ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ผ่านภพบรรจบฟ้า (ตีพิมพ์กับสนพ. คำต่อคำ)

    ลำดับตอนที่ #8 : ตอนที่ ๘ ลวงสังหาร

    • อัปเดตล่าสุด 4 มิ.ย. 59


    ตอนที่ ๘ ลวงสังหาร



    จงมาที่จันทรา คำพูดนี้ทำเอาฉันคิดไม่ตกอยู่หลายวัน ตอนเดินกลับโรงนอนหลังกินข้าวเที่ยงเสร็จในวันหนึ่ง บังเอิญเจอสิบเก้ากำลังนั่งเอาผ้าพันแขนตนเองอยู่จึงเดินเข้าไปหา


    “แขนเจ้าบาดเจ็บรึ”


    สิบเก้าเงยหน้ามองก่อนจะพันต่อ


    “เล็กน้อย”


    “วันนี้ไม่มีวิชาต่อสู้ไยแขนเจ้าบาดเจ็บได้เล่า” ฉันนั่งลงหน้าเขา เอ่ยถาม


    “อาวุธมีอยู่ทุกที่ กิ่งไม้ที่เจ้าเดินผ่านทุกวันหากเกี่ยวบาดเจ้าขึ้นมาวันใดย่อมกลายเป็นอาวุธในวันนั้น” สิบเก้าตอบเสียงเรียบเรื่อยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่


    ฉันมองผ้าสีหม่นที่มีรอยเลือดซึมออกมา


    “กิ่งไม้นั่นคงคมน่าดู”


    สิบเก้าหลุดขำก่อนจะเงยหน้ามาส่งยิ้มกวนอย่างทุกที


    “อยู่ๆมาหาข้าเช่นนี้ไม่ใช่เพียงห่วงใยข้าแน่ มีสิ่งใดจะถามข้าก็ว่ามา”


    “เจ้ามีข้อมูลของหอจันทราบ้างหรือไม่” อีกฝ่ายเชื้อเชิญเช่นนี้ฉันก็ถามเข้าประเด็นทันที


    “หอจันทราอย่างนั้นรึ อยู่ในเงามืด ไปมาไร้ร่องรอย พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนเป็นนักฆ่าฝีมือฉกาจทั้งสิ้น เจ้าต้องการรู้เรื่องใดของหอจันทราเล่า”


    “หากข้าอยากเข้าหอจันทรา เจ้ามีคำแนะนำหรือไม่”


    สิบเก้าเลิกคิ้ว


    “เจ้าอยากเข้าหอจันทรา สี่สิบสาม นี่ข้าได้ยินผิดใช่หรือไม่”


    “เจ้าคิดว่าเกินตัวข้าไปอย่างนั้นรึ” ฉันถามสีหน้าครุ่นคิด คำพูดของบุรุษผู้นั้นที่ว่าจงมาที่จันทราคงไม่ได้หมายความว่าให้ฉันเดินเข้าไปตอนนี้เป็นแน่ ดูแล้วน่าจะหมายถึงให้ฉันใช้ความสามารถเข้าไปที่หอจันทราให้ได้เสียมากกว่า


    “ความจริงบุคลิกนิ่งสงบของเจ้าก็ดูเหมาะสมกับหอจันทราอยู่ เพียงแต่ว่ากันว่าชาวจันทราล้วนเลือดเย็น หากเป็นคำสั่งที่ได้รับมอบหมายแล้วพวกเขาทำลายได้แม้กระทั่งหัวใจของตนเอง” คำพูดนี้ของสิบเก้ากลับทำใจฉันหนาวเยือก แม้อีกฝ่ายเพียงพูดด้วยท่าทีปกติไม่ได้วางมาดขู่หลอกให้ฉันกลัวเหมือนทุกที “หากจะมีใครสักคนในรุ่นเราที่อธิบายความเป็นจันทราได้คนผู้นั้นก็คือหมายเลขหนึ่ง เจ้าลองมองเขาดูเถิด ข้าว่าเขานั่นแหล่ะเกิดมาเพื่อเป็นคนของจันทราขนานแท้”


    “แล้วเจ้าเล่า” ฉันเปลี่ยนมาถามถึงเจ้าตัวบ้าง “เจ้ามีจุดมุ่งหมายหรือไม่ว่าอยากเป็นคนของหอใด”


    “สุริยันนั้นออกจะฮึกเหิมเกินไปเสียหน่อย จันทราเองกลับน่าเบื่อสำหรับข้า หากไม่นภาคงเป็นวารี”


    “อย่าได้ไปนภาเลย หากในภายภาคหน้ามีพ่อข้าเช่นเจ้าเกรงว่าลูกค้าทั้งหลายคงถึงคราวเคราะห์กันถ้วนหน้า”


    สิบเก้าหัวเราะกับคำพูดของฉันก่อนจะพูดยิ้มๆ


    “นภานั้นน่าสนใจตรงที่ได้ออกเดินทางเผชิญโลกกว้าง”


    “วารีเล่า เจ้าไม่ใช่เหมาะกับหน่วยข่าวมากกว่าหรอกรึ”


    “หน่วยข่าวนั้นน่าสนใจอยู่ เพียงแต่หากต้องประจำอยู่ตรงไหนนานๆชีวิตคงน่าเบื่อไม่น้อย เดี๋ยวก่อนสี่สิบสาม” สิบเก้าวางแขนข้างที่ได้บาดเจ็บลงบนขา “ไยกลายมาเป็นเรื่องของข้าได้เล่า จันทราของเจ้าว่าอย่างไร ตั้งใจมุ่งมั่นไปทางนั้นจริงหรือไม่”


    ฉันนิ่งคิด ในตอนนั้นสิบเก้าก็กล่าวต่อ


    “หากเจ้าตั้งใจมุ่งมั่นทางนั้นคงต้องพยายามให้หนัก ในหมู่พวกเราหอจันทราได้รับความนิยมค่อนข้างมาก เจ้ามีคู่แข่งอีกมายมากเลยสี่สิบสาม” ร่างผอมที่แม้ดูแล้วเหมือนไม่มีเรี่ยวแรงหากแต่แท้จริงกลับปราดเปรียวอย่างมากลุกขึ้น “หากให้ข้าแนะนำ คงพูดได้เพียงว่าจงเอาตัวรอดให้ได้ ในความคิดข้านั้นทักษะเอาตัวรอดควรเป็นลักษณะเด่นของจันทรา” ตบไหล่ฉันสองทีแล้วเขาก็เดินออกจากโรงนอนไป


    ฉันจดจำคำพูดของสิบเก้าไว้แล้วตั้งมั่นว่าต้องฝึกให้หนักขึ้น ต้องเก่งกาจขึ้น เก่งกาจจนสามารถเข้าไปที่จันทราได้ เข้าไปถามบุรุษผู้นั้นด้วยตนเองว่าสิ่งใดกันที่เขาชิงไป และนั่นคือจุดมุ่งหมายแรกของฉัน




     

    วิชาของอาจารย์เหลียงผู้รอบรู้ วันนี้เป็นการสอนเรื่องแว่นแคว้นต่างๆ ยุคที่ฉันย้อนมานี้เป็นยุคที่แผ่นดินจีนยังคงแบ่งแยกเป็น 7 ดินแดน ฉี ฉู่ เยี่ยน หาน จ้าว เว่ย และฉิน ในตอนแรกที่ได้เรียนเรื่องนี้ในหัวก็พอคุ้นอยู่บ้าง เพียงแต่สมัยเป็นเนตรนภานั้นฉันเป็นเด็กที่เรียกได้ว่าสายวิทย์เต็มตัว ดังนั้นวิชาจำพวกสังคมการปกครองหรือกระทั่งประวัติศาสตร์ออกจะอยู่ในระดับที่พอสอบขึ้นมาก็ยัดใส่หัว พ้นวันสอบแล้วโยนทิ้งไว้หน้าห้องสอบเสียอย่างนั้น ฟังอาจารย์เหลียงพูดไปนอกจากชื่อแคว้นแล้วกลับไม่มีสิ่งใดคุ้นอีก เรียกได้ว่ามาจากอนาคตเปล่าประโยชน์โดยแท้


    พอนึกถึงเรื่องนี้ก็อดข้องใจในตัวหญิงชุดขาวขึ้นมาไม่ได้ ตัวฉันที่ไร้ประโยชน์ถึงเพียงนี้เหตุใดนางจึงยังเลือกมา ตัวเอกในนิยายที่เคยอ่านนั้นล้วนมีจุดเด่นมีสิ่งติดตัวจากโลกอนาคตมาได้ใช้ประโยชน์ในโลกนี้ทั้งสิ้น หากแต่ฉันนั้นนอกจากวิญญาณดวงนี้แล้วหาได้มีสิ่งใดติดตัวมาอีก นางกลับเลือกฉันมาด้วยเหตุผลใดกัน ฉันถอนหายใจก้มมองแผนที่เจ็ดแคว้นที่กางอยู่ต่อหน้า พรรคโจรแห่งนี้ทุ่มเทสอนวิชาความรู้แขนงต่างๆให้พวกฉันอย่างเต็มที่ เอายัดใส่หัวเราอย่างไม่เกรงกลัวว่าในภายภาคหน้าวิชาความรู้เหล่านี้จะย้อนกลับมาทำร้ายตนเอง เช่นนี้แล้วหากผู้นำไม่เก่งกาจมีอำนาจเทียมฟ้าก็คงเรียกได้ว่าเป็นนักพนันที่บ้าบิ่นกว่าผู้ใด


    ลากนิ้วไปบนเส้นเขตแดนระหว่างแคว้นฉีกับฉู่ แนวเทือกเขาตรงตะเข็บชายแดนนี้เป็นที่ต้องสงสัยสำหรับฉันว่าจะเป็นที่ตั้งของพรรคโจรแห่งนี้ สำหรับค่ายที่มีพื้นที่กว้างขวางอีกทั้งแต่ละหอยังมีอาณาเขตของตนเองชัดเจน ตั้งแยกสลับอยู่กับแนวเขาซับซ้อนเช่นนี้ หากไม่อยู่ตรงแนวตะเข็บชายแดนระหว่างสองแคว้นแล้วอีกความเป็นไปได้หนึ่งมีเพียงพรรคโจรนี้เป็นที่ซ่องสุมกำลังลับของแคว้นใดแคว้นหนึ่ง ซึ่งฉันให้น้ำหนักกับข้อสันนิษฐานที่ว่าค่ายตั้งอยู่ตรงตะเข็บชายแดนไม่ขึ้นตรงต่อแคว้นใดเสียมากกว่า เลื่อนนิ้วขึ้นเหนือไปที่แคว้นจ้าว ก่อนหน้านี้ตอนได้เป็นจางลู่หลินกับเสวียนกุ้ยถิงนั้นล้วนอยู่แต่ในแคว้นจ้าว มีเหตุผลใดหรือไม่ที่เทพบุตรต้องส่งฉันไปที่แคว้นนั้นและเมื่อไม่มีโอกาสได้เป็นสองคนนั้นแล้ว โอกาสสุดท้ายกลับมาโผล่อยู่พรรโจรเสียได้ ไม่ใช่ว่าเรื่องเหล่านี้ควรมีจุดเชื่อมโยงหรอกหรือ


    “สี่สิบสาม ถึงเวลาไปวิ่งแล้ว” ยี่สิบเจ็ดสะกิด ตอนนั้นฉันถึงได้เห็นว่าอาจารย์เหลียงออกไปแล้ว


    เราสองคนกับเด็กคนอื่นๆเดินออกจากเรือนเรียนรู้ไปที่รวมพลอย่างไม่รีบร้อนนัก


    “สี่สิบสาม ได้ยินว่าเจ้าอยากเข้าหอจันทรา” คำพูดนี้จากยี่สิบเจ็ดค่อนข้างทำฉันประหลาดใจ


    “สิบเก้าบอกเจ้าอย่างนั้นรึ”


    ยี่สิบเจ็ดส่ายหน้า


    “ข้าเพียงได้ยินคนอื่นพูดกัน”


    คนอื่นพูดกัน ดูเหมือนว่าในตอนที่ฉันพูดคุยกับสิบเก้านั้นในโรงนอนยังมีคนอื่นอยู่อีก เรื่องฉันอยากไปอยู่หอใดน่าสนใจให้เอาไปนินทากันถึงเพียงนั้นเลย


    “ข้าตั้งใจไว้เช่นนั้น”


    “อืม” ยี่สิบเจ็ดพยักหน้าก่อนจะหันมาส่งยิ้มให้ “เช่นนั้นข้าก็ขอเอาใจช่วยเจ้า”


    “แล้วเจ้าเล่า” ฉันถามกลับ


    “ขอเพียงผ่านการทดสอบได้จะหอใดข้าล้วนไม่เกี่ยง ข้าเพียงต้องการหาตัวผู้ที่สังหารพ่อแม่ข้าให้พบเท่านั้น”


    ฉันเงียบ เงียบอยู่พักหนึ่งจึงตัดสินใจพูด


    “ยี่สิบเจ็ด ความแค้นนั้นเป็นแรงผลักดันที่ดี หากแต่แค้นเกินไปย่อมไม่ส่งผลดี”


    แววตาของเด็กชายที่เดินข้างๆหม่นเศร้า


    “มันเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวเดียวของข้า”


    ฉันมองหน้าคนที่พอจะเรียกได้ว่าคุ้นเคยที่สุดในรุ่น เพราะไม่ใช่ผู้ที่ปลอบใจใครเก่งในสถานการณ์เช่นนี้ไม่รู้ว่าควรพูดสิ่งใดออกไป ที่ทำได้จึงเพียงแค่เดินเคียงข้างเขาไปเงียบๆเท่านั้น

     



    ยี่สิบเจ็ดถูกผู้คุมสามเรียกให้ไปช่วยงานบางอย่าง ยี่สิบเจ็ดผู้นี้เฉลียวฉลาดและจัดการงานเล็กๆน้อยๆได้อย่างละเอียดหมดจดจึงมักถูกผู้คุมสามเรียกใช้อยู่บ่อยๆ และแม้จะได้ช่วยงานเช่นนี้กลับทำตัวสงบเสงี่ยมอยู่เงียบๆ ทั้งยังไม่เคยปริปากให้ข้อมูลใดๆที่อาจบังเอิญรับรู้มาตอนไปช่วยงานเลยสักครั้ง นับว่าเป็นอีกคนหนึ่งที่ฉันจัดอยู่ในกลุ่มจำพวกอยู่เป็น


    “สี่สิบสาม” เด็กหญิงตัวสูงกว่าฉันเล็กน้อยส่งเสียงเรียกฉันที่กำลังตากผ้าอยู่ ชีวิตตกเป็นเบี้ยล่างต้องซักชุดให้ยี่สิบสองแลกยาอีกแล้ว “ยี่สิบเจ็ดฝากให้ข้ามาบอกเจ้า”


    “ว่าอย่างไร” ฉันถามกลับ


    “เขารอเจ้าอยู่ที่ริมลำธารที่ตัดผ่านเส้นทางวิ่งขึ้นลงเขาของพวกเรา”


    “เหตุใดเขาต้องไปรอที่นั่น”


    “ข้าเพียงเอาคำพูดเขามาบอกเจ้าเท่านั้น” พูดแล้วเด็กหญิงคนนั้นก็รีบเดินกลับไป


    ฉันยังคงยืนอยู่ที่เดิม ลำธารที่ตัดผ่านเส้นทางวิ่งขึ้นลงเขานั่นไม่ใช่ใกล้ อยู่เกือบกึ่งกลางของระยะทางจากบนเขาลงไปข้างล่างด้วยซ้ำ ยี่สิบเจ็ดผู้นั้นไหนเลยค่ำๆมืดๆจะไปยืนผู้เดียวตรงนั้นได้ ไม่กลัวสิงสาราสัตว์เพื่อนรักเจ้ายี่สิบมาขย้ำคอเอาหรอกรึ


    ฉันตัดสินใจไม่ไปตามเชิญนั่น หนสุดท้ายที่เดินทะเล่อทะล่าออกจากบ้านไปค่ำๆมืดๆก็คือตอนที่ถูกเจ้าบัดซบคิ้วบากจ้วงพุงจนตาย ไหนเลยจะกล้าเดินทะเล่อทะล่าอีกเป็นหนที่สอง ดังนั้นเมื่ออาบน้ำเสร็จฉันจึงเข้านอนทันที วันนี้ไม่ออกไปฝึกแต่คอยเงี่ยหูฟังว่าเมื่อไหร่ยี่สิบเจ็ดจะกลับมา และสุดท้ายยี่สิบเจ็ดก็กลับมาจริงๆในตอนกลางดึก เขาเพียงล้มตัวลงนอนโดยที่ไม่ได้สะกิดถามสิ่งใดฉันด้วยซ้ำ





     

    “เมื่อคืนนี้เจ้ากลับมาตอนไหน ข้าไม่เห็นรู้สึกตัว” ฉันลองถามเขาในตอนเช้า


    “ตอนข้ากลับมาก็ดึกมากแล้ว ยังนึกแปลกใจว่าวันนี้เจ้าไม่ออกไปฝึกเช่นทุกที” ยี่สิบเจ็ดตอบกลับก่อนจะส่งยิ้มอ่อนโยนให้อย่างทุกที “เจ้าพักเสียบ้างก็ดี”


    ฉันพยักหน้า ไม่ได้ถามสิ่งใดต่ออีก ในตอนที่บังเอิญเดินสวนกับเด็กหญิงผู้นั้นสายตาก็เหล่มอง เมื่อเห็นอีกฝ่ายหลบสายตารีบเดินหนีไปก็อดยกมือขึ้นแตะกลางอกตนเองที่มีมีดสั้นผูกคาดไว้อยู่ไม่ได้

     

    หลังจากนั้นฉันระมัดระวังตัวอย่างมาก หยุดออกไปฝึกถึงสี่วัน คอยลอบสังเกตผู้คนรอบกายอยู่เสมอ รอจนแน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติแล้วถึงได้เริ่มออกไปซ้อมในยามค่ำคืนต่อ ทุกอย่างดูเงียบสงบปกติจนฉันคิดว่าผู้ไม่หวังดีต่อฉันนั้นคงรามือไปแล้ว จนกระทั่ง...


    “จงไปที่ริมลำธารเพียงผู้เดียว ยี่สิบเจ็ดอยู่ที่นั่น”


    คำพูดแผ่วเบารวดเร็วจากเด็กชายที่เดินผ่านโต๊ะกินข้าวของฉันไปทำเอามือที่ถือช้อนอยู่ชะงัก ฉันหันขวับไปทันเห็นเพียงเขาเดินเข้าไปรวมกลุ่มกับผู้อื่น เหล่มองที่ว่างข้างตัว ยี่สิบเจ็ดบอกขอออกกลับไปที่โรงนอนก่อนฉันก็ไม่ได้คัดค้าน คิดว่าเขาอาจมีธุระเร่งด่วนเกี่ยวข้องกับห้องส้วมถึงได้ขอตัวไปก่อนเช่นนี้ ลุกขึ้นถือชามข้าวไปล้างเก็บ ฉันรีบก้าวเร็วๆกลับโรงนอน กวาดตามองไปรอบๆเมื่อไม่เห็นร่างคุ้นตาของลูกชายบัณฑิตผู้นั้นก็รีบเดินไปที่ห้องส้วมด้านหลัง


    “เห้ย!” สิบหกที่เปิดประตูออกมาสะดุ้งโหยง “เจ้ามาด้อมๆมองๆสิ่งใดอยู่หน้าส้วม สี่สิบสาม!


    “เจ้าเห็นยี่สิบเจ็ดบ้างหรือไม่” ฉันถามพลางเดินไปเปิดดูส้วมห้องอื่นๆ


    “เจ้าสองคนตัวติดกันตลอดเวลาไหนเลยมาถามเอากับข้าเล่า” สิบหกเดินตามมาชะเง้อตาม “ทำเขาตกหายไปแล้วหรืออย่างไร”


    “เขาบอกจะกลับมาที่โรงนอนนานแล้วจนบัดนี้ก็ยังไม่เห็น”


    “ไม่ใช่ว่าผู้คุมสามเรียกเขาไปช่วยงานหรอกรึ”


    “เจ้าเห็นเขาไปกับผู้คุมสามหรือสิบหก”


    “ข้าหาได้เห็นเพียงแค่คาดเดา เจ้าดูลนลานกว่าทุกทีหรือไม่สี่สิบสาม เกิดเรื่องใดขึ้นอย่างนั้นรึ”


    ฉันชะงักเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้า วางท่าทีให้สงบลง


    “ข้าเพียงสงสัยว่าเขาไปไหนก็เท่านั้น” พูดแล้วก็เดินออกมาหน้าโรงนอน


    แหงนมองท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มเข้ม ขาก้าวตรงไปยังลานดินเดินตัดผ่านตั้งใจจะลองไปด้อมๆมองๆที่หอกลางเผื่อได้พบกับผู้คุมสาม ในตอนนั้นกลับเห็นเขายืนอยู่ที่ป้อมยามเสียก่อน ฉันรีบตรงไปหาทันที


    “สี่สิบสามทำความเคารพผู้คุมสาม” ฉันโค้งตัวลง


    “หืม มาหาข้าถึงนี่มีเรื่องใดเกิดขึ้นหรือไร” ผู้คุมสามที่กำลังพูดคุยอยู่กับยามเจ้าของมีดสั้นที่ฉันยึดเป็นของตนเองหันมาถาม


    “ท่านเห็นยี่สิบเจ็ดบ้างหรือไม่” ฉันถามตรงประเด็นทันที


    “เหตุใดข้าต้องเห็นยี่สิบเจ็ดด้วยเล่า”


    “ไม่ใช่ว่าท่านเรียกเขาไปช่วยงานอีกแล้วหรือ”


    “งานนั่นเรียบร้อยแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้เขาช่วยอีก”


    “เจ้าทำสหายตกหายไปอย่างนั้นรึ เจ้าลูกหมา” ยามถามกึ่งหัวเราะ


    “ขออภัยที่ข้าเสียมารยาทเข้ามารบกวน เช่นนั้นสี่สิบสามขอลา” ฉันโค้งตัวทำความเคารพอีกรอบ ตั้งใจจะลองไปหาที่อื่น


    “เดี๋ยวก่อนสี่สิบสาม”


    ฉันหันกลับมา


    “ได้ยินว่าเจ้าตั้งใจจะเข้าหอจันทรา” ผู้คุมสามเอ่ย กระทั่งเขาก็ยังให้ความสนใจด้วย ฉันออกจะประหลาดใจอยู่นิดหน่อย


    “ถูกแล้ว” ตอบออกไปตามตรง


    “เหตุใดจึงอยากไปที่นั่น”


    ฉันจ้องมองใบหน้ายียวนที่ดูจริงจังกว่าปกติของผู้คุมสามก่อนหลุบตามองพื้น


    “เรื่องนั้นเป็นเหตุผลส่วนตัวไม่อาจบอกได้ ผู้คุมสามโปรดอภัย”


    “หึ” ผู้คุมสามยิ้มมุมปาก “ในเมื่อเป็นเหตุผลส่วนตัวของเจ้า ข้าย่อมไม่ดึงดันอยากรู้”


    “เช่นนั้นสี่สิบสามขอลา” ฉันทำความเคารพอีกครั้ง ความมืดที่เริ่มโรยตัวทำใจฉันไม่สงบเอาเสียเลย


    “ระวังตัวเถิดสี่สิบสาม เส้นทางของเจ้านั้นเกรงว่าจะไม่ง่ายนัก” คำพูดของผู้คุมสามดังตามหลังในตอนที่ฉันเดินออกมา


    ฉันกลับไปที่โรงนอนอีกครั้ง เมื่อไม่พบยี่สิบเจ็ดขาก็ก้าวตรงไปยังจุดรวมพลสำหรับวิ่งขึ้นลงเขา มือแตะมีดสั้นผ่านเสื้อก่อนจะตัดสินใจลงจากเขาไป

     




    นับว่าสวรรค์ยังพอเข้าข้างคืนนี้ท้องฟ้าเปิด ฉันอาศัยแสงจันทร์ใช้วิชาตัวเบาบุกฝ่าป่าด้วยเส้นทางที่แยกออกจากเส้นทางหลัก วิ่งตัดไปจนถึงลำธารก่อนจะเลาะเลียบลำธารกลับมาในทิศที่ตั้งเส้นทางหลัก ไม่ว่ายี่สิบเจ็ดจะอยู่ที่นี่เพียงลำพังหรือมีผู้อื่นอยู่ด้วย ฉันจะต้องเป็นฝ่ายเห็นคนเหล่านั้นก่อน


    “เนิ่นนานปานนี้ ข้าว่าเจ้าสี่สิบสามปอดแหกนั่นคงไม่มาแล้ว”


    ข้างลำธารมีคนยืนอยู่ 4 คน เป็นชายสามหญิงหนึ่ง ด้านหลังพวกเขาตรงโขดหินมียี่สิบเจ็ดถูกมัดไว้อยู่ สี่คนนี้ฉันจำหมายเลขของพวกเขาได้ หมายเลขห้า ยี่สิบแปด สี่สิบ สี่สิบเอ็ด


    “สี่สิบสามเฉลียวฉลาด เขาไม่มีทางติดกับดักตื้นเขินเช่นนี้แน่!” ยี่สิบเจ็ดตะโกนมาจากตรงโขดหิน ตอนนี้ฉันที่ยืนอยู่บนกิ่งไม้อาศัยกิ่งใบกับแสงคบเพลิงที่ส่องมาไม่ถึงของเจ้าพวกนั้นอำพรางตัวไปกับความมืดถึงได้เห็นว่าเขาบาดเจ็บสะบักสะบอมไม่น้อย


    “เช่นนั้นก็นับว่าเจ้านั่นไม่เห็นเจ้าที่คอยช่วยเหลืออยู่ในสายตา” น้ำเสียงหมายเลขห้าเย้ยหยัน


    ยี่สิบเจ็ดชะงักอึ้ง แต่อึ้งไปเพียงนิดเดียวก็พูดตอบ


    “ถูกแล้ว เขาไม่เคยเรียกข้าว่าสหายสักครั้ง ไม่เคยแบ่งปันเล่าเรื่องราวใดของเขากับข้า เขาไม่ได้เห็นข้าแตกต่างไปจากผู้อื่น เจ้ารู้อย่างนี้แล้วยังคิดว่าเขาจะมาที่นี่อีกอย่างนั้นหรือ”


    “เช่นนั้นเหตุใดตอนที่พวกข้าให้เจ้าไปล่อเขาออกมาเจ้ากลับไม่ยอมทำเล่า!” สี่สิบถามเสียงกราดเกรี้ยว


    “แต่ละคนล้วนมีวิถียึดมั่นของตนเอง” ยี่สิบเจ็ดตอบกลับราบเรียบ


    “วิถีใดของเจ้า วิถีสละชีพเพื่อผู้อื่นอย่างนั้นรึ เจ้าเป็นนักบุญหรือไรยี่สิบเจ็ด” หมายเลขห้าหัวเราะลั่น อีกสามคนที่เหลือต่างก็หัวเราะขันไม่ต่างกัน หัวเราะกันจนพอใจแล้วหมายเลขห้าก็หยิบดาบขึ้นมาชี้ตรงไปยังผู้ที่ถูกมัดอยู่ “เช่นนั้นข้าก็ขอสนับสนุนท่านนักบุญให้ได้สละชีพเพื่อเศษขยะสมใจ”


    “หากเขาเป็นเศษขยะจริง เจ้าคงไม่จำเป็นต้องเดือดร้อนวางแผนเพื่อกำจัดเขาตั้งแต่ตอนนี้กระมัง” ยี่สิบเจ็ดเงยหน้าพูด รอยยิ้มบางๆนั่นทำให้มือที่กำด้ามดาบของหมายเลขห้าเกร็งเขม็งก่อนจะง้างขึ้น “เขาไม่เห็นข้าเป็นสหาย แต่สำหรับข้าเขาคือสหายหนึ่งเดียวในที่แห่งนี้”


    “นับว่าน่าชื่นชม!” หมายเลขห้าคำราม


    เคร้ง


    ก่อนที่ดาบจะถูกเหวี่ยงลงมา มีดสั้นผสานลมปราณก็เข้ากระแทกกับใบมีดอย่างแรง จังหวะที่หมายเลขห้าหันมาตัวฉันก็พุ่งถึงตัวเขาถีบเข้าหน้าตาบัดซบนั่นจนกระเด็นไปทั้งตัว ดาบหลุดจากมือหล่นลงพื้น ฉันวิ่งไปหยิบดาบตั้งใจจะเอามาตัดเชือกให้ยี่สิบเจ็ด เจ้าพวกที่เหลือกลับตั้งสติได้เข้าต่อสู้รุมฉันทันที ทุกกระบวนท่าทั้งที่จดจำเอาเองและที่เคยฝึกกับยี่สิบถูกงัดมาใช้ต้านรับ คมดาบเหวี่ยงโดนแขนหมายเลขสี่สิบเอ็ด นางร้องด้วยความเจ็บปวดกระโดดถอยหลังไปพร้อมๆกับฉันที่ชะงักมือด้วยความตกใจ


    “สี่สิบสาม ข้างหลัง!” เสียงยี่สิบเจ็ดตะโกน


    ฉันหันกลับไปเหวี่ยงดาบใส่ขาของหมายเลขห้าที่พุ่งถีบมา จังหวะนั้นไม่คาดว่าหมายห้าผู้นี้กลับมีฝีมือไม่น้อย พลิกตัวหมุนกลางอากาศหลบคมดาบเกือบถีบเข้าไหล่ฉันที่เบี่ยงตัวหลบทันในนาทีสุดท้าย


    “สี่สิบสาม!” ยี่สิบเจ็ดตะโกนอีกครั้ง


    ฉันหันกลับไปอีกด้านรับกระบี่ของหมายเลขยี่สิบแปดได้ทันท่วงที แต่กลับไม่สามารถหลบฝ่ามือของหมายเลขสี่สิบที่ก้มแทรกตัวเข้าซัดเข้าที่ใต้ชายโครงได้ เท้าไถลไปตามพื้นหญ้าหันไปใช้ดาบปัดมีดสั้นที่พุ่งมาจากหมายเลขสี่สิบเอ็ดออกก่อนจะรับกระบวนท่าต่อไปของหมายเลขห้า จบจากกระบวนท่าของหมายเลขห้ากระบี่ของหมายเลขยี่สิบแปดก็พุ่งใส่จากด้านหลัง แม้รู้ตัวเบี่ยงหลบแต่ไม่พ้น กระบี่แทงเฉือนต้นแขนซ้ายก่อนจะพุ่งเลยไป หมุนตัวหลบฝ่ามือหมายเลขสี่สิบได้ฉันก็ตัดสินใจพุ่งเข้าเตะหมายเลขห้า ใช้วิชาตัวเบาพลิกกลับมาฟาดดาบใส่หมายเลขสี่สิบเอ็ดที่จำต้องถอยหลบ เมื่อตัวลงถึงพื้นก็กวาดเท้าเตะขายี่สิบแปดกับสี่สิบ อาศัยจังหวะนั้นวิ่งไปใช้ดาบฟันเชือกบนตัวยี่สิบเจ็ดอย่างเร่งรีบ กะพลาดไปตัดเอาเสื้อยี่สิบเจ็ดขาดไปด้วยได้แต่หวังว่าเขาคงไม่คิดเล็กคิดน้อย


    ยี่สิบเจ็ดรีบลุกขึ้นทั้งที่บาดเจ็บพุ่งเข้าใส่หมายเลขยี่สิบแปด ฉันหันไปรับกระบี่ของสี่สิบสลับกับหมายเลขห้าที่พุ่งเข้ามา ในตอนนั้นจึงไม่ได้สังเกตว่าหมายเลขสี่สิบเอ็ดออกจากการต่อสู้ไป จนกระทั่งจังหวะหนึ่งสี่สิบกับหมายเลขห้าดีดตัวถอยออกจากฉันพร้อมกัน ลูกดอกสี่ลูกพุ่งเข้าหาตัวฉันที่ไม่ทันตั้งตัว ปัดทิ้งได้สามอีกหนึ่งกลับพุ่งเสียบเข้าที่ไหล่ขวา จังหวะกำลังตกใจอยู่นั้นกระบี่แทงสวนเข้ามาฉันหลบไม่พ้นโดนปาดเข้าช่วงเอวไปพร้อมเลือดสาดกระเซ็น


    “สี่สิบสาม!” ยี่สิบเจ็ดจะพุ่งเข้ามาช่วยกลับถูกยี่สิบแปดขวางไว้ ต้องหันไปต่อสู้ติดพันกับทางนั้น


    ฉันเอาดาบยันพื้นไว้ ยังไม่ทันได้ดึงลูกดอกออกจากไหล่หมายเลขห้าก็พุ่งเข้ามาอีกแล้ว ตัวฉันในตอนนี้แขนซ้าย ไหล่ขวา เอวขวา ล้วนอาบไปด้วยเลือดทั้งสิ้น ยกดาบขึ้นกัน หมายเลขห้ากลับใช้ท่าเดิมพลิกตัวใช้วิชาตัวเบาถีบเข้าข้อมือฉันจนดาบกระเด็นหลุดไป ฉันกัดฟันพุ่งตัวหลบไปอีกทางให้พ้นรัศมีที่หมายเลขห้าจะคว้าดาบกลับมาฟันถึง ลูกดอกพุ่งฝ่าอากาศมา ฉันกระโดดกลิ้งหลบอย่างทุลักทุเล มือคว้าหยิบมีดสั้นกับพื้นเขวี้ยงใส่สี่สิบที่พุ่งเข้าใส่ มีดปักโดนไหล่เจ้านั่นจนชะงักไป หยุดสี่สิบได้กลับไม่สามารถหยุดหมายเลขห้าที่มีดาบอยู่ในมือ ฉันจับลูกดอกที่ไหล่ขวาตนเอง คิดจะเดิมพันดึงมันออกเขวี้ยงใส่ตาหมายเลขห้าตอนที่เขาพุ่งเข้ามาลงดาบ ในเวลาเดียวกันนั้นกลับมีร่างเงาหนึ่งพุ่งผ่านหน้าไป


    ฟึ่บ


    พริบตาเดียวเลือดก็พุ่งออกจากตัวหมายเลขห้าเป็นแนวยาวจากไหล่ซ้ายจนถึงเอวขวา เงาร่างนั้นพุ่งเข้าหาหมายเลขสี่สิบอย่างรวดเร็ว ฟันเข้าหลังหมายเลขสี่สิบที่กำลังวิ่งหนีล้มหน้าทิ่มจมกองเลือด ตอนแรกฉันนึกว่าเงาร่างนั้นคือเจ้ายี่สิบที่บังเอิญผ่านมา ไม่คาดตอนเขาเหวี่ยงดาบใส่หมายเลขยี่สิบแปดจนจมกองเลือดไปอีกคนถึงเห็นว่าไม่ใช่ยี่สิบ เส้นผมสีดำยาวพลิ้วสะบัดไปตามแรงลมเมื่อเขาหันมา ดวงตาคมกริบสีเดียวกับท้องฟ้าในตอนนี้มองมาที่ฉัน


    หมายเลขหนึ่ง!


    ยี่สิบเจ็ดล้มลุกคลุกคลานเข้ามาประคองฉันที่มือยังคงจับลูกดอกบนไหล่ขวา แต่ตากลับมองประสานกับผู้ที่ยืนถือดาบเปื้อนเลือดอยู่ต่อหน้า


    “สี่สิบเอ็ด” ฉันพูด นึกขึ้นได้ถึงเจ้าของลูกดอกนี้ “ยังมีสี่สิบเอ็ด”


    “นางตายแล้ว” หมายเลขหนึ่งตอบ นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ฉันได้ยินเสียงของเขา นายท่านผู้ล้ำเลิศผู้นี้


    “สี่สิบสาม เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง!” ยี่สิบเจ็ดถามเสียงร้อนลน “ลูกดอกนี่ไม่ใช่ว่ามีพิษหรอกรึ!


    ฉันหันขวับไปมองหน้ายี่สิบเจ็ด พิษ! พิษอีกแล้วรึ! กัดฟันรีบดึงลูกดอกออก ปักอยู่นานเสียด้วย ไม่ใช่ป่านนี้พิษแล่นถึงหัวใจฉันแล้วหรอกนะ ตายครั้งแรกก็เพราะมีดอาบพิษ ครั้งที่สองถูกพิษตกสระขยับไม่ได้จนจมน้ำ มาครั้งนี้ยังจะลูกดอกพิษอีก ตัวฉันเคยทำบาปเอาพิษไปเทลงแม่น้ำทำคนตายทั้งหมู่บ้านตอนชาติปางไหนหรืออย่างไร กรรมถึงตามมาเล่นงานเช่นนี้


    “พวกเจ้า” ผู้มาใหม่ปรากฏตัว สัตว์ประหลาดยี่สิบหันมองรอบๆ “ข้าได้กลิ่นเลือดจึงมาดู นี่มันเรื่องใดกัน”


    ในตอนที่เจ้ายี่สิบกำลังงุนงง หมายเลขหนึ่งก็หันกายพุ่งหายฟุ่บเข้าป่าไป


    “ยี่สิบ เจ้ามาช่วยข้าตรงนี้ที สี่สิบสามโดนพิษ!” ยี่สิบเจ็ดตะโกนเรียก


    “เจ้าปากมาก ใกล้แล้วตายหรือยัง มองเห็นข้าหรือไม่” ยี่สิบเดินมาก้มมองถามฉันที่เลือดเต็มตัว


    “ข้ายังเห็นเจ้าชัดเจนดีอยู่ ต้องทำให้ผิดหวังแล้ว” ฉันตอบ นิ่วหน้าเล็กๆตอนยี่สิบเจ็ดฉีกเสื้อตนเองมาพันแขนห้ามเลือดให้


    “”สี่สิบสามเจ้ากดผ้าตรงเอวของเจ้าไว้” ยี่สิบเจ็ดสั่ง คว้ามือฉันมากดผ้าที่ขยำเป็นก้อนไว้ ตัวเขาบาดเจ็บทั่วตัวเช่นนี้กลับช่วยเหลือฉันอย่างเต็มที่ก่อน ฉันรู้สึกซึ้งใจจริงๆ


    “ลูกดอกนี่เจ้าโดนนานแล้วหรือยัง” ไอ้เจ้าสัตว์ประหลาดกวนประสาทนี่ยังจะถามต่อ


    “นานแล้ว ตั้งแต่ก่อนหมายเลขหนึ่งจะมาฆ่าพวกเขาตายเสียอีก” ฉันตอบ พยายามขยับตัวจะลุกขึ้นนั่ง


    “พิษอาบลูกดอกล้วนแล้วแต่ถึงตายทั้งนั้น เหตุใดเจ้ายังอยู่ดีอยู่เล่า” ไอ้เจ้าบ้านี่อยากให้ฉันตายให้ได้เลยหรืออย่างไร


    “จริงอย่างที่ยี่สิบว่า หรือลูกดอกนี่จะไม่ได้อาบยาพิษ” ยี่สิบเจ็ดเอาผ้ามาหยิบลูกดอกไปสำรวจ


    “พวกเจ้า หากอยากคุย ไปคุยที่ค่ายดีกว่าหรือไม่” ฉันกัดฟันตอบ “ข้ารู้สึกว่าสายตาเริ่มมองไม่ชัดแล้ว” พูดจบก็ต้องร้องลั่น เมื่ออยู่ๆเจ้ายี่สิบก็ก้มมาจับฉันยกขึ้นพาดบ่าหน้าตาเฉย แผลที่เอวกระแทกอย่างแรง


    “ยี่สิบ เจ้าจะฆ่าเขาหรืออย่างไร!” ยี่สิบเจ็ดตะโกนลั่น


    “เจ้ายังพอเดินไหวหรือไม่” แต่เจ้าสัตว์ประหลาดกลับไม่สนใจฉันที่เอามืออันสั่นเทาของตนเองกดแผลที่เอวไว้อย่างทุลักทุเล หันไปถามยี่สิบเจ็ด


    “ข้ายังพอเดินไหว”


    “เช่นนั้นข้าล่วงหน้าไปก่อนแล้วกัน พาเจ้าปากมากนี่ไปหาสิบสอง หากลูกดอกนั่นมีพิษจริงคงต้องพึ่งนาง” พูดจบก็พุ่งตัวใช้วิชาตัวเบาฝ่าอากาศไปอย่างรวดเร็ว ได้ยินเพียงเสียงยี่สิบเจ็ดตามหลังมาไกลๆว่า


    “สี่สิบสามแข็งใจไว้!


    หากฉันตายอีกล่ะก็ รอบนี้ฆาตกรคือไอ้เจ้ายี่สิบผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่นแน่นอน




    -------------------------------------------------------------------


    ตอนแรกว่าจะตัดเป็นสองตอน คิดไปคิดมายาวๆไปเลยแล้วกัน แบ่งไม่ถูก ฮ่าๆๆ

    ผ่านมาเจ็ดตอนหมายเลขหนึ่งเพิ่งได้พูดแบบชัดๆ ไม่รู้เมื่อไหร่จะได้พูดอีก ต่อให้ได้พูดก็ไม่รู้จะพูดเกินสามประโยคหรือเปล่าด้วยสิ 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×