คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Mini HBD Fic : The miracle of love Part 2
Mini HBD Fic : The miracle of love Part 2
[Starring] Micky & Xiah
[Author] : Project_Y^^
“เราจะขึ้นไปจนถึงชั้นไหนครับเนี่ย?”จุนซูถามด้วยความตื่นเต้น เมื่ออยู่ในลิฟต์ที่กำลังเคลื่อนตัวขึ้นสูงไปเรื่อย ๆ ก่อนที่จะก้าวเข้ามายังด้านในตัวอาคาร
“102”มิกกี้ตอบออกมาสั้น ๆ หากคนฟังตาโต ก่อนจะมีรอยยิ้มแจ่มใสด้วยความตื่นเต้น “สูงขนาดนั้นเลยหรือครับ ว๊าว!!~”จุนซูพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นและสนุกสนาน คนฟังแค่เบือนหน้าไปอีกด้าน แล้วก็แอบอมยิ้มกับตัวเองเล็ก ๆ ก็นี่มันถือว่าเป็นอาคารสถาปัตยกรรมที่มีชื่อเสียงที่สุดบนเกาะแมนฮัตตั้นเชียวนะ ไม่ให้สูงได้ยังไง “เด็กชะมัดเลยแฮะ .แต่ก็น่ารักดี”
ทิวทัศน์บนยอดตึกสูงทำให้จุนซูมองเห็นวิวของเมืองใหญ่อย่างนิวยอร์กได้ถนัดชัดตา เจ้าตัวเล็กเดินไปมามองนั่นมองนี่ด้วยความตื่นเต้น ในขณะที่คนพามากลับทำแค่เดินตามไปเรื่อย ๆ หากไม่รู้สึกเบื่อหน่ายแต่อย่างใด
ลมแรงบนนั้นทำให้ผมยาวปลิวกระจาย หากมันกลับทำให้ดวงหน้าของคนที่เดินมองไปมองมาด้วยความสนุกสนานนั้นชวนมองได้อย่างประหลาด มิกกี้ยืนเอาหลังพิงขอบรั้วเอาไว้พลางยืนจ้องนิ่ง
ความรู้สึกบางอย่างที่มันเหมือนจะเลือน ๆ ไปเริ่มหมุนวนกลับมาให้รู้สึกและคิดถึง ที่นี่ มันเหมือนกับหลาย ๆ ครั้งก่อนที่เขาเคยมากับพ่อและแม่ หรือไม่เว้นแม้แต่กับริกกี้ผู้เป็นน้องชาย ความรู้สึกสนุกสนานแล้วก็อบอุ่นช่างเหมือนกันนัก
หากตอนนี้มันไม่เป็นอย่างนั้น ความอบอุ่น ความรัก คำว่าครอบครัวมันหายไปตั้งนานแล้ว หายไปตั้งแต่พ่อกับแม่คิดแยกทางกัน
ลงท้ายเค้าและริกกี้ก็ต้องแยกกันอยู่ .พี่น้องที่ต้องแยกจาก .เหอะ ฟังดูเศร้าชะมัด
“มิกกี้!!~”จุนซูมายืนจ้องตาไม่กระพริบอยู่ตรงหน้า คนที่กำลังคิดถึงอดีตของตัวเองเลยกระพริบตาปริบ ๆ บอกตัวเองให้กลับมาอยู่ในปัจจุบัน มิกกี้ขมวดคิ้วทันทีเมื่อเห็นจุนซูยิ้มกว้างขวางทำท่าสนุกสนานมากขนาดนี้
“มีอะไร?”เอ่ยถามเสียงเรียบ หากคำตอบกลายเป็นการฉุดรั้งแขนแข็งแรงนั้นให้เดินตามกัน จุนซูส่งเสียงพูดคุยด้วยความสนุกสนานแจ่มใส “ถ่ายรูปกันครับ นะ”จุนซูชี้ชวนเมื่อเดินมาถึงจุดที่มีวิวที่สวยที่สุด ตากล้องที่อยู่บนนั้นเตรียมพร้อมแล้วกับการให้บริการ หากมิกกี้หัวเราะออกมาเล็ก ๆ จนคนมองอย่างจุนซูต้องทำท่าแปลกใจ
มิกกี้ยิ้ม .แถมหัวเราะด้วย ..
“นายมีเงินหรือไง ถึงได้ไปจ้างเขามาแล้วเนี่ย”มิกกี้พูดเสียงขรึม หากคนฟังสะดุ้งขึ้นมาสุดตัว เออนั่นซิ จุนซูหน้าแหยขึ้นมาทันที มิกกี้ก็เลยต้องรีบโอบร่างเล็ก ๆ นั้นเอาไว้ให้เข้ามาเบียดใกล้กัน “เอ้า!!~ยิ้มหน่อยซิ เค้าจะถ่ายแล้วเห็นมั้ยล๊ะ?”
“แต่ .แต่ว่า”จุนซูอึกอักยังไม่รู้จะทำหน้ายังไงดี ในขณะที่มิกกี้หัวเราะชอบใจ “ชั้นจ่ายให้น่า ดูทำหน้าเข้า เอ้ายิ้ม!!~”
สิ้นคำพูดจุนซูเบ่งตากว้างมองมิกกี้ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก มันหมั่นไส้ปนขอบคุณ ดูเถอะคนเรามาหลอกให้กังวลแล้วมาปลอบตอนหลังแบบนี้เนี่ยนะ
“เอ้า!!~ยังไม่ยิ้มอีก ยิ้มซิจุนซู!!~”เสียงเข้มที่ดังอยู่ข้างหูทำให้จุนซูหันไปสนใจกล้องทันที เอาเถอะ ถึงน่าหมั่นไส้แค่ไหน แต่คนข้าง ๆ นี่ก็ทำดี พอจะลบล้างกันไปได้ล่ะน่า
.
.
ที่ขั้นบันไดคอนกรีตริมแม่น้ำสายใหญ่ที่ทอดตัวยาวเหยียดไปไกลสุดสายตา จุนซูนั่งลงพินิจพิจารณารูปหลายใบที่เพิ่งจะถ่ายมาด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเก็บลงกระเป๋าตัวเอง สายตาเหม่อมองไปรอบ ๆ นกพิราบหลายตัวบินโชว์ปีกสีนวล ๆ ของมันว่อนไปหมด เรือขนส่งสินค้าแล่นผ่านไปมาเอื่อย ๆ หลายลำ ในช่วงเวลาใกล้จะค่ำทำให้อากาศเริ่มเย็นขึ้นเล็กน้อย หากแสงอุ่นจากดวงอาทิตย์ที่ยังไม่ลับขอบฟ้าไปก็พอจะทำให้มันไม่หนาวเหน็บจนเกินไปนัก
“เอ้า!!~”กระป๋องอุ่นแตะเข้าที่แก้มจนต้องรีบหันไปมอง จุนซูเอ่ยขอบคุณเสียงเบาและรับกระป๋องเครื่องดื่มนั้นมาถือเอาไว้ “สนุกหรือเปล่า?”ไกด์นำเที่ยวถามขึ้นเมื่อนั่งลงข้าง ๆ กัน จุนซูหัวเราะแจ่มใสก่อนจะพยักหน้าจนผมกระจาย คนมองก็เลยอมยิ้มเหมือนภูมิใจเล็ก ๆ ก่อนจะเสกระดกน้ำในกระป๋องนั่นเข้าปาก
“สนุกก็ดีแล้ว”มิกกี้เอ่ยขึ้น แววตาเหม่อมองออกไปไกล ๆ สุดเส้นขอบท้องน้ำที่ขีดเส้นขนาดขอบฟ้าโน่น
“ตะวันกำลังจะตกดินแล้วซินะ”มิกกี้เอ่ยขึ้นแผ่วเบาราวกับพูดกับตัวเอง จุนซูหันมามองตาปริบ ๆ ไม่เข้าใจนักกับคำพูดที่อยู่ ๆ อีกคนพูดขึ้นมา
“นายรอตรงนี้นะเดี๋ยวมา”
อยู่ ๆ มิกกี้ก็สั่งขึ้นก่อนจะรีบลุกขึ้นแล้วก็วิ่งหายไป จุนซูมองตามทำท่าจะเรียกร้องสอบถามหากไม่มีโอกาส เพราะฉะนั้นที่ทำได้ก็เลยนั่งกุมกระป๋องเครื่องดื่มอุ่น ๆ นั่นรอเวลาที่อีกคนจะกลับมา
ไม่นานนักหากรอบกายก็เริ่มถูกปกคลุมไปด้วยความสลัวลาง มิกกี้วิ่งกลับมาพร้อมกับกล่องกระดาษใบเล็กกับถุงพลาสติกที่ใส่อะไรเอาไว้ข้างในนั้นด้วย แต่จุนซูมองไม่ออกว่ามันคืออะไร มิกกี้วางกล่องนั้นเอาไว้ข้างตัวก่อนจะล้วงหยิบไฟแช็คในกระเป๋าเสื้อตัวเองออกมา
จุดไฟลงบนก้านเทียนสีเขียวอมฟ้าแล้วก็ปักมันลงไปเพียงแค่หนึ่งด้าม แสงริบหรี่จากเทียนด้ามเล็กส่องแสงสว่างนวลตาออกมา จุนซูตาโตมองเค้กผลไม้ก้อนเล็กน่ารักนั้นด้วยความรู้สึกที่ตื่นเต้นดีใจที่สุด
“แถวนี้มันหาได้เท่านี้ นายไม่ว่าใช่มั้ย?”มิกกี้เอ่ยถามขึ้น จุนซูตอบปฏิเสธจนผมกระจายอีกรอบ แถมยิ้มหวานจนคนมองมองเพลิน
“ถ้างั้นก็ .สุขสันต์วันเกิดนะ”คำพูดสั้น ๆ นั้นทำเอาคนฟังน้ำตาแทบจะปริ่ม วันเกิดปีนี้ไม่มีพ่อแม่ คุณตาหรือว่าพี่ชายมาอวยพรให้ มีแค่ผู้ชายตัวสูงผอมที่ชอบทำหน้าเคร่ง จะยิ้มก็ไม่ยิ้มคนนี้เท่านั้น หากจุนซูกลับรู้สึกเต็มตื้นและมีความสุขเทียบเท่ากับได้รับคำอวยพรจากบุคคลสำคัญอันเป็นที่รักครบถ้วนทุกคน
“ขอบคุณครับ”เอ่ยบอกขึ้นมาเสียงสั่นพร่า จุนซูกำลังระงับความปลาบปลื้มของตัวเอง ค่อยกลืนก้อนสะอื้นที่มาจากความตื้นตันลงไป คนที่กำลังถือเค้กก้อนเล็กก็เลยหัวเราะออกมาเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู
“อธิฐานซิ จะได้เป่าเทียนเสียทีเดี๋ยวก็ดับก่อนหรอก”มิกกี้พูดขึ้น จุนซูจึงค่อย ๆ ทำตาม หลับตาลงพลางอธิฐาน ก่อนจะลืมตาใสเป่าลมไปที่แสงเทียนวิบ ๆ นั้น
“ขอบคุณนะครับมิกกี้”เอ่ยออกมาอีกครั้ง แต่มิกกี้ก็แค่ส่งเค้กก้อนนั้นมาให้ แถมบังคับออกมาเล็ก ๆ ว่าให้กินซะ จุนซูรับมาถือ ก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ ก็คนที่ทำให้ตื้นตันใจชอบเป็นอย่างนี้อยู่เรื่อย
มองเมินไปทางอื่นอีกแล้ว ช่วยหันมามองตา รับฟังคำขอบคุณให้ดี ๆ หน่อยไม่ได้หรือไง
“มิกกี้ครับ กินด้วยกันซิ”จุนซูรีบชวนหากมิกกี้ปฏิเสธส่ายหน้าไปมา พลางหยิบมวนบุหรี่ขึ้นมาถือเอาไว้ หากหันมาสบแลก่อนที่ตัวเองจะจุดเปลวไฟก็เลยทำแค่คลึงมวนเล็กนั้นไปมา ก่อนจะคาบเอาไว้เฉย ๆ
“ไม่ต้องมองอย่างนั้นน่า ยกให้ซักวันก็ได้ ถือว่าเป็นวันเกิด”มิกกี้เอ่ยขึ้นมาพลางถอนหายใจก็ลองมามองตาหมอนี่ตอนนี้ไม่ใจอ่อนก็บ้าแล้ว
“ผมอยากให้มิกกี้เลิกมันจังครับ .ผมเป็นห่วง”ประโยคแรกคนฟังอยากจะร้องต่อว่าออกมาว่าชอบมายุ่งอะไรด้วย หากประโยคหลังทำให้ต้องหุบปากเงียบกริบ แววตาที่ปนเศร้าทั้ง ๆ ที่เมื่อครู่ก็หัวเราะด้วยความแจ่มใสแท้ ๆ นั่น มันทำให้เค้าต้องยอมเก็บมวนสีขาวนั้นลงซองไปตามเดิม
“ขอบใจที่เป็นห่วง ไม่มีใครห่วงชั้นนานแล้ว”มิกกี้เอ่ยขึ้นเหมือนพูดกับตัวเอง หากจุนซูได้ยินทุกคำพูด ค่อยขยับตัวเข้ามาใกล้ นั่งเบียดชิดจนมิกกี้ต้องหันมามอง
“ขอบคุณสำหรับวันนี้ครับมิกกี้ ผมขอบคุณมาก ๆ” มือนุ่มเอื้อมไปกอบกุมมือหนาของมิกกี้เอาไว้ ก่อนจะเอ่ยคำพูดที่สะท้อนมาจากหัวใจและความรู้สึกให้ฟัง
.คำพูดของจุนซู มิกกี้แค่พยักหน้าตอบรับหากมือหนากลับกุมมือนุ่มนั้นเอาไว้แน่น แนบเนิ่นนานจวบจนแสงอาทิตย์ลาลับ
.
.
“มิกกี้ ไม่อาบน้ำหรือครับ??”จุนซูเอ่ยถามเสียงใสเมื่อตัวเองอาบน้ำก่อนจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว หากเจ้าของห้องยังนั่งจดจ่ออยู่กับวิวด้านนอกระเบียงทั้ง ๆ ที่อากาศด้านนอกมันหนาวขนาดนี้
“อือ อีกเดี๋ยว”มิกกี้หันมาตอบ สายตาหันกลับไปจ้องมองวิวที่เดิม แสงไฟหลากสีที่กระพริบปริบส่องสว่างนั้นทำให้มหานครนิวยอร์กยามค่ำคืนดูมีเสน่ห์น่าหลงใหลไปอีกแบบ
ในยามปกติหากอยู่คนเดียว มิกกี้จะจุดมวนบุหรี่ขึ้นสูบพลางนั่งทอดอารมณ์ไปเรื่อย ๆ หากวันนี้ เพราะมีจุนซู คนแปลกหน้าที่เขาไม่ได้ยินดีจะช่วยเหลือแต่แรกเข้ามาอยู่ด้วย น้ำเสียงและคำพูดที่เฝ้าขอร้องเขาให้เลิกสูบบุหรี่ซะ มันทำให้ตอนนี้มิกกี้แค่นั่งมองมันนิ่ง
สาเหตุที่ทำให้เขาสูบมันคืออะไรนะ ถ้าจะทำเป็นลืม ๆ เหตุผลนั้นไป เลิกคิดประชดใคร ๆ ไปเสีย ทำตามคำขอร้องของคนหน้าใสแล้วก็มีรอยยิ้มที่เป็นห่วงอย่างจริงใจนั่นจะดีมั้ย?
“มิกกี้ครับ ไม่หนาวหรือ”จุนซูถามขึ้น เจ้าตัวเพิ่งอาบน้ำมาหัวชื้น ๆ อยู่เลยก็เลยปากคอสั่นเมื่อมาเจอลมหนาวที่พัดผ่านวูบไปมาจนทำให้ผมปลิวกระจายนั่น
“จุนซู”มิกกี้เรียกเบา ๆ จ้องมองคนปากสั่นไม่วางตา จุนซูเลิกคิ้วและเงียบรอฟัง หากมิกกี้กลับอ้าแขนออกกว้าง แววตาเหมือนเรียกรั้งให้ก้าวเข้าไปใกล้ และจุนซูก็ไม่ปฏิเสธ
ก็แววตาที่มองมา มันแลดูเหงา โดดเดี่ยว แล้วก็ต้องการที่พึ่งมากขนาดนั้น
มิกกี้โอบแขนของตัวเองรัดรอบร่างบางของจุนซูเอาไว้ กอดรอบเนื้อตัวที่ตอนนี้มีกลิ่นสบู่หอมจางแน่น พลางหลับตานิ่งก่อนถอนหายใจยาว จุนซูยอมอยู่นิ่ง ๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายกอดตัวเองเอาไว้อย่างนั้น หากบางสิ่งที่รู้สึกได้ทำให้มือนุ่มค่อยลูบไหล่หนาตอบกลับพร้อมคำพูดห่วงใย
“หนาวหรือครับ มิกกี้ทำไมตัวสั่นแบบนี้”จุนซูถามด้วยความไม่เข้าใจ เพราะมันน่าจะเป็นเขาต่างหากที่เนื้อตัวสั่นอากาศภายนอกที่หนาวเหน็บ
“มิกกี้.....มิกกี้”ถ้อยคำที่เรียกออกไป มิกกี้แค่ตอบกลับมาด้วยอาการกอดรัดแรงมากขึ้นกว่าเดิมทุกครั้ง แนบตัวใกล้ชิดแน่นเสียจนจุนซูต้องขมวดคิ้วจนยุ่งด้วยความไม่เข้าใจมากกว่าเดิม หากจุนซูก็ยังเงียบและยอมอยู่ในอ้อมกอดนั้นนิ่ง ๆ เนิ่นนานแรงโอบรัดมีมากขึ้นกว่าเดิมจนรู้สึกได้ หากหลังจากนั้นไม่กี่วินาที มิกกี้ก็ปล่อยให้คนตัวนุ่มนั้นออกห่าง สายตาคมจ้องมองก่อนจะเอ่ยขอบคุณเสียงเบา
คำขอบคุณที่จุนซูไม่รู้เลยว่ามันสำหรับอะไร
มิกกี้เลี่ยงเข้าไปด้านใน เดินเรื่อยแล้วก็หายเข้าห้องน้ำไป จุนซูมองตามไปด้วยความรู้สึกสับสน สายตาที่เห็น ความเปลี่ยวเหงาที่แสดงออกมา แต่จะให้ทำยังไง ก็ทำได้แค่มองตามไปด้วยความเป็นห่วงเท่านั้น
.
.
“ไม่เอาหรอก มิกกี้ต้องไปนอนในห้องครับ ผมไม่ยอมเอาเปรียบได้ถึงสองครั้งสองหนหรอกนะ”จุนซูส่งเสียงดังเถียงออกมาเมื่อเจ้าของห้องดันมานั่งจับจองที่นอนหน้าทีวีอีกแล้ว แถมยังบอกว่าจะนอนตรงนี้เองให้จุนซูไปนอนในห้อง บนเตียงอุ่นนั่น
“นายไปนอนเถอะน่า ชั้นนอนตรงนี้แหละไม่เป็นไรหรอก”มิกกี้เอ่ยขึ้นอย่างไม่สนใจจะต่อล้อต่อเถียงด้วยนัก ก็จะยอมให้คนตัวเล็กมานอนตรงนี้ได้ไง
“ไม่เอา ถ้ามิกกี้ไม่ไปนอนที่เตียงโน่นผมก็จะนอนมันตรงนี้แหละ”จุนซูกระแทกตัวเองลงเบียดไม่ยอมแพ้แถมยังทำหน้าบึ้งมองนิ่งไปที่ทีวีไม่สนคนที่ทำคิ้วยุ่งหน้ายักษ์ที่นั่งข้าง ๆ เลยซักนิด
“เออนะ!!~ บทนายจะดื้อขึ้นมาก็ร้ายนะ”มิกกี้บ่นกับตัวเองเบา ๆ หากคนที่นั่งอยู่ชิดกันมันได้ยินเต็มสองหู “มิกกี้ก็ดื้อเหมือนกันนั่นแหละ ดื้อ!!~”จุนซูหันมาย่นจมูกใส่ หน้าบึ้ง มิกกี้หัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะส่ายหน้าไปมาอย่างยอมแพ้
“ก็ได้ ๆ สรุปเราดื้อพอกัน .ง่วงหรือยังล่ะ”มิกกี้หันมาถาม พลางขยับตัวลุกขึ้น จุนซูมองอย่างไม่เข้าใจนัก แต่ก็พยักหน้าตอบไป ก็มันไปเที่ยวมาทั้งวัน ง่วงซิ เหนื่อยด้วย
“ป่ะ!!~ ไปนอน”มิกกี้ฉุดแขนของจุนซูขึ้นมา ดึงรั้งให้เดินตามเข้าไปในห้องด้วยกัน เสียงเจ้าตัวเล็กโวยวาย ไม่ยอม “อะไรเล่า!!~ ก็ผมบอกให้มิกกี้มานอนไง ผมไม่ได้บอกว่าจะนอนที่นี่นะ ผมจะนอนที่โซฟาโน่น!!~”
เสียงหัวเราะของมิกกี้ดังขึ้นแม้จะเบาหากบ่งบอกได้ว่าเจ้าตัวกำลังสนุกสนานนัก ที่ได้ต่อปากต่อคำกับจอมโวยวายนี่ “นอนด้วยกันนี่แหละ ตกลงมั้ย เตียงมันก็ไม่ได้แคบ ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ เอ้านอนได้แล้ว!!~”มิกกี้จิ้มหน้าผากจุนซูแล้วก็กดไหล่บางนั้นให้นอนลงไป ส่วนตัวเองเดินเลี่ยงไปอีกด้านทำท่าจะปิดโคมไฟ
“มิกกี้!!~”เสียงเจ้าตัวยุ่งเรียกร้องออกมา ทำให้คนที่กำลังจะปิดไฟชะงัก หันมาถาม “มีอะไร?”
“ใจดีจังนะครับ ผมโชคดีที่ได้เจอมิกกี้”จุนซูพูดยิ้ม ๆ มิกกี้ก็พยักหน้าตอบเหมือนยอมรับคำพูดนั้นก่อนจะหันไปปิดโคมไฟ แสงภายในห้องหมดลง มีเพียงความมืดสลัวลางจากแสงด้านนอกพอส่องให้เห็นเป็นเงาลาง ๆ เท่านั้น
มิกกี้ขยับตัวเองเข้าไปใกล้ก่อนจะนอนลงในผ้าห่มผืนใหญ่ผืนเดียวกัน แขนกว้างถือโอกาสโอบรอบร่างเล็กเอาไว้ จนศีรษะของจุนซูมาอยู่เกยกับไหล่ แถมเจ้าตัวก็ดูจะเต็มอกเต็มใจ ยอมอยู่ในอ้อมกอดแต่โดยดี
ก็มันอุ่น แถมยังอ่อนโยนมาก ๆ ด้วย จุนซูยอมรับกับตัวเอง ว่าชอบชะมัดที่จะให้คน ๆ นี้กอดตัวเองเอาไว้แน่น ๆ
“ชั้นใจดี เฉพาะกับนายหรอกนะ จุนซู”มิกกี้พูดขึ้นท่ามกลางความมืด คนฟังยิ้มออกมา หลับตาสนิทพลางขยับแนบชิดซุกในอกอุ่นมากยิ่งขึ้น
“ผมดีใจที่มันเป็นอย่างนั้นครับ”จุนซูพูดอย่างนั้นก่อนที่จะหลับไปอย่างมีความสุข หากมิกกี้ยังคงลืมตาโพลงมองไปมาในความมืดนั้น คนตัวเล็กที่อยู่ในอ้อมกอดเขาตอนนี้ คนที่เพิ่งได้เจอกันเพียงแค่ข้ามวันมันกลับทำให้ความรู้สึกอบอุ่นแล้วก็มีความสุขได้อย่างประหลาด
มิกกี้ นายน่ะ จะกลับมาเป็น มิกกี้ ยูชอน พี่ชายคนดีของริกกี้เหมือนเมื่อก่อนได้แล้วหรือยังนะ ได้หรือเปล่า?
ก้มลงแนบปากอุ่นของตัวเองที่หน้าผากมนก่อนจะถอยหายใจยาว ๆ ขับไล่ความรู้สึกหนักอึ้งอยู่ในใจ ก่อนที่จะหลับตาลงบ้าง หลับลงไปโดยมีร่างนิ่ม ๆ อุ่นหอมคนนี้ให้โอบกอดปลอบประโลมจิตใจ
“ชั้นต่างหากที่ต้องขอบคุณ .....จุนซู.......ชั้นต่างหากที่โชคดี..........ที่เราได้เจอกัน”
.
.
“นี่เดี๋ยวก่อนอย่าพึ่งใส่ผักลงไปซิ!!~”มิกกี้ร้องโวยวายขึ้น เมื่อลูกมือของเขาทำท่าจะหยิบผักใส่กระทะไปแล้ว จุนซูชะงัก หากหยดน้ำที่ติดกับยอดผักทั้งหลายก็ร่วงหล่นลงไปในกระทะจนมีควันสีขาว ๆ ขึ้นมาจนทำให้จุนซูตกใจ เจ้าผักสีเขียว ๆ ทั้งหลายก็เลยลงไปนอนส่งเสียงดังฉู่ฉี่ในกระทะเรียบร้อย
“เฮ๊ย!!~ อ้ะ!!~”จุนซูกางมือที่ตอนนี้ว่างเปล่าของตัวเองออก พลางทำหน้ายิ้มแหยด้วยความรู้สึกสำนึกผิด มิกกี้ส่ายหน้าแล้วก็ขยับเข้ามาใกล้ จัดการเทน้ำมันตามไปก่อนจะรีบผัดให้มันเข้ากัน
“ช่างเหอะ มันคงรสชาติไม่แปลกไปนักหรอก”
TRR TRR
“นายไปรับโทรศัพท์ให้หน่อยดีกว่านะ ตรงนี้ชั้นทำเอง”มิกกี้สั่งขึ้น จุนซูก็เลยเดินหน้าหงอยออกไปรับโทรศัพท์แทน จุนซูเอ่ยตอบรับเป็นภาษาอังกฤษลงไปก่อนที่ดวงตาคู่สวยจะเบิกกว้างออกมาด้วยความดีใจ
“พี่จุนโฮ!!~”
.
.
มิกกี้ยืนมองสองคนพี่น้องอยู่เงียบ ๆ เมื่อเขาเป็นคนที่มาส่งจุนซูกลับมาหาพี่ชายที่หอพักอีกครั้ง จุนซูบอกว่าพี่ชายเป็นฝาแฝดหากในความเหมือนก็มีความแตกต่าง หน้าตาแค่ออกคล้ายกันเท่านั้นไม่ถือว่าเหมือนในทีเดียว ที่สำคัญ จุนโฮสูงกว่าน้องชายของตัวเองเกือบฝ่ามือ ท่าทางดูแข็งแรงมากกว่าคนตัวเล็กนี่มากนัก
“ขอบคุณมากครับที่ดูแลจุนซู”จุนโฮพูดขึ้นเมื่อมายืนอยู่ตรงหน้า เขายิ้มให้อย่างจริงใจ รอยยิ้มที่มิกกี้มองเห็นแอบคิด ดูท่าจะเหมือนกันทั้งบ้าน
“อืม”มิกกี้ตอบรับเพียงเท่านั้น จุนซูขยับเข้ามาใกล้ เจ้าตัวเล็กแม้จะยิ้มแก้มแทบปริเมื่อครู่ หากพอรู้สึกว่าจะต้องแยกจากคนที่ช่วยเหลือตัวเองมาตลอดนี่ก็รู้สึกเหงาขึ้นมาจับใจ
“ผมจะไปหามิกกี้ได้มั้ยครับ”
“ชั้นอาจไปทำงาน”มิกกี้ตอบเลี่ยงพลางเสมองไปด้านอื่น จุนซูพยักหน้าลงยอมรับ หากก็ยังยิ้มออกมา “ผมสัญญาว่าจะไม่ไปกวนหรอกครับ นะแล้วผมจะพาพี่จุนโฮไปทานอาหารที่ร้าน”
“อืม”มิกกี้พยักหน้าลง เขายืนมองสองคนพี่น้องซักพัก ก่อนจะขอตัวเลี่ยงออกมา เบื้องหลังจุนซูยังคงโบกมือลาไปเรื่อย ๆ จุนโฮตีหัวน้องชายตัวเองเบา ๆ ก่อนจะกอดเอาไว้
หากคนที่กำลังจะเดินจากออกมา มันก็ได้แต่พร่ำบอกตัวเองว่า เวลาแห่งความอบอุ่น เวลาของรอยยิ้มที่สดใส มันหมดลงแล้วต่างหาก
.
.
“Hey micky!!~ some drink”เอดิสันยื่นแก้วน้ำส่งมาให้ เมื่อถึงเวลาช่วงพักที่ทั้งสองคนมักจะออกมานั่งกันอยู่ริมแม่น้ำที่อยู่หลังร้านหลังจากยืนทำงานมาเป็นเวลาติดต่อกันหลายชั่วโมง
“ขอบใจ”มิกกี้รับมาถือเอาไว้ หากไม่คิดจะดื่ม สายตามองไปตามแสงระยิบที่กระทบกับพื้นน้ำนั่นไปเรื่อย ๆ
“นี่มิกกี้ นายไม่ได้สูบบุหรี่แล้วหรือไง”เอดิสันถามขึ้นเมื่อมองเห็นถึงความผิดแปลก ปกติในเวลาพักเช่นนี้มิกกี้จะต้องจุดบุหรี่ขึ้นสูบพลางนั่งทอดอารมณ์
“อือ เลิกแล้ว”มิกกี้ตอบออกมาเสียงเรียบ หากเพื่อนฟังก็รู้สึกดีใจ ถึงจะแปลกใจก็เถอะว่าทำไมอยู่ ๆ มิกกี้ถึงได้ยอมเลิกมันทั้ง ๆ ที่เขาก็เคยบอกเคยขอร้องว่ามันไม่ดีขนาดไหน การประชดครอบครัวของตัวเองโดยการทำร้ายตัวเองมันไม่มีอะไรดีเลยซักอย่าง
“ชั้นจะไปหาริกกี้”มิกกี้เอ่ยขึ้น หากคนฟังตาโตด้วยความตื่นเต้น “ดี!!~มิกกี้นายคิดถูกแล้วล่ะ”เอดิสันเห็นด้วย ถ้าได้ไปพบริกกี้ นั่นหมายความว่ามิกกี้ยอมรับได้แล้วกับการเลิกลาของพ่อกับแม่ ถึงจะแปลกใจก็เถอะว่าอะไรทำให้เพื่อนเปลี่ยนไป แต่เอดิสันก็ไม่คิดจะอยากรู้ แค่มันทำให้เพื่อนรู้สึกดีขึ้นเท่านั้นก็น่าจะพอแล้ว
“บางทีถ้าลองยอมรับความจริงซะที มันคงทำให้ความรู้สึกชั้นดีขึ้น นายว่าหรือเปล่า?”มิกกี้เอ่ยถาม และเอดิสันก็พยักหน้าเห็นด้วยพลางชูหมัดขึ้นก่อนจะได้รับการตอบสนองโดยการแตะมันเบา ๆ เป็นสัญลักษณ์แสดงความเป็นเพื่อน
เสียงเรียกที่ดังมาจากร้านทำให้ทั้งคู่หันไปมอง พี่พนักงานอีกคนร้องเรียกเหมือนมีคำสั่งให้กลับไปทำงาน หากคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ทำให้มิกกี้ต้องยืนขึ้น และรอจนคน ๆ นั้นเดินเข้ามาใกล้
ในเวลานี้ เอดิสันจะพอรู้มั้ย ว่าคนที่ทำให้เพื่อนชาวเกาหลีของเขาเปลี่ยนไปน่ะ ก็คือคนหน้าใสที่เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่นนี่เอง
.
.
“ผมเอาของขวัญมาให้น่ะครับ”จุนซูบอกพลางหยิบกล่องเล็กสีเขียวเหลือบทองขึ้นมายื่นส่งให้ มิกกี้ถือรับมาถือเอาไว้ พลางรอให้อีกคนพูดให้จบ
“ผมขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะครับ”มิกกี้พยักหน้าลงตอบรับ “ผมจะกลับโซลพรุ่งนี้แล้วก็เลยอยากมาลา”
ห้ะ???ไวขนาดนี้เลยอย่างนั้นหรือ?
“ผมดีใจที่อะไรบางอย่างทำให้เราได้มีโอกาสได้รู้จักกันครับ พี่จุนโฮบอกว่าบางทีไอ้อะไรนั่นมันอาจจะเป็นคำว่าพรหมลิขิตก็ได้ และผมก็อยากให้มันเป็นอย่างนั้น”
“ผมคงคิดถึงมิกกี้แน่ ๆ เลยครับ”จุนซูพูดประโยคนี้ขึ้นมา ก่อนที่เจ้าตัวเริ่มจะรู้สึกว่ามีอะไรอุ่น ๆ อาบแก้มลงมาเรื่อย ๆ มิกกี้เฝ้ามองอยู่ความรู้สึกห่วงหามีไม่แพ้กัน เขาค่อยเข้ามาใกล้ โอบร่างเล็กที่กำลังร้องไห้อย่างไม่รู้ตัวนั้นเอาไว้แน่น
“ชั้นก็คงคิดถึงนาย จุนซู”มิกกี้เอ่ยขึ้นบ้าง คนขี้แยซุกหน้าตัวเองกับอกอุ่น สะอึกสะอื้นออกมาเบา ๆ พลางกอดแน่น “นายเองก็ทำให้ชั้นรู้สึกอบอุ่นแล้วก็เข้มแข็งขึ้นมาได้ ชั้นต้องขอบคุณนายเหมือนกัน”
“อย่าร้องเลยนะ ชั้นสัญญาว่านี่จะไม่ใช่การจากลาชั่วชีวิต”มิกกี้ใช้ปลายนิ้วลูบไล้ผิวแก้มที่ตอนนี้ฉ่ำไปด้วยหยดน้ำตาไปมา พลางทอดมองด้วยสายตาอุ่นซึ้ง คำพูดที่เปรียบเสมือนคำมั่นสัญญา “มันมีคำพูดมากมายที่ชั้นอยากจะบอก แต่ไม่ใช่ตอนนี้”
“ชั้นจะทำให้เราได้พบกันอีกให้ได้ .ชั้นสัญญา ..จนกว่าจะถึงวันนั้น นายช่วยรอหน่อยได้หรือเปล่า?”จุนซูพยักหน้ารับลงทันที ยอมรับการรอคอยนั้นด้วยความเต็มใจ
“จนกว่าจะถึงวันนั้น ชั้นอยากให้เราทั้งสองคนเก็บความรู้สึกที่ดีนี้เอาไว้”มิกกี้ก้มลงจูบที่หน้าผากเนียนนั้นเบา ๆ พลางดึงร่างบางเข้ามากอดเอาไว้แนบแน่น “แล้วเราค่อยมาบอกกันเมื่อถึงวันนั้นนะ สัญญาได้มั้ย?”
จุนซูไม่ตอบหากพยักหน้าลงกับอก แรงสะอื้นมีมากขึ้นจนทำให้คนที่กอดแน่นต้องเพิ่มแรงกอดเข้าไปอีก มิกกี้ถอยห่างออกมาพลางจ้องตาคนขี้แยที่น่าเอ็นดู ก่อนที่จะประทับรอยอุ่นลงบนกลีบนุ่ม กดย้ำแนบชิดแผ่วเบาด้วยความอบอวนหอมหวาน สิ่งที่เปรียบเสมือนคำมั่นสัญญา
“สัญญาของเรานะ.....จุนซู....”
.
.
ริมหน้าต่างของเครื่องบินที่ตอนนี้ทะยานออกห่างจากสนามบินมาไกลแล้ว จุนซูเฝ้ามองก้อนเมฆสีขาวด้วยความรู้สึกคาดหวังและรอคอย พลางเฝ้าบอกตัวเองว่าจากนี้ทุกวันคือการเฝ้ารอคนที่จะกลับมาพร้อมกับคำมั่นสัญญา มิกกี้บอกมาอย่างนั้นและเขาก็พร้อมที่จะเชื่อใจและรอ รูปถ่ายที่อยู่ในมือยามจ้องมองทำเอาน้ำตาเอ่อคลอขึ้นมาอีกครั้ง
มันจะเป็นสิ่งที่ทำให้เขาจดจำและคอยย้ำให้คิดถึง รวมทั้งร่องรอยความอ่อนโยนที่แนบแผ่วเบาที่หน้าผากและแนวแก้มนี่ด้วย เมื่อไรจะถึงวันนั้นนะ .แต่ผมสัญญา ว่าจะรอครับ .
อีกฟากฝั่ง คนที่กำลังเดินไปตามเส้นทางเมื่อลงจากรถไฟฟ้าใต้ดินมาเรียบร้อย มิกกี้เดินไปเรื่อย ๆ ก่อนจะหยุดลงตรงหน้าประตูรั้วของบ้านหลังหนึ่ง ก่อนที่จะยกมือกดออดเจ้าตัวยกมือขึ้นจับจี้รูปตัว MJ ที่ห้อยอยู่บนคอของตัวเอง ของขวัญจากคนที่มีรอยยิ้มอ่อนโยนอ่อนหวานนั้นให้มา ข้อความที่ถูกเขียนแนบมาพร้อมกล่องของขวัญเมื่อมิกกี้กลับมาจนถึงห้อง
“พี่จุนโฮพาผมไปสถานีตำรวจ ผมโชคดีอีกแล้วที่ได้กระเป๋าคืน ตั้งแต่ผมเจอกับมิกกี้ผมมีแต่เรื่องโชคดีตลอดเลย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด นั่นก็คือ การที่ผมได้เจอกับผู้ชายคนหนึ่งที่ชอบทำหน้าหงิก ทำเหมือนไม่สนใจใคร ๆ ในโลก...แต่มิกกี้เชื่อมั้ย เค้าน่ารักชะมัดในสายตาของผม
ขอบคุณมากสำหรับทุกอย่าง ผมจะรอครับ รอให้มิกกี้มารักษาสัญญา”
มิกกี้บอกตัวเองมาตั้งไม่รู้กี่ครั้ง ย้ำมาไม่รู้กี่หน กล่องของขวัญที่อยู่เคียงข้างกับรูปที่ได้ถ่ายคู่กัน “ชั้นจะไม่ให้นายรอนานหรอกน่า ชั้นก็สัญญา”
ถอนหายใจออกมายาว ๆ ก่อนที่มือหนาเอื้อมไปกดออดให้ดังก่อนที่จะยืนรออยู่อย่างนั้น
เสียงเปิดประตู ทำให้มิกกี้จ้องมองผู้หญิงที่เปิดประตูมาให้นิ่งนาน เธอคนนั้นมีอาการตื่นเต้นดีใจจนน้ำตาไหลลงมาเงียบ ๆ มิกกี้ถอนหายใจออกมายาว ๆ ก่อนจะก้าวเข้าไปใกล้ กอดผู้หญิงคนนั้นเอาไว้แน่น
“ผมกลับมาแล้วครับแม่”
TBC
ความคิดเห็น