คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ ๒ บ่อแรก
ตอนที่ ๒ บ่อแรก
เสียงเอะอะโวยวายดังมาพร้อมกับภาพพร่ามัวที่ปรากฏ ก่อนจะค่อยๆชัดเจนขึ้นเมื่อกะพริบตาหลายๆครั้ง
และเมื่อภาพในคลองจักษุกระจ่างชัด สิ่งที่เห็นก็คือภาพดอกไม้ที่ติดไว้ตรงผนัง
ฝีพู่กันเฉียบคมหากแต่อ่อนหวานในทีบ่งบอกถึงฝีมืออันสูงส่งของศิลปินผู้วาด
แม้แต่ฉันที่ไม่มีความรู้ในเรื่องนี้มากนักยังอดไม่ได้ที่จะชื่นชมความงามของลายเส้นโบราณนั้นในใจ
“คุณหนู” น้ำเสียงสั่นเครือจากด้านข้างขัดจังหวะอารมณ์สุนทรีย์ในทันใด
ต้นเสียงคือสาวน้อยหน้าตาหมดจดคนหนึ่งที่กำลังยืนก้มหน้ามือเช็ดน้ำตาป้อยๆ “คุณหนูของชิงหลิง
ในที่สุด ในที่สุดท่านก็ฟื้น” สาวน้อยพูดเสียงกระท่อนกระแท่นก่อนจะร้องไห้โฮเสียอย่างนั้น
หยดน้ำตาที่ร่วงพราว
แม้ว่าเจ้าตัวจะยืนห่างจากจุดที่ฉันอยู่ไปราวสองช่วงแขนก็ยังมองเห็นได้ถนัดชัด
และถึงฉันจะตกใจกับอาการเขื่อนแตกของสาวน้อยที่ไม่รู้จักมากเพียงใด
ฉันกลับพบว่าเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่เธอใส่ราวกับหลุดมาจากหนังจีนนั่นยิ่งทำให้ตกใจกว่า
อีกทั้งเมื่อลองกวาดสายตาไปรอบๆก็พบกับข้าวของเครื่องใช้และฉากที่เหมือนกับยกมาจากกองถ่ายหนังเรื่องเดียวกัน
ฉันนอนอึ้ง มาตอนนี้ถึงได้รู้สึกว่าตัวเองนอนอึ้ง
ปากอ้าตาค้างมองแจกันสีขาวใบงามซึ่งตั้งอยู่ตรงมุมห้อง
ก็ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้ฉันกระโดดลงบ่อไปเกิดเป็นลูกสาวเสนาสมัยกรุงศรีหรือไง
แล้วทำไม...
อยู่ๆสาวน้อยคนนั้นก็เอะอะโวยวายขึ้นมา
ร้องไห้ฟูมฟายตะโกนร้องเรียกอย่างลนลานจนฟังไม่ได้ศัพท์ และในขณะที่ฉันกำลังประมวลผลว่าทำไมตัวเองถึงข้ามน้ำข้ามทะเลมาโผล่อยู่แถวจีนแทนที่จะเป็นกรุงศรีอยุธยา
ประตูก็ถูกเปิดออก ชายวัยกลางคนในชุดสีฟ้าอ่อนตรงดิ่งเข้ามานั่งข้างๆฉันบนเตียง
จับข้อมือวัดชีพจรก่อนจะเอามือแหกตาฉันทั้งสองข้าง มองอย่างพิจารณาแล้วกลับไปจับชีพจรใหม่อีกครั้ง
"คุณหนูจาง
ได้ยินข้าหรือไม่" คุณลุงชุดฟ้าที่น่าจะเป็นคุณหมอถามด้วยภาษาจีนแปลกประหลาด
แปลกประหลาดเช่นที่ฉันได้ยินจากสาวน้อยเขื่อนแตกคนนั้น
ความจริงถ้าจะพูดถึงทักษะภาษาจีนของฉันแล้ว
ฉันซึ่งโตมาในครอบครัวไทยเชื้อสายจีน มีอาม่าอากงและญาติผู้ใหญ่พูดจีนคล่องปร๋อในขณะที่ป๊าม้าก็ฟังรู้เรื่อง
ได้ฟังภาษาจีนมาตั้งแต่เด็กทั้งยังได้ยินทุกครั้งเวลาถึงวันรวมญาติย่อมต้องมีทักษะความคุ้นชินอยู่บ้าง
ไหนจะพอโตมาก็ยังลงเรียนเพิ่มเติมให้อาม่าอากงปลาบปลื้มไปอีก เพราะอย่างนั้นถึงไม่ได้เก่งกล้าเชี่ยวชาญมากแต่ก็จัดอยู่ในกลุ่มที่สื่อสารได้พอตัว
"คุณหนูจาง
ได้ยินข้าหรือไม่"
คุณหมอถามย้ำอีกครั้งด้วยภาษาจีนที่ฉันฟังออกบ้างไม่ออกบ้างแต่ก็พอจับใจความได้จึงพยักหน้าไป
พร้อมกับความรู้สึกสงสัยว่าทำไมภาษาที่ได้ยินมันแปลกว่าจีนที่เคยรู้จัก
"คุณหนูจาง
เห็นมือของข้าหรือไม่"
ฉันพยักหน้าอีกครั้ง
สายตาจับจ้องไปยังมือของคุณหมอที่กางอยู่
"ตอนนี้ท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง"
"หลินเอ๋อร์!"
เสียงเลื่อนประตูดังขึ้นอีกรอบพร้อมกับร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งผลุนผลันเข้ามา ใบหน้างดงามราวกับหลุดมาจากภาพวาดตกตะลึงระคนยินดียามเมื่อมองมาทางฉัน
ก่อนจะพยายามสงบสำรวมกิริยาตนเองแล้วบอกให้คุณหมอตรวจต่อไป
ฉันตอบคำถามคุณหมอชุดฟ้าไปอีกสองสามข้อสั้นๆด้วยคำศัพท์ที่พอมีอยู่ในหัว
คำเดียวบ้างสองคำบ้าง สุดท้ายหมอก็สรุปว่าร่างกายฉันไม่มีสิ่งใดผิดปกติ
มีเพียงอาการสับสนกับความอ่อนเพลียเท่านั้น
วันนั้นฉันได้รู้ว่าตัวเองกลายเป็น ’จางลู่หลิน’ เด็กหญิงอายุ ๑๒ ปี ลูกสาวของเสนาบดีจาง
หนึ่งในสี่เสนาบดีผู้มีอิทธิพลในเมืองหลวงแห่งนี้
ผู้หญิงสวยๆที่เรียกฉันว่าหลินเอ๋อร์คือคุณแม่
ส่วนสาวน้อยเขื่อนแตกคนนั้นชื่อชิงหลิงเป็นสาวใช้ประจำตัว เรื่องแปลกประหลาดยังไม่จบเพราะฉันพบว่าตัวเองยังคงมีความทรงจำจากชาติก่อนครบถ้วน
ฉันยังคงจำได้ว่าตัวเองคือไอ้เฟิร์นลูกสาวคนกลางของบ้านวาณิชเพิ่มพูน
พี่สาวไอ้ฟิล์มและน้องสาวเจ๊ฟาง
เป็นนักศึกษาที่กำลังจะขึ้นปีสองของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง สวัสดีท่านยมเถิด
นี่มันไม่ตลกเลย แบบนี้มันก็เหมือนกับว่าฉันมาสิงร่างชาวบ้านเขาน่ะสิ
ถึงแม้ว่าเจ้าของร่างนี้จะหลับใหลเป็นเจ้าหญิงนิทรามาสามปีแล้วตั้งแต่ประสพเหตุโดนยาพิษในวันนั้น
รู้สึกว่าตอนนั้นจางลู่หลินไปเที่ยวต่างเมืองกับท่านแม่ของเธอ โดยที่ชิงหลิงไม่ได้ติดตามไปด้วย
เพราะอยู่ดูแลแม่ที่ป่วยหนัก คราวนั้นไม่ทราบว่าลู่หลินน้อยไปได้ขนมประหลาดที่ทำจากแป้งสีสวยมาจากไหน ถึงได้กินเข้าไปโดยไม่รู้ว่านั่นคือยาพิษ
แม้หมอจะรักษาชีวิตไว้ได้ แต่ก็เธอกลับกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลยจนกระทั่งฉันมา
เหตุการณ์ในครั้งนั้นไม่สามารถหาตัวผู้กระทำผิดได้ ไม่มีใครเห็นตอนคุณหนูตัวน้อยได้รับขนม
ทุกอย่างหายไปไม่มีร่องรอยให้ได้สืบโยงหรือค้นหาต้นตอ
ได้ยินมาว่าครั้งนั้นมีชีวิตที่ต้องถูกสังเวยเพื่อดับความโมโหของเสนาบดีจางไปไม่น้อย
สามอาทิตย์ผ่านไป ร่างกายฉันค่อยๆฟื้นฟูจนตอนนี้รู้สึกแข็งแรงขึ้นมาก
ทุกเย็นชิงหลิงจะพาออกไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้ หลังจากเรียนภาษากับอาจารย์ซึ่งถูกจ้างมาสอนฉันอยู่เสมอ
ฉันที่ทุกคนรู้กันว่าความทรงจำสับสนจนทำให้ความสามารถด้านภาษาและการสื่อสารขาดหายไปบ้างบางส่วน
“คุณหนูชอบหลันฮวาหรือเจ้าคะ”
ชิงหลิงถามขึ้นหลังจากเห็นว่าฉันยืนจ้องดอกไม้สีขาว ตรงกลางแต้มด้วยเกสรสีเหลืองอยู่เป็นเวลานาน
“ดอกไม้นี่ชื่อหลันฮวาอย่างนั้นรึ”
ฉันถามโดยที่ไม่ได้ละสายตาจากดอกไม้ตรงหน้า
“เจ้าค่ะ ถ้าคุณหนูชอบ
ชิงหลิงตัดไปใส่แจกันประดับให้ในห้องดีหรือไม่เจ้าคะ”
“อืม”
ฉันลากเสียงตอบตกลงก่อนจะเดินผ่านหลันฮวาที่ว่าไป
ความจริงแล้วที่มักหยุดยืนมองบ่อยๆไม่ใช่เพราะว่าฉันชอบเจ้าหลันฮวาอะไรนี่หรอก
ก็แค่ดูแล้วมันคล้ายๆกับดอกกล้วยไม้ที่ม้าแขวนไว้หน้าบ้านก็เท่านั้น
ว่ากันตามจริงจนถึงตอนนี้ฉันก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่จางลู่หลิน
เป็นเพียงเนตรนภาที่มาอาศัยอยู่ในบ้านของจางลู่หลินเท่านั้น
และเพราะเหตุนี้นอกจากเรื่องราวบางส่วนของจางลู่หลินแล้ว
ฉันเลยไม่คิดจะสอบถามหรือทำความรู้จักกับอะไรหรือใครไปมากกว่านี้
บางทีนี่อาจเรียกว่าอาการตัดไม่ขาดกระมัง ก็สามวันแรกฉันยังนอนร้องไห้คิดถึงบ้านอยู่เลย
“เฮ้อ” เงยหน้าถอนหายใจเฮือกใหญ่
“กิริยาเช่นนี้ไม่งามเลยนะเจ้าคะ”
แล้วก็ถูกชิงหลิงเตือนอย่างทุกที
“เอาน่าๆ” ฉันยกมือขึ้นโบกส่งๆแล้วเดินต่อ
เหลือบมองไปทางสาวใช้ตัวน้อยก่อนจะพูดยิ้มๆเมื่อเห็นท่าทีจนใจของอีกฝ่าย
"อย่าเคร่งนักเลย"
เดินกันมาพักใหญ่จนในที่สุดก็ถึงกำแพงหลังสวน
สายตามองเหม่อกำแพงหินในใจก็ประหวัดคิด
หลังจากลูกสาวถูกยาพิษแล้วจับตัวคนร้ายไม่ได้
เสนาบดีจางก็วางกำลังคนในแต่ละเรือนเข้มงวดมากขึ้น
โดยเฉพาะเรือนที่จางลู่หลินอาศัยอยู่ ใครจะเข้าจะออกล้วนต้องผ่านการตรวจตรา ต้องใช้ชีวิตราวกับนกน้อยในกรงทองมาสามอาทิตย์แบบนี้
ฉันก็พอเข้าใจแล้วว่าทำไมนางเอกหนังจีนที่เป็นลูกขุนนางถึงชอบแอบหนีออกไปเที่ยวข้างนอกกันนัก
“ชิงหลิง ข้าอยากออกไปข้างนอก”
ฉันพูดขึ้นมาในที่สุด
ย้อนมาโผล่ในยุคจีนโบราณทั้งทีฉันก็อยากเห็นสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ของคนที่นี่บ้าง
อยากเที่ยวตลาด เดินซื้อของ สร้างเรื่องป่วนๆเหมือนนางเอกในนิยายทะลุมิติที่ยายหวานเพื่อนสนิทคะยั้นคะยอให้อ่านหลายๆเรื่องนั่น
“ไม่ได้นะเจ้าคะ คุณหนูยังไม่หายดี
แล้วอีกอย่าง...”
“ข้าไม่รับของใครมาใส่ปากง่ายๆหรอก”
ฉันพูดแทรกขึ้นมา
อย่าเหมารวมว่าฉันจะเที่ยวรับขนมจากคนแปลกหน้ามาใส่ปากให้โดนพิษเล่นเหมือนแม่หนูลู่หลินนั่นสิ
อย่างน้อยปีนี้ฉันก็อายุ ๑๙ แล้วนะ แถมอีกไม่กี่เดือนก็จะ ๒๐ แล้วด้วย
“คุณหนู!”
“คนที่เคยโดนวางยาพิษไปแล้วครั้งหนึ่ง
ไม่ยอมโดนเป็นครั้งที่สองง่ายๆหรอก” ฉันหันกลับไปพูดด้วยสีหน้าท่าทางวางภูมิ
“ชิงหลิง เจ้าเคยได้ยินคำนี้หรือไม่ ประสบการณ์สอนคน”
ชิงหลิงนิ่งอึ้ง แววตาทอประกายชื่นชม
คำพูดเช่นนี้ สีหน้าท่าทางเช่นนี้ ฉันรู้สึกว่าตัวเองเท่อย่าบอกใคร
โดยที่ไม่รู้เลยว่าหลังจากคำพูดนั้นฉันยังคงต้องผจญเวรผจญกรรมกับยาพิษอีกหลายตลบ
ไม่ยอมโดนเป็นครั้งที่สองอย่างนั้นหรอ ไม่โดนบ้านพี่อาน้องป้าโชคชะตาแกสิ
“ถึงอย่างนั้นก็ยังวางใจไม่ได้เจ้าค่ะ”
ชิงหลิงคืนสติจากอาการชื่นชมฉันแทบจะทันที
“ทั้งท่านเสนาบดีและฮูหยินต่างก็กำชับไว้”
ฉันถอนหายใจเฮือก
คราวนี้ออกจะสำรวมกว่าตอนแรกหน่อยแล้วหันกลับมามองกำแพงอีกครั้ง ไม่ได้ผลหรอก
สาวใช้ยุคนี้ ขนาดสินบนยังไม่แน่ว่าจะรับกันเลย
“บางที” หลังจากเห็นฉันเงียบไป
สาวใช้ประจำตัวฉันก็พูดอ้อมๆแอ้มๆ “รอจนถึงตอนที่ท่านลู่เหวินกลับมา
คุณหนูอาจขอให้ท่านลู่เหวินพาไป”
ลู่เหวินที่ชิงหลิงพูดถึงคือจางลู่เหวิน
ลูกชายคนโตของเสนาบดีจางที่ตอนนี้เป็นรองแม่ทัพอยู่ทางใต้ พี่ชายร่วมมารดาคนเดียวของจางลู่หลิน
พูดถึงพี่ชายร่วมมารดาแล้วจางลู่หลินคนนี้ยังมีพี่น้องอีกหลายคนที่เกิดจากบรรดาภรรยารองของเสนาบดีจาง
ซึ่งข้อมูลพวกนี้ฉันขี้เกียจไปจดจำ ซ้ำตอนที่ฟื้นมาได้สักพักก็บอกกับฮูหยินไปแล้วว่าไม่ต้องการให้คนมารบกวน
ดังนั้นจนถึงตอนนี้ฉันเลยยังไม่เจอหน้าสมาชิกครอบครัวคนอื่นเลยสักคน
จางลู่เหวินคนนี้นอกจากจะเป็นลูกชายคนโตแล้ว ยังเป็นลูกชายที่เสนาบดีจางโปรดปรานที่สุด เพราะทั้งเก่งกาจสามารถแถมยังรูปงาม
ตำแหน่งหน้าที่การงานก็ก้าวหน้าไว ชิงหลิงโม้ให้ฟังบ่อยๆว่าจางลู่เหวินคือหนุ่มโสดที่บรรดาสาวๆทั่วแคว้นต่างหมายปองมากที่สุดผู้หนึ่ง
จะว่าไปพล็อตมันก็เริ่มเข้าเค้า เริ่มต้นด้วยพี่ชายรูปหล่อแบบนี้มันแนวเดียวกับนิยายที่ยัยหวานเคยให้อ่านไม่มีผิด
เปิดมาแบบนี้เป็นอันเดาได้ว่านางเอกจะต้องเดินไปสายฮาเร็มแน่ๆ
“หึหึหึ”
ฉันหัวเราะไหวไหล่ข้างเดียวอยู่พักหนึ่ง จนชิงหลิงทนดูไม่ได้ต้องร้องเรียกถามว่าเป็นอะไร
ขณะมองใบหน้าหวาดกลัวของชิงหลิงอยู่ๆฉันก็นึกถึงบางอย่างที่สำคัญขึ้นมา
หญิงชุดขาว
พอนึกถึงนิยายแนวทะลุมิติแล้ว ฉันเลยนึกถึงหญิงชุดขาวกับหยกขาวรวมทั้งคำพูดของคุณตาที่บ่อน้ำขึ้นมาด้วย
ตอนนั้นฉันก็โง่ที่ไม่ได้ถามความเป็นมาของเรื่องราว
เดินงงๆเซ่อๆไปปีนบ่ออย่างว่าง่ายทั้งๆที่มันไม่ปกติเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นการตายของฉันหรือกระทั่งการมาเกิด
คำพูดที่บอกว่ากงล้อแห่งชะตากรรมเริ่มหมุนแล้วนั่นต้องแปลว่าฉันไม่ได้มาที่นี่แบบไร้จุดหมาย
มันต้องมีจุดประสงค์ให้ฉันมาที่นี่ แต่จุดประสงค์นั้นมันคืออะไรล่ะ
ภาพหญิงสาวชุดขาวแบบเดียวกับพวกจอมยุทธ์ในหนังจีนปรากฏขึ้นในความคิด
เป็นภาพตอนที่เธอกำลังขยับปากพูดอะไรบางอย่างที่ฉันไม่ได้ยิน
นั่นต้องเป็นจุดประสงค์ที่ส่งฉันมาแน่ๆ ตามหลักนิยายทั่วๆไปแล้วนั่นแหล่ะต้นเหตุ
หลังจากวันนั้นฉันก็รู้สึกว่าตัวเองจะใช้ชีวิตอยู่แบบไร้สาระไม่ได้แล้ว ใครๆในนิยายเค้าทะลุมาต่างก็มีภารกิจกันดังนั้นฉันก็ต้องมี ถึงจะยังไม่รู้ว่าภารกิจที่ว่านั่นคืออะไรแต่ก็คงต้องทำอะไรสักอย่าง มันต้องมีสักเหตุการณ์ที่จะไปปลดล็อคเรื่องราวภารกิจสิ อย่างเช่นว่า นางเอกนิยายเรื่องหนึ่งไปเที่ยวตลาดแล้วเจอโจรวิ่งราว นางเลยวิ่งตามโจรไปชนเข้ากับองค์ชายสักลำดับที่อยู่ๆมาโผล่แถวตลาดได้ยังไงไม่รู้ หรือไม่ก็นางเอกบังเอิญขวางทางเกี้ยวของคนใหญ่คนโตสักคนเลยเกิดเหตุให้ประลองจ้องตาดวลความกล้าได้ประทับใจกัน หรือไม่นางเอกก็บังเอิญได้ยินเสียงขลุ่ย ตามเสียงไปเจอจอมยุทธ์หนุ่มรูปงาม ไม่ก็บังเอิญเดินเล่นแล้วไปรู้ความลับอะไรของใครเข้า ทั้งหมดทั้งมวลนี้มีแต่ต้องออกไปข้างนอกทั้งสิ้น เหตุการณ์มันคงจะไม่เกิดหรอกถ้าฉันมัวแต่นอนกลิ้งอยู่แต่ในเรือนนี้ ดังนั้นฉันจึงเริ่มสำรวจ สำรวจหาหนทางที่จะหนีออกจากเรือนไปด้านนอกตามนิสัยหลักของนางเอกนิยายทั่วไป หลังจากทำเป็นอยากอ่านหนังสือคนเดียวที่ศาลาริมสระในสวนหลังเรือน ไล่ชิงหลิงให้ออกไปเฝ้าอยู่ด้านหน้าได้แล้ว ฉันก็สำรวจจากกำแพงสวนเป็นที่แรก
สำรวจอยู่สามวันในที่สุดก็เจอของดีเข้าให้ ตรงม่านแมกไม้ที่ปกคลุมกำแพงอยู่ด้านหลังต้นไม้ใหญ่ปรากฏร่องรอยแซะหิน
ร่องหินก้อนล่างสุดที่ใช้สร้างกำแพงมีรอยตอกและแซะเหมือนพยายามจะให้มันหลุดออก
ใครบางคนพยายามจะทำทางลับเพื่อหนีออกไป และถ้าฉันเดาไม่ผิดคุณหนูจางลู่หลินเมื่อก่อนคงแสบพอตัว
ฉันก้มๆเงยๆมุดแมกไม้หาอุปกรณ์ที่คุณหนูคนนั้นอาจจะทิ้งไว้
ไม่นานก็พบก้อนหินและมีดสั้นปลายหักบิ่นหลายเล่ม คุณหนูคนนั้นไปหาของแบบนี้มาได้จากที่ไหน
อาวุธทั้งนั้นเลยไม่ใช่หรือไง ฉันคิดด้วยความตกใจระคนชื่นชม
ในเมื่อคุณหนูคนก่อนทิ้งงานไว้ให้แบบนี้ คุณหนูคนใหม่จะไม่สานต่อก็กระไรอยู่
การแคะแกะแซะตอกเพื่อจะเอาหินออกไม่ใช่เรื่องง่าย
ฉันไม่รู้ว่าจางลู่หลินพยายามมานานแค่ไหนถึงแซะขอบจนรอบได้ขนาดนี้
ขนาดว่าฉันคะเนดูแล้วว่ามันเหลืออีกไม่มากเท่าไหร่ก็น่าจะดันหินออกไปได้ยังต้องใช้เวลาเกือบเดือน
เกือบเดือนที่ฉันแอบย่องหลบคุณยามทั้งหลายมาทำภารกิจนี้จนในที่สุดมันก็สำเร็จ
ครืด
หินก้อนใหญ่ถูกดันออกไปด้านนอกกลายเป็นช่องขนาดพอที่จะมุดลอดออกไปได้
ฉันมองซ้ายมองขวา นั่งนิ่งๆอยู่ในแมกไม้พักหนึ่ง สงบใจที่เต้นตุ๊มๆต่อมๆก่อนจะค่อยๆคลานผ่านช่องออกมา
หลังกำแพงนี้เป็นเนินหญ้า ถัดจากเนินหญ้าเป็นชายป่า
ฉันสูดหายใจเอากลิ่นดินกลิ่นหญ้าเข้าไปเต็มปอด
สายลมที่พัดผ่านทำให้รู้สึกปลอดโปร่งจนต้องกางแขนกว้างหลับตารับ ไม่มียาม
ไม่มีกำแพง ไม่มีคนคอยประกบ เนตรนภาแปลว่าดวงตาแห่งท้องฟ้า เพราะอย่างนั้นฉันถึงเหมาะที่จะอยู่ในที่ที่ท้องฟ้ามองเห็นและตัวฉันเองก็มองเห็นท้องฟ้ามากกว่าที่จะอยู่ในกล่องสี่เหลี่ยมที่เรียกว่าคฤหาสถ์เสนาบดีนั่น
ฉันออกเดินอย่างร่าเริง ต้นหญ้าที่สัมผัสยามเดินผ่านยิ่งทำให้รอยยิ้มบนใบหน้ากว้างขึ้นเรื่อยๆ
วูบ
สายลมพัดผ่านพาเอาท่วงทำนองหนึ่งมา
ฉันหยุดยืนเงี่ยหูฟัง เสียงขลุ่ยแสนเศร้าเป่าเป็นเพลงโหยหา ใจเต้นรัวขึ้นมาทันที
นั่นไง ออกมาปุ๊บก็เจออีเวนท์เลย ผิดไปจากที่เคยคิดที่ไหน ลอบยิ้มกับตัวเองก่อนจะค่อยๆตามเสียงไป
บนจุดสูงสุดของเนินหญ้าปรากฏร่างสูงที่กำลังยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ มือถือขลุ่ยจรดริมฝีปาก
ผมดำยาวสะบัดพลิ้วไหวราวกับหลุดมาจากภาพวาดที่สรรสร้างจากจินตนาการของจิตกรเอก
ฉันยืนอึ้งตะลึงตะลานกับภาพที่เห็นอยู่นานจนท่วงทำนองแสนเศร้าหยุดลง
เจ้าของร่างนั้นค่อยๆลดขลุ่ยในมือเก็บเข้าไปในเสื้อ หันมามองพร้อมๆกับที่ฉันก้าวเดินเข้าไปหาแบบอายๆที่มาขัดจังหวะ
ดวงจันทร์คืนนี้ส่องสว่างฉันจึงเห็นใบหน้าของคนลึกลับผู้นี้อย่างแจ่มชัด
น่าแปลกที่พอมามองใกล้ๆเขากลับไม่ได้หน้าตาล้ำเลิศเท่าตอนที่ยืนมองยามเป่าขลุ่ยอยู่ห่างๆ
จุดเด่นบนใบหน้าที่ดึงสายตาได้อย่างมากคือรอยบากที่ปลายคิ้วซ้ายลงมาจนแทบชิดหางตา
“ลู่หลิน” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยเรียก
บนใบหน้าปรากฏความประหลาดใจ
ฉันเงยหน้ามองกลับอึ้งๆ
ไม่คิดว่าชายคนนี้จะรู้จักกับจางลู่หลินด้วย
และเพราะไม่ได้คาดคิดว่าจะเจอกับอีเวนท์แบบนี้ฉันเลยไม่รู้จะตอบอะไรกลับไป
หลังจากที่จ้องตากันเนิ่นนาน อยู่ๆดวงตาสีดำขลับก็ราวกับทอประกายบางอย่างวูบขึ้นมา
แล้วก่อนที่ฉันจะแปลออกว่ามันคืออะไร ความเจ็บก็พุ่งเข้าใส่ที่ใต้ชายโครง
ฉันก้มหน้ามองมีดที่ปักเข้าไปในเนื้อตัวเองจนมิดด้ามตาโต ก่อนจะเงยหน้ามองคนที่มองกลับมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ใจอยากจะถามว่านี่มันอะไรกันแต่พูดไม่ออก อาการชาแล่นจากบาดแผลลามไปทั่วร่าง ได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อมองไอ้คิ้วบากกระชากมีดออกพร้อมกับร่างฉันที่ล้มตึงลงไป
“พิษนั่นจะทำลายประสาทสัมผัสของเจ้าจนไม่ได้รับความเจ็บปวด”
คิ้วบากเวรตะไลพูดเสียงราบเรียบ
ค่อยๆเอาผ้าบรรจงเช็ดรอยเลือดออกจากมีดช้าๆในขณะที่ฉันนอนหอบหายใจ ตาทั้งสองเบิกกว้างมองไอ้ฆาตกรใจโหดที่อยู่ๆมาเอามีดแทงเด็กอายุ ๑๒ ได้หน้าตาเฉย ขยับตัวไม่ได้ พูดก็ไม่ได้
เลือดที่ไหลออกจากจมูกยิ่งทำให้หายใจลำบากเข้าไปอีก
“วางใจเถิด เจ้าจะไม่ทรมาน”
ไม่ทรมานบิดาเอ็งสิ
ความรู้สึกของคนที่กำลังจะหมดลมหายใจน่ะ แน่จริงมาลองดูเองบ้างไหมล่ะ ฉันเบิกตาจ้องมองคนตรงหน้าเขม็ง
ใบหน้า รูปร่าง ดวงตา จมูก ริมฝีปาก คิ้ว
ทั้งยังรอยบากนั่นประทับฝังแน่นลงในความทรงจำ
ก่อนที่ความดำมืดจะเข้ามาปกคลุมสายตาและสติสัมปชัญญะทั้งหมด
ฉันตาย...อีกแล้ว
------------------------------------------------------------
(รีไรท์)
ตอนนี้เนตรนภาฟีลเหมือนเจ้าหญิงดิสนีย์ วิ่งเล่นในทุ่งหญ้าอยู่ดีๆ ฉึก ตาย...
ความคิดเห็น