Wonderful Story - Wonderful Story นิยาย Wonderful Story : Dek-D.com - Writer

    Wonderful Story

    ลองอ่านให้ดีนะ.....คิดว่าคงได้อะไรกลับไปเยอะมากๆๆๆๆๆๆๆๆ

    ผู้เข้าชมรวม

    202

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    202

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  ซึ้งกินใจ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  25 ก.ย. 51 / 10:51 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน

      แต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ
      ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี
      วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆ
      ของฉันมีกัน
      จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง
      พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง
      โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน
      " ใครขโมยเงินไป" พ่อตวาด
      ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน
      พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า
      " ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ"
      พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น
      ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้....แล้วพูดว่า
      " ผมขโมยเองครับ"
      ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง
      พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด
      จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย
      พ่อนั่งลงบนเก้าอี้
      และด่าว่าน้องชายของฉัน
      " ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก
      แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย"
      คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้
      หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด
      แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย
      กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก
      น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า
      " พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว"
      ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้
      ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ

      หลายปีผ่านไป
      แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง
      ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย
      ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8 ปี ส่วนฉันอายุ 11 ปี...
      เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น
      เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน
      ม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย
      ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังห วัดเช่นกัน
      คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน
      ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า
      " ลูกเราทั้งคู่เรียนดีเรียนดีมากนะ"
      แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า
      " แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไรในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน"
      ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า
      " ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว"
      พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่
      " ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้
      ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน
      พ่อก็ จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้"
      คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ
      ทั่วทั้งหมู่บ้าน....เพื่อขอยืมเงิน
      ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ
      ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า
      " ต้องให้น้องได้เรียนต่อไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้"
      แต่ในขณะเดียวกัน
      ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้
      ใครจะรู้ได้ .......
      วันต่อมาในตอนเช้ามืด
      น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น
      และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว
      ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน
      ขณะฉันกำลังหลับ
      " พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ....
      ผมจะไปหางานทำ...แล้วจะส่งเงินมาให้พี่"
      ฉันนั่งอยู่บนเตียง
      อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า ....... ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป


      ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17 ปี ส่วนฉันอายุ 20 ปี .....
      ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน
      รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็น
      กรรมกรแบกหามที่ไซท์ก่อสร้างท่าเรือ .......
      ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3
      วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก
      เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า
      " มีชาวบ้านมาหาเธอ...อยู่ข้างนอกแน่ะ"
      ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ???
      ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่
      ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง
      ฉันถามเขาว่า
      " ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ"
      น้องชายข องฉันตอบยิ้มๆ ว่า
      " ก็ดูผมสิสกปรกมอมแมมออกอย่างนี้...ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆ
      ก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี"
      ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง
      และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ
      " พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง
      เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม"
      จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง
      เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ . เขาติดกิ๊บให้ฉัน
      แล้วพูดว่า
      " ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง" ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด
      ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน

      ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี .
      วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก
      ฉันสังเกตเห็นว่า
      หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว
      เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก
      หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า
      " แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อม กระจก
      เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ"
      แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า
      " แม่ไม่ได้จ้างหรอก...น้องชายลูกต่างหาก
      วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน
      ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ
      น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ"
      ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา
      ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ
      ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด " เจ็บมากไหม"
      ฉันถาม
      " ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆ
      มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด
      แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ
      และ..."
      น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด
      เพราะฉันหันหน้าหนีเขา
      น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง
      " เพราะพี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ"

      ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี...
      หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง
      หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน...
      แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ
      ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง
      แต่เมื่อออกไปแล้ว
      ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี
      จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม
      น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย ้ายออกไป ...
      เขาบอกกับฉันว่า
      " พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง"
      สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของ ครอบครัว
      เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท

      ...
      แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้
      เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา
      วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล
      และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด
      เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล
      ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล
      น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา
      ... ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!!
      ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้
      ดูตัวเองซิ...เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง"
      คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด
      ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา
      " พ ี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน
      ส่วนผมมันการศึกษาต่ำถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ
      คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด"
      น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย .....
      ฉันบอกกับน้องว่า
      " แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่..."
      " ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ"
      น้องชายของฉันจับมือฉันไว้
      ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26 ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี...

      เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ ปี
      เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำงานที่เดียวกัน
      ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า
      " ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้" น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล " พี่สาวของผมครับ" .....
      และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้ ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง
      เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2 ชม.
      เพื่อเดินไปเรียน...และเดินกลับบ้าน
      วันหนึ่งในวันที่หิมะตกหนักผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง
      พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง
      และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล
      เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว
      เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ ....... นับจากวันนั้น
      ผมสาบานกับตัวเอง
      ว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี
      และจะทำดีกับเธอ"
      เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว
      สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน

      คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก .......
      " ในโลกใบนี้คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ"
      ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้
      น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง...
      จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ
      วันในชีวิตของคุณและเขา
      คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆ
      แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง
      .. ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ
      พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน
      หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม

      จบบริบูรณ์....


      ปล.ปัจจุบันผู้เป็นพี่สาวอายุ 86 ปีตำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารใหญ่บริษัทฮุนไดและในเครือกว่า 20 บริษัท
      น้องชายอายุ 83 ปีเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ ที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า

      " ซัมซุง"


      และเรื่องราวของท่านทั้ง 2 คนกำลังถูกนำมาสร้างเป็นซี่รี่ย์ โดยดาราเล็กๆ คนคือ ซอง เฮ เคี ยว และ ลี ดอง ฮุคครับ

      บู มิง ฮอง
      เล่าเรื่อง



       


      แหล่งที่มาจาก FW

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×