ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    แย่แล้ว .. เผลอหลงรักคุณดาวเสาร์ (Yuri) - End

    ลำดับตอนที่ #5 : พี่หมอเล่นเกมส์เก่ง | Rewrite

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.04K
      134
      23 ก.ค. 62


             PUN
    อื้อหือ มีประมาณล้านคน ไล่ดูยังไงหมดล่ะ เอาใหม่ ตอนที่แอบดูป้ายชื่อมา จำได้ว่าหมอชื่อ .. ณรา ถ้าอย่างนั้นลองใส่ทั้งชื่อเล่น ชื่อจริงลงไปดีกว่า 

    ไม่เจอ 
    หรือว่าหมอใช้ชื่อจริงอย่างเดียว

    ก็ยังไม่เจอ 
    โอ้ย 

    ฉันกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนโซฟากับโทรศัพท์ของตัวเองและอมยิ้มหนึ่งอันที่อมอยู่ในปาก แอพพลิเคชั่นยอดฮิตบนโลกโซเชียลอย่างเฟซบุ๊ก คือสิ่งที่โชว์หราอยู่บนหน้าจอมือถือฉันตอนนี้ 
    จะว่าไปลักษณะอย่างหมอ อาจจะไม่ได้ใช้ชื่อตัวเองตั้งเฟซบุ๊กก็ได้ ถ้าอย่างนั้นแล้วหมอจะตั้งว่าอะไรล่ะ 
    ฉันนั่งเกาหัวแกรกแกรกเค้นสมองที่มีอยู่น้อยนิด ลองกรอกเข้าไปเท่าที่จะนึกออก แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่เจอสักที 
    ตอนหาของพี่มอหกยังไม่เห็นยากขนาดนี้เลย
    ทำไมพี่หมอต้องตั้งให้มันซับซ้อนด้วยเล่า 

    ฟ้ามืดแล้ว เราแยกกันบ้านใครบ้านมันตอนที่มาถึง วันนี้ไม่มีเตียงให้ฉันต้องปู ก็เลยนอนกลิ้งไปกลิ้งมาเรื่อยเปื่อย โทรทัศน์ตรงหน้าถูกเปิดทิ้งไว้เป็นเพื่อนเฉยๆ บางครั้งถ้าแม่เดินขึ้นมาบนบ้าน ฉันถึงจะทำเป็นดูที 
    เพื่อนวัยเดียวกับฉันหลายคนเริ่มอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาลัยกันแล้ว ตัดภาพมาที่ฉัน ยังคงนั่งโง่โง่อยู่กับมือถือ ใช้เวลาไร้สาระไปกับการหาเฟซบุ๊กหมอ
    คิดแล้วก็ภูมิใจแทนแม่นะที่มีลูกแบบฉัน 

    คำถามของพี่หมอตอนที่เราเจอกันครั้งแรก ฉันก็ถามตัวเองมาสักพักแล้ว แต่ก็ยังหาคำตอบไม่ได้สักทีว่าอยากเรียนอะไรต่อ อยากทำงานอะไร 
    แม่เองก็เริ่มอายุเยอะมากแล้ว รีสอร์ทที่มีอยู่นี่ แม่ก็ทำเองคนเดียวทุกอย่าง 
    บางทีฉันอาจจะเลือกอะไรสักอย่างที่เรียนแล้วสามารถกลับมาช่วยแม่ได้ 

    “น้องเอย เดินไปตามพี่หมอให้ม๊าหน่อยเร็ว กับข้าวเสร็จแล้ว จะได้กินข้าวเย็นกัน”
    “ค่า” 
    สงสัยฉันต้องตกลงกับหมอแล้วล่ะ ว่ามื้อเย็นเริ่มกี่โมง หมอจะได้รู้ตัวแล้วเดินมาเอง ไม่อย่างนั้น คงได้เดินเรียกกันแบบนี้ทุกวันแน่ 
    ฉันเดินกินอมยิ้มไปตามทาง ใช้มือปั่นแกนพลาสติกให้ลูกกลมๆในปากหมุนไปหมุนมา ฉันมีความเชื่อว่าทำแบบนี้แล้วอมยิ้มจะรสชาติหวานขึ้น ฟังดูโง่ดีไหม

    บ้านหมอเปิดไฟสว่างโล่ ฉันเดินไปตามทางเข้า ลัดเลาะจากทางด้านหลังอ้อมไปข้างหน้า ก่อนจะหยุดยืนแอบอยู่ตรงรั้วกำแพง  
    หมอนั่งหันหลังอยู่ตรงแพหน้าบ้าน ดูเหมือนกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ ฉันลองเดินเข้าไปใกล้เพื่อให้ได้ยินบทสนทนาชัดขึ้น จนตอนนี้ฉันออกมายืนหน้าประตูบ้านหมอแล้ว 
    แต่หมอก็คงไม่รู้ตัว ความสนใจทั้งหมดของหมอตอนนี้คงอยู่ที่ปลายสายมากกว่า 

    “ก็บอกว่าไม่เป็นอะไร” 
    เสียงเรียบนิ่งของหมอพูดตอบปลายสาย ถึงมันจะฟังดูเบาหวิว แต่ฉันก็ยังได้ยินชัดเจน

    “พอเถอะ อย่าทำให้มันยากกว่านี้เลย” 
    ฉันไม่เคยได้ยินเสียงหมอเศร้าขนาดนี้มาก่อน 

    “เราก็บอกอยู่นี่ไงว่าเราไม่เป็นอะไรแล้ว” 
    เสียงหมอดูเหมือนจะเริ่มดังขึ้นมานิดหน่อยแล้ว หมอพูดจบประโยคแล้วก็ถอนหายใจออกมา 

    “ถ้าจะโทรมาคุยแค่นี้ เราวางก่อนนะ” 
    ภาพที่เห็นตอนนี้คือพี่หมอนั่งกอดเข่าซุกหน้านิ่งอยู่อย่างนั้น ความอบอุ่น รอยยิ้มที่แจกจ่ายให้กับทุกคนรอบตัว สุดท้ายแล้ว กลับต้องมานั่งเศร้าอยู่เพียงลำพังแบบนี้เหรอ
    หมอยังอยู่ชุดเดิมกับที่ไปโรงพยาบาล เพียงแต่ชายเสื้อที่เคยทับในถูกปล่อยออกมาอยู่ด้านนอกแล้ว
    ฉันรวบรวมความกล้า กลั้นใจเรียกหมอ เจ้าตัวสะดุ้งเล็กน้อย ยกมือขึ้นเช็ดหน้าตัวเอง ตะโกนตอบกลับฉัน แต่ก็ยังคงไม่หันมา 

    “ได้เวลากินข้าวแล้วเหรอ”
    “ค่ะ ม๊าให้มาตาม” 
    “ทีหลังน้องเอยโทรมาก็ได้นะ ไม่ต้องเดินมาตามหรอก เบอร์พี่น้องเอยก็มีแล้วนี่” 

    เสียงพี่หมอดูขึ้นจมูกชอบกล พี่หมอคงไม่ได้ร้องไห้ใช่ไหม สักพักพี่หมอก็ชันตัวลุกขึ้นยืน เดินมาทางฉัน แล้วสิ่งที่ฉันกังวลอยู่ในใจก็เป็นความจริง 
    ดวงตาช้ำช้ำถึงแม้จะไม่มีน้ำตาให้เห็น แต่คราบชื้นที่ยังเหลืออยู่เป็นหลักฐานได้อย่างดี 

    ฉันทำเป็นเหมือนว่าไม่ได้ยินที่หมอคุยโทรศัพท์ ยืนรอหมอปิดบ้านอยู่ตรงทางเดินด้านนอก 
    “ไหนบอกว่าไม่กินอมยิ้มแล้วไง”
    “พี่หมอรู้ไหมว่า ถ้าเราหมุนแกนอมยิ้มแบบนี้ให้มันกลิ้งๆอยู่ในปาก มันจะหวานขึ้น” 
    “คิดไปเองหรือเปล่า”
    “จริงๆนะ เดี๋ยวหนูเอาให้กินแล้วพี่หมอลองทำดู”

    หมอยิ้มแล้ว แค่เห็นฉันกินอมยิ้มหมอก็ยิ้มได้แล้วเหรอ  อย่างน้อยเรื่องโง่โง่แบบนี้ก็ทำให้คนเราหายเศร้าได้นะ  


    บรรยากาศบนโต๊ะอาหารอบอุ่นเหมือนเดิม ถ้าฉันไม่บังเอิญไปเห็นก่อนหน้านี้ ฉันก็คงไม่รู้เลยว่าคนตรงหน้าเคยร้องไห้ก่อนจะมากินข้าว 
    พี่หมอกำลังเล่าเรื่องไส้ติ่งอักเสบให้แม่กับยายฟัง แล้วตอนนี้ยายก็กำลังเยินยอสรรเสริญความเก่งของหมอ ฉันไม่รู้เรื่องพวกนี้มากนักหรอก แต่ก็พอรู้ว่า ไอ้ไส้ติ่งเนี่ย มันโคตรจะเป็นโรคพื้นฐานเลย หมอระดับนี้ทำไม่ได้ก็แปลกแล้ว 
    หรือว่าฉันจะเปลี่ยนใจสอบเข้าหมอดี เขามีสาขาเฉพาะทางเกี่ยวกับไส้ติ่งไหม เผื่อยายจะชมฉันบ้าง 

    หมอมาช่วยฉันล้างจานเหมือนเมื่อคืน ท่ามกลางเสียงน้ำที่กำลังไหล ฉันแอบมองเสี้ยวหน้าหมอ ไม่รู้ทำไมถึงสลัดภาพหมอนั่งกอดเข่าอยู่ตรงแพไม่ได้ 
    “พรุ่งนี้พี่หมอไปโรงพยาบาลยังไง ให้หนูไปส่งไหม”
    “ไม่เป็นไร พรุ่งนี้เห็นว่าลุงนะจะขับไปส่งนะ” 
    “แล้วขากลับล่ะ ลุงนะก็ไปรับเหรอ” 
    “เออ นั่นสิ .. ลืมคิดขากลับเลย” 
    อยู่ที่นี่ฉันมีเพื่อน มีแม่กับยาย แถมที่นี่ก็เป็นบ้านของฉัน แต่หมอไม่มีใครเลย


    “ให้หนูไปรับไหม” 

    หมอรับจานใบสุดท้ายไปล้าง รอยยิ้มผุดขึ้น หมอยังไม่ตอบว่าจะให้ฉันไปรับไหม จนกระทั่งหมอเก็บจานใบสุดท้ายขึ้นไปไว้บนชั้นแล้วเรียบร้อย 

    “ถ้าจะไปรับพี่ ต้องไปรับทุกวันนะ” 
    “ได้ ไม่มีปัญหา ดีซะอีก หนูจะได้เนียนขี่รถเล่น ขี้เกียจฟังยายบ่น” 
    “ทำไมใจดีจัง”
    “ปกติก็เป็นคนแบบนี้อยู่แล้ว” 

    หมอหัวเราะทำเหมือนไม่เชื่อ อะไรล่ะหมอ เห็นฉันเป็นคนยังไง ฉันกำลังจะถามกลับไปแต่เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นขัดจังหวะ 
    หมอล้วงโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดู แล้วใบหน้าเปื้อนยิ้มก่อนหน้านี้ก็หายไป หมอกดตัดสายอีกครั้ง เก็บโทรศัพท์ตามเดิม 
    ฉันชักไม่ชอบใจแฟนเก่าหมอแล้วสิ โทรมาทีไร ทำให้หมอเศร้าทุกครั้งเลย ไม่รู้หรือไง หมอน่ะ เหมาะกับรอยยิ้มมากกว่านะ 

    “วันนี้น้องเอยไม่ต้องเดินไปส่งพี่นะ พี่เดินไปเองได้”
    หมอส่งยิ้มให้ ยิ้มที่ดูฝืนเหลือเกิน มือหนาแตะที่ไหล่ฉันแผ่วเบา ก่อนจะเบี่ยงตัวเดินออกจากห้องครัวไป 
    คนอกหัก ต้องใช้เวลาแค่ไหนนะถึงจะกลับมาสดใสได้เหมือนเดิม ใช้ตัวเองเป็นบรรทัดฐานไม่ได้ด้วยสิ ความรักเพ้อเจ้ออย่างฉัน ไม่ถึงอาทิตย์ก็ลืมแล้ว 
    หมอต้องใช้เวลาเท่าไหร่กัน เมื่อไหร่ที่หมอจะกดรับสายนั้นได้โดยที่หมอไม่เศร้า

    จริงสิ อมยิ้ม


    ฉันรีบวิ่งออกไปหน้าบ้าน เห็นหมอกำลังเดินลงบันไดไปแล้ว เสียงเรียกของฉันทำให้หมอหยุดเดิน หันมามองฉันตรงปลายบันได
    อมยิ้มสีชมพูหวานจากมือฉันถูกยื่นส่งให้หมอ เจ้าตัวดูสงสัยแต่ก็ยื่นมือมารับไว้ 

    “อย่าลืมนะ หมุนๆตรงแกนจะได้หวานขึ้น” 
    อมยิ้มนี่ต้องมีพลังวิเศษแน่เลย หมอยิ้มได้อีกแล้ว ยกมือขึ้นมาขยี้หัวฉันเล่นเหมือนที่หมอทำเมื่อคืน และท่าทางแบบนี้ทำให้ฉันรู้สึกเขินขึ้นมาอีกแล้วสิ
    ฉันอยากจะพูดอะไรสักอย่างเช่น สู้ๆนะหมอ ผู้ชายยังมีอีกเป็นร้อย ไม่ก็ อย่ากลับไปร้องไห้อีกนะหมอ แต่สุดท้ายฉันก็ไม่กล้า เราสองคนยังไม่สนิทกันขนาดนั้น แล้วนี่ก็เป็นเรื่องส่วนตัวหมอด้วย 

    “ฝันดีนะพี่หมอ”

    หมอยิ้มกว้างบอกฝันดีฉันกลับมาเหมือนกัน มองจากตรงนี้ หมอกำลังเดินไปด้วย แกะอมยิ้มในมือไปด้วย ไม่รู้ว่าหมอจะยอมทำตามที่ฉันบอกไหม 
    ถ้าชีวิตหมอตอนนี้มันขมมากนัก ก็หวังว่าอมยิ้มชิ้นนั้น จะช่วยให้หมอรู้สึกดีขึ้นได้นะ 




    ผมที่กำลังเปียกชื้นถูกพัดลมตรงหน้าเป่าจนเส้นผมปลิวไปมา ฉันชอบสระผมตอนกลางคืน นั่งเป่าผมไปเรื่อยๆไม่ต้องรีบร้อนอะไร ยิ่งผมยาวแล้วด้วย .. ใช้เวลานานเลยกว่าผมจะแห้ง เอาเวลาตอนเช้าไปนอนดีกว่า จะได้ตื่นสายขึ้นกว่าเดิม
    โทรศัพท์คู่ใจคืออีกหนึ่งอุปกรณ์แก้เบื่อเวลาเป่าผม ฉันเปิดเข้าแอพพลิเคชั่นเกมส์ที่เป็นเจ้าของเดียวกันกับแอพแชทยอดฮิต 
    บอกไว้ก่อนเลยนะ เห็นฉันไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไหร่ แต่เรื่องเกมส์นี่อย่าได้คิดมาสู้เชียว ฉันน่ะขึ้นที่หนึ่งตลอดกาล ไม่มีใครล้มฉันได้หรอก 
    ก่อนเริ่มเกมส์ ฉันกดเข้าไปเช็คตารางคะแนนทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าตัวเองอยู่ที่เท่าไหร่ 
    ไม่จริง 
    ฉันตกมาอยู่ที่สอง 


    ใคร ใครบังอาจมาล้มแชมป์ คะแนนของฉันเยอะขนาดนั้น ยังมีคนทำได้มากกว่านี้อีกหรือไง 

    รายชื่อไม่คุ้นเท่าไหร่ เมื่อวานที่เล่น ฉันยังไม่เห็นชื่อนี้เลยในเกมส์ และเพราะรูปภาพที่เล็กเหลือเกินแถมขยายออกก็ไม่ได้ ฉันจำชื่อนั้น ก่อนจะกดออกจากเกมส์เข้าแอพแชท 

    ภาพที่ฉันเห็นทำเอาต้องลุกขึ้นเดินพาตัวเองมาที่ริมหน้าต่าง มองบ้านหลังเล็กข้างล่างที่ไฟยังเปิดอยู่ ภาพผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ริมถนนซักที่ในต่างประเทศ ถึงจะเห็นแค่ข้างหลังฉันก็รู้ว่าเป็นหมอ 
    เก่งนักเหรอหะ 
    ฉันกดเข้าเกมส์อีกครั้ง ตรงรายชื่อหมอขึ้นจุดสีเขียวแปลว่าหมอกำลังออนไลน์อยู่ แบบนี้ต้องจัดให้เด็กมันดู ฉันจำคะแนนของหมอไว้ ก่อนจะกดเข้าเกมส์แล้วเริ่มเล่นบ้าง

    เลือดตาแทบกระเด็น ฉันเล่นไปถึงห้ารอบกว่าคะแนนจะชนะหมอ สมใจอยากแล้วฉันก็กดเข้าไปดูตารางคะแนน ก่อนจะเห็นชื่อตัวเองโชว์เด่นอยู่ข้างบนสุด ส่วนผู้พ่ายแพ้ก็หล่นมาอยู่อันดับสองแทน 
    อยากโทรไปหัวเราะใส่ดังๆแล้วกดวาง 


    ความดีใจของฉันมีไม่ถึงห้านาที เมื่อคะแนนของหมอกลับขึ้นมาแซงหน้าฉันอีกแล้ว แบบนี้หมอเศร้าไม่จริงนี่หว่า 
    ฉันมีเหรอจะปล่อยให้หมอได้ชนะ ฉันดึงความสามารถทุกอย่างที่มี งัดทุกกลเม็ด เกร็งจนเกือบลืมหายใจ เล่นไปเกือบสิบรอบกว่าจะแซงหมอได้ 
    นี่เป็นคะแนนที่สูงมากแล้วนะ ให้ตายหมอก็ไม่ได้เยอะกว่านี้หรอก 

    “หมอ” ฉันเผลอร้องตะโกนออกมา หมอคะแนนนำฉันได้อีกแล้ว ใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ ไอ้บ้าเอ้ย 
    ฉันกำลังสู้สุดใจ ยังไงคืนนี้ฉันก็ต้องชนะหมอให้ได้ หมอไม่เก่งไปทุกอย่างหรอก อีกนิดเดียวคะแนนฉันก็จะแซงหมอได้แล้ว แต่ดันมีคนโทรเข้ามาขัดจังหวะ แถมคนที่โทรมาดันเป็นคนเดียวกับที่ถีบฉันลงมาอันดับสอง 

    “พี่หมอโทรมาทำไมเนี่ย หนูเล่นเกมส์อยู่” 
    “พอได้แล้วน้องเอย พี่ง่วงแล้วนะ”
    “พี่หมอง่วง พี่หมอก็ไปนอนสิ พรุ่งนี้ไปทำงานแต่เช้าไม่ใช่เหรอ นอนไปเลย หนูจะเล่นเกมส์ต่อแล้ว” 
    ตัวเองชนะ แล้วจะโทรมาบอกให้เราหยุดเล่นเนี่ยนะ เกินไปแล้วหมอ เกินไปแล้ว 

    “ไม่เอา นอนพร้อมกัน มันดึกแล้วนะ” 
    “โอ้ย หนูยังไม่ง่วง ผมก็ยังไม่แห้ง” 
    ฉันขึ้นเสียงสูง รู้สึกหงุดหงิดหมอที่โทรมาแกล้งกันแบบนี้ 

    “น้องเอยอยากชนะพี่มากเลยเหรอ”
    “มาก” 
    ฉันตอบเสียงดังฟังชัดสวนกลับไปทันควัน แทนที่คนปลายสายจะโมโห เจ้าตัวกลับหัวเราะเสียงทุ้มตอบรับ

    “รีบนอนนะ เช็ดผมให้แห้งด้วย เดี๋ยวจะไม่สบายเอารู้ไหม”


    หมอ .. ทำไมน้ำเสียงหมอถึงได้ 

    “พรุ่งนี้พี่รอที่โรงพยาบาลนะ อย่าลืมมารับด้วย” 
    “รู้แล้วน่า” 
    เสียงหมออู้อี้เริ่มฟังไม่รู้เรื่อง ได้ยินเสียงหาวติดกันหลายครั้งจากปลายสาย 

    “ลืมบอกไปเลย พี่ลองทำตามที่น้องเอยบอกแล้วนะ .. อมยิ้มหวานขึ้นจริงด้วย”

    อารมณ์คุกรุ่น ไฟลุกโชนที่อยากเอาชนะหายไปทันที หมอคุยอีกสองสามประโยคก็ขอตัววางสายไปนอน บ้านหลังเล็กมืดสนิทแล้วตอนนี้  
    ถ้าหมอเป็นผู้ชาย ฉันคงตกหลุมรักหมอไปแล้ว 

    ฉันกลับเข้าไปดูตารางคะแนนอีกครั้ง ก่อนจะคลี่ยิ้มบางออกมา ยอมให้หมอชนะก็ได้คืนนี้ ยอมให้คนเดียวเลยนะ 

    “หมอ”

    คะแนนหมออยู่ดีดีก็พุ่งพรวดขึ้นไปกว่าเดิมอีกครั้ง ปุ่มสีเขียวคือหลักฐานว่าหมอโกหกที่บอกว่าจะไปนอน วิญญาณที่กระหายในชัยชนะกลับมาสิงฉันอีกครั้ง
    ได้หมอได้ หมอไม่นอน ฉันก็ไม่นอน เรามาวัดกันสักตั้งหมอ 

    เพราะหมอเป็นผู้หญิง ฉันถึงไม่ได้เฉลียวใจ ว่าวันหนึ่งความน่ารักของหมอจะย้อนกลับมาเล่นงานหัวใจฉัน 






    “เอยไม่เห็นแวะมาเล่นกับเราที่บ้านเลย”
    “เรายุ่งๆอ่ะมะนาว พอดีที่บ้านมีแขก” 

    ร้านน้ำแข็งใสตรงบ่อน้ำหน้าหมู่บ้านคือของหวานและร้านสุดโปรดของฉันกับเพื่อนสนิทในหมู่บ้าน มะนาวเรียนอยู่โรงเรียนเดียวกับฉันในตัวเมือง แต่ว่ามะนาวเรียนเก่งมาก ก็เลยได้อยู่ห้องคิง ส่วนฉันอีกนิดเดียวก็อยู่ห้องบ๊วยแล้ว
    มะนาวเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ใส่แว่นหนาเตอะ ชอบถักเปียสองข้าง มะนาวมีทุกอย่างตามแบบฉบับเด็กเรียนเด็กเทพ บางครั้งฉันก็อยากเปลี่ยนชื่อให้มะนาว เพราะมันดูขัดกับเจ้าตัวเหลือเกิน ชื่อ สังขยายังเหมาะกว่าอีก 
    ฉันขี่รถไปรับมะนาวที่บ้าน ก่อนเราจะนั่งจุ้มปุกตักน้ำแข็งใสเข้าปากรับลมเย็นตอนบ่ายสาม 

    “เอยเริ่มอ่านหนังสือสอบหรือยัง”
    “ยังเลยมะนาว เรายังไม่รู้เลยว่าจะสอบเข้าอะไร” 
    มะนาวทำหน้าเหมือนช็อกกับอะไรสักอย่าง ช้อนแว่นที่ลู่ตกลงมาขึ้นไป ใบหน้าจริงจังตอบกลับฉัน 

    “ไม่ได้นะเอย เอยต้องคิดแล้วนะ เราเหลือเวลาอีกไม่มากแล้วนะเอย”
    “อือ เราก็รู้”
    มะนาวไม่เคยพูดคำหยาบ นั่นทำให้ฉันต้องคอยกดตัวเองเอาไว้ ไม่ให้หลุดปากใช้สรรพนามไม่สุภาพกับมะนาว 
    จริงสิ มะนาวอยากสอบเข้าหมอนี่นา 
    “มะนาว มีหมอมาพักกับเราที่บ้านด้วยนะ เขามาประจำที่โรงพยาบาลในหมู่บ้าน พอดีเขารู้จักกับแม่เรา แม่เราก็เลยให้หมอเช่าบ้านอยู่เป็นรายเดือน”
    “จริงเหรอๆๆ เขาเป็นหมออะไรเหรอเอย”
    “เราก็ไม่รู้ แต่ว่าเมื่อวานหมอเขาผ่าตัดไส้ติ่งไปนะ”
    “โหย เป็นศัลยแพทย์เหรอ คงเก่งน่าดูเลยนะ”

     ฉันไม่รู้อะไรเรื่องวงการแพทย์หรอก ว่าแต่ที่พี่หมอเป็น มันยากมากเลยเหรอ 
    “ยังไงเหรอมะนาว”
    “ศัลยแพทย์เป็นหมอผ่าตัด ในบรรดาสาขาของหมอทั้งหมด มะนาวว่าอันนี้โหดสุดแล้ว ต้องผ่าคนจริงจริงเลยนะ” 
    “อ๋อ แบบนี้นี่เอง” 
    แต่ดูจากทรงแล้ว หมอก็คงไม่ธรรมดาหรอก ไม่นับที่เล่นเกมส์เก่งนะ 

    “เอยพาเราไปรู้จักหน่อยสิ เราอยากถามเขาเรื่องเรียนต่อ” 
    “ได้เลยมะนาว พี่หมอใจดี คงให้คำแนะนำกับมะนาวได้เยอะเลย” 
    ถ้ารู้ว่ามีคนอยากเรียน ขี้คร้านพี่หมอจะพูดเองแบบที่มะนาวไม่ต้องถามเลยด้วยซ้ำ 

    ฉันพามะนาวกลับไปส่งที่บ้าน เพราะต้องพาตัวเองไปรับพี่หมอที่โรงพยาบาล ฉันไปรับไปส่งหมออยู่เกือบอาทิตย์ จนหมอคงเริ่มเกรงใจเลยขอให้ลุงนะซื้อมอเตอร์ไซค์จากในตัวเมืองมาให้หนึ่งคัน เห็นว่าจะได้อาทิตย์หน้า ระหว่างนี้ฉันเลยต้องทำหน้าที่สารถีแสนดีไปก่อน 
    ส่งมะนาวเสร็จแล้วฉันก็หักรถหมุนตัว ก่อนจะเร่งเครื่องขี่ออกมา แต่อยู่ดีดีลูกหมาของมะนาวก็วิ่งออกมาจากพุ่มไม้ตัดหน้ารถ จนฉันเสียหลักหักหลบ ล้มหน้าคะมำเสียงดังลั่นทั้งรถทั้งคน 
    พ่อกับแม่มะนาวรีบวิ่งออกมาจากบ้านช่วยยกรถที่ทับตัวฉันออก ค่อยๆพยุงฉันขึ้น แขนถลอกตรงศอก แถมที่เข่าก็มีเลือดออกเป็นทาง จนชักรู้สึกแสบขึ้นมาแล้ว 
    แต่นั่นยังไม่น่ากลัวเท่าสิ่งที่ฉันกำลังคิดอยู่ในหัว 

    ยาย ..
    ไม่ได้ จะให้ยายรู้ไม่ได้ว่ารถล้ม 

    “ไปโรงพยาบาลกันเอย เอารถจอดไว้ที่นี่ เดี๋ยวพ่อเราไปส่ง” 
    “ไม่เอา เราไม่ไปนะมะนาว”
    ฉันส่ายหัวยืนยันเสียงแข็งว่าไม่ไป ไม่ได้เป็นคนกลัวเข็มฉีดยา กลัวเลือดอะไรทั้งนั้น .. หมอที่นั่นต่างหากที่น่ากลัว ถ้ารู้ว่าฉันรถล้มแบบนี้ มีหวังเอาไปบอกแม่กับยาย แล้วฉันก็อาจถูกบังคับให้เลิกขี่รถ 
    โอ้ย ทำยังไงดี 




    ฉันไม่สามารถขัดขืนมะนาวได้ สุดท้ายก็เลยถูกเข็นเข้าห้องฉุกเฉิน ตอนนี้ฉันกำลังนั่งอยู่บนเตียง รอให้หมอมาดูอาการ ระหว่างนั้น ฉันก็คอยแต่จะมองหาว่าพี่หมออยู่ไหน จะได้หลบทัน รถล้มแค่นี้คงไม่ต้องถึงมือพี่หมอหรอก 
    แค่คิดในหัว พี่หมอก็โผล่มาทันที ร่างสูงใต้เสื้อคลุมเดินเข้ามาในห้องฉุกเฉิน หยุดยืนคุยกับพยาบาล ขาข้างที่ยังไหวอยู่ ยันร่างตัวเองขึ้น กระโดกกระเดกไปดึงผ้าม่านสีเขียวมาบังเตียงไว้ 
    ได้ยินเสียงทุ้มของหมอออกคำสั่งพยาบาล สักพักเสียงนั้นก็เงียบหายไป ฉันเลยแอบแง้มผ้าม่านออกดู 
    พี่หมอไม่อยู่แล้ว ฉันเผลอหายใจออกมาอย่างโล่งอก รอดไป


    “น้องเอยหลบใครอยู่เหรอ”


          ให้มันได้อย่างนี้สิ



    เสียงทุ้มที่ติดจะขี้เล่นหน่อยๆ กระซิบมาจากข้างหลัง ฉันที่จนตรอกไร้ทางหนีหันไปส่งยิ้มแหยแหยกลับไปให้พี่หมอที่กำลังยืนกอดอกยิ้มกว้างมองฉันอยู่ 
    หมอที่นี่มีน้อยเกินไป หรือว่าใครสักคนตั้งใจส่งหมอคนนี้มากันนะ 



    วงแหวนดาวเสาร์.
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×