ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    แย่แล้ว .. เผลอหลงรักคุณดาวเสาร์ (Yuri) - End

    ลำดับตอนที่ #16 : หัวใจติดปีก | Rewrite

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 781
      104
      25 ก.ค. 62



    เจออีกแล้ว 
    เราต้องเดินเลียบสนามบาสกลางแจ้งของโรงเรียนเพื่อไปที่จอดรถ พี่ตั้มยืนคุยอยู่กับเพื่อนตรงปลายทางนั้น ถึงแม้ในใจจะไม่คิดอะไรแล้ว ฉันก็ยังรู้สึกแปลกๆทุกครั้งที่ต้องเดินผ่านพี่เขา 
    ความเร็วในการเดินของฉันลดช้าลง พี่หมอเองก็คงรู้สึกถึงได้ผ่อนความเร็วลง ฉันมองเข้าไปในสนาม แดดของบ่ายแก่ๆช่วงสี่โมงเย็นเริ่มสาดลงมา เด็กนักเรียนผู้ชายกลุ่มหนึ่งกำลังเล่นบาสอยู่ในสนาม ตรงอัฒจันทร์มีผู้หญิงอีกกลุ่มนั่งอยู่ 
    ฉันเองเคยแอบมานั่งดูพี่ตั้มเล่นบาสหลังเลิกเรียนอยู่หลายครั้ง สาวๆหลายคนก็เป็นแบบฉัน เราก็แค่ชอบที่จะแอบมองอยู่ตรงนั้น ถึงแม้บางครั้งจะอยากตะโกนให้เขาได้รู้ตัวบ้าง
    เปิดเทอมหน้า ฉันคงไม่มานั่งดูใครเล่นแบบที่ผ่านมาแล้ว 
    “พี่หมอรีบกลับไหม” 
    “พี่ยังไงก็ได้ น้องเอยมีอะไรไหม” 
    “เข้าไปนั่งเล่นในสนามกัน”
    “เอาสิ”

    ถึงจะตอบแบบนั้น แต่พี่หมอก็ยังดูงงๆกับท่าทางของฉัน แต่ก็ยอมเดินตามเข้าไปในสนาม
    ฉันพาพี่หมอไปนั่งบนอัฒจันทร์ ตรงบริเวณที่แดดยังส่องมาไม่ถึง พี่หมอนั่งเอาข้อศอกวางลงตรงเข่า สองมือประสานกัน โน้มตัวไปข้างหน้า มองเด็กที่เล่นกันอยู่ในสนาม 
    บรรยากาศในโรงเรียนเงียบกว่าปกติ ลมเย็นพัดผ่านเราสองคน ฉันมองจากหางตา พี่ตั้มยังยืนอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน 

    “เล่นกีฬามั่งหรือเปล่าน้องเอย”
    “หนูเล่นอะไรไม่ค่อยเป็น”
    กีฬาทุกชนิดไม่สามารถเอาชนะฉันได้เลย ฉันเล่นอะไรไม่เก่งสักอย่าง คะแนนวิชาพละคือง่อยมาก 

    “สมัยเรียนพี่เล่นบาสด้วยนะ เคยเป็นทีมโรงเรียนด้วย”
    “พี่หมอจะเก่งทุกอย่างไม่ได้นะ”
    “ก็ไม่ได้เก่งทุกอย่าง พับดาวไง ทุกวันนี้ยังเบี้ยวอยู่เลย”
    “พี่หมอยังพับอยู่อีกเหรอ”
    “อื้ม อยากพับให้สวยๆแล้วเอาไปอวดน้องเอย แต่มันยังดูขี้เหร่อยู่เลย” 
    พี่หมอหัวเราะออกมา สายตาก็มองไปที่สนาม เลยไม่ได้สังเกตเห็นว่าคนข้างตัวยังฉันกำลังนั่งมองเสี้ยวหน้าของหมออยู่ 
    “หนูไม่ชอบเล่นกีฬา แต่ชอบมาดูเขาเล่นกัน”
    “แหน่ะ แอบมาให้กำลังใจใครหรือเปล่า” 
    พี่หมอหันมาแซวฉัน แล้วคงคิดว่าฉันต้องโวยวายกลับ เรื่องจริงที่พี่หมอเผลอพูดออกมาทำเอาฉันนิ่งไป ก่อนจะหันมองผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างนอกนั้น 
    ดูเหมือนพี่หมอเองกำลังมองไปทางเดียวกับที่ฉันมอง

    “น้องเอย ..”
    พี่หมอเรียกชื่อฉัน คงไม่รู้จะพูดอะไรดี ไม่รู้ทำไม ฉันถึงนึกอยากเล่าเรื่องนี้ให้หมอฟัง 

    “หนูเคยแอบชอบรุ่นพี่คนหนึ่ง เขาชอบมาเล่นบาสทุกวันหลังเลิกเรียน หนูก็แอบมาดูพี่เขาทุกวันเลย” 
    ฉันละสายตาจากพี่ตั้มหันมามองหน้าหมอสลับกับสนามบาสเบื้องหน้า 

    “บางทีนะ หนูอยากตะโกนเชียร์เขาดังดัง ให้เขารู้ตัวว่ามีหนูอยู่ตรงนี้ แต่หนูก็ไม่กล้า” 

    “ดาวกระดาษนั่น หนูก็เคยตั้งใจพับใส่ขวดโหลให้พี่เขา แต่ยังไม่ทันได้ให้ หนูก็ดันซุ่มซ่าม ทำขวดโหลแตกหมด” 
    “แล้วสรุปน้องเอยได้ให้พี่เขาไปไหม”
    ฉันส่ายหัวแทนคำตอบ 

    “จริงๆขวดแตกไปแบบนั้นอาจจะดีแล้วก็ได้ อีกอย่างหนึ่ง ตอนนี้หนูก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับพี่เขาแล้ว” 
    ยังไม่ทันจบประโยคของฉันดี เสียงกลุ่มเด็กผู้หญิงตรงนั้นก็กรีดร้อง ส่งเสียงเชียร์คนในสนามดังลั่นจนฉันต้องแอบเบะปากใส่

    “เวลาหนูเห็นพวกผู้หญิงมานั่งเชียร์แฟนตัวเอง หนูโคตรรำคาญเลย ไม่รู้จะอะไรนักหนา” 
    “พาลนะเราน่ะ” 
    “ก็จริงอะ กรี๊ดๆกันอยู่ได้ กลัวเขาไม่รู้เหรอไงว่าเป็นแฟนกัน ชิ” 
    พี่หมอหัวเราะร่วนกับคำพูดของฉัน แล้วเจ้าตัวก็ทำหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ ก่อนที่ร่างสูงจะลุกขึ้นยืนพร้อมกับถอดเสื้อคลุมออก ฉันรับเสื้อคลุมหมอมากอดไว้ หมอร้อนเหรอ หรือยังไง .. 

    “ถ้าพี่ลงไปเล่น น้องเอยจะเชียร์พี่ไหม”
    “หะ” 
    พี่หมอจัดแจงถอดนาฬิกา ถอดแหวน ดึงยางรัดผมออก ก่อนจะรวบเก็บผมใหม่อีกครั้ง แล้วก็เดินลงจากอัฒจันทร์ ฉันยังจับต้นชนปลายไม่ถูก เรานั่งคุยกันอยู่ดีดี แล้วหมอก็จะลงไปเล่นกับเด็กในสนามเนี่ยนะ 

    “เดี๋ยวๆ พี่หมอจะลงไปเล่นจริงๆเหรอ”
    ฉันร้องทักพี่หมอ เจ้าตัววิ่งลงไปได้สามขั้น ก่อนใบหน้าคมนั้นจะหันกลับมาส่งยิ้มกว้าง 
     
    “เชียร์ดังๆนะ” 

    รู้แล้วว่าพี่หมอคิดอะไรอยู่ ฉันพาตัวเองหอบข้าวของลงไปนั่งขั้นล่างสุด เยื้องกับผู้หญิงพวกนั้น พี่หมอเดินเข้าไปกลางสนาม คุยอะไรบางอย่างกับเด็กพวกนั้น 
    หมอจับทีมคู่กับผู้ชายอีกสองคน แยกกันทีมละสามคน ก่อนหมอจะหันมาโบกมือให้ฉันแล้วเริ่มเล่น

    ให้ตายสิหมอ หมอไม่ได้แค่เล่นเป็น นี่มันขั้นเทพแล้ว 
    ทุกครั้งที่หมอได้ลูก ตาของหมอจะดุดัน เพ่งตรงไปที่แป้นบาส ฉันพอรู้ว่าพี่หมอเป็นคนจริงจังกับทุกเรื่อง แล้วฉันก็ชอบพี่หมอในโหมดนี้มากด้วยสิ 
    ฝั่งนั้นได้ลูกไม่เท่าไหร่ พี่หมอก็เข้าไปตะครุบวงในแย่งออกมาได้เสมอ 

    พี่หมอได้ยินที่ฉันบอกว่า ไม่กล้าส่งเสียงเชียร์ใคร พี่หมอคงอยากให้ฉันได้ทำในสิ่งที่อยากทำมานานแล้ว 

    “พี่หมอสู้ๆ สู้ๆ นั่นแหละ ชู๊ตเลยๆ”
    พี่หมอหันมาหัวเราะให้ฉันด้วย เสียงของฉันดังกว่าพวกผู้หญิงสี่ห้าคนนั้นรวมกันเสียอีก ให้มันรู้บ้างว่าใครเป็นใคร 
    คนที่เล่นทีมเดียวกับพี่หมอดูท่าจะชอบพี่หมอมาก แถมลีลาหมอตอนทำแต้มก็เท่เกินบรรยาย ถ้าเพื่อนอ้อนมาเห็นตอนนี้ รับรองว่ากระอักเลือดตาย
    กรอบหน้าพี่หมอมีแต่เหงื่อผุดขึ้น บางครั้งที่เจ้าตัวรำคาญผมตัวเอง ก็จะรีบดึงหนังยางรวบผมใหม่ทุกครั้ง ไม่ก็เอามือปาดเหงื่อตัวเอง หมดคราบคุณหมอมาดนิ่งยิ้มหวานไปเลย 

    “สุดยอดดดด พี่หมอ สุดยอดดดด แย่งมาๆๆ ชู๊ตเลย เย่”
    พี่หมอหันมาชูนิ้วโป้งให้ฉัน พลังเดซิเบลของฉันน่ะ ไม่มีใครสู้ได้หรอก และเพราะเสียงเชียร์ที่ดังสนั่นหวั่นไหวของฉัน ทำให้พี่ตั้มที่ยืนอยู่ข้างนอกต้องหันมาดู ชายหนุ่มมองเลยจากสนามมาเห็นฉันที่กำลังแหกปากอยู่ 
    นี่อาจเป็นครั้งแรกก็ได้ที่พี่ตั้มมองเห็นฉัน แต่มันสายไปแล้วล่ะ คนที่เล่นบาสขึงขังอยู่ในสนามนั่นต่างหากที่กำลังขโมยหัวใจของฉันไปแทน





    “พี่เล่นโคตรเก่งเลย ว่างๆมาเล่นด้วยกันอีกนะพี่” 
    “ได้เลย ไว้มาแน่ เจอกันๆ”

    พี่หมอซัดไปเกือบชั่วโมง เอาจนฉันแสบคอแทบไม่มีเสียงตะเบ็งออกมาแล้ว แสงแดดยามบ่ายแก่ๆเริ่มหมดไปทุกที รอบตัวเราในสนามตอนนี้ไม่มีใครอยู่แล้ว พี่ตั้มกลับไปตั้งแต่ตอนไหนฉันก็ไม่ทันสังเกตเหมือนกัน 
    นักกีฬาคนเก่งกำลังนั่งหมดแรงกลางสนามบาส กระดกน้ำเข้าไปรวดเดียวเกือบครึ่งขวด เหงื่อซึมเต็มหน้า เปียกไปทั้งตัว ฉันเองก็มานั่งแหมะอยู่ข้างหมอกลางสนามเหมือนกัน หมอไม่มีแรงแม้แต่จะเดินกลับไปนั่งที่อัฒจันทร์ 
    “ตอนเล่นนะอย่างเท่ ดูตอนนี้ดิ” 
    “เท่ตอนเล่นก็พอแล้ว” 
    ฉันอดแลบลิ้นใส่หมอไม่ได้ ยอมใจในความถ่อมตัวที่มีอยู่น้อยนิดของหมอเหลือเกิน 

    “เหนื่อยแบบนี้ ขับรถไหวไหมพี่หมอ” 
    “ไหวๆ แต่ต้องพาพี่ไปหาอะไรกินก่อนนะ ที่กินมาตะกี๊หมดแล้วอ่ะ”  
    พี่หมอซัดน้ำเข้าไปเพิ่มอีกจนเกือบหมด ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา แล้วก็หัวเราะเมื่อเห็นว่าฉันมองท่าทางนี้อยู่ 
    “อายุก็ไม่น้อยแล้วไง มันก็ต้องมีเหนื่อยกันบ้าง” 
    “แล้วใครให้เล่นตั้งชั่วโมงนึงล่ะ เล่นแปบเดียวก็พอแล้ว” 
    “ได้ยินคนเชียร์เสียงดังแล้วมันมีกำลังใจ” 
    ฉันหันไปมองทางอื่นทันที เพราะรู้ว่าหมอหมายถึงใคร 

    “ขอบคุณนะที่เล่าเรื่องนี้ให้พี่ฟัง” 
    มันคงเหมือนการปลดล็อคบางอย่างภายในใจ เพราะจากนี้ไปผู้ชายคนนั้นคงไม่มีความหมายอะไรแล้ว 

    “พี่ก็.. มีอะไรอยากบอกน้องเอยเหมือนกัน” 
    พี่หมอเขยิบมานั่งใกล้ฉันมากขึ้น เจ้าตัวชันเข่าขึ้น เสียงทุ้มละมุนเริ่มต้นพูด

    “แฟนเก่าพี่กำลังจะแต่งงาน”
    “หะ แต่งงาน แต่งได้ยังไง ก็เขาเพิ่งเลิกกับพี่หมอไม่ใช่เหรอ”
    “เขาก็คงคุยกันมานานแล้วมั้ง”
    ฉันจำได้แล้ว คืนนั้นที่หมอร้องไห้หนักมาก พี่หมอต้องเพิ่งรู้เรื่องตอนนั้นแน่เลย นี่มันยิ่งกว่าการนอกใจกันอีกนะ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ พี่หมอยังยิ้มปกติอยู่ได้ยังไงกัน

    “นานไปพี่ก็รู้สึกว่าพี่ทำใจได้มากขึ้น ถึงจะยังเจ็บอยู่ .. แต่พี่ก็ไม่ร้องไห้แล้ว” 
    “ถ้าหนูเป็นพี่หมอ หนูคงทำใจไม่ได้แน่”
    “ประสบการณ์จะทำให้เราจัดการมันได้ น้องเอยยังเด็กอยู่ เดี๋ยวพอโตขึ้น น้องเอยก็จะเข้าใจ” 

    ตั้งแต่ที่พี่หมอตัดสินใจลุกไปเล่นบาสเพื่อปลอบใจฉัน หรือแม้แต่ยอมเล่าเรื่องที่แสนเจ็บปวดของตัวเอง ก็เพื่อให้ฉันรู้สึกดีขึ้น หมอจะรู้ไหม จริงๆหมอแทบไม่ต้องทำอะไรเลย แค่หมออยู่ตรงนี้ .. ฉันก็ไม่ต้องการอะไรแล้ว 

    “อยากเห็นหน้าแฟนเก่าพี่ไหม”

    หมอเสียเหงื่อมากเกินไปหรือยังไงถึงกับยอมให้ฉันเห็นหน้าแฟนเก่าตัวเอง แฟนเก่าของหมอที่ฉันได้แต่จินตนาการอยู่ในหัว โอกาสทองขนาดนี้ ไม่ดูก็โง่แล้ว
    “จริงๆ หนูก็ไม่ได้อยากดูนะ แต่ถ้าพี่หมอให้ดู ดูก็ได้” 
    ถึงข้างในเราแทบอยากกระโจนไปแย่งโทรศัพท์หมอมาเปิดเสียเอง แต่ชั้นเชิงมันต้องมี จะมาทำเป็นอยากดูให้เสียมาดได้ยังไงเล่า 
    พี่หมอยิ้มน้อยๆ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด ก่อนจะยื่นมาให้ฉันที่รู้ตัวเลยว่ามือที่กำลังเอื้อมไปรับโทรศัพท์มาสั่นแค่ไหน

    ในภาพ เป็นผู้ชายกับผู้หญิงสองคนถ่ายคู่กันในร้านอาหารสักที่ ผิดคาดจากที่ฉันคิดไปเสียถนัด ฉันจินตนาการไว้ว่าแฟนหมอน่าจะหงิมๆ ซื่อๆ หากแต่กลับไม่ใช่เลย 
    ผู้ชายในภาพดูเป็นผู้ชายมาดขรึม ไว้หนวดจางๆ กล้ามเป็นมัดมัด ทรงผมที่ถูกตกแต่งอย่างดี ทั้งเสื้อผ้า นาฬิกาที่ใส่ ดูก็รู้ว่าเป็นผู้ดีมีเงิน
    ส่วนผู้หญิง ขอเดาว่าเป็นคนที่มาแย่งแฟนของหมอไป พูดกันแบบตรงตรง ผู้หญิงคนนี้ดูดีกว่าหมอ หน้าตาท่าทางดูเชิดๆรั้นๆ สายเดี่ยวสีครีมรับกับผมยาวตรงสีน้ำตาลเข้มที่ถูกรวบมาไว้ข้างเดียว เผยให้เห็นลำคอยาวระหง 
    สวย นั่นคือคำเดียวที่คิดได้ แล้วตัดภาพมาที่พี่หมอสิ 
    เหงื่อเปียกซก ป่านนี้แล้วยังนั่งหอบอยู่เลย ฉันต้องพูดอะไรก็ได้เพื่อให้กำลังใจหมอ 
    “แฟนเก่าพี่หมอก็โอเคนะ แต่ผู้หญิงคนที่มาแย่งแฟนหมอเนี่ยสิไม่เห็นสวยเลย ท่าทางดูหยิ่งๆ ดูเป็นพวกลูกคุณหนู แต่งตัวสวยไปวันวัน ดูท่าทางเอาแต่ใจด้วย หนูว่าพี่หมอดีกว่าเยอะ”
    พี่หมอหัวเราะรับกับคำพูดฉัน ลึกลึกพี่หมอก็สะใจเหมือนกันใช่ไหมล่ะ 

    “น้องเอย .. “

    “ผู้หญิงคนนั้น .. แฟนเก่าพี่เอง” 



    “….”


    หะ 
    อะไรนะ 

    ฟะ แฟนเก่าหมอเป็น  .. ผู้หญิง 


    พะ  พี่หมอ พี่หมอ ชอบผู้หญิงเหรอ 

    “………”
    ทุกอย่างในหัวตอนนี้ขาวโพลนไปหมด ฉันอ้าปากค้าง มือที่จับโทรศัพท์นิ่งค้างอยู่กลางอากาศ 
    นาทีนี้ฉันต้องการใครสักคนเข้ามาจัดระเบียบความคิดของฉัน หรือไม่ก็สั่งให้เสียงในหัวที่มากกว่าร้อยเสียงหยุดพูดสักที
    ทุกอย่างในหัวถูกกรอกลับไปหมดตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอหมอ ฉันไม่เคยคิดว่าแฟนเก่าพี่หมอจะเป็นผู้หญิง พี่หมอไม่เคยพูด ฉันคิดไปเอง จินตนาการไปเองหมดทุกอย่าง 
    ฉันจะทำยังไงดี ฉันต้องทำยังไง สมองฉันเหมือนกำลังจะระเบิด หัวใจของฉันด้วย มันกำลังติดปีก อยากลอยออกไปหาพี่หมอจะแย่อยู่แล้ว 

    พี่หมอค่อยๆเอื้อมมือมาหยิบโทรศัพท์ออกไปจากมือฉันที่ยังคงค้างนิ่งอยู่แบบนั้น ฉันกระพริบตาปริบๆ ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามองพี่หมอ หัวใจข้างในกำลังเต้นแรงจนรู้สึกถึงแรงสั่นได้ 
    “พี่ไม่อยากปิดบัง พี่อยากให้น้องเอยรู้จากปากของพี่เอง .. พี่ไม่รู้ว่าน้องเอยจะรับได้ไหม แต่พี่ก็อยากลองเสี่ยงดู”
    เสียงพี่หมอดูสั่น ทุกคำที่ออกมาของพี่หมอดูเหมือนเจ้าตัวไม่มั่นใจเอาเสียเลย ที่ฉันเงียบไป ฉันไม่ได้รังเกียจหมอเลย แต่ฉันไม่รู้จะทำยังไงดี 
    ก่อนหน้านี้ฉันยังคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้อยู่เลย แล้วตอนนี้ มันกำลังเกิดขึ้นจริง ฉันยังมีหวัง 
    มันทั้งตกใจ ทั้งดีใจ มันล้นไปหมดข้างใน 

    “น้องเอยพูดอะไรสักอย่างได้ไหม อย่าเงียบไปแบบนี้ พี่ใจไม่ดีเลย” 


    หมอ อย่ากดดันกันได้ไหม หมอไม่เป็นฉันตอนนี้ หมอไม่เข้าใจหรอก

    ฉันตัดสินใจรวบรวมความกล้าทุกอย่างหันกลับไปมองหน้าหมอ สีหน้าพี่หมอดูไม่ดีเลย คิ้วขมวดกันยุ่ง ริมฝีปากง้ำลง เหมือนกำลังกลัวอะไรบางอย่าง
    พี่หมอจะกลัวทำไม 
    ฉันสิต้องกลัว กลัวหัวใจตัวเองหลังจากนี้จะทำงานหนักกว่าเดิม 

    “พี่เอ่อ .. พี่หมอ พี่หมอชอบผู้หญิงเหรอ” 
    “คือ พี่ไม่อยากให้น้องเอยอึดอัดนะ ถึงพี่จะ .. เอ่อ ชอบผู้หญิง แต่พี่ก็ไม่ได้คิดแบบนั้นกับน้องเอยนะ น้องเอยยังเป็นเหมือนเดิมอยู่ใช่ไหม ไม่ได้รังเกียจพี่หรือไม่อยากอยู่ใกล้พี่ใช่ไหม”
    ประโยคเดียวของพี่หมอกระชากอารมณ์ฉันสวิงขึ้นลงอย่างกับขึ้นรถไฟเหาะ 
    บอกว่าไม่คิดอะไรกับฉัน ไม่อยากให้ฉันอึดอัด กังวลว่าฉันจะเปลี่ยนไป 

    ฉันเปลี่ยนไปนานแล้วหมอ 

    “ไม่ค่ะ หนูก็ยังเหมือนเดิม หนูแค่ตกใจ” 
    “พี่เข้าใจ”
    เกิดความเงียบขึ้นระหว่างเรา ฉันรู้ว่าควรต้องทำตัวเหมือนเดิม ไม่ให้พี่หมอคิดมาก แต่มันทำไม่ได้จริงๆ 

    “กะ กลับบ้านกันไหม มันเย็นแล้ว” 
    พี่หมอพยักหน้าหงึกๆ ลุกขึ้นยืนทันที แถมยังอาสาหอบของทุกอย่างไปถือเองทั้งหมด ฉันเลือกเดินช้าลงเพื่อให้พี่หมอเดินนำหน้า ฉันไม่กล้ามองหน้าหมอจริงๆ ยิ่งมองใจมันยิ่งสั่น 
    โทรศัพท์มือถือส่งสัญญาณเตือนอะไรบางอย่าง 


    “พี่หมอ .. “

    คนตรงหน้าค่อยๆหันกลับมา ในมือถือโทรศัพท์ค้างไว้อยู่ 

    “พี่เห็นตั้งแต่คืนก่อนแล้ว แต่ไม่กล้ากดรับจริงๆ” 

    ทำยังไงดี มือฉันเหงื่อออกซึมไปหมด ปลายนิ้วเหมือนกำลังถูกไฟช็อต ฉันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย เหมือนระบบร่างกายข้างในมันรวนไปหมด 
    ไปแล้ว มันบินไปหาหมอแล้ว ฉันรั้งหัวใจตัวเองไว้ไม่อยู่แล้ว 

    พี่หมอเดินย้อนกลับมาหาฉันที่ยืนนิ่งไป ยื่นมือออกมาข้างหน้า 
    “พี่กดรับเป็นเพื่อนแล้วนะ .. ถ้าน้องเอยไม่รังเกียจพี่จริงๆ จับมือพี่ได้ไหม”
    พี่หมอ พี่หมอบ้าไปแล้ว ความคิดของเราสองคนตอนนี้คงสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง ในหัวพี่หมอคงอยากทำยังไงก็ได้เพื่อให้แน่ใจว่าฉันยังเหมือนเดิม ส่วนฉันก็ใจละลายจนไม่รู้จะพยุงตัวเองยังไงแล้ว 

    ฉันมองมือพี่หมอสลับกับหน้าพี่หมอที่ตอนนี้มองตรงมาที่ฉันคนเดียว 
    มือของพี่หมออุ่น อุ่นยิ่งกว่ายิ้มของพี่หมอตอนนี้อีก เจ้าตัวออกแรงให้ฉันเดินเข้ามาใกล้ ฉันมองมือตัวเองที่โดนพี่หมอกุมไว้ 

    หัวใจฉันหาเจ้าของเจอสักที 
    ใช้เวลาตั้งสิบห้าปีเชียวนะกว่าเจ้าของจะกลับมา 


    วงแหวนดาวเสาร์.

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×