ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    แย่แล้ว .. เผลอหลงรักคุณดาวเสาร์ (Yuri) - End

    ลำดับตอนที่ #15 : เพราะเป็นเขาที่เราชอบ | Rewrite

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 809
      103
      25 ก.ค. 62



    ฉันควรชินกับรอยยิ้มของหมอ ท่าทางของหมอ ทุกอย่างของหมอได้แล้ว แต่ไม่ว่ายังไง หมอก็ทำให้ฉันละสายตาไม่ได้ทุกครั้ง 
    ฉันบอกพี่หมอก่อนเราแยกกันเมื่อคืนว่า รอบของเด็กมัธยมปลายคือช่วงบ่าย เราออกจากบ้านกันช่วงสายก็ยังทัน เผื่อหมออยากนอนตื่นสายสักหน่อย แต่จากภาพตอนนี้ สงสัยหมอตื่นเช้ากว่าวันที่ไปทำงานเสียอีก 


    ห้องอาหารนักท่องเที่ยวคนเริ่มซาลง เพราะเลยช่วงให้บริการอาหารเช้าแล้ว  ที่เห็นนั่งกันอยู่มุมในสุดติดห้องครัวนั่น ก็บรรดาพนักงานรีสอร์ททั้งนั้น ส่วนใครบางคนที่นั่งโดดเด่นท่ามกลางหลายคนที่ยืนอยู่ คือพี่หมอของฉันเอง 
    “ป้าเห็นยายล้มป่วยแบบนั้น ป้ากลัวตัวเองจะเป็นแบบนั้นเข้าสักวัน”
    “ถ้าอย่างนั้น ต้องไปให้คุณหมอตรวจร่างกายนะคะ อย่างน้อยปีละครั้งก็ยังดี”

    เสียงหวานนั่งอธิบายประหนึ่งคุณหมอกำลังออกบรรยายนอกสถานที่ ยายของฉันแข็งแรงมาก แทบไม่เคยป่วยหนักเลยสักครั้ง อาการล้มลงของยายครั้งนี้เลยสร้างความตกใจให้กับหลายคนไม่น้อย 
    ฉันเดินเข้าไปใกล้ จนใครคนหนึ่งในกลุ่มที่นั่งอยู่หันมาเห็นฉันพอดี ตรงหน้าพี่หมอมีแก้วกาแฟใบเล็กวางอยู่ เจ้าตัวหันมาหาฉันตามเสียงทักของคนอื่น ก่อนจะส่งยิ้มอบอุ่นมาให้ 
    “มาแล้วนักเรียนของเรา” 
    นั่นคือคำแรกที่หมอทัก สาบานเลยว่าใส่ชุดนักเรียนมาสิบสองปี ไม่เคยรู้สึกไม่มั่นใจขนาดนี้มาก่อน ฉันมัดผมแล้วก็แกะออก แล้วก็มัดใหม่ วนวนอยู่แบบนี้สี่ห้ารอบ ยังไม่นับที่มานั่งเลือกโบว์ผูกผมอีก 
    หมอจะรู้ไหมว่าทำให้ฉันเป็นแบบนี้ 

    “เอาอะไรไปกินบนรถไหมลูก เดี๋ยวป้าตักข้าวผัดใส่กล่องไปให้” 
    ป้าแม่ครัวเดินลุกกลับเข้าไปในครัว ส่วนคนที่เหลือก็ทยอยแตกออกไปทำงานของตัวเองต่อ 

    “บอกให้คนอื่นรักษาสุขภาพแต่ตัวเองไม่กินข้าวเช้า”
    ฉันพูดลอยลอยขึ้นมา คนที่กำลังยกกาแฟขึ้นจิบชะงักค้าง ช้อนตาขึ้นมองฉันก่อนจะเผยรอยยิ้มที่มุมปาก 

    “ทำไงได้ มันติดเป็นนิสัยไปแล้ว ปกติพี่ก็กินกาแฟแค่แก้วเดียว”
    “ไม่มีใครทำให้กินล่ะสิ”
    “หรือน้องเอยจะทำให้พี่ล่ะ .. ถ้าเป็นน้องเอยทำให้ พี่สัญญาว่าพี่จะกินข้าวเช้าทุกวันเลย” 
    เป็นแบบนี้ทุกที เหมือนว่าจะชนะแล้วเกมก็พลิกแบบนี้ตลอด กระบวนการทำงานในสมองของพี่หมอมันเป็นยังไงกันนะ เห็นสวนกลับได้ทุกครั้ง

    “พี่หมอไปตามลุงนะมาหรือยัง”
    “ตามทำไม”
    “เอ้า ก็ลุงนะต้องลงไปส่งพวกเราไง”
    พี่หมอล้วงกุญแจรถจากในกระเป๋ากางเกงออกมาแกว่งเล่นกลางอากาศ ลืมบอกว่าวันนี้พี่หมอรวบผมข้างหลัง มัดเป็นหางเปียน้อย ทิ้งปอยผมข้างนอกให้ปรกลงเล็กน้อย เสื้อยืดคอวีสีน้ำเงินเข้มสวมทับเสื้อคลุมยาวคอปกสีน้ำตาลอ่อน 
    ไม่อยากสนใจหมอแต่ก็อดแอบสังเกตไม่ได้ทุกทีสิน่า 

    ข้าวผัดกล่องน้อยใส่ถุงพลาสติกพร้อมทานระหว่างทางจากป้าแม่ครัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว จากบ้านลงไปในตัวเมือง ปกติแล้วลุงนะใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงครึ่งด้วยซ้ำ แต่ลุงนะแกชำนาญทาง ขับขึ้นลงตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ แต่ว่าพี่หมอเนี่ยสิ .. วันนี้ฉันจะถึงโรงเรียนกี่โมง
    “พี่หมอเคยขับรถลงเขาเหรอ ทางมันโค้งนะ”
    “พูดแบบนี้เสียใจนะเนี่ย น้องเอยไม่ไว้ใจพี่เหรอ” 
    “ไม่ได้ไม่ไว้ใจ ก็ทางมันโค้งจริงๆ”
    “ก็ค่อยๆไปไง เหลือเวลาอีกตั้งเยอะ คงไม่มีหมามาตัดหน้ารถหรอกมั้งเนอะ”
    แล้วหมอก็ยักคิ้วใส่ฉัน ก่อนจะคว้ากระเป๋ากับกุญแจรถเดินตัวปลิวออกไปด้านนอก จะล้อเรื่องนี้ไปถึงไหนกัน สงสัยไม่มีเรื่องอื่นให้แซะแล้วมั้ง 




    รถกระบะคันใหญ่สีดำขับเคลื่อนลงไปตามทางลงเขา สวนกับรถรับส่งนักท่องเที่ยวอีกฝั่งหนึ่ง สองข้างทางโอบล้อมไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ รั้วที่ธรรมชาติสร้างขึ้นเพื่อกันเราออกห่างจากเหวลึกเบื้องล่าง 
    ท่าทีพี่หมอดูสบาย เหมือนกับเคยขับขึ้นลงมาหลายรอบแล้ว ได้ยินเสียงฮัมเพลงลอดออกมาด้วย อารมณ์ดีอะไรขนาดนั้น 

    “พี่หมอมีรถของตัวเองไหม”
    “มี แต่ไม่ใช่รถกระบะนะ ปกติพี่ขับซีอาร์วี” 
    “ทำไมพี่หมอไม่เอามาด้วย”
    “คิดว่าคงไม่ค่อยได้ใช้ อยู่แต่บนนั้นรถมอเตอร์ไซค์คงพอแล้ว ก็เลยจอดทิ้งไว้ที่คอนโด” 
    “พี่หมอมีคอนโดด้วยเหรอ” พี่หมอหัวเราะเล็กน้อยกับท่าทางตกใจของฉัน 
    “มีสิ อยากไปปะละ เดี๋ยวไว้พาไป”
    “ไม่ไปหรอก” 

    ฉันทำเป็นไม่สนใจ หันกลับมากินข้าวกล่องต่อ ถึงลึกลึกจะรู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อย ฉันนึกภาพพี่หมอในมาดคนเมืองไม่ออกเท่าไหร่ ภาพที่เห็นทุกวันก็คือหมอสะพายกระเป๋าเป้ แต่งตัวง่ายๆ ขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปทำงาน ตกเย็นก็มานั่งช่วยลุงนะทำต้นไม้บ้าง ช่วยยายทำกับข้าวบ้าง 
    พอได้ยินว่าพี่หมอมีรถ มีคอนโด แต่เลือกทิ้งทุกอย่าง ขึ้นมาอยู่ที่นี่ ความรักคงทำร้ายพี่หมอน่าดู

    ฉันชวนพี่หมอคุยเรื่องอื่นไปตลอดทาง ไม่รู้รำคาญฉันไหม แต่คงไม่หรอก เพราะฉันถามอะไรไปพี่หมอก็ตอบหมด แล้วจนถึงตอนนี้ พี่หมอก็ยังไม่กดรับเป็นเพื่อนในเฟซบุ๊กสักที ฉันเลยลองแยบๆถามหยั่งเชิงดู 

    “เพื่อนหนูถึงโรงเรียนกันแล้วพี่หมอ ถ่ายรูปลงเฟซกันเต็มเลย”
    “ไม่เจอกันนาน คงคิดถึงกันน่าดูเนอะ”
    ไม่ใช่แล้วหมอ ผิดประเด็นแล้ว 

    “ปกติตอนอยู่โรงเรียน เราชอบถ่ายรูปเล่นแล้วก็โพสแกล้งกัน สนุกดีอ่ะ พี่หมอเคยโดนเพื่อนแกล้งในเฟซแบบนี้ปะ”
    “ไม่เคยนะ ส่วนใหญ่พี่เป็นคนแกล้งมากกว่า” 
    หมอก็ยังผิดประเด็นเหมือนเดิม ฉันกำลังตั้งท่าจะตะล่อมต่อ แต่พี่หมอก็ดันเปลี่ยนเรื่อง ถามทางไปโรงเรียนขึ้นมา เพราะตอนนี้เราลงมาถึงตัวเมืองแล้ว 
    แผนของฉันก็เลยมีอันต้องพับไปชั่วคราว 



    โรงเรียนของฉันเป็นโรงเรียนประจำจังหวัด งงตัวเองเหมือนกันว่าทำไมตอนนั้นถึงสอบเข้ามาได้ พี่หมอขับรถเลี้ยวเข้ามาในโรงเรียน เด็กมัธยมต้นเริ่มทยอยกลับกันพร้อมกับที่เด็กมัธยมปลายกับผู้ปกครองกำลังเดินเข้ามา 
    เห็นแล้วก็ใจหาย อีกแค่ปีเดียวก็ต้องจบออกจากโรงเรียนแล้ว คิดถึงเพื่อน คิดถึงโรงเรียน ที่สำคัญ ยังไม่รู้เลยว่าจะเรียนอะไรต่อ รู้สึกเคว้งยังไงก็ไม่รู้สิ 
    ฉันพาพี่หมอไปที่ใต้ถุนอาคารเพื่อลงชื่อกับรับเอกสาร ภารกิจพี่หมอวันนี้ก็ไม่มีอะไรมาก พอรายงานตัวเสร็จ พี่หมอต้องเข้าไปฟังบรรยายประมาณสองชั่วโมง แล้วก็ไปห้องเรียนเพื่อพบอาจารย์ประจำชั้น รับใบเกรด กรอกเอกสารนิดหน่อยแล้วก็กลับได้ 
    เจ้าตัวกำลังก้มหน้าก้มตากรอกเอกสารบนโต๊ะ จู่ๆเพื่อนตัวดีของฉันก็โผล่มา

    “ไอ้ดอยยย” 

    ชื่อในวงการของฉันเอง พวกมันชอบล้อว่าฉันเป็นเด็กดอยเพราะบ้านอยู่บนเขา หลังๆคำว่าเด็กดอยคงยาวเกินไปสำหรับพวกมัน เลยตัดออกเหลือแค่ดอย 
    “มานานแล้วเหรอวะ”
    “กูเพิ่งมา ส่งพ่อเข้าห้องเย็นแล้ว”
    เพื่อนในห้องของฉันคนนี้ชื่ออ้อน อ้อนเป็นผู้หญิงตัวบาง ร่างเล็กแต่สูงมาก เป็นถึงดีกรีนักกีฬาวอลเลย์บอลของโรงเรียน 
    มะนาวเป็นเหมือนเพื่อนสายธรรมะ ส่วนไอ้อ้อนก็ถือว่าเป็นขั้วตรงข้าม เพราะถ้าให้ฉันอยู่แต่กับมะนาว ฉันคงเครียดตาย หรือถ้าอยู่กับไอ้อ้อนคนเดียว ชีวิตคงหาสาระไม่ได้เลยเหมือนกัน 
    “แม่มึงอยู่ไหนวะ” 
    มันทำท่าชะเง้อมองหาแม่ของฉัน ชะเง้อทั้งวันก็ไม่เจอหรอก คนข้างตัวยังก้มหน้าเขียนเอกสารอยู่ ฉันเองก็ลืมคิดไปเลยว่าจะแนะนำพี่หมอยังไง เป็นญาติหรือก็ไม่ เป็นพี่ที่รู้จักกัน แล้วมาเป็นผู้ปกครองได้ยังไง แถมไอ้อ้อนยังไม่รู้จัก เดี๋ยวก็ถามซอกแซกอีก 
    “แม่มึงไปเข้าห้องน้ำเหรอ” 
    “แม่กูไม่ได้มา พอดียายไม่สบาย แม่เลยต้องอยู่ดู”
    “อ่าว แล้วมึงมากับใคร มากับลุงเหรอวะ” 
    “เอ่อ ..”
    “มากับพี่ค่ะ”

    ฉันตกใจหันไปหาอีกคนทันที ไม่รู้ว่าเขียนเอกสารเสร็จตั้งแต่เมื่อไหร่ เจ้าตัวรับเอกสารมาถือไว้ในมือ ก่อนจะขยับพวกเราให้ออกห่างจากโต๊ะ คนข้างหลังจะได้เคลียร์เอกสารต่อ
    ไอ้อ้อนกระตุกชายกระโปรงฉันยิกยิก รู้เลยว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ 
    “คนนี้พี่ปั้น เป็นเอ่อ .. เป็นญาติห่างๆ พอดีแม่ไม่ว่าง พี่เขาเลยมาแทน” 
    “ญาติห่างๆเลยเหรอ ..”
    พี่หมอแกล้งทำเสียงเศร้า ทำคอตก โคตรไม่น่าสงสารเลย น่าตีมากกว่า จะให้แนะนำว่าอะไรเล่า 
    “พี่ปั้น คนนี้อ้อน เพื่อนสนิทในห้องหนูเอง” 
    ไอ้อ้อนยกมือไหว้พี่หมอ ส่วนอีกคนก็รีบยกมือขึ้นรับไหว้ ฉีกยิ้มกว้างตอบสไตล์หมอ 
    “นึกว่าน้องเอยมีเพื่อนแค่มะนาวคนเดียวเสียอีก” 
    “พี่หมอ หนูก็ไม่ได้นิสัยแย่ขนาดนั้นปะ” 
    “แล้วพี่ต้องไปทางไหนต่อ” 
    “ไปห้องประชุม เดี๋ยวหนูพาไป”
    ฉันมัวแต่สนใจพี่หมอ หันไปอีกที เพื่อนอ้อนยืนนิ่งไปเลย ปกติเห็นพูดมาก พูดไม่หยุด แต่ตอนนี้มันเอาแต่มองหน้าหมอ คนโดนมองก็ไม่ได้สนใจ ยืนอ่านเอกสารในมืออยู่นั่น 

    ฉันปล่อยเพื่อนไว้ตรงนั้น เดินพาพี่หมอมาส่งที่ห้องประชุม ลอบมองจากตรงนี้ พี่หมอก็ยังคงนั่งอ่านเอกสารอย่างตั้งใจระหว่างรอการบรรยาย ถ้าลองเป็นแม่หรือไม่ก็ลุง เอกสารพวกนั้นแทบโยนส่งมาให้ฉันเก็บทันทีที่ได้มาเลยด้วยซ้ำ 



    ฉันยังคงนั่งอยู่ไม่ไกลจากห้องประชุมพอให้ได้เห็นหมอ ทั้งที่ทุกครั้ง พอส่งแม่เสร็จ ฉันก็หายเข้ากลีบเมฆไปกับเพื่อนแล้ว 
    พี่หมอดูอายน้อยสุดแล้วในบรรดาผู้ปกครองที่นั่งอยู่ในห้องประชุม แค่มาแทนแม่ แต่พี่หมอกลับดูตั้งใจกว่าแม่อีก เจ้าตัวขมวดคิ้วเป็นปมตอนที่ฟังการบรรยาย เหมือนว่าคิดตามไปด้วย บางครั้งก็หันไปคุยกับผู้ปกครองคนข้างๆ 
    เห็นแล้วมันชื่นใจยังไงก็ไม่รู้ 
    “เขาเป็นหมอเหรอมึง”
    “เออ ย้ายจากกรุงเทพไปอยู่โรงพยาบาลข้างบน”
    “อายุเท่าไหร่มึง”
    “สามสิบนิดๆ”
    “โสดไหมมึง”
    ดูเหมือนไม่ใช่แค่ฉันที่กำลังมองหมออยู่ บุคลิกอ้อนภายนอกดูเหมือนผู้หญิงห้าวๆธรรมดาทั่วไป ตามสไตล์ผู้หญิงสายสปอร์ต แต่จริงๆแล้วกลับมีความหวานอยู่ในตัวมาก ถึงแม้คำพูดคำจาจะดูห้าวเป้งก็เถอะ
    อ้อนเป็นเลสเบี้ยน เคยแอบเป็นแฟนกับรุ่นพี่ในชมรมกีฬาด้วยกัน แต่ตอนนี้เลิกกันไปแล้ว เพราะแฟนดันไปเผลอใจให้หญิงอื่น สรุปทั้งฉันกับเพื่อน อกหัก ชีวิตรักล้มเหลวทั้งคู่ 
    ฉันคิดไว้อยู่แล้วว่าถ้าเพื่อนอ้อนเจอหมอมันต้องคลั่งแน่ ขนาดคนที่มองผู้ชายมาตลอดอย่างฉันยังหวั่นไหวซะขนาดนี้ 
    “เพิ่งโสด”
    “แฟนเก่าเขาเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายวะ”
    “ผู้ชาย”
    จบเกมสิบคำถามสามตัวช่วยแต่เพียงเท่านี้ เพื่อนอ้อนแสดงอาการเซ็งหนัก ยัดลูกชิ้นเข้าปากอย่างไม่สบอารมณ์ จริงสิ ฉันลองถามมันดีไหม ว่าอาการที่ฉันเป็นอยู่มันคืออะไรกันแน่ บางที ฉันอาจคิดไปเองเรื่องหมอ อาจแค่ปลื้ม ไม่ได้รู้สึกชอบก็ได้
    “อ้อน สมมตินะ สมมติว่ากูชอบผู้ชายมาตลอด ไม่เคยมองผู้หญิงเลย มึงว่ากูมีโอกาสจะหวั่นไหวกับผู้หญิงได้ไหมวะ” 
    “ไอ้ดอย อย่าบอกนะ ว่ามึงหวั่นไหวกับพี่เขา”
    “ไอ้บ้า เขาเป็นญาติกู .. กูแค่สมมติเฉยๆ”
    ฉันร้องเสียงหลงใส่มันทันที ถ้าจะรู้ทัน มองออกทะลุปรุโปร่งขนาดนี้ เพื่อนอ้อนยัดลูกชิ้นเข้าปากอีกหนึ่งลูก ก่อนจะเทคำถามของฉัน

    “มึงรู้ไหม เรื่องเศร้าของผู้หญิงที่ชอบผู้หญิงด้วยกันคืออะไร”
    “มึงยังไม่ตอบคำถามกูนะอ้อน ถ้าเผื่อมึงลืม”
    “เดี๋ยวสิ กูเกริ่นอยู่ ฟังก่อน .. มันเศร้าตรงที่ว่า มึงไม่มีทางรู้เลยว่า ผู้หญิงคนที่มึงชอบ เขาจะชอบผู้หญิงเหมือนกันไหม รับเรื่องนี้ได้หรือเปล่า สุดท้าย แม่งก็ตันอยู่แค่ชอบ ไม่กล้าถลำไปมากกว่านั้น” 
    “นี่มึงตอบคำถามกูแล้วเหรอ”
    “ยัง” 
    ชีวิตฉันจะได้มีเพื่อนปกติธรรมดาเหมือนคนอื่นเขาบ้างไหม

    “คนเราแม่งชอบจำกัดกันไปเองว่า ผู้ชายต้องชอบผู้หญิง ผู้หญิงต้องชอบผู้ชาย สร้างกฎเกณฑ์โง่ๆที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นคนตั้ง ผู้ชายที่ชอบผู้หญิงมาตลอด พอเกิดหวั่นไหวกับผู้ชายด้วยกันขึ้นมา ก็ดันคิดเยอะ คิดลึก คิดซับซ้อน.. ไม่ยอมรับความรู้สึกตัวเอง แล้วก็ปล่อยทุกอย่างผ่านไป” 
    ผู้ปกครองในห้องเริ่มทยอยเดินกันออกมาแล้ว พี่หมอเองก็กำลังเดินออกมาแล้วด้วย เจ้าตัวกำลังควักโทรศัพท์จากกระเป๋าขึ้นมากดโทรออก 
    “ชอบก็แค่ชอบเปล่าวะ เพราะเป็นคนนี้ เพราะเป็นเขาที่เราชอบ .. คิดแค่นี้ก็พอแล้วมึง” 
    เพราะเป็นเขาที่เราชอบเหรอ 

    “กูบอกว่ากูสมมติ”
    “จ๊ะ เรื่องของมึงเถอะ กูไปรับพ่อแล้ว เจอกันที่ห้อง” 




    “น้องเอยอยู่สายวิทย์ใช่ไหม ดีเลยนะ เปิดเทอมปุ๊บ โรงเรียนจะมีจัดติวข้อสอบเข้ามหาลัยให้หลังเลิกเรียน พี่ว่าดีเลย แล้วเหมือนเขาจะมีโปรแกรมแนะแนวให้พิเศษด้วยนะ มีให้ทำแบบทดสอบด้วย ว่า จริงๆแล้วเราถนัดด้านไหน” 
    พี่หมอพูดไปตลอดทางระหว่างที่เรากำลังเดินเข้าอาคารเรียน มันทำให้ฉันนึกไปถึงประโยคแรกที่แม่พูดหลังออกมาจากห้องประชุม

    พูดอะไรนักก็ไม่รู้ ยาวเหลือเกิน วันหลังม๊าเซ็นชื่อเสร็จแล้วออกมารอข้างนอกเลยได้ไหม 

    ท่าทางออกความคิดเห็นอย่างจริงจังของหมอ ทำเอาฉันนึกอิจฉาตัวเองที่มีพี่หมออยู่ข้างๆ ความกระตือรือร้นของพี่หมอทำให้ฉันสัมผัสได้ว่า พี่หมอไม่ได้แค่มาแทนแม่เท่านั้น แต่พี่หมอจริงจังกับเรื่องของฉัน 
    น่ารักขนาดนี้ ไม่ให้หลงรักได้ยังไงกัน 


    ฉันพาพี่หมอไปนั่งที่โต๊ะนักเรียนประจำ แน่นอนระดับฉันแล้ว ไม่มีทางไปนั่งข้างหน้าหรอก แอบหลับยากจะตาย
    “ว่าแล้วว่าเป็นเด็กหลังห้อง” 
    “หลังห้องก็ตั้งใจเรียนนะ” 
    พี่หมอทำหน้าทำตาล้อเลียนฉัน ก่อนเจ้าตัวจะหยิบทิชชู่ในกระเป๋าขึ้นมาซับเหงื่อบนกรอบหน้าตัวเอง ขี้ร้อนใช้ได้เหมือนกันนะหมอ 
    “ดอย เอาเอกสารให้พี่ด้วยค่ะ”
    เพื่อนอีกคนของฉัน เดินมาแจกเอกสารให้ถึงโต๊ะ มันชื่อโป้ โป้เป็นมนุษย์เพศชายรูปร่างอวบ เป็นหัวหน้าห้อง เป็นเพื่อนสนิทของฉันอีกคน และใช่ ใจของนางไม่ใช่ผู้ชาย  
    โป้เป็นพวกสายกิจกรรม ตั้งแต่ผู้อำนวยการยันภารโรง ทุกคนรู้จักมันหมด มันเป็นคนเรียนเก่ง หัวไว แต่ติดเล่น ติดกิจกรรมไปหน่อย เลยพลัดหลงมาอยู่ห้องบ๊วย 
    เห็นไหมล่ะ เพื่อนแต่ละคน ไม่แปลกจริงฉันไม่คบหรอกนะ 

    “เกรดก็ไม่ขี้เหร่นี่”
    “ก็บอกแล้วว่าตั้งใจเรียน”
    “ทำไมชีวะได้น้อยจัง”
    “ก็หนูขี้เกียจท่อง”
    “เหมือนพี่เลย”

    พี่หมออมยิ้มเล็กน้อย นั่งพิจารณาใบเกรดของฉันทีละวิชา ถ้าเป็นแม่เหรอ แม่ดูแค่เกรดเฉลี่ยรวม ถ้าไม่ต่ำกว่าสาม แม่ก็พับแฟ้มปิดแล้ว 
    “พี่ต้องเซ็นตรงไหนอีกไหม”
    ฉันชี้ให้พี่หมอเซ็นตรงช่องของผู้ปกครอง พี่หมอต้องกรอกพวกเอกสารส่วนตัวเพิ่มอีกนิดหน่อย เสร็จแล้วฉันเลยรวบทั้งหมดไปยื่นให้ไอ้หัวหน้าห้อง 

    “ญาติหน้าตาดีนะดอย เชื้อคงห่างน่าดู”
    แหงสิ คนละพ่อคนละแม่ พ่อฉันไม่ได้จมูกโด่ง คิ้วดกแบบพี่หมอนี่ ฉันขี้เกียจต่อปากต่อคำกับมัน เลยเดินกลับมาหาพี่หมอที่โต๊ะ ตอนนี้เพื่อนอ้อนพาพ่อของมันมานั่งข้างหมอแล้ว 

    “ดีออกนะคะ น้องชอบกีฬา เดี๋ยวนี้นักกีฬาเก่งๆ แข่งแต่ละทีได้เยอะเลยนะ”
    “มันจะมั่นคงเหรอหมอ จะเล่นกีฬา ลุงไม่เคยหวงหรอก แต่ลุงอยากให้อ้อนมันเรียนอะไรจริงจังกว่านี้” 
    “เอาตามที่น้องชอบดีกว่าค่ะ ทำอะไรที่อยากทำ ยังไงก็มีความสุขกว่านะคะ” 
    ดูสิ ดูทัศนคติของหมอ หมอเคยทำให้ใครเกลียดบ้างไหม 

    อาจารย์เข้ามาพูดเรื่องการเตรียมตัวเปิดเทอม แล้วก็ปล่อยให้กลับบ้านได้ ฉันขอแยกตัวจากเพื่อนสองหน่อออกมาตามทางเดินเชื่อม พี่หมอบ่นหิว ฉันเลยต้องพาไปโรงอาหาร หาอะไรเติมพลังให้หมอเสียหน่อย 
    หมอกินมาแต่กาแฟ แถมลากยาวสมบทบาทเป็นผู้ปกครองจำเป็นเกือบสามชั่วโมง ไม่หิวก็แปลกแล้ว

    แล้วหัวใจของฉันก็กระตุกวูบทันทีเมื่อเจอใครคนนั้น
     
    พี่ตั้ม พี่มอหก ประธานนักเรียนสุดหล่อขวัญใจของฉัน เจ้าของขวดโหลที่เหยียบย่ำดาวกระดาษของฉัน เดินออร่าพุ่งมาจากอีกฝั่งหนึ่ง ก่อนจะเดินผ่านฉันไป 
    มันก็ถูกแล้ว ก็พี่เขาไม่รู้จักฉันสักนิด 
    ความรู้สึกเก่าๆเริ่มถาโถมเข้ามา อาการใจสั่นเวลาพี่เขาเดินผ่าน คอยแอบไปมองหาตามห้องเรียน แอบไปนั่งกินข้าวโต๊ะข้างกัน ไปนั่งให้กำลังใจพี่เขาตอนเล่นบาสก็ทำมาแล้ว 

    “น่ากินไปหมดเลย เลือกไม่ถูก” 
    พี่หมอดูตื่นตาตื่นใจกับโรงอาหาร ก่อนจะทิ้งฉันยืนอยู่คนเดียว เจ้าตัวพุ่งออกไปหาอะไรกินตามร้านแล้ว 

    ฉันหันมองตามพี่ตั้มที่เดินเลี้ยวออกไปด้านอื่นแล้ว
    ทั้งๆที่พี่ตั้มแทบไม่ได้ทำอะไรให้ฉันเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีฉันอยู่ในโรงเรียนนี้ แต่ฉันกลับหวั่นไหว หลงหัวปักหัวปำ แล้วเทียบกับพี่หมอ เทียบกับสิ่งที่พี่หมอแสดงออกกับฉัน .. 

    ชอบก็แค่ชอบเปล่าวะ เพราะเป็นคนนี้ เพราะเป็นเขาที่เราชอบ .. คิดแค่นี้ก็พอแล้วมึง
    เพราะว่าเป็นพี่หมอไง ฉันถึงได้ชอบ คิดแค่นี้ก็พอแล้วมั้ง 



    วงแหวนดาวเสาร์.


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×