ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    แย่แล้ว .. เผลอหลงรักคุณดาวเสาร์ (Yuri) - End

    ลำดับตอนที่ #9 : ดาวกระดาษ | Re-write

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 842
      103
      9 ก.ค. 62





    “แผลแห้งเร็วเหมือนกันนะ” 
    พี่หมอนั่งทำแผลอยู่ในห้องนอนของฉัน เจ้าตัวตะโกนบอกตั้งแต่ตอนที่อยู่นอกบ้านว่าจะเข้าไปหาเอง ไม่อยากให้ฉันขยับเยอะ 
    ขาของฉันพาดอยู่บนตักพี่หมอ แผลถลอกตรงเข่ากำลังได้รับการดูแลจากคุณหมอคนเก่ง ฉันลอบมองหน้าหมอแล้วก็นึกแปลกใจ กินหมูกระทะมันก็คงต้องหน้าแดงจากควันไฟเป็นธรรมดา แต่ว่ามันแดงนานขนาดนี้เลยหรอ 
    “พี่หมอกินแอลกอฮอล์มาด้วยเหรอ” 
    ฉันเดาถูกเสียด้วยสิ เพราะหมออมยิ้มน้อยๆ ลอบเงยหน้าขึ้นมองฉัน ทำอย่างกับตัวเองทำอะไรผิดแล้วโดนจับได้อย่างนั้น 
    “นานๆกินที”
    บอกแล้ว ฉันว่าพี่หมอไม่ธรรมดาหรอกตอนอยู่ที่กรุงเทพน่ะ 

    “แล้วหมูกระทะอร่อยปะ”
    “อร่อยนะ รสชาติกำลังดีเลย เสียอย่างเดียว น้ำจิ้มเผ็ดไปหน่อย”
    “ตัวเองไม่กินเผ็ดเองต่างหาก”
    “แต่มันเผ็ดจริงๆนะ” 

    ผ้าก๊อซชิ้นใหม่ถูกวางปิดแผลอย่างเรียบร้อย พี่หมอทำแผลสวยกว่าพยาบาลอีก ฉันตั้งท่าจะขยับขาออก ไม่อยากพาดไว้บนตักหมอแบบนี้ แต่หมอกลับใช้มือรั้งขาฉันไว้ 
    “อย่าเพิ่งขยับสิ เดี๋ยวเจ็บนะ พาดไว้อีกสักพักก็ได้”
    ฉันพยักหน้ายอมทำตาม ตอนนี้หมอกำลังใช้สายตาสำรวจไปรอบห้องฉัน เอาขาพาดไว้แบบนี้ ทำตัวไม่ถูกยังไงไม่รู้สิ 

    “พับดาวเป็นด้วยเหรอ”
    ฉันมองตามสายตาของหมอ ที่ไปหยุดอยู่บนโต๊ะหนังสือของฉัน ในบรรดาของที่วางสุมกัน มีตะกร้าสานใบน้อยใส่พวกกระดาษพับดาวกับดาวบางส่วนที่พับเสร็จแล้ว เศษซากความรักของฉันเอง 
    “แอบพับไปให้หนุ่มที่ไหนหรือเปล่า” 
    น้ำเสียงติดจะแหย่เล่นถามขึ้น หมอคงแค่อยากแกล้งฉันเฉยๆ แต่คงไม่รู้ว่าที่แซวมามันดันเป็นเรื่องจริง 
    “ใครเขาจะอยากได้” 
    ฉันหันมองทางอื่นแทน ภาพนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในความคิด ภาพของดาวดวงน้อยถูกเหยียบย่ำด้วยน้ำมือของคนที่เป็นเจ้าของ ฉันไม่รู้ว่าตัวเองทำหน้ายังไงอยู่ พี่หมอยิ้มน้อยๆ ตอนมองมาที่ฉัน 
    “สอนพี่พับมั่งสิ พี่จะได้มีอะไรทำเวลาอยู่ว่างๆ”
    “พี่หมอจะพับไปทำไม” 
    “พับเก็บไว้ดูเฉยๆไง พี่จะบอกให้ พวกงานแบบนี้น่ะ ฝีมือพี่แย่มากเลยนะ เข้าขั้นวิกฤตเลย สมัยเรียนต้องคอยจ้างเพื่อนทำให้เวลาครูสั่ง”
    “นิสัยไม่ดีอ่ะพี่หมอ”
    พี่หมอหัวเราะออกมา มือของพี่หมอวางพาดลงบนขาของฉัน มือที่กำลังสัมผัสต้นขาของฉัน 
    แล้วฉันจะหน้าแดงทำไมเล่า เดี๋ยวหมอก็เห็นหรอก 

    โทรศัพท์ของพี่หมอดังขึ้น เจ้าตัวควักโทรศัพท์จากในกระเป๋ากางเกงออกมา ใจข้างในของฉันเผลอกระตุกวูบ ไม่รู้ทำไมถึงต้องคอยลุ้นกับสายเรียกเข้าของหมอทุกรอบ 
    แต่ดูเหมือนครั้งนี้คงไม่มีอะไร พี่หมอยิ้มเล็กน้อยตอนที่มองหน้าจอโทรศัพท์ ก่อนจะกดรับด้วยท่าทีสบายๆ นั่นทำให้ฉันลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก 

    “มีอะไรคุณหมอ”
    เสียงพี่หมอคุยตอบกับปลายสาย รอยยิ้มซุกซนขี้เล่นยามที่คุยโทรศัพท์ ปลายสายนั้นคือใครกันนะ ทำให้พี่หมออารมณ์ดีขนาดนี้ได้

    “เออ กูไม่เป็นอะไรหรอก กูอยู่ได้”
    เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ยินหมอพูดคำหยาบ แถมยังใช้สรรพนามแบบนี้ด้วย ฉันไม่ได้ผิดหวังอะไรหรอกนะ ออกจะดีใจด้วยซ้ำที่เริ่มได้เห็นหลายมุมของหมอมากขึ้น 
    หมอพูดคำหยาบ
    หมอดื่มเหล้า 
    หมอกลัวผี
    หมอไม่ชอบกินเผ็ด 

    “เอาเป็นว่ามึงไม่ต้องเป็นห่วงกูหรอก .. กูไม่เหงา” 
    สายตาคู่นั้น ..
    พี่หมอกำลังคุยกับปลายสาย แต่สามพยางค์นั้น พี่หมอมองมาที่ฉันราวกับอยากจะสื่อความหมายบางอย่าง ฉันเริ่มเขินหมอจริงๆแล้ว เลยค่อยค่อยเนียนขยับขาออกทีละน้อย รอบนี้หมอไม่ได้รั้งไว้แล้ว เจ้าตัวขยับตัวออกเพื่อให้ฉันขยับขาได้สะดวกขึ้น 
    เรานั่งกันอยู่ที่ปลายเตียง หมอคุยอีกไม่กี่ประโยคก็วางสายไป อยากรู้เหมือนกันนะว่าหมอคุยกับใคร แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเสียมารยาทเกินไปไหม โชคดีที่หมออธิบายขึ้นมาเสียเอง

    “เพื่อนที่กรุงเทพน่ะ มันห่วงกลัวพี่จะเหงา”
    “เพื่อนเป็นหมอเหมือนกันเหรอคะ”
    พี่หมอพยักหน้าเล็กน้อย ดูอารมณ์ดีขึ้นเยอะเลยนะพอได้คุยกับเพื่อน ถึงฉันจะช่วยคลายเหงาให้หมอได้ แต่มันก็คงดีกว่านี้ถ้าหมอจะมีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันให้ได้คุย อยู่กับฉันคงไม่ได้สาระอะไรหรอก ไม่นานหมอก็เบื่อ 

    ฉันเผลอนึกไปถึงเพื่อนหมอคนที่มาชวนไปกินหมูกระทะ ท่าทางน่ารัก อัธยาศัยดีแบบนั้น พี่หมอคงชอบน่าดู
    “พี่พยาบาลคนนั้นแลดูนิสัยดีนะคะ”
    “ใช่ๆ คุยเก่งมากเลย อายุห่างจากพี่แค่สามปีเอง”
    เขาห่างสามปี ฉันห่างตั้งสิบสามปี แค่นี้ก็ไม่เหมือนกันแล้ว

    “หนูเห็นเขาเรียกพี่หมอว่า ปั้น”
    “ทำไมหรอ”
    “เปล่าค่ะ แค่ฟังแล้วมันแปลกๆเฉยๆ หนูไม่ค่อยได้เรียกชื่อเล่นพี่หมอไง” 
    “ตอนแรกเขาก็เรียกว่าพี่หมอเหมือนน้องเอยนั่นล่ะ แต่พี่บอกให้เขาเรียกชื่อเล่นเอง” 
    “กลัวเขาเรียกซ้ำกับหนูเหรอ”
    ฉันแกล้งแหย่พี่หมอไป มันคงสับสนน่าดูถ้าทุกคนเรียกว่าพี่หมอ คงไม่รู้จะหันไปหาใครเลย นึกภาพตามในหัวแล้วก็ขำ 

    “อืม เก็บไว้ให้น้องเอยเรียกคนเดียวก็พอ”

    “ดีจัง”
    ตายแล้ว นี่ฉันใจลอยขนาดนี้ได้ยังไงเนี่ย พอพี่หมอพูดจบฉันก็เผลอพูดคำที่อยู่ในใจออกมา ฉันตกใจจนเผลอทิ้งน้ำหนักลงขาข้างที่เจ็บจนมันเริ่มประท้วงฉันด้วยอาการแสบหนึบตรงแผล

    “เจ็บไหม บอกแล้วว่าให้ระวัง” 
    พี่หมอลุกขึ้นเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าฉัน ก่อนจะนั่งคุกเข่า มือหนาของพี่หมอค่อยๆเปิดผ้าปิดแผลออกดู พี่หมอผงกหัวเล็กน้อยก่อนจะปิดผ้ากลับไปตามเดิม หากแต่ยังคงไม่ลุกขึ้นกลับมานั่งเหมือนเดิม ช้อนสายตาคู่นั้นขึ้นมองฉัน 
    “หรือว่าน้องเอยอยากเรียกชื่อเล่นล่ะ” 
    “ไม่เอา ไม่อยากเหมือนคนอื่น” 
    เอาอีกแล้ว พี่หมอลูบหัวฉันอีกแล้ว ยิ่งอยู่ใกล้กันแบบนี้ ฉันยิ่งได้กลิ่นแอลกอฮอล์จากตัวหมอ ผสมกับแววตาฉ่ำวาว กรอบหน้าที่ขึ้นสีระเรื่อ ดีนะที่ฉันนั่งอยู่ ถ้าตอนนี้ฉันยืนอยู่ แล้วมาเจอท่าทางของหมอระยะประชิดแบบนี้ ฉันทรงตัวไม่อยู่แน่ 

    โทรศัพท์ของหมอดังขึ้นอีกครั้ง เจ้าตัวยังคงนั่งคุกเข่าอยู่ที่เดิม คิวเยอะจังนะหมอวันนี้
    หมอ ..
    ไม่ใช่สายปกติเหมือนก่อนหน้านี้ แล้วครั้งนี้ก็ไม่ใช่เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ด้วย ดูเหมือนเสียงแจ้งเตือนข้อความมากกว่า แววตาที่เคยฉ่ำวาว อยู่ดีดีก็มีน้ำใสๆเอ่อล้นขึ้นที่ขอบตาอย่างรวดเร็ว 
    หมอเห็นอะไร ใครส่งอะไรมาพี่หมอถึงได้เป็นแบบนี้ ฉันกำลังจะออกปากถาม หากแต่พี่หมอกลับรีบลุกขึ้นยืน หันหน้าหนีไปอีกทาง 
    “พี่กลับบ้านก่อนนะ”
    พี่หมอเอามือปิดหน้าตัวเอง กำโทรศัพท์แน่น เร่งรีบออกจากห้องฉันไปทันที ฉันตกใจ รีบลนลานพาตัวเองไปที่หน้าต่างห้อง ร่างสูงของหมอกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกมาจากตัวบ้านฉัน สองมือนั้นที่เคยทำแผลให้ฉันกำลังยกขึ้นปิดหน้าตัวเอง 
    ทุกครั้งที่หมอเศร้า ดวงตาของหมอจะวูบไหว แต่เพียงครู่เดียวก็กลับมาสดใสเหมือนเดิม แต่ครั้งนี้ ฉันได้เห็นน้ำตาของหมอ น้ำตาที่เอ่อล้นขึ้นมา มันคงไหลลงมาก่อนจะออกจากห้องนอนของฉันด้วยซ้ำ
    เกิดอะไรขึ้น ใครส่งอะไรมาให้หมอ แล้วหมอเห็นอะไร 



    เกือบครึ่งชั่วโมงได้แล้วที่พี่หมอยังคงนั่งอยู่ท่าเดิม ที่เดิม ไม่ลุกไปไหน เหมือนกับฉันที่ยังนั่งนิ่งอยู่ริมหน้าต่าง พี่หมออยู่ตรงแพหน้าบ้าน นั่งซุกหน้ากอดเข่าอยู่แบบนั้นเนิ่นนานแล้ว 
    ฉันไม่มีกะจิตใจกะใจแม้แต่จะไปนอน ไม่รู้ว่าพี่หมอจะนั่งอยู่ตรงนั้นจนถึงเมื่อไหร่ ชั่งใจอยู่สักพัก ก่อนจะลุกไปคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก เพ่งสายตามองไปยังปลายสายที่ยังคงนั่งคุดคู้อยู่ 
    พี่หมอขยับตัวแล้ว เจ้าตัวเงยหน้าขึ้น หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา หัวใจฉันเริ่มเต้นแรง แอบหวั่นใจว่าหมอจะตัดสายทิ้งหรือไม่ก็วางทิ้งไว้ ปล่อยให้สายเรียกเข้าของฉันดังอยู่แบบนั้น สุดท้ายพี่หมอก็กดรับ น้ำเสียงพี่หมอยิ่งทำให้ฉันเป็นห่วงมากกว่าเดิม

    “ว่าไงน้องเอย” 
    น้ำเสียงขึ้นจมูก มันสั่นเครือในทุกพยางค์ที่เอ่ยออกมา เสียงสะอื้นแผ่วเบาดังลอดมาจากปลายสาย ฉันที่กำลังอึ้งกับเสียงพี่หมออยู่ ไม่ทันได้นึกไว้ตอนแรกด้วยสิว่าจะพูดอะไร 
    “เอ่อ .. คือ .. อ๋อ .. พอดีม๊าให้โทรมาถามว่าพรุ่งนี้พี่หมออยากไปทำบุญที่วัดด้วยกันไหมคะ” 
    ฉันลอบถอนหายใจ ขอบคุณมันสมองน้อยน้อยของตัวเองที่คิดเรื่องขึ้นมาได้ รอดไปแบบฉิวเฉียด
    “ไปสิ ฝากขอบคุณคุณแม่ด้วยนะ”
    ฉันได้แต่ขานตอบรับ แล้วก็ต้องยอมกดวางสายเพราะหาข้ออ้างเรื่องอื่นไม่ได้แล้ว ได้แต่ภาวนาในใจว่า การเข้าไปขัดจังหวะเวลาแห่งความเศร้าของหมอจะช่วยทำให้หมอดีขึ้น แล้วลุกออกจากตรงนั้นเสียที 
    หมอกลับวางโทรศัพท์ทิ้งข้างตัว หันไปกอดเข่าซุกหน้าตามเดิมอีกแล้ว 
    ความเจ็บปวด ความอ่อนแรงของหมอส่งผ่านมาถึงหน้าต่างบานนี้ แม้แต่ลมเย็นที่พัดผ่านกลับไม่อาจโอบอุ้มหัวใจพี่หมอให้รู้สึกดีขึ้นได้เลย  

     เวลาพี่อยู่ใกล้ๆน้องเอยแล้ว พี่มีความสุขมากเลยนะ น้องเอยเป็นคนสดใส .. พี่หัวเราะเยอะกว่าตอนที่พี่อยู่กรุงเทพอีก

    ทุกครั้งที่พี่หมออยู่กับฉัน ไม่เคยมีสักครั้งที่พี่หมอจะไม่หัวเราะ ฉันกวาดสายตาไปทั่วห้อง ก่อนจะสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่าง พี่หมอบอกว่า ฉันทำให้เขาหัวเราะได้ .. หวังว่าครั้งนี้ ฉันก็จะทำให้พี่หมอกลับมาหัวเราะได้เหมือนเดิมนะ 



    ขาหนึ่งข้างในสภาพสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ กับอีกหนึ่งข้างที่ดูกระท่อนกระแท่น ฉันเดินโขยกเขยกไปตามทาง นึกหงุดหงิดตัวเองที่มาเป็นแผลบ้าบออะไรตรงเข่าก็ไม่รู้ ทำอะไรไม่สะดวกเอาเสียเลย 
    เดินบ่นตัวเองมาตามทาง ก่อนจะเงียบลงเมื่อเริ่มเข้าใกล้บ้านหมอ
    ฉันพยายามก้าวเท้าเดินด้วยเสียงที่เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ถึงฉันเดินดังกว่านี้ พี่หมอก็ไม่ได้ยินอยู่ดี ตัวพี่หมอยังนั่งอยู่ตรงนี้ แต่หัวใจพี่หมอคงอ่อนแรงเต็มทีแล้ว 
    มันยากเหลือเกินที่ต้องทำทุกอย่างให้เงียบที่สุด กว่าจะพาตัวเองลงนั่งได้สำเร็จ แผลที่เข่าก็ตึงเหมือนใครมาขึงเอาไว้ น่ารำคาญชะมัด

    ฉันนั่งอยู่ข้างหมอ ได้ยินเสียงสะอื้นชัดเจน พี่หมอนั่งกอดเข่าร้องไห้จนตัวสั่น ไหล่เล็กนั้นขยับไปมาตามแรงสะอื้น มันรุนแรงจนฉันต้องจับเข้าที่ไหล่ซ้ายแผ่วเบาแล้วออกแรงบีบ 
    พี่หมอสะดุ้งตกใจ เสียงสะอื้นเงียบลงทันที แต่ใบหน้านั้นยังคงไม่เงยขึ้นมา ฉันรู้ดี พี่หมอคงไม่อยากให้ใครเห็นน้ำตา 

    “พับดาวกันไหม” 

    ผู้หญิงที่ยิ้มให้ฉันทุกครั้ง คนที่ไม่ว่าฉันจะพูดอะไรก็จะหัวเราะ ขนาดโดนฉันแกล้งยังหัวเราะเลย คนคนนั้น คือคนเดียวกับคนนี้ 
    มือขวาของพี่หมอเอื้อมมาวางทาบทับมือของฉัน ออกแรงบีบตอบรับ แล้วเสียงสะอื้นที่หยุดไปก็กลับมาอีกครั้ง 
    “พี่หมอไม่ต้องบอกหนูก็ได้ว่าพี่หมอเจออะไรมา แต่ถ้าครั้งต่อไปพี่หมออยากร้องไห้อีก .. พี่หมอต้องบอกหนูนะ ถึงหนูจะช่วยอะไรไม่ได้ แต่หนูนั่งอยู่ข้างพี่หมอแบบนี้ได้นะ” 
    เสียงสะอื้นดังขึ้นกว่าเดิม ราวกับเจ้าตัวไม่สามารถฝืนมันไว้ได้อีกต่อไปแล้ว 

    ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ พี่หมอเริ่มสงบมากขึ้น ไม่มีเสียงสะอื้นแล้ว เจ้าตัวค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา สองมือปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มออก แววตาบวมช้ำหันมองฉันพร้อมรอยยิ้ม 
    ขนาดในเวลาแบบนี้ พี่หมอยังยิ้มให้ฉันเลย 

    “ขอบคุณนะน้องเอย” 
    ฉันยิ้มรับคำขอบคุณนั้น ดึงมือตัวเองกลับมา ได้ยินเสียงพี่หมอสูดลมหายใจเข้าลึก เสียงทุ้มเริ่มต้นพูดขึ้น 

    “พี่คบกับแฟนคนนี้มาเก้าปีแล้ว เขาเป็นแฟนคนแรกในชีวิตพี่ เรียนหมอเหมือนพี่” 
    เป็นครั้งแรกที่พี่หมอเล่าเรื่องของตัวเองออกมา แทบไม่ต้องใช้ไพ่อะไรเลยด้วยซ้ำ นั่นทำให้ฉันนิ่งเงียบ ฟังอย่างตั้งใจ

    “พี่จับได้ว่าเขามีคนอื่น เขาคุยกับอีกคนหนึ่งมาเกือบปีแล้ว ตอนนั้นที่รู้ มันเหมือนโลกทั้งโลกมันพังลงมาหมดเลย เขามีพี่ มีคนนั้น แต่พี่มีแค่เขาคนเดียว .. มันเจ็บมากเลยนะ”  
    น้ำเสียงพี่หมอเริ่มสั่นขึ้น น้ำตาที่แห้งไปแล้ว เริ่มกลับมาเอ่อล้นอีกครั้ง ถึงฉันอยากรู้มากแค่ไหน แต่ถ้ามันทำให้พี่หมอต้องกลับไปนึกถึงมันแล้วต้องเจ็บแบบนี้ ฉันก็ไม่อยากฟังแล้ว 

    “เขาบอกว่าเขาเลือกพี่ แล้วก็จะไปเลิกกับคนนั้น แต่สำหรับพี่ .. มันสายไปแล้ว” 
    “แปลว่าที่เขาพยายามโทรหาพี่หมอ ก็เพื่อง้อพี่หมอเหรอ” 
    “เปล่าหรอก เขารู้สึกผิดมากกว่า มันเป็นความสงสาร ไม่ใช่ความรัก”

    ฉันได้รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นในเรื่องความรักของพี่หมอ สิ่งที่ฉันไม่เข้าใจคือ อะไรกันทำให้หมอต้องร้องไห้ออกมาหนักขนาดนี้ หรือว่าแฟนเก่าส่งอะไรมาให้ดู ฉันควรถามดีไหมนะ 

    “ที่พี่ถามเรื่องแฟนกับน้องเอยบ่อยๆ เพราะพี่เป็นห่วง จะรักใครสักคนต้องดูให้ดีดีนะ เราให้ใจเขาไปแล้ว เราเอากลับมาไม่ได้หรอกนะ”
    เราให้ใจเขาไปแล้ว เราเอากลับมาไม่ได้หรอกนะ 
    ผู้ชายสามคนที่ฉันตั้งใจไปสารภาพรักล้มพังไม่เป็นท่า แต่ฉันกลับใช้เวลาแค่ไม่ถึงสามวันด้วยซ้ำในการลืมคนพวกนี้ หรือว่าที่ผ่านมา มันไม่ใช่ความรักที่แท้จริง 
    แล้วแบบไหนกันคือความรัก 

    ฉันจมอยู่ในห้วงความคิดตัวเอง รู้ตัวอีกทีก็ตอนพี่หมอเอี้ยวตัวมาหยิบกระดาษใบยาวจากในตะกร้าสาน 
    รอยยิ้มพี่หมอกลับมาแล้ว

    “สอนหน่อยสิ” 
    “ดูตามคุณครูนะคะ” 
    เสียงหัวเราะทุ้มของพี่หมอ ไม่รู้เมื่อไหร่ที่ฉันเผลอยิ้มตามทุกครั้งเวลาได้ยินเสียงนี้ 

    “จับกระดาษซ้อนกันเป็นวงแบบนี้ .. ไม่ใช่สิอีกด้านหนึ่ง” 
    เชื่อแล้วว่าไม่ทำเป็น แค่ทำกระดาษให้ซ้อนเป็นวงยังทุลักทุเลเลย 

    “เอาปลายด้านที่ยาวทับทบกันไปเรื่อยๆ .. ไม่ใช่ฝั่งนั้น หนูไม่ได้บอกให้หันไปฝั่งนั้นเลยนะ”
    “อย่าดุสิ” 
    “ก็พี่หมอทำผิดอ่ะ”
    ฉันทนไม่ไหว ขยับตัวเองเข้าไปชิดหมอมากขึ้น ถือวิสาสะยื่นมือเข้าไปแก้ดาวที่สภาพเริ่มเหมือนอุกกาบาตไปทุกที 

    “แล้วก็ทบๆไปเรื่อยๆจนปลายมันไม่เหลือแล้ว ค่อยสอดเก็บเข้าไป” 
    “ไม่เคยพับไปให้ใครจริงๆเหรอ” 
    “ไม่เคย” 
    ฉันโกหกพี่หมอ ความรักแบบผู้ใหญ่ของหมอทำให้ฉันไม่กล้าเล่าเรื่องตัวเอง มันดูเพ้อฝัน จับต้องไม่ได้สักนิด 

    “เชื่อได้ไหมอะ”
    “อารมณ์ดีขึ้นแล้วใช่ปะ มาแซวคนอื่นเขาอ่ะ” 
    พี่หมอชูดาวของตัวเองที่ยังพับไม่เสร็จดีขึ้นสูง ดาวสีขาวตัดสลับกับท้องฟ้าฉากหลังยามค่ำคืน ส่งรอยยิ้มอบอุ่นตามสไตล์หมอมองดาวกระดาษในมือ 
    พูดกันตรงๆ มันจะเป็นภาพที่เพอร์เฟคมาก ถ้าไม่ติดที่ดาวง่อนแง่นของหมอที่จะขาดแหล่ไม่ขาดแหล่อยู่แล้ว
    “จริงไหมที่น้องเอยบอกว่า ถ้าพี่ร้องไห้อีก น้องเอยจะมาอยู่เป็นเพื่อน”
    ฉันก้มหน้าพับดาวในมือ ทำเพียงแค่ผงกหัวเล็กน้อย ตอนนั้นที่พูดไป ไม่ได้รู้สึกเขินอะไรทั้งสิ้น แค่อยากพูดอะไรก็ได้ที่ทำให้หมอรู้สึกดีขึ้น หมอเล่นมาถามย้อนกันเวลานี้  ฉันก็แย่สิ 
    “สัญญาแล้วนะ พี่มีดาวเป็นพยานนะ”
    “ดาวบูดๆเบี้ยวๆนั่นอ่ะเหรอ”
    “เบี้ยวที่ไหน สวยจะตาย” 
    ฉันหัวเราะออกมา เห็นดาวของหมอแล้วทำใจไม่ได้จริงๆ จนต้องดึงจากมือเจ้าตัวมาแก้ให้ 

    “ก็แค่ทบกันไปทบกันมา มันยากตรงไหน ทีเรียนหมอยากกว่านี้ยังเรียนได้ ดูสิ แฉกก็ไม่เท่ากัน..”
    “ขอบคุณนะ”
    เสียงนุ่มละมุนของพี่หมอ ที่อยู่ดีดีก็พูดขึ้นมา ฉันที่กำลังบ่นหมออยู่ชะงักมือที่พับดาว 

    “ถ้าพี่หมอไม่เลิกกับแฟน  พี่หมอก็คงไม่มาที่นี่ใช่ไหม”
    ถ้าชีวิตหมอข้างล่างนั้นมีความสุขดี เราก็คงไม่ได้เจอกันใช่ไหม

    “เขาแค่ทำให้มันเร็วขึ้นแค่นั้นเอง พี่ตั้งใจจะกลับมาที่นี่อยู่แล้ว .. กลับมาหาน้องเอย” 
    ผู้หญิงด้วยกัน สามารถทำให้ใจสั่นได้ขนาดนี้เชียวเหรอ ยิ่งนับวันยิ่งรับมือกับความรู้สึกตัวเองยากขึ้นทุกที มีสักเปอร์เซ็นต์ไหมที่แฟนเก่าหมอจะไม่ใช่ผู้ชาย 
    เดี๋ยวนะ แปลว่าฉันชอบผู้หญิงด้วยกันเหรอ 
    ไม่จริงหรอก เวลาผู้ใหญ่เขาพูดอะไรดีดีถึงเรา เราก็ดีใจใช่ไหมล่ะ มันก็ความรู้สึกเดียวกันนั่นล่ะ 
    ใช่ไหม

    “เอาไปพับใหม่เลย ขี้เหร่มาก เหมือนก้อนอะไรก็ไม่รู้ ยังกะอุกกาบาต”
    พี่หมอหัวเราะ พยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะรับกระดาษแผ่นใหม่ไปลองทำอีกรอบ ฉันลอบมองคนข้างตัว ไม่รู้ว่าในใจพี่หมอคิดอะไรอยู่ตอนนี้ จะยังเศร้าอยู่ไหม อย่างน้อย ดาวกระดาษนี่ก็ทำให้พี่หมอยิ้มได้แล้วกัน 
    หรือที่ผ่านมา ฉันตีความหมายเจ้าดาวนี่ผิดไป
    ฉันพับดาวใส่ขวดโหล แต่ไม่เคยถึงมือใครคนนั้นเลยสักครั้ง เป็นเพราะความโชคร้ายของฉันเอง หรือเพราะฉันยังไม่เจอเจ้าของที่แท้จริงกันนะ 








    สนามเด็กเล่นวันนี้หมอกลงหนักกว่าทุกครั้ง
    ลมจากทิศไหนก็ไม่รู้พัดเข้ามา ฉันยกมือขึ้นปิดหน้าตัวเองจนอมยิ้มที่ถืออยู่ตกลงพื้น ฉันขยับตัวลุกออกจากตักพ่อ 
    เท้าเปล่าสัมผัสพื้นหญ้า ก้มหยิบเจ้าอมยิ้มเปื้อนดิน
    พ่อหายไปแล้ว .. 
    หมอกหนาครึ้มทำให้ฉันมองไม่เห็นใครเลย 
    แล้วมือหนาของใครบางคนก็สอดรับตัวฉัน อุ้มฉันขึ้น ตัวของฉันลอยขึ้นสูง ใครคนนั้นกอดฉันไว้ ลูบหลังฉันไปมา 

    “เดี๋ยวพี่หยิบอันใหม่ให้นะ อันนี้เปื้อนหมดแล้ว” 
    ใครกัน


    วงแหวนดาวเสาร์.



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×