ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    แย่แล้ว .. เผลอหลงรักคุณดาวเสาร์ (Yuri) - End

    ลำดับตอนที่ #4 : ข้อความของหมอ | Rewrite

    • อัปเดตล่าสุด 23 ก.ค. 62



              สนามเด็กเล่นวันนี้หมอกลงหนักกว่าทุกครั้ง มองรอบตัวแทบไม่เห็นอะไรเลย มีเพียงสัมผัสแสนอบอุ่นและวงแขนแกร่งโอบกอดฉันไว้ 
              ฉันนั่งอยู่บนตักพ่อ สิ่งเดียวที่ฉันมองเห็นท่ามกลางหมอกหนาครึ้มในวันนี้ คือรอยยิ้มของพ่อยามเมื่อฉันแหงนหน้าขึ้นไป 
    พ่อส่งยิ้มกว้าง ลูบหัวฉันไปมา เรานั่งกันอยู่บนชิงช้า พ่อออกแรงให้ชิงช้าขยับเล็กน้อย ในมือฉันถืออมยิ้มสีลูกกวาดแสนหวาน 
    ฉันได้ยินเสียงตัวเองหัวเราะคละเคล้ากับเสียงพ่อ 

    ลมจากทิศไหนก็ไม่รู้พัดเข้ามา ฉันยกมือขึ้นปิดหน้าตัวเองจนอมยิ้มที่ถืออยู่ตกลงพื้น ฉันขยับตัวลุกออกจากตักพ่อ 
    เท้าเปล่าสัมผัสพื้นหญ้า ก้มหยิบเจ้าอมยิ้มเปื้อนดิน





    ฉันสะดุ้งตกใจตื่น รู้สึกร่างกายกระตุกเกร็งเหมือนกับมีใครดึงฉันออกมาจากความฝัน เปลือกตาที่ยังไม่ตื่นสนิทดี พยายามปรับโฟกัสภาพตรงหน้า 
    ห้องนอนของฉันเองไม่ใช่สนามเด็กเล่น 
    “น้องเอย ตื่นรึยังลูก พี่หมอเขามารอแล้วนะ” 

    เสียงเรียกของแม่พร้อมกับเสียงเคาะประตูหน้าห้อง ช่วยดึงให้สติฉันเริ่มกลับมาทีละน้อย 

    พรุ่งนี้ว่างไหม 
    ไปเป็นเพื่อนพี่ที่โรงพยาบาลหน่อยสิ 

    ซวยแล้ว 


    ฉันลุกขึ้นพรวดเดินวนไปวนมาอยู่ในห้องอย่างคนทำอะไรไม่ถูก ขานตอบแม่ออกไป ก่อนจะคว้าผ้าเช็ดตัววิ่งเข้าห้องน้ำด้วยความเร็วสูง 
    ปกติแล้วฉันก็แต่งตัวเหมือนกับเพื่อนวัยเดียวกันนั่นล่ะ มีบ้างบางทีที่ก็แอบอยากเปิดไหล่บ้าง ใส่แขนกุดบ้าง แต่ทั้งหมดทั้งมวลที่บอกไป ฉันใส่ได้เฉพาะตอนอยู่บ้านลุงกับป้าเท่านั้นนะ ขืนใส่เดินร่อนอยู่ในบ้าน ยายจับมาเฆี่ยนแน่ 
    ฉันเป็นคนหน้าผากกว้าง เออ จะว่าหัวเถิกหน่อยๆก็ได้ พอเป็นแบบนั้น ฉันเลยต้องมีผมหน้าม้าปัดข้างคอยปิดเหม่งไว้ ถ้าอยู่บ้านฉันก็จะรวบมันขึ้นไปเป็นกระจุกอยู่บนหัว
    ไม่มีใครอยู่บนบ้าน ทั้งที่คิดไว้ว่าคุณหมอน่าจะนั่งรออยู่บนนี้แต่ก็ไม่เห็น ฉันคว้ากระเป๋าคู่ใจ พาตัวเองลงมาข้างล่าง เวลาช่วงนี้ที่รีสอร์ทเปิดบุฟเฟต์อาหารเช้าไว้คอยบริการนักท่องเที่ยว โถงข้างล่างเลยพลุกพล่านไปด้วยผู้คน 



    คุณหมอนั่งปะปนอยู่กับบรรดานักท่องเที่ยว น่าแปลกเหมือนกันที่ฉันมองเห็นเขาโดยใช้เวลาไม่นาน หมอดูโดดเด่นแตกต่างจากคนอื่น เพราะอะไรก็ไม่รู้สิ .. 

    เพราะเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวที่ถูกพับขึ้นเหนือข้อศอกเหรอ
    หรือเพราะกางเกงขายาวสีดำถูกพับขาขึ้นเลยตาตุ่มมาเพียงนิดเดียว 
    รองเท้าผ้าใบสีดำสนิทปะโลโก้แบรนด์ดัง 
    ผมข้างขวาที่ถูกทัดขึ้น ปล่อยเพียงปอยผมด้านซ้ายให้ลู่ตกมาตามธรรมชาติ 

    เหมือนมีเคมีบางอย่างแผ่ออกรอบตัวหมอ ชวนให้ต้องมองตาม ทั้งที่หมอแค่นั่งก้มหน้าอ่านเอกสารในมือแล้วก็จิบกาแฟไปด้วยเท่านั้นเอง 

    “เมื่อคืนหลับสบายเลยสิ” 

    มัวแต่เหม่อ คิดอะไรฟุ้งซ่านในหัวไปเรื่อย รู้ตัวอีกที ฉันก็เดินมายืนอยู่หน้าหมอแล้ว นึกไม่ออกด้วยซ้ำ ว่าขาก้าวออกมาตอนไหน 
    ท่าทางเลิกลักของฉันที่ดูเหมือนยังไม่ตื่นดีทำให้หมอหัวเราะออกมา

    “อันนี้ตื่นรึยัง หรือว่าละเมออยู่”
    “ตื่นแล้วสิ” 
    “น้องเอยหาอะไรกินก่อนได้เลยนะ ยังทันอยู่”

    หมอบอกฉันหลังจากดูนาฬิกาข้อมือ ก่อนจะก้มหน้าดูเอกสารในมือต่อ 
    ดูก็รู้ว่านาฬิกาเรือนนั้นคงแพงระดับหนึ่ง จะว่าไป ทุกอย่างที่หมอใส่ ถึงจะดูธรรมดาไม่หวือหวาอะไร แต่ดูท่าแล้ว คงเป็นเสื้อผ้ายี่ห้อแบรนด์ดัง
    “น้องเอย .. น้องเอย”
    “คะ”

    หรือว่าฉันทิ้งสติกับสมองไว้บนเตียง ทำไมวันนี้ถึงเหม่อบ่อยเหลือเกิน ฉันลุกเดินไปหาอะไรกินก็ตอนที่หมอเรียกชื่อฉันอีกครั้ง

    ข้าวต้มในชามส่งควันร้อนฉุย กลิ่นกระเทียมเจียวลอยขึ้นเตะจมูก ข้าวต้มฝีมือแม่อร่อยที่สุดแล้ว ฉันเพลิดเพลินไปกับอาหารเช้า หมอที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขียนอะไรขยุกขยิกลงบนเอกสาร 
    หน้าของหมอเวลาไม่ยิ้มก็ดูดีไปอีกแบบ ใบหน้าเรียบนิ่ง คิ้วขมวดเล็กน้อย ดูท่าจะชอบควงปากกาในมือเวลาใช้สมอง แถมควงเก่งเสียด้วยสิ 

    ว่ากันตามตรง หมอดูเท่กว่าผู้ชายบางคนด้วยซ้ำ ชักอยากจะรู้แล้วสิว่าแฟนเก่าหมอเป็นแบบไหน ถ้าหมอเท่ขนาดนี้ แล้วผู้ชายที่เป็นแฟนหมอต้องประมาณไหนล่ะ 
    เท่เกินเบอร์หมอไปอีกสองเท่า หรือจะติ๋มติ๋ม .. ยอมให้หมอเป็นช้างเท้าหน้า 

    เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์หมอดังขึ้น เจ้าตัวควักมาดู แวบหนึ่งเหมือนหมอชั่งใจอะไรบางอย่าง แล้วก็กดสายทิ้ง เก็บโทรศัพท์ตามเดิม 
    ทำไมหมอไม่รับสายล่ะ 
    ท่าทางหมอดูอารมณ์ไม่ค่อยดีด้วย 

    เสียงโทรศัพท์หมอดังขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง คราวนี้หมอกดตัดสาย วางโทรศัพท์คว่ำหน้าลงกับโต๊ะ พ่นลมหายใจแรงออกมา 
    หรือว่าจะเป็นแฟนเก่า 

    อยู่ดีดีหมอก็เงยหน้าขึ้นมา เจอกับฉันที่หลบไม่ทัน เพราะมัวแต่จ้องหมออยู่ ฉันทำทีเป็นก้มหน้าตักข้าวต้มกินต่อ หมอต้องเห็นแน่ว่าฉันแอบดู ฉันเลยรีบจ้วงตักข้าวต้มเข้าปาก เกิดฉันชักช้าทำให้หมอรอนาน หมอจะพาลหงุดหงิดใส่เอา 
    “ไม่ต้องรีบก็ได้น้องเอย ค่อยค่อยกินเดี๋ยวก็ติดคอหรอก” 
    หมอกลับมายิ้มเหมือนเดิมแล้ว เจ้าตัวรวบเอกสารทั้งหมดใส่ซองสีน้ำตาล ลุกเดินออกไปที่ถาดอาหาร 

    สายตาฉันยังจับจ้องอยู่ที่โทรศัพท์หมอที่คว่ำหน้าอยู่ ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตัวเองเลย แต่ไม่รู้ทำไม ฉันอยากจะยื่นมือออกไปแล้วพลิกมันขึ้นมาดู 
    ถ้าเป็นชื่อผู้ชายล่ะก็ โป๊ะเช๊ะ 
    หรือจะลองใช้พลังจิตให้มันพลิกขึ้นมาเอง 
    ภาพข้าวต้มอีกชามถูกวางลงบนโต๊ะบังโทรศัพท์น้อยที่ฉันพยายามสะกดจิตมันอยู่ เข้าใจว่าหมอทานเสร็จแล้วเสียอีก

    “พี่หมอยังไม่ได้กินข้าวเหรอ”
    “ปกติพี่ไม่ค่อยกินข้าวเช้าน่ะ กินแค่กาแฟแก้วเดียว แต่เห็นน้องเอยกินแล้วมันดูน่าอร่อยดี เลยไปตักมากินบ้าง” 

    คำอธิบายพร้อมรอยยิ้มที่ดูอบอุ่น ปากก็พึมพำว่าอร่อย 
    ฉันไม่รู้หรอกนะ ว่าความรักแบบไหนทำร้ายหมอ ฉันยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจความเจ็บปวดจากความรักของผู้ใหญ่ กับอีแค่พับดาวใส่ขวดโหล นั่งเพ้อไปวันวัน คงเทียบกับเรื่องที่หมอเจอไม่ได้


    แต่ก็นะ 
    ฉันเลิกสนใจโทรศัพท์เครื่องนั้น ตักกระเทียมเจียวลงไปให้หมอเพิ่ม จนหมอกลัวว่า ตอนไปรายงานตัว คนที่โรงพยาบาลคงได้กลิ่นปากหมอ

    “ไม่มีกลิ่นหรอก นี่ดมๆ” แล้วฉันก็พ่นลมใส่หน้าหมอจนหมอเอามือปิดหน้า ทำท่าทางเหมือนคนจะเป็นลม

    หมอยิ้มแบบนี้น่ามองกว่าเยอะเลย

    ลุงนะไม่อยู่ออกไปรับลูกค้าที่ตลาดในตัวเมือง ส่วนรถคันอื่นก็ไม่ว่าง พาหนะที่มีตอนนี้ก็คือ เจ้ามอเตอร์ไซค์คันเก่าของแม่กับจักรยานที่เก่าพอกันของฉัน
    ตอนนี้หมอยืนกอดอกเหมือนกำลังคิดว่า จะเดินไปเองดีหรือจะซ้อนมอเตอร์ไซค์ฉันไป เพราะฉันคงไม่ใจดีขนาดปั่นจักรยานไปส่งหรอกนะ ตัวหมอก็ไม่ได้เล็ก  

    “พี่หมอไม่ไว้ใจหนูเหรอ”
    “ไม่ได้ไม่ไว้ใจ แต่น้องเอยขี่ได้แน่นะ” 
    “ทำไมจะไม่ได้ หนูมีใบขับขี่นะ แล้วในหมู่บ้านหนูก็ขี่วนมาไม่รู้กี่รอบแล้ว”
    “แล้วเคยซ้อนใครไปด้วยไหม” 

    คำถามหมอทำให้ความมั่นใจของฉันลดลงไปสามขีด ฉันมักจะขี่รถไปไหนมาไหนเองคนเดียว ส่วนใหญ่ถ้าไม่ไปบ้านเพื่อนก็ขี่ไปซื้อของให้แม่กับยาย 
    “ไม่เคย แต่ถ้าพี่หมอไม่ไปกับหนู พี่หมอก็เดินไปเองแล้วกัน” 

    ถึงจะเริ่มไม่มั่นใจ แต่อย่าหวังว่าจะแสดงออกให้เห็น ฉันทำเป็นเคืองหมอที่หมอไม่ไว้ใจ ตั้งท่าขยับตัวออกจากเบาะรถ จนหมอต้องยื่นมือมารั้งไว้
             “แปลว่าพี่เป็นคนแรกที่ได้ซ้อนรถน้องเอยเหรอ” 
    ฉันไม่รู้ว่าหมอต้องการอะไรจากคำถามนี้ ฉันเลือกที่จะเงียบ แต่ดูเหมือนความเงียบของฉันคงเป็นคำตอบให้หมอไปแล้ว 
    “ดีใจจัง” 
    หมอพูดจบแล้วก็คลี่ยิ้มบางๆ ก้าวขึ้นคร่อมรถ คำว่า ดีใจจัง ของหมอ ดังวนซ้ำไปมาอยู่ในหัว จู่ๆหน้าก็คันยิบยิบแบบไม่มีเหตุผล 
    “ขี่ดีๆนะไม่ต้องรีบ พี่ยังไม่อยากทำแผลให้เราสองคนเป็นเคสแรก” 
    เสียงทุ้มของหมอพูดขึ้นจากด้านหลัง มือของหมอเลื่อนมาจับไว้ที่เอวฉันหลวมหลวม 

    ความวูบวาบบนหน้าตอนนี้มันคืออะไรกัน คือความประหม่าที่มีคนมาซ้อนท้าย แล้วดันไม่ใช่คนธรรมดาแต่เป็นถึงหมอ หรือเพราะคำว่าดีใจจังกับมือของหมอตรงเอวฉัน 
    ให้ตายเถอะ ได้โปรด ขอให้เป็นอย่างแรก



    เท่าที่ถามจากแม่มาเมื่อคืน โรงพยาบาลอยู่ถัดจากวัดกับตลาดไปอีกห้ากิโลเห็นจะได้ จะไปทางนั้น เราต้องขี่รถเลียบบ่อน้ำไปแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าตัวหมู่บ้านแทนที่จะเลี้ยวขวาข้ามสะพาน 
    ฉันแอบมองจากกระจกรถ ดูท่าทางคนที่ซ้อนอยู่ข้างหลังจะเพลิดเพลินกับบรรยากาศรอบตัวที่คงหาไม่ได้ในเมืองหลวง แปดโมงกว่าแล้วแต่หมอกก็ยังหนาอยู่ รู้สึกเหมือนกำลังขี่ผ่านเมฆก้อนโต 

    พระสองสามรูปกำลังเดินกลับเข้าวัดจากการออกเดินบิณฑบาต เราขับผ่านตลาด เยื้องตลาดไป เราเรียกกันว่าจุดชมวิว สามารถมองลงไปเห็นทิวทัศน์ข้างล่าง ถ้าโชคดีหน่อย ก็จะได้เห็นทะเลหมอกด้วย 
    นักท่องเที่ยวทุกคนที่แวะมาเที่ยว จะต้องมาที่จุดชมวิวเพื่อทำภารกิจสุดฮิตคล้ายกับเมืองหนึ่งในเกาหลีใต้
    แท่งไม้ขนาดใหญ่กว่าที่คั่นหนังสือเล็กน้อย เจาะรูร้อยเชือกหลากสี มีไว้วางจำหน่ายให้นักท่องเที่ยวซื้อไปเขียนข้อความอะไรก็ได้ ก่อนจะนำไปแขวนเรียงกันตรงลานที่จัดไว้ 

    เหมือนตรงนั้นเป็นอีกโลกหนึ่ง โลกแห่งความทรงจำที่ใครหลายคนอยากบันทึกเอาไว้ที่นี่ 


    โรงพยาบาลของหมู่บ้าน มีเพียงอาคารสามชั้นสองหลังติดกัน เท่าที่ถามจากพี่หมอ เห็นบอกว่า ที่นี่ทำไว้รองรับคนไข้เคสฉุกเฉินเสียมากกว่า 
    อาคารสีขาวที่ยังดูสะอาดสะอ้าน แต่กลับดูเงียบเหงาพิกล มีคนไข้อยู่ไม่กี่คนนั่งรอเรียกคิวอยู่ข้างใน ห้องฉุกเฉินที่ดูเงียบสงบ ช่างต่างจากโรงพยาบาลในเมืองที่แสนวุ่นวายเหลือเกิน
    พอมาเห็นแบบนี้ ฉันก็เลยยิ่งไม่เข้าใจ ต่อให้หมอจะบอกว่า ข้างบนนี้ต้องการหมอ แต่ก็ใช่ว่าจะมีคนป่วยเยอะเหมือนในเมือง หมอขึ้นมาอยู่แบบนี้ จะได้รักษาใครบ้างไหมยังไม่รู้เลย 

    หมอให้ฉันนั่งรออยู่ที่ระเบียงด้านนอก ส่วนตัวเองเดินขึ้นบันไดของตัวอาคารหายวับไป พยาบาลสองสามคนเดินเข็นรถไปมา สวนคนไข้ที่มารอก็ดูเหมือนไม่ได้ป่วยอะไรร้ายแรง 
    ถ้าสร้างโรงพยาบาลแล้วคนไข้น้อยขนาดนี้ เขาสร้างไว้ทำไมกันนะ 

    ยังไม่ทันไร ก็มีรถคันหนึ่งมาจอดอยู่หน้าโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่กำลังเข็นผู้ป่วยที่ร้องเสียงหลง นอนเอามือกุมท้องโอดครวญ พยาบาลสองสามคนวิ่งกรูกันเข้ามาดูอาการ ก่อนจะเข็นหายเข้าห้องฉุกเฉิน
    ผ่านไปไม่ถึงสิบนาที หมอก็วิ่งลงมาจากบันได แต่คราวนี้มีเสื้อคลุมสีขาวใส่เพิ่มมาด้วยแล้ว สองมือล้วงกระเป๋าเสื้อคลุม กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าห้องฉุกเฉินไป
    ฉันเคยบอกไปแล้วใช่ไหมว่าหมอดูเท่เกินผู้หญิงปกติทั่วไป
    แต่นั่นยังไม่เท่ากับตอนนี้ .. ถ้าให้ฉันใส่เสื้อคลุมแบบหมอแล้วล้วงกระเป๋าเดินออกมา ทำให้ตายยังไงก็ไม่เท่ได้เท่านี้หรอก 

    ว่าแต่มีอะไรกันนะ 

    หมอหายเข้าไปในนั้นเกือบยี่สิบนาที ก่อนจะเดินออกมาหาฉัน พอมายืนใกล้ใกล้ ฉันเลยได้เห็นป้ายชื่อที่เข็มกลัดปักติดอยู่ที่อกเสื้อด้านซ้าย 
    “น้องเอยรอพี่สักสองชั่วโมงได้ไหม พอดีว่ามีเคสด่วนต้องผ่าตัดน่ะ”
    ฉันบอกหมอไปว่าไม่เป็นไร ก่อนที่หมอจะส่งยิ้มมาให้อีกครั้งแล้ววิ่งหายเข้าห้องฉุกเฉินไป ญาติที่นั่งรออยู่ด้านหน้าเริ่มร้องไห้หนักขึ้นแล้ว 


    สองชั่วโมงดูเหมือนสองปี บวกกับลมเย็นสบายริมระเบียง ส่งให้ฉันฟุบหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ ดวงตาที่หนักอึ้งพยายามฝืนเปิดออก องศาที่บิดเบี้ยวจากการนอนตะแคง ทำให้ฉันเหมือนเห็นชายเสื้อคลุมสีขาวปลิวตามแรงลมอยู่ตรงหน้า 
    ก่อนจะสะดุ้งเฮือกลุกขึ้นพรวด เมื่อชายเสื้อคลุมตรงหน้าขยับออกแทนที่ด้วยใบหน้าเจ้าของเสื้อคลุมที่ก้มลงมา
    “รอนานจนหลับเลยเหรอ”
    พี่หมอหัวเราะเสียงทุ้ม หย่อนตัวลงนั่งข้างฉันที่ยังสะลึมสะลืออยู่
     
    “พี่หมอผ่าเสร็จแล้วเหรอ”
    “เรียบร้อยแล้ว ไม่คิดว่าจะได้เริ่มงานวันนี้เหมือนกัน”

    หมอนั่งเอาขาข้างขวาขึ้นพาดบริเวณต้นขาข้างซ้าย ท่านั่งที่ดูยังไงก็ไม่เหมือนผู้หญิง จะว่าไป เริ่มรู้สึกว่าตัวเองชักจะสนใจเรื่องหมอมากเกินไปแล้วนะ
    “เขาเป็นอะไรมาเหรอคะ” 
    “ไส้ติ่งอักเสบ ทิ้งไว้นานจนเยื่อบุข้างในอักเสบ ก็เลยต้องผ่าออก” 
    “สมมติว่าพี่หมอยังมาไม่ถึง เขาจะทำยังไงกัน”
    “ที่นี่ก็มีหมอศัลอยู่ เขาก็ทำได้ แต่มีคนเดียวมันเสี่ยงเกินไป เวลาเจอเคสด่วนพร้อมกันจะลำบากเอา”
    “แต่หนูนั่งดูอยู่ตั้งแต่มาถึง ก็เห็นมีแค่เคสนี้นะ นอกนั้นก็ไม่เห็นมีอะไรเลย”

    หมอคลี่ยิ้มบาง สองมือล้วงกระเป๋าเสื้อคลุมนั่งพิงระเบียงพลางมองมาทางฉัน 

    “เขาถึงได้เรียกห้องนั้นว่าห้องฉุกเฉินไง เราไม่มีทางรู้หรอก ว่าอีกหนึ่งหรือสองชั่วโมงข้างหน้าอะไรจะเกิดขึ้น สมมติว่าบนนี้ไม่มีโรงพยาบาล คุณลุงอาจจะไม่รอดก็ได้นะ” 
    “แต่ก็ยังน้อยอยู่ดีไหม คือหนูหมายถึง ถ้าพี่หมอเป็นหมอในเมืองก็อาจจะช่วยคนได้เยอะกว่ามาอยู่บนนี้หรือเปล่า”
    “หมอข้างล่างมีเยอะแล้ว อีกอย่างนะ ถ้าพี่ช่วยคนในเมืองได้สิบคน แต่มีหนึ่งคนบนเขาที่ต้องตายเพราะไม่มีหมอ .. พี่ยอมอยู่บนเขาเพื่อช่วยชีวิตคนแค่คนเดียวดีกว่า” 

    คำตอบหมอเปิดมุมมองที่แม้แต่ตัวฉันเองก็ยังไม่เคยเห็น พยาบาลกับเจ้าหน้าที่สิบกว่าชีวิตในโรงพยาบาลนี้ คงคิดแบบหมอเหมือนกันใช่ไหม พวกเขาถึงได้ยอมทิ้งความสบายขึ้นมาอยู่บนเขาแบบนี้ 

    “คุณลุงปวดท้องมาสักพักแล้ว แต่ก็ไม่ยอมไปหาหมอเพราะว่ามันไกล ยอมทนเอาจนมันอักเสบ อย่างน้อยหลังจากนี้ คนในหมู่บ้านก็จะได้ใกล้หมอมากขึ้น” 

    ฉันชักเริ่มเข้าใจแล้วว่า ทำไมแม่กับยายถึงได้เอ็นดูพี่หมอนัก เรานั่งกันสักพัก หมอก็ลุกขึ้น เดินมาหยุดอยู่หน้าฉันก่อนจะโน้มตัวเข้ามาใกล้

    “ไส้ติ่งน้องเอยยังอยู่ไหม”
    หมอ ไม่มีเรื่องให้ถามแล้วหรือไง

    “อยู่สิ จะหายไปไหนล่ะ”
    “ให้พี่ตัดออกให้ไหม ช่วงนี้ช่วงโปรโมชั่น ตัดฟรีไม่คิดเงิน เดี๋ยวเย็บแผลให้สวยๆเลย”
    “ไม่เอา จะบ้าเหรอ อยู่ดีดีมาตัดได้ไงเล่า” 

    หมอหัวเราะเสียงดังลั่น เดินล้วงกระเป๋าขึ้นตึก บอกว่าจะขึ้นไปเก็บของ 
    หลายครั้งหมอก็ดูเป็นคนจริงจัง บางทีก็ขี้เล่นยียวน แต่ในทุกครั้งก็แผ่รังสีความอบอุ่นออกมาเสมอ

    ถือว่าผู้ชายคนนั้นพลาดมากที่ปล่อยคนดีดีแบบหมอให้หลุดมือ 




    เราแวะตลาดหาอะไรกินง่ายๆก่อนเข้าบ้าน โดยมีพี่หมอเลี้ยง ฉันเลยตอบแทนโดยการซื้อแผ่นไม้หนึ่งอันให้หมอ
    วันนี้เป็นวันธรรมดา คนก็เลยดูน้อย พอมีพื้นที่ให้ได้ยืนกัน 

    “สมัยก่อนตอนที่พี่มากับที่บ้าน พี่ก็มาเขียนนะ แต่จำไม่ได้แล้วว่าผูกไว้ตรงไหน”
    “นานขนาดนั้นเขาแกะออกหมดแล้วมั้ง” 
    หมอมองไปรอบตัวพลางคลี่ยิ้ม ก่อนจะหันหลังเขียนอะไรบางอย่างลงบนแผ่นไม้ แน่นอนว่าฉันต้องอยากรู้อยู่แล้วว่าหมอจะเขียนอะไร 
    ไหนไหนวันนี้ก็สนใจแต่เรื่องหมอมาทั้งวันแล้ว ไปให้สุดเลยแล้วกัน

    หมอเห็นฉันแอบมองก็ขยับตัวหลบ แถมยังเอาปากกาเคาะหัวฉันอีก 
    เขียนด่าฉันหรือเปล่าก็ไม่รู้ พอเขียนเสร็จก็เอาไปผูกไว้เสียสูงลิ่ว ถ้าไม่อยากให้ใครเห็นขนาดนั้น ไม่ต้องเขียนก็ได้มั้ง 

    ความสงสัยในเจ้าแผ่นไม้นั่นยังคงรบกวนมาตลอดทางที่เดินกลับมาที่รถ ฉันต้องนอนไม่หลับแน่ถ้าไม่ได้เห็น บางทีหมออาจจะเขียนถึงคนรักเก่าที่เพิ่งเลิกกันไปก็ได้ 

    “พี่หมอรออยู่ที่รถก่อนได้ไหมคะ พอดีหนูอยากเข้าห้องน้ำ”
    “ให้พี่ไปเป็นเพื่อนไหม”
    อย่ามาใจดีอะไรตอนนี้ได้ไหมยะ 

    “ไม่เป็นไร พี่หมอรออยู่นี่แหละ” 

    แล้วฉันก็รีบชิ่งมาทันที จากตรงนี้ไกลพอแล้วที่พี่หมอจะไม่เห็น ฉันเดินกลับไปที่ลานกว้างอีกครั้ง แหงนคอมองแผ่นไม้เป้าหมาย แต่ไม่ว่าจะเขย่งแค่ไหน กระโดดเท่าไหร่ ก็ยังมองไม่เห็นอยู่ดี 
    นักท่องเที่ยวคนหนึ่งเดินไปยืมเก้าอี้จากร้านค้าเพื่อขึ้นไปผูกแผ่นไม้ของตัวเอง เพราะราวด้านล่างไม่มีที่เหลือพอให้ผูกอะไรเพิ่มแล้ว 


    เสร็จฉันล่ะ

    ฉันรีบฉวยเก้าอี้ขึ้นปีนทันที แผ่นไม้ซ้อนทับกันจนฉันต้องพยายามพลิกดูทีละอัน แล้วจะรู้ได้ยังไง ว่าอันไหนของหมอ ลายมือหมอก็ไม่เคยเห็น แถมหมอจะลงชื่อตัวเองไว้หรือเปล่าก็ไม่รู้ 



    เจอแล้ว 


    หมอไม่ได้ลงชื่อตัวเองไว้ แถมนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นลายมือหมอด้วย 
    แล้วฉันรู้ได้ยังไงเหรอ ว่าอันนี้เป็นแผ่นไม้ของหมอ 





    “เรียบร้อยแล้วใช่ไหม”
    “ค่ะ”
    “ถ้างั้นเรากลับบ้านกันเลยเนอะ”
    “พี่หมอคะ” 
    “หืม .. “ 


    “ยิ้มอย่างเดียวเลย มีอะไรจะถามพี่เหรอ” 
    “ไม่มีค่ะ กลับบ้านกันดีกว่า”

    คนเก็บอาการไม่เป็นแบบฉัน พอเจออะไรแบบนี้มันก็หุบยิ้มไม่ลง 
    ฉันเปลี่ยนใจไม่พูดคำที่เตรียมไว้ เพราะรู้ว่าถ้าพูดไป พี่หมอต้องรู้แน่ว่าฉันไปแอบดูแผ่นไม้นั้นมา
    ตอนสองขวบ ฉันจำอะไรไม่ได้หรอก แต่มันก็คงไม่สำคัญ พี่หมอไม่ได้หวังให้ฉันจำเขาได้ในตอนนั้น .. พี่หมอต้องการให้ฉันรู้จักพี่หมอมากขึ้นในตอนนี้ต่างหาก 


    แผ่นไม้อื่นถูกขยับออกห่าง เพื่อให้แผ่นไม้ชิ้นนี้โดดเด่น
    ปลิวไสวตามทิศทางของลมเย็นบนยอดเขา 


    วงแหวนดาวเสาร์.

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×