ลำดับตอนที่ #11
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : พี่หมอมีความลับ (อีกแล้ว) | Rewrite
ระยะทางจากวัดกับโรงพยาบาลไม่ไกลกันมากเท่าไหร่ พี่หมอประคองยายไว้อยู่เบาะหลัง คอยเรียกยายตลอดทาง
ทันทีที่ถึงโรงพยาบาล พี่หมอพุ่งตัวตามติดเตียงนอนที่เข็นยายเข้าห้องฉุกเฉิน ฉันกอดแม่แน่นเร่งตามเข้าไป
พยาบาล เจ้าหน้าที่สี่ห้าคนเข็นเครื่องนั้นเครื่องนี้เข้ามากันจ้าละหวั่น พี่หมอถอดเสื้อคลุมยีนส์ออกทิ้งพาดไว้ที่ปลายเตียง ออกคำสั่งพยาบาลที่อยู่ตรงนั้น ไม่ถึงนาที คุณหมอผู้ชายอีกคนก็วิ่งเข้ามา
พี่หมอผละตัวเองออกห่างให้หมออีกคนเข้าไปดูยาย ส่วนฉันกับแม่ยืนดูอยู่ตรงปลายเตียง
“หมดสติไปค่ะ แต่ว่าคุณยายยังหายใจได้อยู่ แต่ไม่รู้สึกตัว”
พี่หมอบอกเล่าอาการของยายให้คุณหมออีกคนฟัง ก่อนพี่หมอจะผละออกมาดูที่หน้าจอมอนิเตอร์จิ๋วที่ตั้งอยู่ข้างเตียง
คุณหมอผู้ชายกำลังตรวจอาการยาย ยายมีโรคประจำตัวอยู่แค่ความดันกับเบาหวาน ที่รู้เพราะฉันต้องจัดยาให้ยายหลายครั้งตอนที่แม่ไม่ว่าง
ยายไม่เคยป่วยหนักขนาดนี้ อย่างมากก็แค่เหนื่อยง่าย หรือมึนหัว แต่ไม่เคยล้มไปแบบนี้
ผิวของยายดูซีดลงถนัดตา นั่นทำให้ฉันเริ่มใจไม่ดี น้ำใสใสเริ่มรื้นที่ขอบตาแล้ว
“ปั้น พี่ว่ามันแปลกๆ”
หมอผู้ชายอีกคน จับบริเวณท้องยายแล้วก็เรียกพี่หมอให้เข้าไปดู ท่าทางดูไม่ดีนัก
“ตับเหรอ”
“พี่ว่าใช่ อาจจะต้องเอกซเรย์เพิ่ม”
พี่หมอก้มลงไปคลำตรงท้องยาย ก่อนสีหน้าจะแย่ลงหนักกว่าเดิม ฉันไม่ได้มองหน้าใครทั้งนั้น พี่หมอคือคนเดียวที่ฉันสนใจ แล้วตอนนี้พี่หมอก็กำลังทำให้ฉันกลัว
“พี่กุลเรียกหมอเอกมาทีได้ไหมคะ ท่าทางช่องท้องดูมีอะไรผิดปกติ” พี่พยาบาลที่ได้รับคำสั่งจากพี่หมอ ยกโทรศัพท์กดโทร ก่อนจะวิ่งออกไปจากห้องฉุกเฉินทันที
บรรยากาศในห้องฉุกเฉินยังดูวุ่นวายอยู่ ได้ยินคุยกันว่าความดันของยายไม่ลดลงเลย แถมชีพจรก็เต้นไม่ปกติ หมอผู้ชายกำลังสั่งยาให้พยาบาลฉีดเข้าไป
พยาบาลคนเดิมวิ่งกลับเข้ามาใหม่พร้อมกับข่าวร้ายว่าติดต่อหมอคนนั้นไม่ได้ และนั่นคือครั้งแรกที่ฉันได้เห็นอีกมุมของพี่หมอ
“หมายความว่ายังไงคะ หมอเอกไม่อยู่ที่โรงพยาบาล”
“เอ่อ .. ค่ะ โทรเข้ามือถือแล้วหมอไม่รับสาย ถามจากพยาบาลที่วอร์ด เห็นว่าหมอกลับไปที่บ้านพัก”
“กลับไปได้ยังไง”
“เท่าที่ถามมา เห็นหมอฝากไว้ว่า ถ้ามีเรื่องฉุกเฉินค่อยให้โทรไปตามหมอค่ะ”
“แต่วันนี้หมอเอกอยู่เวร แล้วหมอไม่อยู่โรงพยาบาลได้ยังไง ถ้าครั้งนี้ไม่ใช่ญาติของปั้น แล้วปั้นไม่ได้มาด้วย คนไข้จะทำยังไง”
เสียงพี่หมอดังกังวานไปทั่วห้องฉุกเฉิน เจ้าหน้าที่ที่กำลังดูแลยายวุ่นๆอยู่ก่อนหน้านี้ ชะงักมือค้างนิ่ง ทุกอย่างรอบตัวเงียบจนเย็นยะเยือก แม้แต่ฉันเองยังสะดุ้งตกใจเลย
ท่าทางพี่หมอดูโกรธจัด ใบหน้าขึ้นสีเลือดชัดเจน ยกมือเท้าเอว ผ่อนลมหายใจเข้าออกช้าช้า เหมือนพยายามระงับอารมณ์ตัวเองอยู่
มือที่จับแม่อยู่เผลอบีบแน่น ฉันไม่เคยคิดว่าหมอจะเป็นแบบนี้ น่ากลัวจนฉันชักไม่แน่ใจแล้วว่า จริงๆแล้วหมอเป็นคนยังไงกันแน่
พยาบาลคนที่โดนพี่หมอตะคอกใส่ กำโทรศัพท์ในมือแน่นพลางก้มหน้านิ่ง แม้แต่หมอผู้ชายที่ดูอาวุโสกว่า ยังไม่กล้าเข้าใกล้พี่หมอเลย
“กันญาติคนไข้ออกไป เคสนี้ปั้นดูเอง”
เสียงเรียบนิ่งออกคำสั่งอีกครั้ง มันทั้งนิ่ง ห้วน ไร้อารมณ์ พูดเหมือนกับญาติคนไข้ที่ว่านั่นเป็นคนอื่น
เรานั่งกันอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน แม่กำลังคุยโทรศัพท์กับลุง ส่วนฉันก็ได้แต่นั่งจ้องประตูห้องฉุกเฉินไม่วางตา เกือบชั่วโมงแล้ว ยังไม่มีใครออกมาบอกอะไรเราสักอย่าง
พี่พยาบาลคนที่โดนพี่หมอดุเดินออกจากห้องฉุกเฉินพอดี ถือเอกสารในมือกำลังเดินเข้าไปทางห้องจ่ายยา ฉันเลยรีบลุกไปรั้งไว้
“ขอโทษนะคะ คุณยายที่มาเมื่อชั่วโมงที่แล้วเป็นยังไงบ้างคะ”
พี่พยาบาลส่งยิ้มหวานใจดี ก่อนจะเดินกลับมากับฉัน มาหาแม่ที่นั่งรออยู่ ก่อนพี่พยาบาลจะหย่อนตัวลงเก้าอี้ถัดไป ชะโงกหน้ามาอธิบายเพื่อให้แม่ได้ยินด้วย
“หมอปั้นกำลังดูอาการให้อยู่นะคะ ตอนนี้คุณยายปลอดภัยแล้ว อีกสักพักจะมีพยาบาลมาแจ้งให้ทราบ”
พี่พยาบาลดูน่าจะอายุมากกว่าพี่หมออยู่ไม่น้อย คงเฉียดสี่สิบได้แล้ว พี่หมอกล้าตะคอกใส่ได้ยังไงกัน
“ไม่มีอะไรร้ายแรงใช่ไหมคะ น้าเห็นหมอปั้นดู..”
ฉันหันไปมองแม่ ขนาดแม่ยังตกใจเลยที่เห็นอีกขั้วหนึ่งของหมอ หากแต่พยาบาลกลับดูไม่ตกใจสักนิด ยังคงยิ้มกว้าง เสียงหวานเริ่มอธิบาย
“ตอนนั้นพยาบาลเองก็ตกใจเหมือนกัน ดูท่าทางหมอไม่น่าโมโหร้อนได้ขนาดนั้น แต่พยาบาลเข้าใจหมอนะคะ ถ้ามีคนไข้ฉุกเฉินต้องการผ่าตัดด่วน แต่ไม่มีหมออยู่เลย พยาบาลก็คงโมโหแบบนี้เหมือนกัน”
“หมอผู้ชายไงคะ เขาผ่าตัดไม่ได้เหรอ”
ฉันถามโพล่งขึ้นมาบ้าง ยอมรับว่ายังผิดหวังเรื่องที่พี่หมอไปตะคอกใส่พี่พยาบาลคนนี้อยู่
“คุณหมอผู้ชายเป็นหมออายุรกรรมค่ะ ถ้าต้องมีการผ่าตัดจริงๆ ต้องเป็นศัลยแพทย์เท่านั้น”
“ก็พี่หมอไงคะ หนูหมายถึงหมอปั้น เขาก็ผ่าได้ไม่ใช่เหรอ”
พี่พยาบาลโดนตะคอกใส่ขนาดนั้น ทำไมยังออกตัวแก้ต่างให้อยู่อีก
“หมอปั้นผ่าได้ค่ะ แต่ตามกฎแล้ว วันนี้ไม่ใช่เวรหมอ คนไข้ที่มาในเวลานี้ถือเป็นคนไข้ของคุณหมออีกคน ที่หมอปั้นโมโหมาก คงเพราะถ้าวันนี้คุณยายไม่ใช่ญาติของหมอปั้น ถ้าหมอปั้นไม่อยู่ที่นี่ คนไข้อาจทรุดหนักได้”
คำอธิบายของคุณพยาบาลทำให้ฉันเข้าใจพี่หมอมากขึ้นก็จริง แต่ฉันก็ยังไม่ชอบอยู่ดีที่พี่หมออารมณ์เสียใส่คุณพยาบาลที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรเลย
ผ่านไปอีกเกือบครึ่งชั่วโมง คุณพยาบาลอีกคนถึงได้เดินออกมา เรียกเราให้เข้าไปพบหมอ
ห้องทำงานของหมออยู่ชั้นสอง เป็นห้องสี่เหลี่ยมกะทัดรัดแยกออกจากคนอื่น ที่หน้าห้องมีป้ายชื่อของหมอติดไว้อยู่
มุมขวาของห้องมีเก้าอี้นวมอันใหญ่กับที่รองขาตั้งอยู่ใกล้กัน ผนังห้องมีที่เกี่ยวเสื้ออันเล็กติดอยู่ เดาว่าคงเอาไว้แขวนเสื้อคลุมหมอ
ฉันกับแม่นั่งลงเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ที่หน้าพี่หมอมีเอกสารอยู่สามสี่ใบ กับหน้าจอคอมพิวเตอร์อันใหญ่ที่กำลังแสดงผลรูปเอกซเรย์อะไรสักอย่างที่ดูไม่ออก
ตั้งแต่พี่หมอสวมร่างอวตารอีกร่างหนึ่ง ฉันก็ไม่กล้าคุยกับหมอ แค่สบตายังไม่กล้า เลยก้มหน้ามองมือตัวเองจนกระทั่งเสียงทุ้มของพี่หมอเริ่มพูดขึ้น น้ำเสียงที่กลับมาเป็นพี่หมอคนเดิมแล้ว
“คุณยายรู้สึกตัวแล้วนะคะ ปั้นให้พยาบาลพาคุณยายไปนอนพักที่ห้องแล้ว ตอนนี้ให้ยาเพื่อให้คุณยายได้นอนหลับอยู่ ปั้นอยากให้นอนดูอาการอยู่ที่นี่สักสามวันก่อนนะคะ”
“แล้วยายเป็นอะไรเหรอปั้น ทำไมถึงล้มลงไปแบบนั้น”
ฉันไม่ค่อยได้ยินแม่เรียกชื่อเล่นพี่หมอเท่าไหร่นัก คงเพราะตอนนี้แม่กำลังเครียดอยู่
“ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำค่ะ คุณยายคงรู้สึกหน้ามืดก่อนหน้านี้แล้ว แต่คงพยายามฝืนไว้ จนกระทั่งล้มลง”
“แม่นะแม่ ดื้อจริงๆ”
พี่หมอเท้าแขนไว้กับโต๊ะ เสียงหัวเราะทุ้มตอบกลับตอนที่ได้ยินแม่บ่นถึงยาย ฉันเผลอเงยหน้าขึ้นมองหมอ พร้อมกันกับที่หมอมองมาทางฉันพอดี
ฉันหลบตา กลับมาก้มหน้าเหมือนเดิม
“มีอีกเรื่องหนึ่งค่ะ”
น้ำเสียงพี่หมอกลับมาจริงจังอีกครั้ง เจ้าตัวหันหน้าจอคอมพิวเตอร์มาทางฉันกับแม่ ก่อนที่นิ้วเรียวจะชี้ให้ดูจุดที่ผิดปกติ
“ตอนที่พาคุณยายมา เราคลำเจออะไรบางอย่างที่ผิดปกติอยู่บริเวณส่วนท้อง"
จากทิศทางที่หมอชี้ ดูเหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างอยู่ตรงนั้น
“เราเจอก้อนเนื้องอกอยู่ตรงแถวใกล้ตับ ขนาดประมาณ 4.5 เซนติเมตร คุณยายเคยบ่นว่าปวดท้องบ้างไหมคะ”
แม่เริ่มร้องไห้ออกมา ตัวสั่นจนฉันต้องรีบเข้าไปโอบไว้ เสียงสั่นเครือของแม่ตอบกลับหมอไป
“แม่ไม่เคยบ่นให้น้าฟังหรอก แกคงหายากินเองไม่ก็ทนเอา”
“คือขนาดก้อนเนื้อประมาณนี้ สามารถทำให้คนไข้เกิดอาการปวดท้องอย่างหนักได้ จริงๆก็เริ่มจากปวดไม่มาก แต่ถ้าปล่อยให้มันโตไปเรื่อยๆ ก็จะเป็นแบบนี้”
“ปั้น .. ปั้นกำลังจะบอกน้าว่า ยายเป็น .. มะเร็งเหรอ”
เสียงแม่เริ่มพูดไม่รู้เรื่อง ส่วนฉันที่กำลังปลอบแม่อยู่ก็เริ่มฝืนน้ำตาตัวเองไม่ไหวแล้ว
“ใจเย็นก่อนนะคะ มันอาจจะเป็นแค่ก้อนเนื้อธรรมดาก็ได้” พี่หมอรีบดึงทิชชู่บนโต๊ะส่งให้แม่ก่อนจะเอื้อมมาบีบมือแม่ไว้
“ก้อนเนื้อขนาดนี้ คงทานยาให้มันฝ่อไปเองไม่ทันแล้ว ถ้าให้ปั้นแนะนำ เราควรผ่ามันออกค่ะ คุณยายจะได้หายปวดท้อง แล้วเราก็จะได้ชิ้นเนื้อไปตรวจหาเชื้อมะเร็งด้วย”
“ผ่ามันอันตรายไหมปั้น ยายจะไหวไหม”
“ปั้นต้องรอผลอีกหลายอย่างประกอบกันค่ะ ถึงจะบอกได้ว่าคุณยายพร้อมไหม ระหว่างนี้คงต้องดูอาการไปก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าคุณยายแข็งแรงพอที่จะรับการผ่าตัดค่ะ”
แม่พยักหน้าฟังตามที่หมอพูด ส่วนฉันก็ได้แต่ลูบหลังแม่ ปลอบให้แม่หยุดร้อง ทิชชู่ผืนใหม่ถูกยื่นส่งมาให้ฉันจากมือพี่หมอ ฉันรับมาก่อนจะจับใส่มือแม่
อะไรกัน เมื่อเช้ายายยังเดินมาเขกหัวฉันได้อยู่เลย ผ้าถุงสีน้ำเงินผืนสวยที่ยายซื้อให้ฉันใส่ ยิ่งมองเห็น น้ำตาฉันยิ่งไหลออกมาไม่หยุด
เรามีกันแค่สามคน ถ้ายายเป็นอะไรไป เราสองคนจะอยู่กันยังไง
ฉันสะดุ้งตัวโยน ตกใจกับมือของหมอที่เอื้อมมาลูบแก้มฉัน หมอกำลังเช็ดน้ำตาให้ฉัน สายตาที่พี่หมอมองมา มันสื่อออกมาทุกอย่าง รอยยิ้มของหมอที่เหมือนเข้ามากอดฉันไว้ เสียงทุ้มเอ่ยกับฉัน
“ไม่ร้องนะคนเก่ง”
ฉันซุกตัวเข้าหาแม่ เป็นแม่แล้วที่เข้ามาปลอบฉันแทน รอจนฉันเริ่มสงบลง พี่หมอถึงกลับมาอธิบายต่อ
“เดี๋ยวคุณน้าเซ็นเอกสารเตรียมไว้ให้หน่อยนะคะ ถ้าผลทุกอย่างออกมาดี ปั้นอยากรีบผ่าตัดให้เร็วที่สุด จะได้รีบเอาชิ้นเนื้อไปตรวจ”
แม่หยิบเอกสารมาดู ส่วนฉันก็นั่งสะอึก พยายามควบคุมตัวเองให้หยุดร้อง
“น้องเอยไปดูยายให้ม๊าหน่อยได้ไหมลูก เดี๋ยวม๊าทำเอกสารเสร็จแล้ว .. ม๊าตามไป”
ฉันพยักหน้าทำตาม ลุกขึ้นยืนเตรียมเดินออกจากห้อง แวบหนึ่งฉันเผลอหันไปมองพี่หมอที่ยิ้มให้ฉันอยู่ แล้วฉันก็ยิ้มตอบไป
ลืมไปเสียสนิทเลย ว่าเคืองพี่หมออยู่
ฉันเดินออกมายังไม่ถึงทางขึ้นบันได กลับนึกได้ว่าลืมโทรศัพท์ทิ้งไว้ที่โต๊ะหมอในห้อง เลยพาตัวเองย้อนกลับมา หากแต่บทสนทนาในห้องนั้น กลับดูแปลกพิกล ไม่เห็นคุยกันเรื่องยายเลย
ฉันเลือกจะไม่เดินเข้าไป ตัดสินใจแอบยืนฟังอยู่หน้าห้องแทน
“วันนี้ที่วัด มีคนมาถามน้าเรื่องปั้นด้วยนะ”
“จริงเหรอคะ เขาจำปั้นได้เหรอ”
“น้าว่าเขาแค่คุ้นมากกว่า ปั้นเองก็ไม่ค่อยเปลี่ยนไปด้วย แต่น้าบอกปัดไปแล้วล่ะว่าไม่ใช่”
“แล้ว .. น้องเอยได้ถามอะไรน้าบ้างไหมคะ”
“ไม่จ๊ะ น้องเอยไม่ได้สงสัยอะไร แต่น้าแค่เป็นห่วง กลัวน้องเอยจะไปได้ยินจากคนอื่นเข้า”
แม่กับพี่หมอคุยอะไรกัน แล้วทำไมต้องไม่ให้คนอื่นรู้จักพี่หมอด้วย ไหนบอกว่าพี่หมอเป็นแค่นักท่องเที่ยวธรรมดาที่มาเที่ยวกับครอบครัวสมัยเด็กไง
บทสนทนานั้นทำให้ฉันนึกย้อนไปถึงตอนตักบาตร จะว่าไปผู้ใหญ่หลายคนที่ตักบาตรพร้อมกัน ก็แอบมองพี่หมอแล้วซุบซิบกันด้วย แต่เพราะตอนนั้นฉันมัวแต่แกล้งพี่หมออยู่ ก็เลยไม่ได้สงสัยอะไร
พี่หมอยังมีความลับอะไรอีกเหรอ
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวน้าไปดูยายก่อนแล้วกัน”
ซวยแล้ว แม่กำลังออกมา ฉันรีบพุ่งหลบตรงซอกข้างห้องทำงานหมอ รอจนแม่เดินออกไปจนสุดทาง ฉันถึงได้ย้อนกลับมาห้องหมออีกครั้ง
ความสงสัยทำให้ฉันไม่ได้เดินเข้าไปหยิบโทรศัพท์ทันที ได้แต่ยืนพิงกำแพงอยู่ข้างห้องหมอ พยายามตกผลึกความคิดตัวเอง ราวกับจิ๊กซอว์นับร้อยหายไป เรื่องราวที่ไม่น่ามีอะไร พี่หมอกับแม่กำลังปิดบังอะไรอยู่
“มาแอบยืนฟังผู้ใหญ่คุยกันแบบนี้ไม่น่ารักเลยนะ”
“เห้ย”
ฉันสะดุ้งเฮือก พี่หมอมายืนพิงประตูอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ฉันพยายามดึงหน้าให้ปกติที่สุด ถึงจะรู้ตัวว่าโดนจับได้แล้วก็เถอะ
“ใครแอบฟัง หนูเปล่าเลย”
“เหรอ”
หมอกอดอกยืนมองหน้าฉัน ส่งยิ้มแบบคนรู้ทันมาให้ เห็นแบบนั้น ฉันเลยใจดีสู้เสือ ใช้เสียงดังข่มกลับไป
“ใช่ หนูลืมมือถือไว้ จะเดินกลับมาเอา”
“ชายผ้าถุงมันยาวนะรู้ไหม เวลาใครใส่แล้วมายืนแอบอยู่แถวประตู มันจะมองเห็นง่าย”
ยิ่งก้มมองผ้าถุงตัวเองยิ่งอยากกรีดร้องออกมา ใช่ ไม่มีทาง ตาบอดเท่านั้นแหละถึงจะมองไม่เห็น เสียท่าให้พี่หมออีกแล้ว
ฉันยืนกัดปาก ก้มหน้าอยู่แบบนั้น รู้สึกหน้าแตก จะเดินเข้าไปหยิบโทรศัพท์แบบคูลคูลแล้วจากไปก็ทำไม่ได้ พี่หมอเล่นยืนขวางประตูไว้แบบนี้ จะเดินกลับไปเลยก็ไม่ได้อีก
โธ่เอ้ย
“ไม่เอาโทรศัพท์แล้วเหรอ”
หางเสียงที่เหมือนพี่หมอกลั้นขำไม่อยู่ ก่อนเจ้าตัวจะขยับทางให้ ฉันเลยต้องจำใจก้าวฉับฉับเข้าไป คว้าโทรศัพท์ได้เสร็จ ตั้งท่าจะเดินออก พี่หมอดันกลับมายืนกอดอกขวางประตูไว้เหมือนเดิมอีกครั้ง
อะไรกันนักกันหนาเล่า
“ไม่มีอะไรอยากถามพี่เหรอ”
“ถามแล้วจะบอกเหรอไง”
“ก็ลองถามมาก่อน”
ฉันชั่งใจอยู่นานว่าจะถามออกไปดีไหม พี่หมอเล่นเปิดโอกาสให้ขนาดนี้แล้ว แต่มาคิดดูอีกที นี่อาจเป็นกลลวงของพี่หมอก็ได้ หลอกถามเพื่อให้ฉันยอมรับว่าแอบฟัง รู้ทันหรอกน่า
“ไม่ถามหรอก เกิดถามไปแล้วไม่พอใจ โดนพี่หมอตะคอกใส่กลับมาทำไงล่ะ”
นี่ โดนไปซะ
พี่หมอหัวเราะออกมา เสยผมที่ปรกหน้า คลายมือที่กอดอกอยู่ เปลี่ยนมาล้วงกระเป๋ากางเกงแทน
“ตกใจไหมที่เห็นพี่แบบนั้น”
“ตกใจสิ เขาก็ตกใจกันทั้งโรงพยาบาลแหละ ทำไมพี่หมอต้องอารมณ์เสียขนาดนั้นด้วย แล้วยังตะคอกเสียงดังใส่พี่พยาบาลเขาอีก”
พี่หมอหัวเราะเบาลงแล้ว รอยยิ้มยังระบายอยู่ที่ใบหน้า
“พี่ไปขอโทษเขามาแล้ว ตอนนั้นมันคุมไม่อยู่จริงๆ พี่ไม่ชอบคนไม่มีความรับผิดชอบแบบนี้ เจอทีไรหัวร้อนทุกที”
ฉันทำเป็นหันมองไปอีกทาง เพราะพี่หมอเอาแต่ยิ้มอยู่ได้ จะขยับก็ไม่ขยับ ถ้าอย่างนั้นก็ยืนอยู่ด้วยกันแบบนี้แหละ
“ถ้าน้องเอยดื้อกับพี่ น้องเอยก็จะโดนแบบนั้นล่ะ”
“ไม่มีทาง เพราะหนูไม่ดื้อกับพี่หมอหรอก”
ฉันสวนกลับไปทันทีแบบไม่ผ่านก้านสมองอะไรทั้งสิ้น มารู้ตัวอีกทีว่ารูปประโยคมันฟังดูทะแม่งชอบกล แลมันเข้าทางพี่หมอเลยนี่หว่า
คงถูกใจคำตอบน่าดู ถึงได้ยิ้มขนาดนั้น นั่นจะทำอะไร พี่หมอเอื้อมมือออกมาอีกแล้ว จะเช็ดน้ำตาฉันเหรอ แต่ฉันไม่ร้องไห้แล้วนี่ หรือว่าจะลูบหัวฉันอีกแล้ว
ฉันจับข้อมือนั้นลอยเคว้งอยู่กลางอากาศเหมือนเมื่อเช้าเป๊ะ
“พี่หมอจะหยิบอะไร เดี๋ยวหนูหยิบให้”
“ครั้งนี้ไม่ได้จะหยิบ ครั้งนี้ลูบจริงๆ มือไม่เลอะห่อหมกแล้วด้วย”
พี่หมอทำเป็นกระดิกนิ้วไปมา ก่อนจะออกแรงต้าน สุดท้ายพี่หมอก็ลูบหัวฉันอีกจนได้
“ทำไมชอบลูบหัวจังเลย” ฉันถามออกไป พี่หมอยังคงลูบหัวฉันอยู่
“น้องเอยไม่ชอบเหรอ”
ชอบสิ ชอบมาก เขินจะตายอยู่แล้วเห็นไหม
“อ่ะ พี่ให้ลูบกลับ”
“บ้า”
ฉันไม่รู้ว่าหลังจากนี้ หมอจะมีอะไรมาให้ฉันเซอร์ไพรส์อีกไหม แต่ไม่ว่าหมอจะเป็นอะไร ฉันว่าตอนนี้ล่ะที่เป็นตัวตนของหมอจริงจริง
พี่หมอของฉันอบอุ่นที่สุดแล้ว
และเพราะฉันมัวแต่เขินพี่หมออยู่ เลยไม่ทันได้สังเกตเห็นสายตาบางอย่างที่พี่หมอกำลังมองมา .. สายตาที่ดูกังวลเหลือเกิน
วงแหวนดาวเสาร์.
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น