ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ผ่านภพบรรจบฟ้า (ตีพิมพ์กับสนพ. คำต่อคำ)

    ลำดับตอนที่ #21 : ตอนที่ ๒๐ ชุดฟ้าชุดน้ำเงินชุดดำชุดแดง

    • อัปเดตล่าสุด 4 มิ.ย. 59



    ตอนที่ ๒๐ ชุดฟ้าชุดน้ำเงินชุดดำชุดแดง




    “ข้าอยากเป็นจอมยุทธ์ผู้เก่งกล้าเกรียงไกรเหนือผู้ใดในโลกหล้า แล้วเจ้าเล่า”


    “หยกชิ้นนี้แบ่งให้พวกเจ้าคนละครึ่ง”


    “ข้าขอสัญญา จะปกป้องเจ้าตลอดไป”


    เฮือก!


    ร่างกายผวาลืมตาโพลง ภาพโลหิตย้อมม่านหมอกสีขาวที่แตกกระจายจนเป็นสีแดงฉานยังคงติดตรึง มือสั่นเทายกขึ้น ความฝันนี้ กำวางบนอกข้างซ้าย เหตุใดจึงรู้สึกหวาดกลัว เหตุใดในความหวาดกลัวนั้นกลับแทรกไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวที่หัวใจ สูดลมหายใจเข้าออกยาวๆ ไม่เข้าใจเลย ทั้งๆที่ไม่เข้าใจ เหตุใดสัมผัสความรู้สึกถึงกระจ่างชัด ราวกับว่ามันเคยเกิดจริงๆ ราวกับฉันเป็นผู้ประสพพบเจอจริงๆ


    เลิกผ้าห่มลุกขึ้นนั่ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฝัน ทั้งคำพูดและภาพพร่ามัวเหล่านี้ฉันเคยฝันเห็นมาก่อนแล้วในตอนที่เข้ามาสู่หอจันทรา คนในฝันเหล่านั้นคือผู้ใด หนึ่งคนพูดว่าอยากเป็นจอมยุทธ์แกร่งกล้า บอกว่าจะปกป้องตลอดไป อีกคนบอกว่าหยกชิ้นนี้แบ่งให้พวกเจ้าคนละครึ่ง คำพูดของอาจารย์พลันปรากฏในความคิด คำพูดที่ว่าหยกขาวที่ฉันได้มานี้เป็นเพียงชิ้นส่วนครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งอยู่ที่ผู้ใดไม่อาจทราบ สืบหาข่าวมาจนบัดนี้ยังไม่ได้ร่องรอย


    ฉันลุกขึ้นเดินไปล้างหน้าล้างตา ความฝันนี้เกี่ยวข้องกับหยกขาวหรือไม่ เป็นความทรงจำของร่างนี้ หรือเป็นเพียงจินตนาการของฉันที่หมกมุ่นกับหยกขาวมากเกินไป เพราะหากจะคิดว่าเป็นความทรงจำของฉันเองแล้ว ฉันซึ่งมาจากอีกโลกหนึ่งในอนาคตไม่มีทางมีความทรงจำเช่นนี้ได้ เดินกลับมานั่งที่โต๊ะน้ำชา ในหัวมีเรื่องราวมากมายเสียจนไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนก่อน มือคว้าจับถ้วยชาขึ้นมา 2 ถ้วย


    “หยกขาว” ฉันเอ่ย วางถ้วยหนึ่งไว้ด้านซ้าย “หญิงชุดขาว” อีกถ้วยวางฝั่งขวา


    หยกขาวนั้นอาจารย์เก็บรักษาไว้ในกล่องซึ่งสามารถกักพลังเรียกหาชิ้นส่วนอีกครึ่งของมันไว้ได้ เหตุที่ต้องเก็บไว้เช่นนั้นเป็นเพราะพวกเราตอนนี้ไม่อาจทราบได้ว่าผู้ที่ครอบครองหยกอีกครึ่งนั้นเป็นมิตรหรือศัตรู เพราะหากเจตจำนงค์ของผู้ที่มอบหยกครึ่งชิ้นมาให้นี้ไม่ใช่เพื่อให้ร่วมมือกับอีกครึ่ง ก็อาจเป็นต้องการให้หักหาญกับอีกครึ่งที่มีอยู่


    สายตาเลื่อนไปทางถ้วยชาฝั่งขวา


    หญิงชุดขาว ผู้ซึ่งอาจารย์สันนิษฐานว่าเป็นเทพเซียน ไม่มีความจำเป็นใดต้องตามหานางให้เสียเวลา หากแต่ฉันซึ่งยังคงยึดถืออยู่กับคำแนะนำหนึ่งเดียวที่ได้รับมาจากเทพบุตรนั้นไม่อาจตัดใจไม่ตามหาได้ ที่ผ่านมาจึงร่วมมือกับจิ้นเหอสอดส่องอยู่เนืองๆ ไม่พบก็ไม่เป็นไร แต่หากได้พบขึ้นมาวันไหนคงเป็นเรื่องดี


    มือคว้าหยิบถ้วยชาอีกใบวางลงกึ่งกลางระหว่างถ้วยซ้ายขวา


    จางลู่หลินและเสวียนกุ้ยถิง สองคนนี้มีจุดร่วมอยู่ที่ทั้งสองสกุลให้การร่วมมือสนับสนุนแคว้นฉินแทรกซึมเข้าสู่แคว้นจ้าว ด้วยเพราะแคว้นจ้าวนั้นการเมืองภายในไม่นิ่งมาแต่ไหนแต่ไร กลยุทธ์ของแคว้นฉินจึงเป็นแทรกซึมและทำลายจากภายใน เมื่อสบโอกาสคงยกทัพบุกยึดได้ไม่ยากเย็น


    เรื่องของจางลู่หลินนี้ฉันเคยเอ่ยปากถามอาจารย์อยู่ครั้งหนึ่ง ว่าหอได้มีภารกิจให้ชงจื้อไปสังหารบุตรสาวผู้นี้ของเสนาบดีจางหรือไม่ สังหารด้วยเหตุใด อาจารย์ตอบว่าภารกิจของชงจื้อนั้นไม่ใช่การสังหารบุตรสาวเสนาบดีจาง แต่เป็นตัดช่องทางไม่ให้สกุลจางก้าวไปมีบทบาทอำนาจในราชสำนักมากกว่าที่เป็นอยู่ เนื่องจากเรื่องสกุลจางให้ความร่วมมือกับแคว้นฉินนั้นหอวารีสืบข่าวจนยืนยันได้นานแล้ว จึงจำเป็นต้องตัดไฟแต่ต้นลม ค่อยๆตัดเส้นทางสกุลจางออกทีละน้อยไม่ให้เอื้อผลประโยชน์ให้ฉินมากเกินไปจนสามารถรุกรานจ้าวได้ในระยะเวลาอันใกล้นี้


    ภารกิจนี้เป็นภารกิจระยะยาวซึ่งมอบให้หน่วยของชงจื้อ


    “แล้วเหตุใดเขาต้องสังหารเด็กหญิงที่อายุเพียงสิบสองปีด้วยเล่า สังหารแล้วจะตัดเส้นสายอำนาจสกุลจางได้อย่างไร” ในตอนนั้นฉันถามอาจารย์ด้วยความงุนงง


    “แต่เดิมสกุลจางนั้นนอกจากอำนาจของเสนาบดีจางแล้วไม่ได้มีหลักค้ำประกันอำนาจอื่นใดอีก” อาจารย์ตอบ “ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงพยายามอย่างมากที่จะเกี่ยวดองกับราชวงศ์ให้ได้ อาศัยเส้นสายต่างๆมากมาย สุดท้ายเหมือนจะประสพความสำเร็จในตัวองค์ชายที่ถูกวางตัวให้เป็นรัชทายาท ตั้งใจเกี่ยวดองบุตรสาวคนเล็กของตนเองกับองค์ชายผู้นั้น”


    ตัวฉันขนลุกพรึ่บ ไม่คิดว่าชะตาชีวิตเกือบจะได้ถูกส่งเข้าวังไปแล้ว บ่อที่หนึ่งกับบ่อที่สองนี้จะอย่างไรก็หนีไม่พ้นตระกูลของอ๋องแคว้นจ้าวจริงๆ


    “เช่นนั้นเขาถึงตัดสินใจสังหารจางลู่หลิน” ฉันพยักหน้าสรุป “ความจริงจะเรียกว่าตัดสินใจสังหารก็ไม่ได้ ในตอนนั้นข้าเป็นฝ่ายเดินไปเจอเขาเอง อีกทั้งเขายังทำเหมือนรู้จักจางลู่หลิน เรียกชื่อแล้วเอามีดปักเสียมิดด้าม นั่นเพราะอะไรกัน” เงยหน้าขึ้นถามอาจารย์อีกรอบ


    อาจารย์ส่ายหน้า


    “เรื่องเขาจะรู้จักจางลู่หลินและตั้งใจสังหารนางหรือไม่นี้ไม่ใช่ธุระของข้า เพียงผลลัพธ์ออกมาว่าเขาสามารถตัดช่องทางไต่เต้าของสกุลจางได้ก็นับว่าภารกิจสำเร็จแล้ว”


    ในตอนนั้นฉันไม่ได้ถามสิ่งใดอีก ครั้นจะไปถามชงจื้อก็ไม่รู้จะเอาสิ่งใดไปอ้าง เกิดถามแล้วไปกระทบจิตใจส่วนดำมืดของเขาขึ้นมา กลายร่างเป็นโหดเหี้ยมเลือดเย็นชงจื้อเอามีดจ้วงแทงฉันตายอีกจะไม่คุ้มเอา


    นั่งมองถ้วยชาสามถ้วย สามปีที่ผ่านมา สิ่งเดียวที่แน่ใจได้คือทุกสิ่งล้วนเกี่ยวโยงไปยังแคว้นฉิน แคว้นใหญ่ที่ต้องการจะริเริ่มสงครามเจ็ดแคว้นในคราวนี้ พอพูดถึงแคว้นฉินมากๆเข้าฉันก็นึกออก ในภพที่จากมามีหนังจีนอยู่เรื่องหนึ่งเล่าถึงจิ๋นซีฮ่องเต้ผู้รวมเจ็ดแคว้น ตอนนั้นฉันเดินผ่านหน้าจอทีวีไปมาหลายครั้งจนข้อความในหนังบางส่วนติดอยู่ในความทรงจำ มาระลึกได้เอาป่านนี้ว่าจิ๋นซีฮ่องเต้ผู้นั้นคืออ๋องฉิน  นำทัพฉินยึดครองดินแดนทั้งหมดผนวกรวมจีนเป็นหนึ่งได้สำเร็จ คงไม่ใช่ว่าหยกขาวสมบัติเซียนอีกครึ่งหนึ่งนั้น ตอนนี้อยู่ในมืออ๋องฉินที่อยู่ๆลุกมาปฏิวัติการปกครองแคว้นแล้วเริ่มแผนการยึดดินแดนชาวบ้านหรอกนะ


    ฉันอ้าปากค้างอยู่คนเดียว นึกทึ่งหัวสมองตนเองที่มโนลากโยงไปถึงขนาดนั้นได้ รอจนได้กลับหอจันทราคงต้องยกเรื่องนี้เข้าพูดกับอาจารย์ บอกให้ศิษย์พี่หัวหน้าหน่วยหนึ่งของฉันผู้นั้นไปขอแบ่งข่าวแคว้นฉินจากหอวารีมาให้บ้าง หลงสืบอยู่แต่ในแคว้นจ้าวมานานไม่ใช่ว่าไปผิดทางกันหมดเลยหรืออย่างไร


    ยกกาเทชาเย็นชืดเหลือค้างจากเมื่อคืนใส่ถ้วย นึกถึงอ๋องมากๆเข้าแล้วก็อดไม่ได้นึกถึงเรื่องหยางชุนขึ้นมาอีก การกระทำของเขาเห็นอยู่ชัดๆว่าต้องการทวงบัลลังก์คืน แม้ไม่ได้เอ่ยปากอธิบายสิ่งใดชัดเจนแต่ฉันก็รู้ดี เลือดเนื้อที่สละเพื่อเขา ความหวังที่ฝากไว้กับเขา ความชอบธรรมที่แบกไว้บนบ่า ไม่ว่าตัวเขาจะต้องการหรือไม่ บัลลังก์มังกรนี้เขาไม่อาจไม่ทวงคืน


    ใจนึกเป็นห่วง อาจด้วยเพราะฉันกับเขามีเหตุให้ต้องเกี่ยวข้องกันอยู่ตลอดตั้งแต่เล็กจนโต แม้ไม่ได้สนิทชิดเชื้อกันตั้งแต่แรก บัดนี้กลับเป็นผู้ที่สามารถนั่งหาวหวอดๆบนหลังคาด้วยกันได้โดยไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจ เพียงเขาเอ่ยปาก ฉันผู้ที่ไม่คิดข้องเกี่ยวกับสงครามน่าปวดหัวของพวกราชวงศ์ ผู้ที่ยังคงสยดสยองกับสงครามวังหลังที่ทำตกสระตายไม่หาย ผู้ที่กลัวตายกลายเป็นผีเฝ้าบ่อจนเรียกได้ว่าขึ้นสมอง ฉันผู้นี้คงยินดีกระโจนเข้าร่วมนองเลือดกับเขาอย่างไม่ลังเล เพียงเขาเอ่ยปาก เพียงเขาเอ่ยขอความช่วยเหลือออกมา


    ถอนหายใจเฮือก ต่อให้เขาไม่เอ่ย หากเขาตกอยู่ในอันตรายฉันไหนเลยจะปล่อยไปได้ เจ้าจิ้นเหอก็เช่นกัน หมาบ้าเช่นเขาแม้จะเป็นหมาบ้าก็ไม่มีทางทิ้งเพื่อนไว้ให้ตายโดยไม่เข้าช่วยเหลืออย่างแน่นอน ถอนหายใจอีกเฮือก หลายเรื่องราวเหลือเกิน ฉันในตอนนี้ร่างกายยอายุเพียง 16 ปี หากแต่วิญญาณถูกเคี่ยวกรำผ่านภพผ่านชาติมาเสียจนราวกับคนแก่สมองล้าไปหมดแล้ว


    ฉันลุกขึ้นเดินไปเปลี่ยนชุด หากมัวนั่งอยู่เช่นนี้ไม่แคล้ววิญญาณได้ไหลออกทางปาก ตายไปด้วยเหตุเหน็ดเหนื่อยจากภายในเป็นแน่ ตบหน้าเรียกความสดชื่นเบาๆก่อนจะเดินไปหน้ากระจก มัดรวบผมครึ่งหนึ่งไว้หลวมๆด้านหลัง ปล่อยผมหน้าม้ากับปอยผมด้านข้างไว้ ใบหน้านี้จะว่าไปก็งดงามหมดจดอยู่ ดวงตาโศกซึ้งคู่นี้หากวิญญาณที่อยู่ในร่างไม่ใช่ฉันคงทำให้ดูน่าทะนุถนอมน่าปกป้องไม่น้อย น่าเสียดายที่ดันเป็นฉัน ฉันที่เจ้าจินฟู่บอกว่าทื่อๆมึนๆเซ่อๆงงๆ ทั้งยังทนทุกสภาพดินฟ้าอากาศ เช่นนี้แล้วไหนเลยจะน่าปกป้องอยู่เล่า


    ผล่ะออกจากกระจกด้วยความรันทดหดหู่ใจ จะอย่างไรเป็นโจรก็ไม่ต้องน่าทะนุถนอมมากมายอยู่แล้ว ช่างมันปะไร เปิดประตูออกมาบังเอิญพบสหายร่วมหลังคาเดินผ่านไปพอดี หยางชุนชะงักเท้า


    “อรุณสวัสดิ์” ฉันเอ่ยทัก


    “ตอนนี้ดวงอาทิตย์เกือบตรงหัวแล้ว” เขาตอบเรียบๆ ตรงไปตรงมาได้อย่างน่าชื่นชม


    “หากไม่เพราะนั่งเป็นเพื่อนเจ้าเมื่อคืนข้าไหนเลยจะตื่นสายเช่นนี้เล่า ยังมีหน้ามาตำหนิกันอีก ทำคุณบูชาโทษชัดๆ”


    มุมปากเขาเหมือนจะโค้งขึ้นเล็กน้อย ช่วงนี้รู้สึกว่าสีหน้าเขาอ่อนลงมาก ไม่แข็งกระด้างเท่าตอนแรกที่รู้จัก หากแต่ก็ไม่ได้อ่อนมากจนเสียบุคลิกนายท่านผู้เย็นชาสง่างามล้ำเลิศไป


    “ข้ากำลังจะไปหาจินฟู่ เจ้าจะไปด้วยหรือไม่” เขาเบี่ยงประเด็นมาถามเรื่องอื่น เมื่อเขาเบี่ยงมาแล้วฉันก็ไม่อยากต่อความอะไรมากมาย พยักหน้าหงึกๆตอบ


    “ไป”

     





    จินฟู่อยู่ที่เรือนจัดแสดง กำลังบ่นเรื่องคนทำฉากกั้นเสียหายมีจิ้นเหอนั่งกินขนมมองอยู่ที่โต๊ะมุมหนึ่ง เห็นนายใหญ่ของหอคีตากำลังวุ่นวายฉันก็ไม่อยากรบกวน เดินเลี่ยงไปนั่งลงตรงข้ามจิ้นเหอ หยิบขนมใส่ปาก


    “เมื่อคืนเจ้าไปไหน ข้าอยู่จนจบทุกการแสดงไม่เจอเจ้าแม้แต่เงา” เจ้าหมาบ้าถาม มือคว้าแย่งขนมที่ฉันกำลังจะหยิบไปอย่างหน้าด้านๆ


    “ข้าเหนื่อย ดูถึงเพลงพิณบทที่สองก็ง่วงจนตาจะปิด หนีกลับไปห้องตั้งแต่ตอนนั้น” ตอบความจริงความเท็จปนๆกันไป มือก็ดึงขนมในมือจิ้นเหอกลับมา


    “ตอนแรกเห็นตื่นเต้นยิ่งกว่าผู้ใด ดันหนีไปนอนเสียได้” เจ้าจิ้นเหอคว้าแย่งขนมที่เกือบจะเข้าปากฉันอยู่แล้วกลับ


    “ข้าหนีไปนอนส่วนเจ้าอาจนั่งน้ำลาย...” มือกำลังจะฉวยขนมคืนกลับมีมือดีคว้าไปตอนจิ้นเหอยกหนี ฉันและเจ้าหมาบ้าหันขวับพร้อมกัน


    “ข้าจะไปตลาด พวกเจ้าอยากไปด้วยหรือไม่” ขนมเข้าปากจินฟู่ไปต่อหน้าต่อตา เข้าไปแล้วมันยังมีหน้ามายักคิ้วให้อีกด้วย


    “ตลาดเมืองเซี่ยมีสิ่งใดน่าสนใจ” ฉันพูดเซ็งๆ หันหนีจากใบหน้ากวนประสาทนั่น


    “มีมากมาย หืม นี่เจ้านุ่งกระโปรงรึ” อดีตสิบหกผู้ได้นามใหม่แปลว่าทองคำอันแสนมั่งคั่งก้มหน้ามาทำตาโตใส่ “ทำผมแบบสตรีด้วย!


    “แล้วอย่างไรเล่า เจ้ามีปัญหาหรือไร” ฉันผลักหน้าเขาออก แต่เจ้าทองคำอันแสนมั่งคั่งกลับไม่สะทกสะท้าน จับมือฉันดึงให้หันมาแล้วมองประหนึ่งสำรวจสินค้า


    “ข้าว่าแล้วใบหน้านี้โตมาต้องไม่ธรรมดา มือด้านไปหน่อยแต่ไม่เป็นไร หากฝึกร้องรำวาดเขียนสักนิด มีแววว่า...”


    “วาดเขียนรึ!” เจ้าจิ้นเหอโพล่งแทรกขึ้นมา “เจ้าจำรูปหมีที่นางวาดสมัยเป็นเด็กฝึกไม่ได้หรืออย่างไร”


    จินฟู่ชะงักกึก หันไปมองจิ้นเหอสีหน้าเปลี่ยนเป็นซีดเผือด


    “เจ้าแปดถึงกับหลั่งน้ำตาด้วยความปวดร้าว รูปปีศาจหมีที่ทำร้ายจิตใจจิตกรเอกประจำรุ่นได้ยับเยินถึงเพียงนั้น ไยเจ้าต้องพูดขึ้นมาให้ข้านึกถึงด้วย!” เขาตวาด “ข้าสู้อุตส่าห์ลืมไปแล้วแท้ๆ หากคืนนี้ฝันร้ายขึ้นมาจะทำอย่างไร!


    “เช่นนั้นยังจะกล้านึกอยากเอานางไปฝึกร้องรำวาดเขียนอีก!” เจ้าจิ้นเหอตวาดกลับ สีหน้าสุดสะพรึงไม่ต่างกัน “เดี๋ยวกิจการก็มีอันได้ล่มจม!


    ฉันเม้มปากเข้าหากัน มองเลยไปยังหยางชุน นายท่านผู้ล้ำเลิศกำลังทำเป็นแหงนหน้าชมเพดาน กลั้นขำอย่างเสียกิริยา จินฟู่หันกลับมา


    “เจ้านี่มันเสียของโดยแท้” พูดด้วยน้ำเสียงตำหนิไม่พอ ยังปล่อยมือฉันทิ้งราวกับจับโดนผลไม้เน่า


    ฉันลุกยืนขึ้น


    “อยู่ๆก็บอกว่ามือข้าด้าน อยู่ๆก็ยกเรื่องหมีขึ้นมา อยู่ๆก็หาเรื่องทำร้ายจิตใจข้า” แสย่ะยิ้ม มือกุมกระบี่ในฝักที่ห่อผ้าพันไว้ข้างเอว “คาดว่าวันนี้อยู่ๆพวกเจ้าคงอยากไปเดินเล่มยมโลกกระมัง”


    “ช้าก่อน นายท่าน” จินฟู่รีบหันมายกมือคาราวะ “ตลาดเมืองเซี่ยยิ่งใหญ่กว้างขวาง หากนายท่านต้องการไปเดินชม จินฟู่ผู้นี้จะบริการค่าใช้จ่ายตลอดเส้นทาง”


    มือละออกจากฝักกระบี่ ฉันหันหน้ามองประตูใหญ่ ขาก้าวเดินปากเอ่ยพูด


    “อย่างนั้นไปกัน!” ลืมเรื่องหมีจนหมดสิ้น






     

    “นุ่งกระโปรงก็ดีอยู่แล้วไยกลับมาแต่งเช่นนี้อีก” จินฟู่เหล่มองถามฉันที่กลับมาอยู่ในร่างคุณชายชุดฟ้าถือพัดจีบอีกครั้ง


    “เดินกับพวกเจ้าเช่นนี้ แต่งเป็นชายสะดวกกว่า” ฉันตอบ มือเลือกดูผลไม้ท้องถิ่น เมื่อเลือกได้ใส่หีบห่อแล้วก็ส่งให้เด็กรับใช้ของจินฟู่ที่ตามมาด้วย เลือกเสร็จไปร้านอื่นต่อ มีนายท่านจากหอดนตรีใหญ่คอยตามจ่ายเงินให้ ยิ่งกว่าสะดวกสบาย


    หนึ่งชุดดำสวมหน้ากาก หนึ่งชุดแดงดั่งหลุดมาจากชนเผ่าทางเหนือ หนึ่งชุดน้ำเงินดูหรูหรา กับอีกหนึ่งชุดฟ้าถือพัดจีบ ในที่สุดก็เดินมาจนสุดมุมถนน


    “พวกเจ้ารออยู่ข้างนอก เดี๋ยวข้าเอาของมาแล้วค่อยยกกลับไป” จินฟู่สั่งเด็กรับใช้ก่อนจะหันมาพาพวกฉันเดินเข้าไปในร้านเล็กๆซึ่งตั้งแอบอยู่ในมุมอับนั้น


    เด็กเฝ้าร้านโค้งกายคาราวะ นายใหญ่แห่งแว่วเสียงคีตาเพียงหันไปพยักหน้ารับทราบก่อนจะเดินแหวกม่านเข้าไปด้านในอย่างคุ้นเคย ฉันมองบุคลิกงามสง่าแฝงบรรยากาศสบายๆไว้ในทีของเขาทึ่งๆ ยามอยู่ข้างนอกเช่นนี้ไม่หลงเหลือภาพเจ้าบ้าปัญญานิ่มอยู่เลย


    ด้านในมีข้าวของวางระเกะระกะ ดูแล้วคงเป็นร้านทำเครื่องประดับ ฉันเดินตามไปเรื่อยๆ เข้าประตูลงไปยังห้องใต้ดินซึ่งน่าจะเป็นห้องทำงานของนายช่างผู้นี้


     “ข้ามารับของ!” เจ้าจินฟู่ตะโกน


    เสียงก้องไปทั่วบริเวณอยู่ครู่หนึ่งก็มีร่างคนลุกขึ้นจากข้างโต๊ะมุมห้อง ผมเผ้ารุงรังไม่ใส่เสื้อ เขาชี้ไปที่ลังไม้ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกล เจ้าจินฟู่เห็นดังนั้นก็เข้าไปตรวจสอบ ของที่ว่าเป็นหน้ากากสำหรับไว้ใช้แสดงละคร หน้ากากแบบต่างๆมีทั้งบางทั้งหนาล้วนแล้วแต่ละเอียดประณีตขัดกับรูปลักษณ์ดั่งช่างตีเหล็กของผู้ทำอย่างสิ้นเชิง


    “ให้พวกเขาเดินชมผลงานเจ้ารอบๆได้หรือไม่” ทองคำอันแสนมั่งคั่งเงยหน้าจากลังไม้ขึ้นมาถาม


    “อย่างไรร้านนี้ก็มีขึ้นมาด้วยเงินเจ้า แค่ไม่ทำข้าวของเสียหาย จะชมสิ่งใดก็ตามใจ” นายช่างตอบอย่างไม่ใส่ใจนักก่อนจะกลับไปนั่งลงเช่นเดิม


    “เขาเป็นช่างทำเครื่องประดับแต่ของตกแต่งอื่นๆก็ทำได้ รับทำตามแบบที่สั่งมา ฝีมือเป็นเลิศแบบหาตัวจับได้ยาก หากเจ้าสนใจอยากสั่งทำสิ่งใดกับเขาก็สั่งได้ ข้าจะบอกเขาลดราคาให้”


    “ข้าไม่ลด” เสียงค้านสวนมาจากคนที่ลงมือทำงานอยู่


    จินฟู่เบ้ปาก


    “เขาค่อนข้างงกอยู่สักหน่อย แต่ไว้ใจได้ เป็นคนของข้าเอง”


    ฉันพยักหน้าหงึกๆ พยักแล้วก็นึกบางอย่างได้ รีบเดินเข้าไปหาจิ้นเหอที่กำลังกอดอกมองเครื่องประดับอยู่ด้วยสีหน้าว่างเปล่า เข้าไม่ถึงความงดงามของมันแต่อย่างใด


    “จิ้นเหอ” ฉันเรียก ดึงเขาไปมุมหนึ่งกระซิบกระซาบบางอย่าง จิ้นเหอขมวดคิ้ว ตอนแรกไม่เห็นด้วย แต่พอฉันกระซิบกระซาบโน้มน้าวไป ในที่สุดเขาก็ร่วมวงกระซิบกระซาบออกความเห็นตกลงกันจนได้


    พวกฉันสองคนพยักหน้าให้กันแล้วเดินไปหานายช่าง กระซิบกระซาบบอกข้อความที่ตกลงกันได้นั้น นายช่างเหล่มองไปทางหยางชุนซึ่งกำลังพูดคุยกับจินฟู่อยู่


    “หากเป็นงานเร่งด่วนราคายิ่งสูง” เขาบอก


    “ไม่เป็นไร ลงไว้ที่บัญชีจินฟู่เลย เขารับปากจะจ่ายให้ข้า” ฉันตอบอย่างมั่นใจ


    “เช่นนั้นอีกสองวันมารับของ”


    “ตกลง”


    ฉันกับจิ้นเหอเดินออกจากร้านมาอย่างร่าเริง ใจนึกจินตนาการไปถึงตอนของเสร็จแล้วก็อดไม่ได้กระซิบกระซาบกันอีกรอบหนึ่ง กระซิบเสียจนเจ้าจินฟู่โวยใส่ว่ามีความลับอะไรนักหนากระซิบกันอยู่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงต้องยกเลิกการกระซิบนี้ไปก่อนชั่วคราว


    พวกเราแวะพักกันที่โรงเตี๊ยมขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ฉันมองดูลาดเลาแล้วไม่น่ามีผู้ใดมาก่อเหตุวิวาทก็ลุกขึ้นบอกขอตัวไปเข้าห้องน้ำสักครู่ ทางเดินไปห้องน้ำนี้เป็นทางแคบๆพอเดินสวนไปมาได้ทีละคน ยาวจากประตูร้านไปทะลุออกหลังโรงเตี๊ยม ดังนั้นเมื่อฉันออกจากห้องน้ำ เดินไปยังไม่ทันได้ก้าวเข้าทางเดินนั่น โผล่หัวไปก็เห็นละครฉากหนึ่งอยู่กลางทางเดินเข้าเต็มๆ


    “ปล่อยข้า!


    ละครฉากนี้ขอเรียกว่าฉากยื้อยุดนางในดวงใจ ชายหนุ่มดูจากการแต่งตัวแล้วน่าจะเป็นลูกขุนนาง ฝ่ายหญิงงามเองก็น่าจะฐานะไม่ธรรมดาเช่นกัน


    “เหตุใดต้องหยามน้ำใจข้าถึงเพียงนั้นต่อหน้าผู้อื่น!” ชายหนุ่มลูกขุนนางกำข้อมือเล็กบาง ถามเสียงเกือบเป็นตะคอก


    “ข้าหาได้หยามสิ่งใด บอกเจ้าชัดเจนไปหลายครั้งเจ้ากลับไม่ยอมฟัง!” หญิงงามขึ้นเสียงกลับ


    ฉันขยับกายเกาะขอบส่อง เหตุใดพวกเขาถึงได้มายืนยื้อยุดกันตรงนี้ ผู้ติดตามไปไหนหมดเล่า


    “ข้าไม่ดีที่ตรงไหนเจ้าถึงได้เอาแต่ปฏิเสธ หรือเจ้ามีผู้ใดในใจแล้ว!


    อ้าวๆ

    “จะมีหรือไม่หาใช่กงการของเจ้า ปล่อยข้า เจ้าคนหยาบช้า!” หญิงงามสะบัดข้อมือแต่สะบัดอย่างไรก็ไม่หลุด


    “หึ ข้าหรือหยาบช้า หากหยาบช้าจริงต้องทำเช่นนี้!” เจ้าลูกขุนนางบัดซบกระชากดึงนางเข้ามา จังหวะนั้นนางกลับสู้สุดใจ กระทืบเท้าสะบัดข้อมือจนหลุดแล้ววิ่งหนีมาทางที่ฉันอยู่ เห็นไอ้เจ้าลูกขุนนางนั่นวิ่งตามมาฉันก็พุ่งตัวออกวิ่งไปก่อนได้ไตร่ตรอง กระโดดถีบลูกขุนนางเปรี้ยง ลูกขุนนางลอยละลิ่วกระเด็นออกนอกประตู ได้ยินโครมดังมาไกลๆ


    “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” หันกลับไปถามหญิงงามที่ยังคงตื่นตระหนก


    ฉากเช่นนี้ไม่ใช่ว่าควรจะมีจอมยุทธ์หนุ่มทรงคุณธรรมผ่านมาพบ เข้าช่วยเหลือจนสร้างวาสนาด้ายแดงต่อกันหรืออย่างไร เหตุใดกลายเป็นฉันที่พรวดพราดออกมาเสียได้


    “ข้าไม่เป็นไร” หญิงงามตอบ ยังไม่ทันได้ถามสิ่งใดต่อเจ้าลูกขุนนางบัดซบนั่นก็วิ่งโร่ถือกระบี่กลับเข้ามา


    “เจ้า! กล้าดีอย่างไรลอบทำร้ายข้า!


    “โอ๊ะ” ฉันทำเป็นยกพัดจีบที่หุบอยู่ขึ้นแตะคางตนเองด้วยสีหน้าตกใจ “เมื่อครู่ข้าเดินไม่ระวังบังเอิญลื่น เท้าไปโดนคุณชายเข้าต้องขออภัยด้วย”


    “บังเอิญลื่นส้นเท้าข้านี่ ไอ้บัดซบ!


    อ้าว ข้าลื่นมันก็ต้องเป็นส้นเท้าข้า ไยไปเป็นส้นเท้าเจ้าเล่า


    “วันนี้หากไม่ได้เอาเลือดหัวหมาลอบกัดอย่างเจ้าออกมาล้างส้นเท้าข้า อย่ามาเรียกข้าว่าเหวินเซียง!” เหวินเซียงประกาศกร้าว วิ่งถือกระบี่มาอย่างฉุนเฉียน


    ฉันเหลือบมองหญิงงามที่ยืนเลิ่กลั่กอยู่ รีบก้าวเดินไปหาเหวินเซียงให้ห่างจากนางมากที่สุด เหวินเซียงเห็นฉันเดินมาด้วยสีหน้าปกติสุขก็ยิ่งโมโห ใช้กำลังภายในง้างกระบี่พุ่งใส่


    ปั้ก


    เสียงคมกระบี่กระทบเข้ากับสันพัดจีบ ฉันสบตากับเขา ผลักกระบี่ออกด้วยพัดพร้อมหมุนตัวถีบเปรี้ยงเข้าให้ เหวินเซียงลอยละลิ่วกระเด็นออกไปนอกประตูร่วงโครมลงในร้านอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้มีฉันเดินตามออกไปด้วย


    “เจ้า!


    เขาชี้หน้า ลุกจากพื้นร้านอย่างทุลักทุเล ลุกได้ก็พุ่งเข้าใส่ ฉันพลิ้วกายหลบ คนในร้านของโรงเตี๊ยมเห็นฉันขึ้นไปอยู่บนโต๊ะต่างก็รีบเก็บข้าวของโกยออกกันจ้าล่ะหวั่น เหวินเซียงออกกระบี่โจมตี เพลงกระบี่นั้นนับว่าใช้ได้เพียงแต่ด้วยฝีมือเขาแล้วออกจะเชื่องช้าไปหน่อยในสายตาฉัน หลบเพียงเล็กน้อยคมกระบี่ก็หาได้แตะโดนแม้แต่ปลายเสื้อ


    เสียงโครมครามดังก้องโรงเตี๊ยม เหวินเซียงทำลายโต๊ะไปแล้วสามตัว ขณะที่ฉันลังกาหลบเอาพัดบ้องหูเขาไปทีหนึ่งสายตาก็เหลือบไปเห็นเถ้าแก่โรงเตี๊ยมกำลังยืนร้องไห้ ตะโกนท่านจอมยุทธ์เบามือด้วยเป็นระยะๆ ความรู้สึกผิดพุ่งเข้ามาจุกถึงลิ้นปี่ เห็นเหวินเซียงฟาดกระบี่ทำลายเก้าอี้ไปอีกหนึ่งตัวก็ทนไม่ได้ เอาพัดฟาดหัวเขาแล้วหมุนตัวถีบเปรี้ยงจนกระเด็นออกนอกโรงเตี๊ยมไป


    “ยังไม่รู้ที่ต่ำที่สูงอีก ฝีมือน้อยนิดเช่นนี้กล้ามาท้าตีกับข้า!” ฉันวางท่าเลียนแบบผู้คุมสามเวลาฝึก เอาพัดชี้หน้าเหวินเซียงที่กำลังใช้กระบี่ยันลุกขึ้นมาอย่างดื้อดึง “อยากให้ข้าชักกระบี่มาบั่นคอเจ้าหรืออย่างไร!” ตวาดเสียงลั่น ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว


    เหวินเซียงชะงัก พอเห็นฉันก้าวไปอีกหนึ่งก้าวด้วยสีหน้าดุดันก็ผวาหงายหลัง


    “ข้าจะบอกท่านพ่อว่าเจ้าทำร้ายข้า เจ้าไม่ได้ตายดีแน่!” ชี้หน้าขู่ฉันแล้วก็ล้มลุกคลุกคลานวิ่งหนีไป


    ฉันถอนหายใจเฮือก ตั้งท่ายิ้มแห้งๆจะหันไปขอโทษขอโพยเถ้าแก่กลับโดนเสียงหนึ่งดึงไปเสียก่อน


    “ซือเหมยขอบคุณท่านจอมยุทธ์ ได้ท่านจอมยุทธ์ช่วยเหลือครั้งนี้เป็นหนี้ท่านแล้ว” หญิงงามย่อกายอย่างนอบน้อม บุคลิกงดงามชดช้อยอยู่ในที


    “ไม่เป็นไรๆ” ฉันรีบบอก ชีวิตนี้เคยชินแต่คุกเข่าให้ชาวบ้าน มาถูกทำความเคารพเช่นนี้ก็ออกจะประหม่านิดๆ “เรื่องเล็กน้อย อย่าถือเป็นหนี้อะไรเลย”


    “ได้รับการช่วยเหลือย่อมถือเป็นหนี้บุญคุณที่ต้องชดใช้ ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้” นางย่อกายต่ำลงไปอีก พูดด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวทำเอาฉันหน้าเหวอ


    “เอ่อ อย่างไรก็ลุกขึ้น ลุกขึ้นก่อนเถิด” เข้าไปจับไหล่นางให้ลุก ต้องมาอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ดูผิดที่ผิดทางอย่างไรบอกไม่ถูก


    ซือเหมยเงยหน้าขึ้น ฉันส่งยิ้มให้ ลุกเถิด ย่ออยู่อย่างนี้ไม่เมื่อยรึ เจ้าย่อนานๆข้าทำตัวไม่ถูก ลุกเร็วเข้า บอกนางไปทางรอยยิ้ม ไม่คาดนางกลับหลบตาก้มหน้าหนี แก้มแดงเรื่อ


    เสียงกระแอมดังจากเบื้องหลัง


    “ปล่อยตัวนางได้แล้วกระมัง อย่างไรนางก็เป็นสตรี” หยางชุนเอ่ยเสียงเรียบ สองแก้มซือเหมยยิ่งแดงจัด


    ฉันสะดุ้งเฮือก ปล่อยตัวนาง หันมองชุดดำชุดแดงชุดน้ำเงินที่เดินเข้ามาหาเลิ่กลั่ก


    “นี่คุณหนูซือเหมย บุตรสาวคหบดีจ้างใช่หรือไม่” จินฟู่เดินเข้ามาเอ่ยถาม


    “ถูกต้องแล้ว ไม่ได้พบท่านจินฟู่เสียนาน” ซือเหมยลุกขึ้นยืน ส่งยิ้มให้เจ้าชุดน้ำเงินจินฟู่


    “เรื่องเป็นมาอย่างไร สหายข้าผู้นี้ถึงได้เข้าไปช่วยท่านได้” ดวงตาพราวระยับของเจ้าสมองนิ่มเจ้าของแว่วเสียงคีตาเหล่มองฉัน


    “ท่านจอมยุทธ์พบข้าที่กำลังถูกเอาเปรียบจึงเข้าช่วยเหลือ” นางหันมาหาฉัน “ซือเหมยตอนนี้ตัวคนเดียวไม่อาจตอบแทนสิ่งใดท่านจอมยุทธ์ได้ หากพวกท่านพอมีเวลาไปที่บ้านซือเหมย ให้ซือเหมยบอกกล่าวเรื่องนี้แก่บิดาเพื่อตอบแทนน้ำใจครั้งนี้ได้หรือไม่”


    “เอาสิ ไปเลย ไปตอนนี้เลยก็ได้” เจ้าจินฟู่ตอบแทนฉันอย่างร่าเริง “อย่างไรพวกข้าก็ไม่ได้จะไปแล้ว เชิญคุณหนูนำทางไปเลย”


    ฉันมองหน้าจินฟู่ คุณหนูซือเหมยเดินนำไปแล้วยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูก ทองคำอันแสนมั่งคั่งเห็นฉันยืนทำหน้าเหลอหลาก็เอียงตัวมากระซิบ


    “คหบดีจ้างผู้นี้ยิ่งใหญ่กว้างขวาง ทำการค้าอัญมณีมีทั้งรับเข้าและส่งไปต่างแดน สร้างบุญคุณกับเขาไว้ย่อมดีต่อพวกเจ้าในภายภาคหน้า”


    ด้วยเหตุนี้ชุดฟ้าชุดน้ำเงินชุดดำชุดแดงจึงพากันแห่มานั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่ที่เรือนรับรองของคหบดีจ้างด้วยสีหน้าแตกต่างกัน ชุดฟ้ารินชากะพริบตาปริบๆ ชุดน้ำเงินมองซ้ายมองขวาสบายอารมณ์ ชุดดำนั่งทะมึนแผ่บรรยากาศเย็นชา ส่วนชุดแดงนั้นจนบัดนี้ยังไม่เลิกขมวดคิ้ว


    “คิ้วเจ้าอีกสักพักจะผูกกันได้อยู่แล้ว คิดสิ่งใดของเจ้าอยู่กัน” ฉันหันไปถามจิ้นเหอ เอาการินน้ำชาเผื่อเขาด้วย


    “ข้ารู้สึกว่าบางอย่างแปลกๆ แต่ไม่รู้ว่าแปลกที่ตรงไหน” เขาตอบ มือยกถ้วยชาขึ้นจิบทั้งคิ้วขมวด


    จินฟู่ได้ยินดังนั้นก็ยิ้มกริ่ม


    “ตรงที่คุณหนูซือเหมยผู้นั้นเหมือนจะมีใจให้นายท่านชาวอดข้าวของข้ากระมัง”


    พรูด


    น้ำชาพุ่งออกจากปากฉันไปกระจายตัวอยู่เต็มใบหน้าจิ้นเหอที่นั่งอยู่ข้างๆ


    “เจ้าว่าอย่างไรนะ!” ฉันหันขวับไปถามเจ้าจินฟู่ด้วยความตกตะลึง


    “ผู้ใดจะคาดฤดูดอกท้อเบ่งบานของหลิ่ง...” จินฟู่ชะงัก มือที่กำลังถือถ้วยชาค้างอยู่กลางอากาศดั่งนึกบางสิ่งขึ้นได้


    “นางเป็นหญิง” หยางชุนเอ่ย น้ำเสียงราบเรียบราวกับทราบความในใจ


    ทองคำอันแสนมั่งคั่งเบิกตากว้าง ละล่ำละลักเสียจนชาในถ้วยกระฉอก


    “จ...จริง จริงด้วย ข้าลืมไป!


    ตัวฉันเอียงวูบ หน้ามืดจนเกือบตกเก้าอี้ ดีที่จิ้นเหอเอามือรับผลักให้กลับมานั่งดีๆได้ทันท่วงที เจ้าหมาบ้าเม้มปากแน่น ใบหน้ายังคงพร่างพราวไปด้วยหยดน้ำชา

     



    -------------------------------------------------------------------

    อยู่สามคนว่าป่วนแล้ว พอเพิ่มมาเป็นสี่ป่วนหนักกว่าเดิม ภารกิจคราวนี้เป็นภารกิจระยะยาวเหมือนที่ชงจื้อเคยได้รับนะคะ เพราะงั้นไม่ได้กำหนดเวลา แต่ถ้าช้าแล้วไม่มีความคืบหน้ามากๆเข้าจะมีคนจากหอมาตรวจดูว่าทำอะไรอยู่

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×