสียแรง “อย่าทำหน้าแบบนี้น่ามิกกี้ พ่อมีงานจริง ๆ เว๊ยไม่ได้ลืม” คำที่ย้ำออกมาคนฟังแค่แค่นยิ้ม ไม่ได้บอกว่าเชื่อหรือไม่เชื่อในทีเดียวกัน
“ผมยังไม่ได้ว่าอะไรเลยซักหน่อย”มิกกี้เถียงออกมาเล็ก ๆ เรียกสายตาไม่เชื่อถือซักนิดของผู้เป็นพ่อได้ “เหอะ ถึงแกไม่พูด ตาแกมันก็ฟ้อง เอาเหอะน่า พ่อดีใจที่แกมานะมิกกี้ ป่ะ เดี๋ยวเย็น ๆ ริกกี้คงกลับมา เพราะว่าพ่อมีงานต้องไปทำ”
มิกกี้พนักหน้าลงรับรู้ ในขณะที่ผู้เป็นพ่อโอบไหล่กว้างของลูกชายให้เดินไปตามกัน
ลมหายใจค่อยสูดเข้าไปยาว ๆ ก่อนจะผ่อนออกมาเมื่อสายตามองไล่ไปตามถนนหนทางในเมืองซึ่งตัวเขาเองจากไปนานนับสิบปี
ตอนนี้เราอยู่บนแผ่นดินเดียวกันแล้วนะ
.ยังคิดถึงกันหรือเปล่าหนอ?...
.
.
“พี่บอกว่ามาที่นี่ทำไมนะ นอกจากมาหาพ่อแล้วน่ะ”เสียงห้าวแหบถามขึ้นเมื่อสองพี่น้องที่จากกันมานานได้นั่งคุยอยู่ในห้องเดียวกัน มิกกี้นอนตะแคงเอามือท้าวศีรษะอยู่บนเตียง ในขณะที่น้องชายนายริกกี้ นั่งอยู่ด้านล่างเตียงเอามือท้าวคางทำตาปริบ ๆ
“ก็มาหา.....ใครบางคน”มิกกี้ตอบออกมาเสียงเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์ใด ๆ ทั้งสิ้น
“เหรอ?? .ดูท่าจะสำคัญมากนะเนี่ย ว่าแต่พี่ไปหาเขาถูกหรือเปล่า ผมพาไปเอามั้ย เมืองนี้ผมคล่องนะ”ริกกี้ขันอาสาทันที หากพี่ชายรีบส่ายหน้าปฏิเสธ
“พี่อยากจะตามหาเขาเอง .อยากพบเขาด้วยตัวเอง”
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ งั้นผมนอนล่ะพรุ่งนี้มีเรียนแต่เช้า ไปนะพี่”หันหลังให้ก่อนเดินออกไปเงียบ ๆ มิกกี้นอนหงายลงบนเตียงนุ่ม สองมือยกขึ้นมารองศีรษะตัวเองไว้ สายตามองนิ่งไปที่เพดานราวกับว่ามีภาพใครอยู่บนนั้น
“เราใกล้จะได้เจอกันแล้ว .ใช่มั้ย??จุนซู???”
ตาคมค่อยปิดลงด้วยความวาดหวัง สัญญาที่ให้ไว้ ถ้อยคำบางประโยคที่เก็บเอาไว้กำลังจะได้เอ่ยออกมาแล้ว ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มันพิสูจน์ให้เห็นว่า ความรู้สึกอบอุ่นที่มีคน ๆ นั้นอยู่เคียงข้างกันมันยังไม่เปลี่ยนไป มันยังคงต้องการให้เป็นอย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง
ในอ้อมกอดนี้ยังอยากมีเจ้าของร่างเล็ก ๆ ที่หอมกรุ่นเอาไว้กอดแนบอก อยากได้ยินเสียงใสแจ๋ว อยากได้ยินเสียงหัวเราะที่ได้ยินคราใดก็มีความสุขไปด้วย
ใกล้แล้วล่ะ
.อีกไม่กี่อึดใจเลย
ช่วยรอหน่อยนะ
.
.
ดวงตาใสวาวราวลูกแก้วกำลังหมกมุ่นอยู่กับการจดตัวหนังสือลงไปในสมุดเล่มเล็กของตัวเอง จนทำให้คนที่ยืนข้าง ๆ เข้ามาสะกิดเรียกด้วยความขบขันแกมเอ็นดู
“ทำไมจริงจังขนาดนั้นกันจุนซู มันไม่ได้ยากมากขนาดนั้นเสียหน่อยนะ”
สายตาใสวาวเหลือบขึ้นมามองก่อนจะทำหน้าบึ้งใส่เล็ก ๆ ก่อนจะเถียงออกมาทั้ง ๆ ที่ยังก้มหน้าก้มตากลับไปจดยิก ๆ ลงสมุดของตัวเองต่อ “สำหรับพี่แจจุงน่ะมันไม่ยาก แต่สำหรับผมมันยากนี่ ไม่อย่างนั้นทั้งพ่อแม่ คุณตา แถมพี่จุนโฮอีกคน เค้าคงไม่ว่ากันมาหรอก”
ถ้อยคำที่เล่าทำให้คนฟังหัวเราะออกมาเบา ๆ แจจุงเดินเข้ามาใกล้ ขยับยกของที่อยู่ในแก้วใสเลื่อนไปอีกด้าน หยิบนั่นจับนี่สลับตำแหน่งกันจนทำให้คนที่ยืนจดอยู่โวยวายออกมาลั่น
“เฮ๊ย!!~ อะไรเนี่ย พี่แจจุง แบบนี้เมื่อไรผมจะจดครบกันเล่า มันปนกันมั่วแล้วนะ”สายตาพยายามไล่ไปตามตัวหนังสือของตัวเอง พร้อม ๆ กับใช้นิ้วชี้ของที่เจ้าตัวจดไปแล้ว หากเพราะมันสลับที่สลับทาง เลยพาลงงกันไปหมด
“เอาน่า ไม่ต้องจดมากขนาดนั้น พี่สอนให้เนี่ยมันต้องออกมาดีอยู่แล้ว ถ้าไม่ดีพี่ยินดีสอนให้เรื่อย ๆ เลย โอเคมะ .นี่เจ้าน้องชายพี่ไม่อยากให้เราเครียดกับเรื่องเล็กน้อยแบบนี้หรอกนะ”จุงปลอบขึ้นมา แม้ตัวเองจะยังอมยิ้มขำอยู่ก็ตาม
ก็บรรดาเครื่องปรุง อุปกรณ์การทำช็อคโกแลตบนโต๊ะเนี่ย จุนซูจดมันอย่างเอาเป็นเอาตาย แถมตอนเขาสอนให้ทำแบบนั้น อย่างนี้ก็เอาแต่จด ๆ ไม่ยอมลงมือทำจริง ๆ เสียที
“ก็ผมกลัวมันจะออกมาไม่ดีนี่ ..มันกังวลน๊า”เสียงใสแอบบ่นปนเถียงออกมา พลางนั่งลง
“เชื่อพี่เถอะน่า ไอ้การหัดทำขนมเนี่ยมันต้องใช้ประสบการณ์ลองจุนซูทำหลาย ๆ รอบ จากที่กินไม่ได้ มันก็ต้องมีซักครั้งที่ดีขึ้นมาเองแหละ มา เชื่อพี่ เริ่มลงมือทำใหม่ดีกว่านะ เลิกจดได้แล้ว”ปลายเสียงแจจุงแอบเข้ม คำสั่งที่ได้ยินทำให้จุนซูค่อย ๆ ยืดตัวเองขึ้น หยิบจับช็อคโกแล็ตแท่งมาขูดให้เป็นเกร็ดเล็ก ๆ อีกรอบ
“ผมกลัวมันไม่อร่อย ผมกลัวว่ามันจะกินไม่ได้นี่”ม่ายจะบ่นพึมพำจนทำให้แจจุงต้องเอ่ยถามออกมาจนได้
“จุนซูจะทำช็อคโกแล็ตให้ใครอย่างนั้นหรือ บอกพี่ได้มะ? ดูท่าทางเขาจะสำคัญมากนะเนี่ย ถึงขนาดคนทำอาหารไมเป็นเลยอย่างจุนซูลุกขึ้นมาหัดทำเนี่ย”แจจุงมองมาด้วยสายตาพราว และยิ่งหัวเราะขบขันชอบใจเมื่อเห็นแก้มใส ๆ นั้นเริ่มมีรอยแดง ๆ ขึ้น
“ผม ..ผม .คือ ..”อาการอึกอักจะตอบไม่ตอบทำให้แจจุงรีบโบกมือไปมา “ไม่เป็นไร ๆ ไม่ต้องบอกพี่แล้ว พยายามเข้าก็แล้วกันรับรองคนที่ได้กินช็อคโกฝีมือจุนซูต้องปลื้มใจแน่ ๆ เชื่อพี่”แจจุงสนใจที่จะสอนทำต่อไป หยิบนั่นส่งนี่มาให้ลองทำด้วยตัวเองไปเรื่อย ๆ
คนที่เป็นลูกศิษย์เป็นนักเรียนก็ตั้งใจไม่แพ้กัน ก็มันอยากจะส่งช็อคโกแล็ตทำเองนี่ไปให้ อยากทำอะไรบางอย่างเพื่อแสดงให้เห็นว่ามันยังไม่เคยลืม ยังรอคอย และคิดถึงตลอดเวลา
ใกล้จะเดือนกุมภาแบบนี้แหละโอกาสดี จุนซูพลาดโอกาสที่จะส่งของขวัญปีใหม่ไปให้ครั้งหนึ่งแล้ว เพราะว่าดันไม่สบาย เลยไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะออกไปไหน มาคราวนี้ล่ะ ยังไงจุนซูก็ต้องทำให้ได้
แต่ที่กังวลอย่างหนักก็เพราะไอ้ฝีมือของตัวเองนี่แหละ เมื่อคราวก่อนนั้น ขนาดว่าตั้งอกตั้งใจทำอาหารให้ยังถูกวีนส์มองหน้าทำตาดุใส่เสียด้วยซ้ำ ขืนคราวนี้ส่งของที่แม้แต่จะมองยังหน้าตาดูไม่ได้ไปให้ มีหวัง จากที่ไม่ลืม .คงอยากจะลืมแน่ ๆ
ยังไม่ลืมกันใช่มั้ยครับ รู้หรือเปล่าว่ายังรออยู่เสมอนะ รอที่ฟังคำบางคำจากคน ๆ นั้น
.รอด้วยความหวังทุกวันเลย
.
.
มิกกี้ก้มมองลงดูตัวเลขที่อยู่ในมือตัวเองหลายครั้ง พยายามสอดส่องหาป้ายที่พอจะทำให้เขาไปถึงจุดหมายปลายทางอย่างไม่หลงไปไหน หากเพราะความที่ไม่เคยคุ้น เพราะจากไปเสียนาน อะไรที่เคยคุ้นตาก็เปลี่ยนไป มันยิ่งทำให้สับสนแล้วก็เพิ่มความลำบากมากยิ่งขึ้น
ลงจากรถไฟฟ้าใต้ดิน ขึ้นรถประจำทางไปอีก 2 สถานี จุนโฮบอกเขามาแบบนั้น แถมยังเป็นคนเขียนแผนที่ให้เองกับมือ เมื่อเขาไปหาก่อนที่จะเดินทางมาเกาหลี ทุกข้อความของจดหมาย ทุกข่าวคราวของคนที่เขาอยากเจอที่สุด ก็ได้รับรู้จากจุนโฮนี่แหละ
แต่ว่านะ ทำไมตอนนี้แผนที่ในมือนี่มันถึงได้สับสนแล้วก็หาทางไปไม่เจอแบบนี้ล่ะ บ้านเลขที่อยู่เขียนเอาไว้นี่ก็ยังหาไม่เจอเลย ที่สำคัญแม้แต่เลขที่ใกล้เคียงก็ไม่มีเลยซักนิด
กรรมเวรล่ะ .มิกกี้ อย่าบอกนะว่านายหลงทาง!!~
อ้ะ????????? !!~ เฮ๊ยยยย!!~
เสียงเบรกดังลั่น แรงกดเบียดของล้อกับพื้นคอนกรีตดังเสียน่าตกใจ หากไม่มีอะไรเกิดขึ้นให้น่าหวาดกลัวมากขนาดนั้น มิกกี้ก้มมองแขนซ้ายของตัวเองแล้วก็อดไม่ได้ที่จะจิ๊ปากด้วยความไม่สบอารมณ์
เพราะไม่ได้ทันระวังและไม่คุ้นชินกับพื้นที่ทำให้แขนด้านซ้ายถูกรถยนต์ที่แล่นสวนมาจากทางออกของแยกเฉี่ยวโดนให้จนมันรู้สึกว่ามันแสบ เหลียวสายตาไปเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูรถที่มาพร้อมกับเสียงตะโกนออกมาอย่างหัวเสีย
“อยากตายมากหรือไงวะ?”คำถามที่ทำให้มิกกี้ขมวดคิ้วขึ้นด้วยความรู้สึกที่มันกรุ่น ๆ อะไรของมันวะ ไอ้ที่ตอนแรกตั้งใจว่าจะขอโทษ เพราะว่าความเหม่อของตัวเองความประมาทของตัวเองเป็นอันต้องหุบ ยิ่งเห็นสีหน้าและแววตาของไอ้เจ้าของรถนี่แล้วมันทำให้เขาแทบจะกำหมัดสวนเข้าไปให้ซักที ฐานที่ปากเสียพ่นคำให้น่าโมโหออกมาแบบนี้
“ไม่ได้อยากตาย แต่ไม่คิดว่าจะมีคนบ้าขับรถเหมือนจะรีบไปตายตอนกลางวันแบบนี้”
ไม่ได้กลัวเลยซักนิดว่าอีกคนจะปรี่เข้ามาหาด้วยท่าทางแบบไหน เพราะคนอย่างมิกกี้ก็ไม่คิดจะกลัวใครเหมือนกันยิ่งถ้าไม่ใช่คนผิดด้วยล่ะก็ ยิ่งมาเจอไอ้คนประเภทนี้ด้วยแล้ว ถ้าจะมีเรื่อง
ก็เอาซักทีก็ได้วะ!!~
.
.
.
สายตาที่กำลังไล่มองอะไรรอบ ๆ ตัวต้องสะดุดลงเมื่อหูได้ยินเสียงห้ามล้อที่ดังลั่นจนตัวเองที่เดินอยู่ริมถนนยังต้องตกใจ ใครบางคนเหมือนจะถูกรถเฉี่ยวเข้าให้ แจจุงค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้ ๆ ยิ่งเห็นสีหน้าของเจ้าของรถที่ลงมาเหมือนจะเอาเรื่องคนที่เป็นคนเจ็บนั่นยิ่งทำให้ต้องรีบก้าวเข้าไปหาด้วยความรวดเร็ว
ไม่ได้เป็นคนดีหรอก ไม่ได้อยากช่วยเหลือใครทั้งนั้น .แต่ไม่รู้เป็นไร เจอแบบนี้ทีไรทนไม่ได้ทุกที ให้ตาย .
แต่แจจุงก็ดูเหมือนจะเข้าไปช้าเกินไป เพราะชายหนุ่มสองคนที่เขาเห็นหน้าตอนนี้ ทั้งสองคนมีรอยแตกยับที่ตรงริมฝีปากด้วยกันทั้งคู่ แถมยังกอดรัดฟัดเหวี่ยงจนต้องรีบส่งเสียงห้ามเกรงกลัวว่ามันจะเดือดร้อนให้มีใครเจ็บใครตายไปเสียก่อน
“เฮ๊ย!!~ หยุดนะ!!~ นี่!!~”ตะโกนส่งเสียงดังห้าม หากคนที่กำลังอุตลุดจะต่อยกันกลับไม่สนใจซักนิด นั่นมันทำให้ต้องรีบสอดส่ายสายตามองหาอะไรเพื่อเป็นตัวช่วย
.......เอาวะนี่คงจะช่วยได้ล่ะ.......
ฉวยถังขยะที่วางอยู่ตรงนั้นมาถือเอาไว้ก่อนที่จะละล้าละลังไม่รู้จะทุ่มลงไปที่หัวใครดี เออ....เอาวะ!!~.....จะหัวใครซักคนก็ช่าง......มันก็คงทำให้หยุดต่อยกันได้ล่ะน่ะ
“โอ๊ย!!~”เสียงร้องดังขึ้นก่อนที่แจจุงจะรีบฉวยแขนคนที่ยืนมองด้วยความตกใจปนแปลกใจแล้วก็รีบพาวิ่งหนีออกไปอีกด้าน ทิ้งให้ไอ้คนที่ซวยถูกถังขยะทุ่มหัวยืนโหวกเหวกโวยวายจะหาเรื่องแก้แค้นเอาคืนด้วยความโกรธที่ปะทุขึ้นมาในใจเอาไว้เบื้องหลัง
ใบหน้าขาวเกร็งจนเส้นเลือดแทบจะปูดโปน พลางเข่นเขี้ยวอยู่ในใจ ก็ลองให้เจอหน้ากันครั้งต่อไป.....พ่อจะแก้แค้นเอาคืนให้ตายเลย ไม่เชื่อคอยดู.....!!!~
.
.
ลมหายใจแรง อาการหอบถี่เร็วด้วยความเหนื่อยจากการวิ่งมาด้วยความเร็วนั้น ทำให้แจจุงก้มหน้าลงเอามือกดเข่าตัวเองเอาไว้เมื่อค่อย ๆ หยุดวิ่งลง คนข้าง ๆ ที่ก็มีอาการไม่ต่างกันเงยหน้าขึ้นมามอง ก่อนจะทิ้งตัวลงไปนั่งกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง
“นาย ไม่เป็นไรนะ??”แจจุงเอ่ยถาม หากคนที่ตอนนี้ปากแตกจนมีเลือดซิบเงยหน้ามามองทำตาปริบ ๆ ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมา “เป็นซิ เจ็บมากด้วย...แถมเหนื่อยด้วย”
คำตอบทำให้แจจุงต้องมองหน้าคนพูดเขม็ง แปลกใจกับคำพูดที่ยิน ปกติเวลามีคนไปช่วยให้ตัวเองไม่ถูกชกจนหน้าฉีกหัวแตกเนี่ยมันต้องเป็นคำขอบคุณไม่ใช่มาเหน็บแนมกลับมาด้วยสีหน้าและแววตาอย่างนี้นะ
........ตูช่วยคนผิดหรือเปล่าเนี่ย.........
“ไปล่ะ”คนที่แจจุงแอบนินทาในใจลุกขึ้นยืนก่อนจะปัดแข็งขาของตัวเอง ทำท่าจะเดินเลี่ยงออกไป แต่มีหรือคนอย่างแจจุงจะยอมให้ไปง่าย ๆ มันยังติดใจ ยังตะหงิด ๆ อยู่นะ นี่เขาช่วยหมอนี่นะ อยู่ ๆ จะมาเดินทิ้งกันไปเฉย ๆ อย่างนี้น่ะเหรอ
“เดี๋ยว!!~”เสียงเรียกรั้งทำให้คนที่กำลังสะพายกระเป๋าใบย่อมของตัวเองหันมามอง พลางเลิกคิ้วสูงถามประมาณว่ามีอะไรอีก แจจุงเดินลุกเดินเข้ามาใกล้ จ้องหน้าด้วยอารมณ์อยากจะเอาเรื่อง ถ้าไม่ได้ยินคำพูดที่อยากฟังล่ะก็
“นายไม่คิดจะขอบใจกันหน่อยหรือไง”
อาการคิ้วเลิกสูงมากยิ่งขึ้น อีกฝ่ายมองตอบกลับมาด้วยความแปลกใจ หากสีหน้าแววตาแจจุงพอจะรับรู้ได้ว่า ไอ้หมอนี่คงกำลังอยากจะอ้าปากบอกเขาว่ามันกงการอะไรที่เขาต้องเข้าไปช่วย
“อืม....ขอบใจ”หากคำพูดที่ได้ฟังกลับตรงข้ามกับสิ่งที่คิด แจจุงต้องแปลกใจกับไอ้มนุษย์คนนี้อีกรอบ ต้องร้องถามเรียกร้องหรือไงถึงนึกได้บอกออกมาน่ะ
“อ้ะ....เออ..”ก็เลยกลายเป็นแจจุงที่ตอนแรกตั้งท่าจะหาเรื่องกลายเป็นไม่รู้จะทำอะไรดี อีกคนก็เลยหันหลังหนีจะเดินจากไปอีกรอบ “เน่ เดี๋ยวก่อน....."แจจุงวิ่งไปดักข้างหน้า “นายจะไปไหน ไม่กลัวจะเจอกับไอ้หมอนั่นอีกหรือไง?....”คำตอบที่ได้คืออาการสั่นหัวไปมาอย่างไม่สนใจนัก
“ถ้างั้นไม่คิดจะตอบแทนอะไรกันหน่อยหรือไง....อย่างเลี้ยงน้ำแก้คอแห้งให้มันหายเหนื่อยซักแก้วแบบเนี๊ยะ”แจจุงลองที่จะกวนไปอีกซีกครั้ง อยากรู้ว่าจะได้รับปฏิกิริยากลับมาแบบไหน สีหน้าและแววตาเข้มมองมาที่เขาจนแทบจะแน่ใจว่า หมอนี่คงไม่ยอมแน่ ไอ้แววตาที่ไม่ยอมใคร อาการเบือนหน้าหนีเหมือนหลบไปคิดอะไรอยู่แบบนั้น
แต่มันก็เป็นอีกครั้งที่ทำให้แจจุงแปลกใจ เพราะอีกคนเดินเข้ามาใกล้ พร้อมกับพูดคำที่ไม่คิดว่าจะได้ยินออกมาอีกครั้ง
“ร้านไหนล่ะ ถือว่าเป็นการขอบคุณไง”
.
.
“นายมาจากอเมริกาอย่างนั้นหรือ....ไกลจัง”แจจุงพูดขึ้นก่อนจะดูดน้ำหวานในแก้วอีกครั้ง “แล้วนายจะไปไหนล่ะเนี่ย? มาหาใครที่นี่หรือไง?”
“อืม ใช่”อีกคนรับคำออกมาเบา ๆ ไม่ใส่ใจนัก แจจุงทำเสียงงึมงำในลำคอ ก่อนจะเอ่ยถามอีกครั้ง “เพื่อนนายอยู่แถวไหนล่ะ เผื่อชั้นช่วยได้นะ”อาสารที่จะช่วยเหลือ อีกฝ่ายเหลือบสายตาขึ้นมอง ก่อนจะบอกเลขถนนออกมาเบา ๆ
“ปัดโธ่ มันอยู่แถวนี้เองนะนาย เอางี๊นี่..........”หยิบปากกาของตัวเองขึ้นมา ก่อนจะดีงกระดาษของร้านมาขีดเขียนลงไป พร้อมกับคำอธิบาย “นี่โซนนี้หมดเลยนะ พอเลยตึกแถวนี้ไป ก็จะเป็นถนนที่นายอยากไปแล้วล่ะ”
“ขอบใจ”คราวนี้ไม่ต้องรอให้แจจุงเอ่ยถาม คนฟังก็เลยหัวเราะออกมาเบา ๆ “นายนี่ก็แปลกนะ มีคนเคยบอกหรือเปล่าว่าแปลก.....แต่ก็เอาเถอะ.....งั้นก็โชคดีขอให้หาเจอแล้วกันนะ ชั้นไปล่ะ”แจจุงรีบลุกขึ้น หากพอทำท่าจะก้าวขาออกไป เจ้าตัวก็กลับนึกขึ้นได้ “เออว่าแต่....นายชื่ออะไรน่ะ??บอกได้มะ”
“มิกกี้ ยูชอน”แจจุงพยักหน้าลงก่อนจะเดินออกจากร้านไป.....มิกกี้ ยูชอน หมอนี่แปลกจริง ๆ นั่นแหละ คนที่เติบโตที่ต่างประเทศมันเป็นคนแปลกอย่างนี้ทุกคนหรือเปล่าหว่า?....ทั้ง ๆ ที่สีหน้าแววตาไม่ได้แสดงออกถึงความสนใจหรือว่าใส่ใจคนอื่นซักนิด....หากคำพูดกลับผิดไปจาการกระทำ......เหมือนทุกครั้งจะมีอะไรทำให้นึกขึ้นได้ว่า ที่แสดงออกกับคนอื่นไม่ดี อย่างไงอย่างนั้น.......เออ.......แปลก.....
ว่าแต่ ไอ้ถนนที่เพิ่งจะบอกหมอนั่นไป.........มันอยู่ละแวกเดียวกับบ้านจุนซูนี่นา.....เหอะ เดี๋ยวไปเล่าให้ฟังคงจะตลกดีแฮะ.......
.
.
มิกกี้ก้มลงมองแผนที่ในมืออีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ตัวเลขถนนทำให้เขาเริ่มใจเต้นแรงขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ห้ามไม่อยู่ เลขที่บ้านที่ไล่เรื่อยเรียงตัวเลขของมันทำให้ขายาวก้าวเร็วมากยิ่งขึ้น
จนมาหยุดอยู่ตรงขอบกำแพงอิฐสูงที่ทอดตัวยาว มีเถาไม้สีเขียวแซมดอกสีเหลืองอ่อนเป็นเหมือนรั้วเล็กกั้นอีกชั้นที่หน้าประตูบ้านขนาดกว้าง มิกกี้มองแล้วก็ขำออกมาเบา ๆ ให้กับตัวเอง....ที่คิดไปว่าจุนซูเป็นคุณหนู ดูท่าจะเรื่องจริง....แค่ตัวบ้านก็บ่งบอกฐานะได้แล้ว
รีบก้าวเข้าไปใกล้ออด ก่อนจะกดลงไปด้วยหัวใจที่ลุ้นระทึก แม้ใบหน้าจะยังติดเรียบเฉย หากในหัวใจกับกำลังเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น แววตาไหวระริกด้วยความคาดหวัง
ซักครู่ที่เสียงกลอนจากด้านในถูกสะเดาะ ใครบางคนเดินออกมาต้อนรับด้วยสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย เจ้าของผมสีเทาแกมขาวนั้นยิ้มให้เขาเล็ก ๆ ก่อนจะถามคำถามออกมา
“มาหาใครไอ้หนุ่ม?”ในน้ำเสียงมีแววใจดีปะปน มิกกี้ยิ้มเพียงเล็กน้อย ก่อนจะก้มหัวลงแสดงการทักทาย “ผมมาขอพบ จุนซู ครับ คิม จุนซู”คำตอบที่ได้ยินทำให้ชายชราคนนั้นรีบเชื้อเชิญให้เข้าไปยังด้านใน
ชี้นิ้วทำท่าให้เดินตามจนมานั่งยังห้องรับแขก “เป็นเพื่อนของเจ้าตัวยุ่งหรือ? ตาไม่เคยเห็นหน้าเลยนา.....มาจากไหนล่ะเรา?”
“นิวยอร์กครับ”คำตอบทำให้ชายชราตาโตขึ้น ก่อนจะหัวเราะชอบใจ อ๋อ ที่แท้ก็ไอ้หนุ่มคนนี้นี่เอง ที่เจ้าหลานชายกลับมาเล่าให้ฟังสารพัดถึงความประทับใจน่ะ “ฮ่า ฮ่า.....อย่างนั้นหรือเนี่ย มาไกล ๆ เอางี๊นั่งรอเจ้ายุ่งไปก่อนนะ เพราะว่าตอนนี้เจ้านั่นไปเรียนล่ะ”
.......ไม่อยู่.........ไปเรียน........นั่นซินะ........
คำตอบของคุณตาทำให้มิกกี้เงยหน้าหันไปมองหานาฬิกาทันที ก็ตอนนี้มันบ่ายแก่ ๆ ของวันธรรมเสียด้วย อย่างจุนซูคงยังไปเรียนที่มหาวิทยาลัยอยู่แน่ ๆ ลืมไปซะได้
“ถ้าอย่างนั้น ผมไม่รบกวนดีกว่าครับ.......ผม......”ยังไม่ทันที่จะเอ่ยปากขอตัว หากชายชรารีบดักคอออกมาด้วยการกระแอมเบา ๆ “รอเจ้ายุ่งมันที่นี่แหละ ถ้าเดินทางมาเหนื่อยนักจะพักนอนหลับก่อนก็ได้ ตาไม่ว่าหรอก....นะ....จุนซูคงดีใจที่เห็นเพื่อนมาหาแบบนี้”มิกกี้มีสีหน้าลำบากใจ หากคุณตากลับหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะเดินเข้ามาตบไหล่กว้างนั้น
“อยู่เป็นเพื่อนตาหน่อยน่า ไอ้หลานชาย...อีกไม่กี่ชั่วโมงจุนซูก็กลับแล้ว น่า ไม่ต้องเกรงใจ ตาขี้เกียจฟังเจ้านั่นมันทำเสียงแหว ๆ ใส่พอรู้ว่าตาปล่อยให้เพื่อนคนสำคัญกลับไปน่ะ”พูดจบคุณตาก็เดินเลี่ยงออกไป หากไม่วายส่งเสียงสั่งให้นั่งรออยู่ตรงนั้นก่อน
มิกกี้ยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี...จุนซูมีคุณตาใจดีอย่างที่เคยเล่าให้ฟังจริง ๆ นะเนี่ย? เติบโตมาในครอบครัวแบบนี้เอง มิน่า ถึงได้มีความสุขนัก
.
.
“เมื่อกี้พี่แจจุงบอกว่าอะไรนะครับ? เจอคนแปลก ๆ เข้าอย่างนั้นหรือ?”จุนซูเอ่ยถามเมื่อมานั่งทานของว่างที่โรงอาหารเป็นเพื่อนแจจุง “อืม ใช่ หมอนี่แปลกดี ตอนแรกพี่ก็นึกว่าจะเป็นคนกวน ๆ เพราะดูจากหน้าตาที่ไม่ค่อยสนใจใครนั่น แต่พอถึงเวลาจะพูดอะไรออกมา ดันทำพี่งงเลยนะ”
“เหรอครับ แปลกดี”จุนซูกมลงตัดเค้กเข้าปากอีกหนึ่งคำ “พี่แจจุงวันนี้ไปที่บ้านผมนะ ไปสอนทำอีกรอบ มันยังไม่ดีขึ้นเลย เมื่อวานเอามาให้คุณตาชิมก็บ่นใหญ่ บอกว่าขมมากอ้ะ”
“ฮ่า ฮ่า ได้ ๆ พี่จะช่วยนะ จุนซูจะทำช๊อคโกให้คนสำคัญทั้งที.......ว่าแต่บอกพี่ไม่ได้หรือไง ว่าเขาคนนั้นเป็นใครอยู่ที่ไหนน่ะ”แจจุงลองถามดูอีกรอบ มันทำให้จุนซูต้องก้มลงเขี่ยเค้กในจานของตัวเองก่อนจะตักขึ้นมาเคี้ยวแก้เขิน
“ก็เป็นเพื่อนครับ.....แต่เขาอยู่ไกล”
“ไกล??....ที่ไหนเหรอ?”เมื่ออีกคนยอมที่จะบอกออกมา แจจุงก็ถามย้ำด้วยความอยากรู้มากกว่าเดิมไปอีกนิด “เอ่อ....อเมริกาครับ”คำตอบทำให้แจจุงเลิกคิ้วสูง ไกลมากจริง ๆ ด้วยซิ
“เพื่อนจุนซูอยู่ไกลจังเลยนะ.........เพื่อนของจุนโฮหรือไงถึงได้ไปรู้จักกันได้น่ะ......”
“เปล่าหรอกครับ เรารู้จักกันด้วยความบังเอิญ เอ่อ ความเฉิ่มของผมเอง.....เขาเป็นคนดีมากเลยครับพี่แจจุง ช่วยเหลือผมทุกอย่างเลย แต่ชอบทำตาดุ หน้าเรียบเฉยเหมือนไม่รู้สึกอะไรซักนิดน่ะ”
“เออ เป็นคนแปลกนะ.....เออจะว่าไป ก็นิสัยคล้าย ๆ กับคนที่พี่เจอวันนี้เลยแฮะ ดูท่าไอ้คนที่โตเมืองนอกนี่จะเพี้ยน ๆ แปลก ๆ เหมือนกันหมด”คำพูดของแจจุงทำให้จุนซูขำออกมาเบา ๆ ส่งเสียงคิกคักก่อนจะตอบเหมือนเป็นการช่วยแก้ตัวแทนให้
“มิกกี้ ไม่แปลกหรอกครับพี่ ไม่เพี้ยนด้วย เพียงแต่เป็นคนปากแข็งก็เท่านั้นเอง จริง ๆ แล้วเป็นคนอ่อนโยนมาก ๆ เลยล่ะ”
“งั้นหรือ โอเค ไม่แปลกก็ไม่แปลก นายมิกกี้ของจุนซูเนี่ย.........หืม? เมื่อกี้จุนซูบอกว่าเพื่อนชื่ออะไรนะ มิกกี้ อะไรหรือ”แจจุงรีบถามขึ้น เมื่อชื่อของคน ๆ หนึ่งที่เพิ่งจะจากกันไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงนี่ดังแว่วมาให้ได้ยินในหัว
“มิกกี้น่ะครับ.....มิกกี้ ยูชอน”
.
.
ขาเรียวรีบออกแรงวิ่งไปด้วยความรวดเร็ว แม้จะมีอาการหอบจากความเหนื่อยมากขนาดไหน แต่จุนซูก็ไม่คิดที่จะผ่อนฝีเท้าของตัวเองเลยซักนิด ยังคงวิ่งรวดเร็วจนแจจุงที่วิ่งตามไม่ทัน
ก็คำบอกเล่าของแจจุงเมื่อครู่มันทำให้ใจเต้นจนแทบจะออกมานอกอก ชื่อของคนที่พี่แจจุงเพิ่งเจอ คนที่พี่แจจุงบอกว่าแปลก ลักษณะ ท่าทาง มันคล้ายคลึงกับคนที่เขาเฝ้ารอมาตลอด
แถมชื่อที่ได้ยินเมื่อครู่มันยิ่งทำให้มีความหวังมากยิ่งขึ้นไปอีก แจจุงเล่าออกมาเหมือนคน ๆ นั้นกำลังตามหาบ้านของเพื่อนสนิทอยู่ ก็ถ้าชื่อที่ได้ยินไม่ผิดไป มันต้องเป็นคน ๆ นั้นแน่ ๆ ไม่ผิดหรอก
มาหาแล้วใช่มั้ย.....มาแล้วซินะครับ.......
รีบเปิดประตูเข้าไปด้วยความรวดเร็วก่อนจะรีบวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามายังตัวบ้าน จุนซูเขวี้ยงกระเป๋าของตัวเองทิ้งไปที่โซฟาที่ห้องรับแขกก่อนจะตะโกนโหวกเหวกส่งเสียงเรียกคนในบ้านจนคุณแม่ต้องรีบวิ่งมาหาด้วยสีหน้าแววตาตื่น
“มีอะไรเนี่ย จุนซู เอะอะอะไรกันลูก”นางเอ่ยตำหนิเล็กน้อย หากอาการรีบร้อนของลูกชายนั้นกลับทำให้แปลกใจ
“แม่ครับ วันนี้มีใครมาหาผมหรือเปล่า??มีมั้ยครับ”ยิ่งคำถามที่ได้ยินยิ่งทำให้คุณแม่งงมากขึ้น ก่อนจะส่ายหน้าไปมา “ไม่เห็นมีนี่ลูก? ลูกนัดใครเอาไว้อย่างนั้นหรือ แม่ยังไม่เห็นใครมาหาลูกเลยจุนซู”
อะไรนะ??? ไม่มีอย่างนั้นหรือ???
ขาเรียวค่อยทรุดลงกับพื้นบ้านอย่างหมดเรี่ยวแรง จุนซูนั่งหอบหายใจแรงอยู่กับพื้นด้วยสีหน้าแววตาผิดหวัง ทำไมถึงไม่มีใครล่ะ ทำไมถึงไม่มา ก็ในเมื่อที่พี่แจจุงเล่า มันคือคนที่เขากำลังรอคอยอยู่ชัด ๆ
“เป็นอะไรไปลูก มีอะไรหรือเปล่า? แล้วดูซิ หน้าแดงเชียว วิ่งมาจนเหนื่อยทำไมเนี่ย”คุณแม่ถามด้วยความห่วงใยพลางลูบผมนุ่มนั้นไปมา “ลุกขึ้นมานั่งบนนี้ให้ดี ๆ ลูก เดี๋ยวแม่ไปเอาน้ำมาให้”นางบอกก่อนจะเดินหายไป จุนซูพยายามตะกายขึ้นมานั่งบนโซฟา ก่อนจะเอนตัวตะแคงหลับตานิ่ง อยู่กับความผิดหวังที่ไม่ได้พบหน้าคนที่ต้องการ
น้ำตามันเหมือนจะซึมออกมาโดยไม่รู้ตัว ถ้าเป็นอย่างที่พี่แจจุงบอกจริง ก็แล้วตอนนี้คน ๆ นั้นอยู่ที่ไหนล่ะ? ทำไมถึงไม่เห็นมี หรือว่า หาไม่พบจนกลับไปแล้ว
ไม่นะ.....ต้องไม่เป็นอย่างนั้นหรอก....
พยายามปลอบใจตัวเองก่อนจะถูกฉุดให้ลุกขึ้นมานั่งพิงกับโซฟา คุณแม่กลับมาพร้อมกับยื่นแก้วน้ำส่งมาให้ “ดื่มซะนะลูก แล้วถ้าเหนื่อยก็ขึ้นไปพักซะ เดี๋ยวแม่จะไปเตรียมอาหารเพิ่มสำหรับแขกคุณตาเสียหน่อย”คุณแม่ลุกขึ้นก่อนจะเดินเลี่ยงไปยังห้องครัว จุนซูพยายามชันตัวเองลุกขึ้นยืนก่อนจะค่อย ๆ เดินไปยังห้องของตัวเอง
หากเงาของใครบางคนที่สะท้อนเข้ามาภายใน ที่สวนหน้าบ้านคุณตากำลังนั่งคุยอยู่กับใครซักคนที่แม้จะมองจากด้านหลังก็คุ้นตาเหลือเกิน “แม่ครับ แขกคุณตานี่ใครหรือครับ?มาจากไหนครับ?”หันไปตะโกนถาม จนทำให้คุณแม่ต้องเดินออกมาหาอีกรอบ
“นิวยอร์กจ้ะ....เห็นบอกว่ามาหาตั้งแต่ตอนบ่ายแล้วลูก”
นิวยอร์ก...........นิวยอร์ก..........มิกกี้........!!!!!!!!~
จากที่กำลังจะขึ้นไปยังห้องของตัวเอง เลยเปลี่ยนเป็นรีบวิ่งออกจากตัวบ้าน เลี้ยวหัวมุมซุ้มต้นไม้ของคุณตาก่อนจะหยุดชะงักเมื่อคนที่ยืนข้าง ๆ ที่คุณตานั่งเป็นใคร
จุนซูรู้สึกเหมือนน้ำตาตัวเองไหลลงมาอาบแก้มอย่างไม่มีสาเหตุ คนที่กำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนานหันมา สายตาคู่คมเบิกกว้างขึ้นก่อนที่จะค่อยขยับเข้ามาใกล้ ใกล้มากขึ้นทุกที
มิกกี้ยิ้มให้คนที่ยืนน้ำตาคลอตรงหน้าเขา ก่อนที่มืออุ่นจะยกขึ้นแตะแต้มแก้มเนียนใสนั้นเพื่อช่วยไล่เกลี่ยรอยน้ำตาให้มันค่อย ๆ หายไป หากยิ่งปลอบกลับเหมือนเป็นการยิ่งทำให้อีกคนร่ำร้องมากยิ่งขึ้น
“มาหาแล้วนะ ร้องไห้ทำไมกัน จุนซู”เอ่ยขึ้นเบา ๆ พลางยิ้มในหน้า จุนซูยิ่งร้องไห้หนัก ก่อนจะโถมตัวเองกอดอีกคนเอาไว้แน่น สะอึกสะอื้นกับอกโดยมีคนที่รักษาสัญญาคอยปลุกปลอบไปเรื่อย ๆ
“ตาบอกแล้ว ว่าหลานตาขี้แย ก็ไม่เชื่อ”คุณตาเดินเข้ามาใกล้ ๆ พลางหัวเราะเสียงดังก่อนจะเดินหายเข้าไปยังตัวบ้าน ก็ดูซิ ผิดจากที่เล่าดักทางให้ฟังไปเมื่อครู่ที่ไหน หากก็รับรู้ได้ว่าน้ำตาที่หลั่งไหลของหลานชายมันมาจากความปลาบปลื้มดีใจ
“จุนซู อย่าร้องเลยนะ นิ่งซะ”พยายามเอ่ยปลอบอ่อนโยน มือกว้างโลมลูบเส้นผมนุ่มหนานั้นไปเรื่อย ๆ “ผมคิดถึงมิกกี้จังครับคิดถึงที่สุด”จุนซูบอกปนสะอื้นอยู่ในอก
มิกกี้ยิ้มให้กับตัวเองกับคำพูดที่ได้ยิน “ชั้นก็คิดถึง....ถึงได้มาหาไง....คิดถึงมาก”แตะปากอุ่นลงที่หน้าผากเบา ๆ พลางลูบไล้เนื้อตัวปลอบโยนไปมา “ผมรอมิกกี้ทุกวัน รู้มั้ยครับ รอทุกวันเลย”
พยักหน้าลงรับรู้.......พลางกอดแน่น........”เพราะรู้ไง แล้วก็คิดถึงทุกวันเหมือนกัน......คิดถึงจุนซู”
สายตาอ่อนหวานที่สบกันทำให้หัวใจที่ต่างเฝ้ารอคอยกันอยู่นั้น จากที่เคยอ่อนล้าเหมือนจะเต้นแผ่วลงทุกวันด้วยความรอคอยที่ไม่แน่ใจในวันเวลา หากตอนนี้คือความอบอุ่น ความปลาบปลื้มที่ได้พบกันในที่สุด
“คำสัญญาที่เคยบอกไว้ ชั้นไม่ลืมหรอกนะ ไม่เคยลืม”มิกกี้พูดขึ้นเบา ๆ ใกล้หน้าผากเนียน “ที่บอกว่าให้รอตอนนั้น ตอนนี้อยากฟังมั้ย ยังอยากจะฟังหรือเปล่า?”จุนซูผลักอกแข็งแรงนั้นออกมาพลางสบตาแน่วแน่ รอยยิ้มวาดเกือบจะเต็มแก้ม สีสันเจือปนแดงเรื่อแตะแต้มบนแก้มนุ่ม เจ้าตัวพยักหน้าพร้อมกับรอฟังคำที่รอคอยมาตลอด
“ชั้น รัก จุนซู........อยากให้รู้เอาไว้ อยากย้ำให้มั่นใจ ทั้งในคำพูดแล้วก็การกระทำด้วย”จุนซูเม้มปากแน่น สะกดความปลาบปลื้มที่เอ่อล้นที่ขอบตาเอาไว้ แขนเล็กโถมกอดแน่นอีกคนเข้าไปอีกครั้ง จมูก ตา ริมฝีปาก ซุกซ่อนกับอกอุ่น ๆ เอาไว้พลางส่งเสียงงึมงำให้อีกคนได้ยินจนทำให้รู้สึกว่าหัวใจมันเต้นเร่าด้วยความยินดีที่สุดในชีวิต
“ผมดีใจจังครับ ดีใจที่มิกกี้รักผม.......เพราะผมก็เฝ้ารอคอยที่จะตอบคำพูดนี้เหมือนกัน”เงยหน้าขึ้นสบตาอีกครั้ง ก่อนจะพูดถ้อยคำที่เก็บเอาไว้ด้วยความมั่นใจ “ผมรักมิกกี้...รักครับ”
มิกกี้พยักหน้าลงเบา ๆ พลางรั้งร่างบอบบางมากอดแน่นอีกครั้ง ระยะเวลาที่รอคอย ตอนนี้มันมาถึงแล้ว คำที่ต้องการบอก ต้องการย้ำ มันได้ทำตามสัญญา หากอนาคตข้างหน้าต่อไป มันเป็นเรื่องที่เขาต้องคิด เพื่อคนที่เขาเพิ่งจะบอกว่ารัก ไป คนนี้......มันมีบางสิ่งบางอย่างที่เขาต้องตัดสินใจ ไม่ใช่เพื่อตัวเอง หากแต่เพื่อเรา........เราที่รักกัน......
.
.
แจจุงมองคนนั้นคนนี้สลับไปมาก่อนจะหัวเราะให้กับตัวเองเมื่อได้รับการแนะนำให้รู้จักกันอย่างเป็นทางการ มิกกี้ก็ดูมีแววตาที่ตกใจไม่แพ้เขาหรอกที่ได้กลับมาเจอกันด้วยความรวดเร็วปานนี้ หากไม่แสดงออกมาซักนิด
แจจุงแปลกใจชะมัดที่คนสำคัญของจุนซูก็คือคน ๆ เดียวกับที่เขาเจอวันนี้ คนแปลกที่ทำให้เขาต้องแปลกใจนี่แหละคุณตาอมยิ้มตลอด แถมยังทำตาวาว ๆ รู้เห็นเป็นใจเสียด้วยนะ แจจุงยิ้มออกมาขำ ๆ เห็นทีคุณตาจะได้หลานชายเพิ่มอีกคนจริง ๆ แน่ ๆ ล่ะ ฮ่า ฮ่า
.
.
มิกกี้นั่งอมยิ้มขำกับตัวเองเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งจะผ่านมาเมื่อครู่ ท่ามกลางความอบอุ่นของครอบครัวที่เขาไม่เคยได้สัมผัสมานานแล้ว คุณพ่อกับคุณแม่ของจุนซูน่ารักมาก ๆ พูดจาชวนคุยสนุกสนานจนเขาเองรู้สึกเหมือนอยู่ในครอบครัวเดียวกัน
โดยเฉพาะคุณตาที่เหมือนจะรู้ทันเขาไปซะหมดแค่เพียงมองตาเท่านั้น แถมท่านยังเป็นคนเอ่ยปากบอกให้เขาค้างที่นี่ทั้ง ๆ ที่มันยังไม่ดึกจนกลับไม่บ้านไม่ได้เลยซักนิด
“มิกกี้เพิ่งเคยมาที่นี่ มันลำบากนา นอนมันซะทีนี่ล่ะ”
ยิ่งนึกถึงก็ยิ่งขำ จุนซูหัวเราะคิกคักพร้อม ๆ กับตบที่ท่อนแขนของคุณตาด้วยความสนุกสนาน ภาพบรรยากาศที่คนอย่างเขาน่าจะอิจฉาแต่กลับไม่รู้สึกแบบนั้นเลยซักนิด
มันอบอุ่น อบอวลไปด้วยความรักของครอบครัว ความรักที่เขาฝันเหลือเกินว่าอยากจะให้ครอบครัวของตัวเองเป็นอย่างนี้บ้าง
เสียงเคาะประตูที่ดังมาจากด้านนอกทำให้ความคิดที่มีอยู่หยุดชะงักลง มิกกี้ค่อย ๆ เดินไปเปิดให้ก่อนที่จะทำคิ้วแปลกใจเมื่อเห็นคนใส่เสื้อนอนสีอมฟ้าตัวโคร่งมายืนกอดหมอนตัวกาตูนอยู่ตรงหน้าเขา
“มีอะไรหรือครับ?”มิกกี้ถามขึ้นพร้อมกับเปิดประตูให้กว้างให้อีกคนเข้ามายังด้านใน จุนซูขยับขาก้าวสั้น ๆ ก่อนจะไปนั่งลงบนเตียงอุ่น
“ผมแค่อยากให้เราเหมือนตอนที่อยู่ที่โน่น”คำบอกเล่าสั้น ๆ นั้นยิ่งทำให้มิกกี้มึนงงไปมากกว่าเดิม เพราะว่าตอนนี้มันก็เหมือนเดิมทุกอย่างนี่นา ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยซักนิด โดยเฉพาะความรู้สึกของเขาที่มั่นคงอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง
“ก็...ตอนอยู่ที่โน่น มิกกี้นอนกอดผมเอาไว้ ตอนนั้นมันอุ่น ผมอยากให้มิกกี้กอดผมแบบนั้นอีก กอดให้หายคิดถึงน่ะ”คำพูดที่เหมือนเป็นคำสารภาพนั้นทำให้มิกกี้อมยิ้มออกมา รู้สึกเหมือนตัวเองซื่อบื้อที่สุดในชีวิตที่ไม่เข้าใจความหมายของคนตัวเล็กนี้แต่แรก ขายาวก้าวเข้าไปใกล้ ๆ ก่อนที่แขนแข็งแรงจะโอบร่างบอบบางนั้นเอาไว้ก่อนโยกไปมา
“อ้อนจังเลยนะจุนซู”เอ่ยล้อเลียนออกมา จนทำให้คนที่อยู่ในอ้อมกอดหน้าแดงออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “มิกกี้ครับ”จุนซูเงยดันตัวเองออกมาเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนที่สูงกว่า “มิกกี้เคยบอกผมว่า จะใจดีเฉพาะกับผมน่ะ ผมก็เป็นครับ มันต้องเป็นมิกกี้เท่านั้นที่กอดผมเอาไว้แน่น ๆ แบบนี้”
คำพูดยิ่งเรียกร้องความอ่อนโยนอบอุ่นมากยิ่งขึ้น มิกกี้ประคองใบหน้าเนียนใสนั้นเอาไว้ก่อนที่มือกว้างจะลูบไล้ไปเบา ๆ อย่างเอ็นดู “นายนี่อ้อนเก่งจริง ๆ นะจุนซู”รั้งให้ร่างเล็กเดินไปตามกัน มิกกี้ค่อย ๆ ดันให้ร่างบอบบางนอนลงบนเตียงอุ่นก่อนที่เขาจะค่อย ๆ นอนเคียงข้าง ลมหายใจเป่ารดใกล้กันอยู่จนไรผมพัดปลิวไปมาตามแรงลมหายใจ
“ชั้นดีใจที่เราได้พบกันอีกแบบนี้ ดีใจจริง ๆ”
“ผมก็ดีใจครับ”คนที่หลับตานิ่งอยู่ในอกพูดออกมาเหมือนกัน แรงวาดล้อมรอบกายยิ่งมีมากขึ้น แม้ยังไม่ได้ห่มผ้านวมผืนนุ่มหากจุนซูรู้สึกว่ามันอบอุ่นเหลือเกิน
“จุนซู....ช่วยรออีกหน่อยได้มั้ย รอให้เราทั้งคู่พร้อมมากกว่านี้”อยู่ ๆ มิกกี้ก็พูดขึ้น “ชั้นจะกลับไปเรียนให้จบ แล้วสัญญาว่าจะกลับมาอยู่ที่นี่ นายพอจะรอได้มั้ย ช่วยรออีกครั้งได้หรือเปล่า?”
ความเงียบปกคลุมไปนาน จุนซูพยายามถามตัวเองว่าถ้าต้องทนอยู่กับความเจ็บปวดกับการรอคอยทั้ง ๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่ารักคน ๆ นี้มากขนาดไหนน่ะ มันจะทนได้หรือเปล่า? คำร้องขอนี้มันต้องถามใจเป็นครั้งที่ร้อยครั้งที่พัน ว่าพอจะทนได้หรือเปล่า?
“ชั้นไม่เคยผิดสัญญา จุนซูก็น่าจะรู้........ไม่ผิดสัญญาแน่นอน”
คำย้ำทำให้คนที่นอนซบในอกอุ่นขยับเขยื้อนตัว สายตาระยิบกระพริบปริบปลาบจ้องมาอีกฝ่ายนิ่ง อยากให้มันลึกซึ้งไปถึงหัวใจ “ผมจะรอครับ ผมรู้ว่าคนที่ผมรัก ไม่มีวันผิดสัญญาแน่ ๆ”ถ้อยคำที่พูดขึ้นทำให้ได้รับการตอบแทนไปเป็นจูบอ่อนหวาน
มิกกี้โอบร่างบอบบางเอาไว้แน่นอีกครั้ง จูบซับตอบแทนคำขอบคุณสำหรับความไว้เนื้อเชื่อใจ ที่เขาอยากได้ยินจากปากนี้ ความอ่อนโยนที่สัมผัสได้ ความน่ารัก และความเอื้อเอ็นดูรู้ซึ้งในหัวใจของเขา
“ขอบคุณนะจุนซู ขอบคุณที่รักกัน ขอบคุณที่จะรอ.........ชั้นสัญญา จะไม่ให้นายรอนาน สัญญา”
.
.
รอยยิ้มวาดขึ้นเต็มแก้มเมื่อหันไปตามเสียงเรียกรั้งจากด้านหลัง เจ้าของร่างสูงและเจ้าของเสียงอบอุ่นค่อยวิ่งเข้ามาใกล้ก่อนจะโอบรอบเอวเล็กให้เดินตามกันไป
“รอนานหรือเปล่า?”คำถามได้คำตอบเป็นอาการส่ายหน้าปฏิเสธไปมา “ไม่เลยครับ มิกกี้ต่างหาก เหนื่อยหรือเปล่า?”แตะคางเข้มนั้นไปมาด้วยความเป็นห่วงเป็นใย มันทำให้คนที่มีสายตาเหนื่อยล้ามีแววสดใสมากขึ้น มือกว้างฉวยรวบมือนุ่มขึ้นมาแตะแก้มตัวเองเอาไว้เบา ๆ “หายเหนื่อยแล้ว ไม่เหนื่อยแล้วล่ะ”
แค่ทำแบบนี้ก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง มิกกี้ดึงร่างเล็กให้เข้าไปนั่งในรถด้วยกันก่อนที่จะออกรถจากที่นั่นขับมาเรื่อย ๆ “คุณตาบอกหรือเปล่าว่าวันนี้อยากให้ไปฉลองที่ไหนน่ะ”คำถามทำให้มีเสียงคิกคักดังให้ได้ยิน
“คุณตาไม่ไปหรอกครับ ท่านบอกว่า อยากให้ผมกับมิกกี้ไปกันแค่สองคน”
คิ้วเข้มขมวดขึ้นด้วยความสงสัย.....แค่สองคน......กับงานฉลองปริญญาคนรักเขาเนี่ยนะ สองคน?? น่าแปลกที่ครอบครัวอันอบอุ่นของจุนซูจะไม่คิดฉลองให้ลูกชายที่แสนน่ารักคนนี้ กลับให้มากับเขาแทนเนี่ยนะ
“ท่านฝากมาบอกว่า ต่อให้มีกี่คนมาฉลองด้วย ก็สู้แค่มีผมกับมิกกี้ไม่ได้.....สำหรับเรื่องเรียนของผม กับงานใหม่ของมิกกี้ที่นี่ไงครับ ..แถมบอกต่อมาอีกนิดด้วยว่าต่อให้มาฉลองให้ผมวันนี้......วันอื่นมิกกี้ก็ต้องฉลองให้ผมอยู่ดี เพราะงั้นวันนี้วันเดียวพอแล้ว”
“อย่างนั้นหรือเนี่ย?”มิกกี้นึกขันในใจคนเดียว คุณตามักจะรู้ใจเสมอเลย แถมยังรู้ทันไปหมดเสียทุกอย่างด้วย “ถ้ามีแค่เราสองคน จะไปที่ไหนดีล่ะ จุนซูอยากไปไหนหรือเปล่า?”
รอยยิ้มวาดขึ้น ก่อนที่เจ้าของร่างเล็กจะเบียดเข้ามาจนชิด ทำให้คนขับรถเหมือนจะลำบากมากขึ้นเล็กน้อย หากอบอุ่นแล้วก็ชอบใจที่มันเป็นอย่างนี้ “แค่ผมอยู่กับมิกกี้ ที่ไหนก็ได้ครับ”คำพูดที่ได้ยินทำให้มิกกี้ต้องละสายตาจากท้องถนนหันมาจูบแผ่วเบาที่ปากอิ่มนั้น อย่างอดใจไม่ได้
น่ารักน่าชังตั้งแต่แรกจนตอนนี้......ก็ยังไม่เปลี่ยนไปเลย.......
“ถ้าอย่างนั้นตามใจคนขับนะ ใช่มั้ย?”คำถามของมิกกี้ จุนซูหันมายิ้มตอบให้อย่างอ่อนหวาน มือแข็งแรงถึงได้จับมั่นที่พวงมาลัยรถก่อนที่ขาจะเหยียบคันเร่งให้มันทะยานไปยังสถานที่ที่อยู่ในใจ
คำพูดที่เคยรับปาก สัญญาที่เคยให้ไว้ มิกกี้พยายามทำมันจนสำเร็จจนได้ แม้จะต้องทนทุกข์ทรมานต่อสู้กับคำว่าคิดถึงอยู่นานถึงสองปีก็ตาม เวลาต่อจากนี้ไป คือช่วงเวลาที่มีค่า ที่จะทดแทนทุกวินาทีที่ต้องห่างกัน
มือหนาอบอุ่น เอื้อมมากุมมือนุ่มของอีกคนเอาไว้แน่น เมื่อหลุดออกมาจากเมืองที่มีรถราแน่นหนาแล้ว มืออุ่นที่กุมกระชับเปรียบเสมือนคำมั่นสัญญาอีกครั้ง
คำสัญญาที่ทั้งสองคนจะบอกแก่กันและกันว่า.......จะคงรัก.......และมั่นคงในรักตลอดไป
END
ความคิดเห็น