ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ผ่านภพบรรจบฟ้า (ตีพิมพ์กับสนพ. คำต่อคำ)

    ลำดับตอนที่ #18 : ตอนที่ ๑๗ คนบ้าในวันวานนายท่านในวันนี้

    • อัปเดตล่าสุด 4 มิ.ย. 59




    ตอนที่ ๑๗ คนบ้าในวันวานนายท่านในวันนี้





    หมอกสีขาวลอยผ่านสวนสวยในดินแดนที่เปรียบเสมือนจุดเชื่อมต่อระหว่างภพภูมิ สร้างกลิ่นไอสูงส่งให้ปกคลุมสวนแห่งนี้ดั่งเช่นที่เป็นมา พัดจีบโบกสะบัดพร้อมๆกับมุมปากที่โค้งขึ้นของบุรุษผู้เป็นเจ้าของ ดวงตาพราวระยับมองลงไปในบ่อน้ำที่สามอย่างสนอกสนใจ ในเวลาเดียวกันเกิดสายลมพัดมาวูบหนึ่ง ประกายในดวงตาเลือนหาย รวบพัดเก็บก่อนจะหันกายกลับไป


    “หยวนจือคาราวะท่านผู้พิทักษ์ประตูแห่งโลกวิญญาณ” ร่างหนึ่งคุกเข่าทำความเคารพอยู่บนพื้นเบื้องหน้า


    “ไม่ต้องมากพิธี ลุกขึ้น” ผู้ถูกน้อมเรียกตำแหน่งเต็มยศกล่าว ก้าวเดินอย่างเชื่องช้าไปนั่งลงบนเก้าอี้หินหนึ่งเดียวในสวนแห่งนี้ เมื่อนั่งลงแล้วจึงเอ่ยถาม “นางเป็นอย่างไรบ้าง”


    หยวนจือเซียนในสังกัดผู้พิทักษ์ประตูก้มหน้า “ยังคงอยู่ที่เขาเดียวดาย” ตอบเป็นการเป็นงาน


    “ไม่ใช่ว่าครบกำหนดพ้นโทษแล้วหรอกรึ” ผู้พิทักษ์ประตูแห่งโลกวิญญาณถามกลับ


    “เป็นเพราะเรื่องที่เสี้ยววิญญาณของท่านผู้นั้นซึ่งทิ้งไว้ก่อนรับโทษข้ามไปยังภพอื่นถูกพบเข้า โทษทัณฑ์จึงเพิ่มเข้ามา ยังคงต้องถูกคุมขังอยู่ที่เขาเดียวดายต่อไป”


    “อย่างนั้นรึ” ใบหน้าดั่งเทพบุตรหันมองบ่อน้ำซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่าง “ประมุขฟ้าผู้นั้นยังคงเด็ดขาดเข้มงวด กระทั่งกับนางที่เป็นหลานแท้ๆยังเพิ่มโทษได้อย่างไม่ลังเล”


    “จากที่หยวนจือไปสืบมา ได้ข่าวว่าองค์รัชทายาทลงมาพบกับผู้ดูแลดวงชะตามนุษย์ หารือเรื่องที่ท่านผู้นั้นพยายามแก้ไขความผิดพลาดที่เคยได้ทำไว้จึงพลั้งเผลอทำผิดกฏไป เห็นว่าองค์รัชทายาทตั้งใจผลักดันประเด็นนี้ขึ้นเพื่อขอลดโทษจากองค์เง็กเซียน”


    “เรื่องนี้หากจะโทษก็คงต้องโทษที่นางเป็นหลานสาวคนโปรด เมื่อโปรดมากจึงผิดหวังมาก อีกทั้งเพราะความโปรดปรานนั้นทำให้การลงทัณฑ์นางถูกจับตามองจากเทพเซียนทุกหย่อมหญ้า นางถึงต้องโทษยาวนานเพียงนี้ กระทั่งนามยังถูกสั่งห้ามไม่ให้พูดถึง” เทพบุตรโลกวิญญาณถอนหายใจยาว “ไม่มีสิ่งใดแล้ว เจ้าไปเถิด” หันบอกหยวนจือที่ยังคงยืนก้มหน้าอยู่


    “เช่นนั้นหยวนจือขอลา”


    เมื่อร่างของเซียนใต้สังกัดหายไปพร้อมกับสายลม ผู้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ก็ลุกขึ้นเดินตรงไปยังบ่อน้ำบ่อที่สามที่ยังคงมีน้ำหลงเหลืออยู่


    “หากเจ้ารู้ว่าหญิงชุดขาวที่ข้าแนะนำให้ออกตามหานั้น ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถหาพบเสียแล้ว เจ้าคงบ่นว่าข้าน่าดูเชียว” ริมฝีปากยิ้มน้อยๆยามเอ่ยพูด


    เดิมทีเขาคาดว่าช่วงเวลาที่องค์หญิงผู้นั้นพ้นโทษจะเป็นช่วงเดียวกับที่แม่นางน้อยเติบโตพอดี นางกลับถูกเพิ่มโทษเสียอย่างนั้น อย่าว่าแต่เดิมทีเขาเองก็ไม่ได้อยากยุ่งเกี่ยวกับเรื่องสุ่มเสี่ยงเช่นนี้ หากไม่เพราะเคยติดหนี้ชีวิตนางหนหนึ่ง เขาไหนเลยจะมาร่วมลงเรือกลางพายุฝนกับนางได้ ยิ่งกับเทพเซียนเยี่ยงนางแล้ว กระทั่งถูกขังอยู่บนเขาเดียวดาย สถานที่ที่ปราณอันหนาวเหน็บจะแทรกซึมเข้าสู่ร่างเซียนจนถึงแก่น ต้องทนทุกข์ทรมานถึงเพียงนั้น กลับไม่ปริปากรายละเอียดใดของเรื่องราวออกมาแม้แต่น้อย


    คิดแล้วก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้ ตอนนั้นที่นางมาขอร้องก็บอกเพียงคร่าวๆ เมื่อใดที่เขาพบดวงวิญญาณที่มาพร้อมกับหยกขาวซึ่งมีกลิ่นไอของนาง ให้เขาช่วยปกป้องส่งดวงวิญญาณนั้นเล็ดลอดข้ามผ่านเขตแดนไปยังภพที่นางบอก ไม่ต้องทำสิ่งใด เพียงส่งวิญญาณนั้นไปด้วยเพราะยามที่ดวงวิญญาณนั้นมาถึง กงล้อแห่งชะตากรรมจะหมุนพาไปเอง ความลับนี้ใหญ่หลวง ที่บรรดาผู้พิทักษ์ความยุติธรรมบนสวรรค์ชั้นฟ้ายังคงตรวจสอบไม่เลิก ก็ด้วยเพราะยังหาเหตุผลที่นางแบ่งเสี้ยววิญญาณไว้แล้วสั่งให้ข้ามไปภพอื่นไม่ได้ ไม่ว่าจะสอบสวนอย่างไร นางกลับเพียงยอมรับผิดทุกกรณีโดยไม่ปริปากเท่านั้น จะว่าไปแล้วเรื่องนี้ผู้ที่อกสั่นขวัญแขวน  พยายามนิ่งเงียบไม่ส่อพิรุธใดที่สุดก็คงมีเขาผู้หนึ่ง อีกหนึ่งนั้นหนีไม่พ้นเทพเซียนผู้ดูแลดวงชะตามนุษย์ผู้นั้นที่รู้เห็นเป็นใจกับนาง อกสั่นขวัญแขวนกระทั่งเขากับผู้ดูแลดวงชะตามนุษย์ซึ่งอยู่ในโลกวิญญาณเช่นเดียวกันนี้ไม่กล้าพบปะดื่มชากันไปอีกนาน แสร้งกบดานหลีกหนีความวุ่นวายด้วยกิริยาภายนอกสูงส่งภายในเหงื่อแตกพลั่กๆโดยแท้


    “ข้าคิดว่าอีกไม่นานนางคงไปพบเจ้าด้วยตนเอง ไหนเลยจะคาดว่าเรื่องกลับกลายเป็นเช่นนี้ เอาไว้พวกเรามีโอกาสได้พบกันเมื่อไหร่ ค่อยขอโทษเจ้าก็แล้วกัน” ดวงตาเรียวโค้งขึ้นยามมองไปยังภาพคุณชายชุดฟ้าในบ่อน้ำซึ่งกำลังกัดหมั่นโถตาจ้องมองบางสิ่งอยู่ด้วยความสนอกสนใจ






     

    แคว้นฉู่ หนึ่งในแคว้นที่ได้ชื่อว่ามีอาณาเขตกว้างใหญ่ ครอบคลุมอาณาเขตตอนใต้เกือบทั้งหมด มีพื้นที่ติดต่อกับแคว้นอื่นถึงสี่แคว้นอันประกอบด้วย ฉิน หาน เว่ย และฉี หากแต่หลังจากอ๋องฉู่องค์ก่อนสวรรค์คต องค์ชายเหยียนอี้ขึ้นครองบัลลังก์เมื่อห้าปีก่อน ความน่าเกรงขามของแคว้นก็ลดลงไปมาก


    “เจ้าไม่รู้รึ พ่อข้าคือผู้ใด! โอ๊ยๆๆ


    “หากเจ้าเป็นลูกยังไม่รู้ ตัวข้าไหนเลยจะไปรู้กับเจ้า!


    “ปล่อยข้า! โอ๊ยๆ ท่านจอมยุทธ ข้ายอมแล้ว ได้โปรดปล่อยข้าไปเถิด ข้าผิดไปแล้ว”


    ฉันกัดหมั่นโถคำหนึ่ง ตามองละครฉากตรงหน้า จอมยุทธผมเผ้ากระเซอะกระเซิงแต่งตัวซอมซ่อเหมือนพวกขอทานล็อคแขนกดคุณชายจอมอวดดีจากจวนไหนสักแห่งคว่ำหน้าอยู่บนพื้นโรงเตี๊ยม ไอ้เจ้าคุณชายนั่นอวดเบ่งข่มขู่อยู่ได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องยอมแพ้ อ้อนวอนอย่างหมดสภาพ จอมยุทธผู้สั่งสอนไปเล็กน้อยสุดท้ายรำคาญถึงปล่อยตัวไป โดนปล่อยแล้วคุณชายนิสัยเสียนั่นกลับไม่สำนึก วิ่งไปหน้าโรงเตี๊ยมหันมาชี้หน้าคาดโทษจอมยุทธ ตะโกนด่าอีกสามคำแล้วเผ่นแน่บไปฝุ่นตลบ


    “เช่นนี้ถึงได้มีคำกล่าวว่าผู้ที่เหมือนคนบ้าเหมือนขอทานที่สุดในโรงเตี๊ยม ร้อยทั้งร้อยล้วนเป็นยอดฝีมือทั้งสิ้น” ฉันพูดกึ่งทอดถอน


    “ผู้ใดกล่าวกัน” จิ้นเหอเงยหน้าจากชามอาหารขึ้นถาม


    “ข้านี่อย่างไรกล่าว” ฉันตอบหน้ามึน กัดหมั่นโถในมืออีกคำ


    “อย่ามัวแต่พูดคุย เราต้องรีบออกเดินทางต่อไปให้ถึงเมืองเซี่ยก่อนมืด รีบกิน” หยางชุนปราม


    ฉันเหล่มองเขาซึ่งตอนนี้มีหน้ากากสีดำปิดบังใบหน้าอยู่ หน้ากากนั้นปิดบังดวงตาลงมาถึงปลายจมูก มองไปแล้วไม่ทราบด้วยเหตุใดฉันกลับนึกถึงหน้ากากทักซิโด้ทั้งๆที่ไม่ได้มีส่วนใดเหมือนกันสักนิด หน้ากากนี้ทำเอาเขาดูลึกลับหน้าน่าเกรงขามยิ่งกว่าเดิมมาก แต่เพราะใจดันนึกถึงหน้ากากทักซิโด้ไปแล้ว ภาพหยางชุนคาบกุหลาบกระโดดลงมาจากหลังคาจึงลบเลือนความน่าเกรงขามของเขาจนหมดสิ้น จะหัวเราะออกมาก็ไม่กล้า ได้แต่ฝืนกลั้นไว้ตัวสั่นงันงกสุดแสนทรมาน


    “จะว่าไปพูดถึงเมืองเซี่ยก็นึกถึงเจ้านั่นขึ้นมา ข้าไม่ได้ไปเมืองเซี่ยมาปีกว่าไม่รู้เป็นอย่างไรบ้าง” จิ้นเหอหันไปพูดกับหยางชุน


    ในตอนแรกทั้งฉันและจิ้นเหอต่างก็สงสัย เหตุใดเขาต้องใส่หน้ากากปิดบังใบหน้า เขากลับบอกเพียงว่าบังเอิญสร้างศัตรูไว้ที่แคว้นฉู่ หากได้พบเข้าอาจสร้างปัญหาส่งถึงภารกิจจึงป้องกันไว้ ฉันกับเจ้าหมาบ้ามองหน้ากัน เห็นท่าทางเขาไม่ต้องการขยายความใดก็ไม่อยากเซ้าซี้ ได้แต่คิดกันว่าหยางชุนผู้นี้ความลับเยอะเหลือเกิน


    “ได้ข่าวว่ากิจการกำลังไปได้ดี หอแว่วเสียงคีตาของเขาชื่อเสียงแผ่ไปไกล เห็นว่าขุนนางต่างเมืองยังถึงขั้นเดินทางมาเพื่อแว่วเสียงคีตาเพียงอย่างเดียว” นายท่านผู้ล้ำเลิศผู้เต็มไปด้วยลับตอบ


    “ผู้ใดรึ” ฉันถาม มองหน้าพวกเขาสลับไปมา แคว้นฉู่เป็นแคว้นที่ฉันไม่ค่อยมีโอกาสได้มาเหยียบสักเท่าไหร่นัก อย่าว่าแต่สามปีมานี้ได้มาแคว้นฉู่ส่วนใหญ่ก็อยู่เพียงแถวชายแดน ภารกิจที่ได้มักขึ้นไปทางเหนือเสียมากกว่า


    เจ้าจิ้นเหอยิ้มร้าย


    “เจ้ารู้จักเขาดีทีเดียว”


    “ข้ารู้จักดี” ฉันทวนคำ หันมองหยางชุนเขากลับยิ้มมุมปากไม่ได้พูดสิ่งใด รู้จักดีอย่างนั้นรึ มีกิจการอยู่ที่เมืองเซี่ย มีกิจการก็น่าจะมาจากหอนภา


    “ผู้ที่อดข้าวอดน้ำมาพร้อมกับเจ้าอย่างไรเล่า เจ้าคนที่เข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยกับสิบเก้าไล่ให้เจ้าไปอยู่หอนายโลมนั่น”


    “สิบหกอย่างนั้นรึ!” หมั่นโถวแทบร่วงลงจากมือฉัน ถามเจ้าจิ้นเหอที่หัวเราะก๊ากตาโต


    “ตอนนี้เจ้าเรียกเขาเช่นนั้นไม่ได้แล้ว” หยางชุนพูดแทรกเสียงหัวเราะเจ้าหมาบ้า “ต้องเรียกเขาว่าท่านจินฟู่แห่งแว่วเสียงคีตา”


    ปากอ้าค้าง ไม่เจอกันเพียงสามปี ผู้ใดจะคิดเจ้าบ้าสิบหกกลายเป็นนายท่านไปเสียแล้ว!


    “จินฟู่ ทองคำอันแสนมั่งคั่งอย่างนั้นรึ” ฉันพึมพำ ผู้ที่ตั้งชื่อให้เขาไม่พ้นต้องเป็นพวกหน้าเงิน


    “ไปเมืองเซี่ยหนนี้ไปหาเขาก่อนแล้วกัน” จิ้นเหอปิดท้ายทั้งหัวเราะ หยางชุนเองก็ไม่ได้ขัดข้องสิ่งใด ด้วยเหตุนี้หลังจากจบมื้ออาหารเราจึงขี่ม้าตรงไปเมืองเซี่ยทันที

     




    เมืองเซี่ยนั้นถือเป็นเมืองใหญ่เมืองหนึ่งของแคว้นฉู่ แม้ไม่ใช่เมืองหลวงแต่ก็เป็นเมืองที่สำคัญ ยิ่งมีหอแว่วเสียงคีตาที่โด่งดังด้วยแล้วยิ่งกลายเป็นเมืองที่ผู้คนพลุกพล่านเมืองหนึ่ง


    “พวกเจ้า รอเดี๋ยวก่อน” ฉันบอกพวกเขาตอนที่พวกเราเกือบถึงเมือง “รอข้าอยู่ตรงนี้ ข้าไปเปลี่ยนชุดสักครู่เดี๋ยวกลับมา”


    “เจ้าจะเปลี่ยนชุดทำไมกัน” จิ้นเหอมองฉันที่กำลังลงจากหลังม้างงๆ


    “พวกเจ้าบอกจะไปหาเจ้าสิบหกจินฟู่ก่อนจะไม่ให้ข้าเปลี่ยนชุดได้อย่างไร ลืมแล้วรึพวกเจ้าสมองนิ่มกันทุกคน เอ้อ เว้นหยางชุนไว้” ฉันรีบแก้เมื่อเห็นหยางชุนเหล่มา “ไปชุดนี้เขาก็ยิ่งปักใจว่าข้าเป็นชายเข้าไปอีก”


    “เช่นนั้นเจ้าจะเปลี่ยนชุดเป็นหญิงอย่างนั้นรึ” หยางชุนถาม ลงจากหลังม้ามาดักหน้า


    “ถูกแล้ว จะนุ่งกระโปรงไปยืนตอกหน้าให้หงาย” ฉันพูดอย่างหมายมั่น เรื่องถูกเข้าใจผิดว่าเป็นชายนี้จะอย่างไรก็เจ็บใจไม่หาย แม้เวลาผ่านไปผมยาวขึ้น เจ้าพวกบ้านั่นกลับคิดไปว่าฉันเป็นผู้ชายหน้าหวานประเภทชวนให้หลงผิดเสียอย่างนั้น วันนี้หากไม่นุ่งกระโปรงไปยืนต่อหน้าเจ้าบ้านั่นคงไม่หายค้างคาใจ


    “ต้องเดินทางตลอดเช่นนี้ แต่งเป็นหญิงไม่ปลอดภัย” หยางชุนพูด


    ฉันหันมองเขา


    “ข้าหาใช่พวกดูแลตนเองไม่ได้ อีกอย่างข้าพกกระบี่ เจ้าพกดาบ จิ้นเหอสะพายทวนอยู่ด้านหลัง ไม่ว่าผู้ใดก็ต้องรู้ว่าเป็นยุทธ มีหรือจะกล้าสุ่มสี่สุ่มห้าเข้ามา”


    “หอแว่วเสียงคีตาแม้ไม่ได้กีดกันชายหญิงด้วยเห็นว่าศิลปะดนตรีไม่ควรแบ่งแยก ถึงอย่างนั้นเป็นสตรีเข้าไปไม่สะดวกนัก”


    “ไม่สะดวกอย่างไร” ฉันถามหยางชุนงงๆ ก็ไหนว่าไม่แบ่งแยก ชายหญิงล้วนเข้าไปชมได้


    “ไม่สะดวกตรงที่แว่วเสียงคีตานั้นนอกจากไปฟังดนตรีแล้ว ยังถือเป็นโอกาสให้พวกบุรุษมาเกี้ยวพาสตรีที่เข้าชมดนตรีด้วย” จิ้นเหอตอบมาจากบนหลังม้า “หากเจ้าแต่งเป็นหญิง เกิดไปต้องตาใครเข้าจะไม่ลำบากรึ”


    “ข้าจะไปต้องตาผู้ใดกัน” ฉันถามเขากลับทั้งสะพรึง ด้วยเพราะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ในหัวจำต้องคิดหาทางรอดอยู่เสมอ เรื่องรักๆใคร่ๆจึงออกจะไกลตัวอยู่มาก


    จิ้นเหอไม่ตอบ นอกจากไม่ตอบแล้วยังทำเป็นมองเมินไปทางอื่นอีก เช่นนั้นหมายความว่าอย่างไรไยอยู่ๆเมินกันดื้อๆเช่นนี้เล่า


    “เป็นคนธรรมดาย่อมจัดการได้ง่าย แต่หอแว่วเสียงคีตานั้นพวกคนใหญ่คนโตมักแวะเวียนมา หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน ต้องมีปัญหากับพวกเขาแล้ว...”


    ฉันหันมองหยางชุน


    “เจ้าคิดว่าอย่างข้าจะไปต้องตาพวกคนขุนนางเชียว ข้างดงามถึงเพียงนั้นเลยรึ” ถามเขาหน้าเหลอหลา


    ตั้งแต่มาภพนี้ฉันประสพพบเจอกับความงามล้ำเลิศมากมาย ก็บรรดาสนมของผู้ปกครองแผ่นดินจ้าวนั่นอย่างไร ดอกไม้งามพวกนั้นงดงามจนตาพร่า เสื้อผ้าหน้าผมล้วนแล้วแต่สนับสนุนส่งเสริม แล้วฉันที่มีเพียงชุดกระโปรงธรรมดา หน้าผมธรรมดา กระทั่งเครื่องสำอางค์ยังไม่มี อย่าได้พูดถึงเครื่องประดับใด พวกคนใหญ่คนโตที่ได้พบเจอสาวงามสูงศักดิ์มากมายไหนเลยจะตาถั่วมามองคนธรรมดาๆอย่างฉันได้


    หยางชุนมองเมินไปทางอื่น เหตุใดเขาก็เมินหนีฉันอีกคนเล่า แค่ถามว่างดงามถึงเพียงนั้นเชียวรึเขาถึงขั้นรับไม่ได้เลยหรืออย่างไร


    “เจ้าแต่งชุดนี้ก็ดีอยู่แล้ว รีบๆไปเสียที” จิ้นเหอหันมาบอกท่าทางรำคาญ


    หยางชุนกลับขึ้นหลังม้าเป็นสัญญาณบอกกลายๆว่าให้ฉันรีบไปเช่นกัน เห็นดังนั้นฉันจึงต้องกลับขึ้นหลังม้าอย่างจำยอม เจ้าพวกนี้ไม่มีใครเข้าใจความเจ็บแค้นในจิตใจอันบอบช้ำของฉันเลยจริงๆ





     


    หอแว่วเสียงคีตาใหญ่โตโออ่า ตัวอักษรแว่วเสียงคีตางดงามโดดเด่น หากไม่เป็นเพราะกว่าจะเปิดทำการแสดงก็ช่วงเย็นโน่นผู้คนคงพลุกพล่านกว่านี้


    “เจ้า จงไปแจ้งนายใหญ่แห่งแว่วเสียงคีตาว่าข้าจิ้นเหอมาขอพบ” จิ้นเหอเดินไปบอกคนเฝ้าประตู


    รออยู่สักพักพวกเขาก็เปิดประตูนำทางเข้าไป ภายในหอนั้นตกแต่งงดงามอ่อนช้อย สร้างบรรยากาศอ่อนหวานตั้งแต่ก้าวแรกที่พบเห็น นับว่าเจ้าจินฟู่มีรสนิยมด้านนี้อย่างไม่น่าเชื่อ ไม่น่าเล่าเรื่องการต่อสู้ถึงได้ห่วยแตกทุกแขนง


    “จิ้นเหอ ไอ้เจ้าหมาบ้า!” เสียงร้องทักทันทีที่จิ้นเหอเดินเข้าประตูห้องรับรองไป  บุรุษร่างสูงชุดสีขาวสะอาดสวมเสื้อแพรสีน้ำเงินทับเดินตรงดิ่งมาหา “เจ้าก็มาด้วยรึหยางชุน แล้วคุณชายท่านนี้ สหายพวกเจ้าหรืออย่างไร”


    ฉันมองหน้าเจ้าสิบหกจินฟู่อึ้งๆ เหตุใดเจ้าบ้าที่ร่วมอดข้าวด้วยกันมาในวันวานจึงดูมีสง่าราศีเกินหน้ากันได้ถึงขนาดนี้เล่า สวรรค์ไม่ยุติธรรม


    “หืม ข้าว่าท่านหน้าตาคุ้นๆอยู่ เราเคยพบกันหรือไม่” จินฟู่หรี่ตามอง “เดี๋ยวก่อน สายตาทื่อๆมึนๆเช่นนี้ไม่ใช่ว่ามีอยู่ผู้เดียวหรือไร”


    “ไม่ได้เจอกันหลายปี ท่าทางเจ้ามีข้าวปลากินอุดมสมบูรณ์เชียว” ฉันทัก


    “สี่สิบสาม!” เจ้าจินฟู่ตะโกนตาโต “ชาวอดข้าวของข้า!” ตะโกนแล้วก็กางแขนพุ่งเข้าหา กลับหาได้เพียงอากาศเมื่อจิ้นเหอเอามือยันหน้าผากเขาไว้ให้ได้แต่กางแขนตีไปมาอยู่หน้าฉัน


    “รักษากิริยาท่าทีเจ้าหน่อยโว้ย” เจ้าหมาบ้าผลักจินฟู่ออก


    “รักษาอะไรวะ ข้าไม่ได้เจอสี่สิบสามตั้งสามปี สามปีกว่าเสียด้วยซ้ำ จะอย่างไรก็ต้องตบหัวกอดคอเพื่อนเกลอกับเขาให้หายคิดถึงสิโว้ย” จินฟู่ว่ากลับเสียงเคือง


    ตบหัวกอดคอ จนป่านนี้เจ้าสมองนิ่มนี่ยังคิดจะตบหัวฉันอยู่อีกรึ


    “เจ้าจะตบหัวนางได้อย่างไร กล้ารึ” จิ้นเหอถาม สีหน้ากึ่งปลงกึ่งรำคาญ


    “เหตุใดต้องไม่ เดี๋ยว เจ้าว่าอย่างไรนะ นาง”


    “จินฟู่ เจ้าเป็นถึงนายใหญ่แห่งหอแว่วเสียงคีตา อยู่ๆจะมาตบหัวสตรีเช่นนี้ไม่ละอายฟ้าดินบ้างหรืออย่างไร” ฉันถาม เห็นหน้างงๆเอ๋อๆของเขาแล้วนับว่าความแค้นเคืองนี้คลายลงหลายส่วน


    “สตรี”


    เจ้าจินฟู่อ้าปากค้าง ค้างแล้วหันไปมองหยางชุนซึ่งพยักหน้าช้าๆ ปากจินฟู่อ้ากว้างขึ้นไปอีก


    “ส...สตรี!!!” เขาตะโกนเสียงดังลั่น พุ่งฝ่าจิ้นเหอมาจับไหล่ทั้งสองข้างของฉันไว้ “นี่เจ้า เจ้า เจ้าอยากเป็นสตรีจนถึงขั้น ถึงขั้น” พูดเสียงตะกุกตะกักหูตาเหลือก เหลือกแล้วทำท่าเหมือนจะปล่อยโฮขึ้นมาเสียอย่างนั้น “โธ่ สี่สิบสาม เมื่อก่อนนั้นข้าเพียงล้อเจ้าเล่น ไหนเลยจะคาดว่ากลับทำจิตใจเจ้าฝักใฝ่ไปทางหญิงขึ้นมาได้จริงๆ” จินฟู่ฟูมฟาย


    ฉันหันมองหน้าจิ้นเหอ เจ้าหมาบ้ามองจินฟู่ด้วยสายตาประมาณว่าเจ้ามันโง่อะไรอย่างนี้ กระทั่งหยางชุนที่ยืนอยู่อีกฝั่งยังอึ้งจนพูดไม่ออก


    “สี่สิบสาม จิตใจเจ้ากลายเป็นหญิงไปเสียแล้ว เรื่องนี้ต้องโทษเจ้าสิบเก้า”


    มือฉันจับกระบี่ข้างเอว ตามองจินฟู่ที่ยังคงฟูมฟายอยู่ ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน


    “ไม่น่าเลยสี่สิบสาม”


    สูดลมหายใจเข้าลึก ฉันสะบัดกายออกจากจินฟู่อย่างรวดเร็วพร้อมๆกับก้าวขาขวาถอยหลัง ดึงกระบี่ที่ยังคงอยู่ในฝักฟาดเสยคางไอ้เจ้าบัดซบนี่กระเด็นลอยไปกระแทกตู้ไม้ดังโครม จิ้นเหออ้าปากค้างมองร่างจินฟู่ที่นอนหน้าหงายอยู่ข้างตู้ หงส์หยกตัวหนึ่งซึ่งตั้งโชว์อยู่ตกลงมาใส่หน้าเขาซ้ำดังปั้ก ส่วนหยางชุนนั้นเหล่มองใบหน้าเรียบสนิทของฉันก่อนจะขยับกายออกห่างไปครึ่งช่วงตัว

     







    “ที่แท้เรื่องเป็นเช่นนี้นี่เอง” จินฟู่พยักหน้าเข้าใจ มือข้างหนึ่งเอายาสมุนไพรประคบคางไปด้วย “หลิ่งเฟย เจ้าเองก็ช่างแนบเนียน”


    “ข้าหาได้แนบเนียนสิ่งใด พวกเจ้าสมองนิ่มกันทั้งนั้น กระทั่งเจ้าสิบเก้ารู้เรื่องชาวบ้านไปทั่วก็ยังสมองนิ่มตามไปด้วย” ฉันตอบก่อนจะยกน้ำชาขึ้นซด ได้ฟาดเขาไปทีหนึ่งก็ไม่ได้รู้สึกติดค้างสิ่งใดอีก


    “อูย เรื่องแค่นี้เหตุใดต้องฟาดข้าแรงเช่นนี้เล่า ดีที่ตู้ข้าทำจากไม้ชั้นดีไม่เช่นนั้นคงไม่เหลือซาก” เจ้าสมองนิ่มจินฟู่ซี้ดปาก เอียงคอประคบคางอย่างน่าเวทนา


    “หอแว่วเสียงคีตาเต็มไปด้วยสตรีมากมาย เจ้าที่คลุกคลีอยู่กับพวกนางไยไม่เอะใจตั้งแต่หลิ่งเฟยเดินเข้ามา” หยางชุนถาม


    “พวกเจ้าก็ดูนาง ตั้งแต่เล็กจนโตนางเหมือนสตรีที่ไหน สตรีนั้นจะมีบุคลิกท่วงท่าเฉพาะอยู่ แม้อยู่ในสิ่งแวดล้อมเช่นค่ายฝึกแต่พวกนางจะมีสิ่งที่... เจ้าเข้าใจข้าหรือไม่ ความเป็นสตรี ไม่ต้องถึงขั้นอ่อนหวานชดช้อย แต่ความเป็นสตรี สิ่งที่ทำให้รู้สึกว่านี่คือสตรี” เจ้าจินฟู่ยกมือประกอบ “แล้วเจ้าดูนาง ดวงตาคู่นั้นทั้งๆที่ออกจะงดงามแต่แววตาดันทื่อมะลื่อ หลายครั้งไม่ทื่ออย่างเดียวพ่วงเซ่อๆงงๆเข้าไปด้วย ร่างกายหรือก็อึดเกินสตรี การฟื้นตัวจัดอยู่ในชั้นยอด ทนทุกสภาพดินฟ้าอากาศ พูดถึงเรื่องกิริยาแล้ว อย่าว่าแต่มารยาหญิง...”


    “พอก่อน” ฉันยกมือขึ้นห้าม น้ำชาที่จิบไปแทบกลืนไม่ลง “จิตใจข้ายับเยินไปหมดแล้ว พอก่อนได้หรือไม่”


    “ข้าหาได้ว่าเจ้า หลิ่งเฟย เพียงแต่สตรีนั้นจะอย่างไรอยู่ใกล้บุรุษย่อมต้องมีความเขินอายบ้าง ถือตัวบ้าง แต่เจ้านั้น...”


    “อีกเพียงนิดเดียวข้าจะกระอักเลือดแล้ว พอเถิด” ฉันบอกเสียงแหบแห้ง


    “เช่นนั้นเรื่องที่ข้าตบหัวเจ้าไปหลายหนเมื่อก่อน เจ้าอภัยให้ข้าด้วยแล้วกัน”


    ฉันพยักหน้าหงึกๆ ตาลอย รู้สึกสิ้นหวังในตัวเองบอกไม่ถูก


     “ข้าว่าแล้วเจ้ามีจิตใจกว้างขวาง เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ไม่ถือโทษหรอก แล้วครั้งนี้พวกเจ้าสามคนมาถึงเมืองเซี่ยมีเรื่องอะไรกันรึ” จินฟู่ลากไปถามเรื่องอื่นด้วยน้ำเสียงปลอดโปร่ง ไร้ซึ่งความรู้สึกผิดที่ทำร้ายจิตใจฉันยับเยินอย่างสิ้นเชิง


    หยางชุนกระแอม ฉันเหล่มองไปเขากลับทำเป็นกระแอมแล้วหันหน้าไปทางอื่น ไอ้เจ้าผู้ล้ำเลิศนี่ แอบหัวเราะอยู่ใช่หรือไม่ เบือนหน้าไปทางจิ้นเหอที่นั่งตรงข้ามหยางชุน เจ้าหมาบ้าขมวดคิ้วมุ่นเกรงว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังตามบรรยากาศไม่ทัน


    “ตกลงมีเรื่องใดกันรึ” จินฟู่ถามอีกครั้งหน้าซื่อตาใสในขณะที่ฉันรู้สึกหมดแรง เหตุใดสวรรค์ ไม่สิ เหตุใดเทพบุตรต้องส่งฉันมาเจอกับเจ้าพวกนี้ด้วย ฉันเคยทำกรรมใดไว้กัน

     







    “อืม เรื่องเสนาบดีคลังผู้นั้นข้าพอได้ข่าวมาไม่น้อย” จินฟู่พูดสีหน้าจริงจัง กว่าจะได้เข้าเรื่องเป็นการเป็นงานก็กินเวลาไปเป็นครึ่งชั่วยาม “พวกที่อยู่ฝ่ายค้าเร่เองก็เล่าสู่กันฟังบางส่วน เสนาผู้นี้เป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนอ๋องฉู่องค์ปัจจุบันให้ได้ขึ้นครองราชย์ อำนาจนั้นมีไม่น้อย  พวกเจ้าจะจัดการเขาไม่ใช่เรื่องง่าย”


    “เขาเป็นผู้สนับสนุนอ๋ององค์ปัจจุบันรึ” ฉันสะดุดกับข้อมูลที่ได้ยิน “เช่นนั้นแสดงว่าก่อนหน้านี้มีองค์ชายที่อยู่คนละขั้วกับเขาใช่หรือไม่”


    “หากจะพูดถึงเรื่องนี้คงต้องเท้าความไปตั้งแต่รัชทายาทองค์เก่าองค์ชายเหยียนจวิ้นยังอยู่” จินฟู่เริ่มเล่า “พูดกันง่ายๆก็เขาเป็นหลานปู่ของอ๋ององค์ก่อน หลานอาของอ๋ององค์ปัจจุบัน เล่าลือว่าองค์ชายเหยียนจวิ้นผู้นี้เป็นอัจฉริยะเก่งกาจทั้งบู๊และบุ๋นตั้งแต่เยาว์วัยเป็นที่โปรดปรานของอ๋ององค์ก่อน ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาทตั้งแต่อายุเพียงสิบชันษา กระทั่งพระนามเหยียนจวิ้นนี้อ๋ององค์ก่อนยังทรงตั้งให้ใหม่ด้วยพระองค์เอง”


    “เดี๋ยวก่อน เหตุใดเขาจึงไปแต่งตั้งหลานชายแทนที่จะเป็นลูกเล่า” ฉันถาม นี่ไม่เรียกว่าข้ามหน้าข้ามตากันสุดๆเลยรึ อ๋ององค์ก่อนคิดอย่างไรถึงลากหลานชายอายุเพียงสิบขวบเข้าดงดาบเช่นนั้น


    “อ๋ององค์ก่อนนั้นขึ้นชื่อเรื่องความหัวแข็งยึดมั่นในหลักการตนเองอย่างมาก ถึงกับประกาศว่าหากยังไม่มีผู้มีความสามารถที่พระองค์เห็นว่าคู่ควรก็จะไม่แต่งตั้งรัชทายาทจนกว่าผู้ที่คู่ควรนั้นจะถือกำเนิด เรื่องนี้เหล่าขุนนางในตอนนั้นก็พากันหนักใจ จนกระทั่งองค์ชายเหยียนจวิ้นผู้นั้นกำเนิดขึ้นมา ด้วยความโดดเด่นทำให้หลายฝ่ายต่างคิดว่าตำแหน่งรัชทายาทอีกไม่นานคงไม่ว่างอีกแล้ว เพียงแต่อย่างที่เจ้าบอก องค์ชายเหยียนจวิ้นมีศักดิ์เป็นหลาน คมดาบของบรรดาอาๆนั้นขวางอยู่ไม่น้อย อ๋องฉู่ในกาลก่อนเองก็รู้ดี พยายามสร้างฐานอันมั่นคงให้เขา หากแต่เวลาไม่คอยท่าวรกายของอ๋องฉู่ทรุดโทรมลงมาก ในที่สุดพระองค์จึงตัดสินใจแต่งตั้งองค์ชายน้อยผู้นั้นขึ้นเป็นรัชทายาท นอกจากฐานอำนาจที่เพียรร่วมสร้างกับบิดาขององค์ชายน้อยแล้วยังหวังพึ่งแม่ทัพใหญ่ซึ่งเป็นพี่ชายแท้ๆของฝั่งมารดาองค์ชายน้อยให้ช่วยปกป้องสนับสนุน”


    “เรื่องนี้ข้าพอนึกคุ้นๆขึ้นมาบ้างแล้ว” ฉันพูดขึ้นมา


    ในตอนเป็นเด็กฝึกจำได้ว่าอาจารย์เหลียงเคยเล่าให้ฟังว่าองค์ชายเหยียนอี้ขึ้นเป็นรัชทายาทแทนรัชทายาทองค์ก่อนที่สิ้นพระชนน์ไป เป็นรัชทายาทได้เพียงไม่ถึงปีอ๋องฉู่ก็สวรรคต องค์ชายเหยียนอี้จึงขึ้นเป็นอ๋องฉู่ด้วยประการนี้


    “รัชทายาทน้อยผู้นั้นสุดท้ายสิ้นพระชนน์ไปใช่หรือไม่”


    “ถูกแล้ว ระหว่างเร่งเดินทางไปเยี่ยมตาของเขาที่ล้มป่วยขบวนเสด็จถูกโจรป่าลอบโจมตี สังหารสิ้นทั้งครอบครัว” จินฟู่ตอบ น้ำเสียงหดหู่ “นอกจากขบวนเสด็จไปไม่ถึงแล้ว วันเดียวกันนั้นตาของรัชทายาทน้อยก็สิ้นไปด้วยเช่นกัน นับเป็นเรื่องสลดใจไม่น้อยในตอนนั้น”


    “เรื่องนี้ความจริงยังคงมีจุดสงสัยอยู่หลายแห่งไม่ใช่รึ” จิ้นเหอพูดขึ้นมาบ้าง “หัวหน้าชงจื้อเคยพูดถึงเรื่องนี้ครั้งหนึ่ง โจรป่าไหนเลยจะกล้าบุกปล้นขบวนเสด็จขององค์รัชทายาท แม้ครั้งนั้นด้วยความเร่งรีบไปดูใจตาของเขาจะไม่ได้สั่งให้คนติดตามไปมากเกิน แต่ด้วยฝีมือของเหล่าองครักษ์และทหารที่พาไปไหนเลยจะสังหารอย่างง่ายดายได้ อย่างไรก็คงไม่พ้นเป็นแผนลอบสังหาร”


    “พูดเรื่องนี้ หากประตูหน้าต่างไม่ปิดมิดชิดพวกเราคงได้โดนลากไปประหารเสียหมด” จินฟู่ทำท่าขนลุก “ตอนเข้าสู่หอนภาพวกข้าถูกยัดเรื่องการเมืองแคว้นต่างๆลงสมองอย่างโหดร้าย โดยเฉพาะข้าที่ถูกสั่งให้มารับช่วงต่อหอแว่วเสียงคีตานี้ต่อจากคนในหอ การเมืองแคว้นฉู่ถูกยัดใส่หัวจนเบลอไปหมด ฟังมาว่าตอนนั้นแม่ทัพซิ่นเฉิงบุกถล่มกวาดล้างโจรป่าโจรภูเขาตั้งแต่เมืองหลวงโชว่ชุนไปจนถึงเมืองอู๋ซีอันเป็นจุดหมายของขบวนเสด็จ กวาดล้างไปจนเหี้ยนแล้วยังดับโทสะเขาไม่ได้ แต่อย่างว่าสูญเสียน้องสาว น้องเขย หลานชายรวมทั้งบิดาไปในวันเดียวกัน ผู้ที่ปวดร้าวที่สุดคงหนีไม่พ้นเขา”


    “แล้วตอนนี้แม่ทัพผู้นั้นทำสิ่งใดอยู่เล่า” ฉันถามต่อ เรื่องการเมืองในแคว้นฉู่นี้น่าสนใจไม่น้อยเลยจริงๆ


    “ตอนนี้เขาลงไปตรวจตราทางใต้ จะว่าไปช่วงสามสี่ปีให้หลังมานี้เขาสงบลงมากไม่โหดเหี้ยมเท่าแต่ก่อน จะอย่างไรก็คงทำใจได้บ้างแล้ว” จินฟู่ถอนหายใจ ยกชาขึ้นจิบดับกระหาย


    “สังหารเสนาบดีคลังจะอย่างไรก็ไม่ง่ายเลย เจ้าคิดอย่างไรอยู่ๆเสนอตัวเข้ารับภารกิจนี้กัน” ฉันหันไปถามหยางชุนซึ่งนั่งเงียบมาตลอดการสนทนา


    “เพียงอยากกำจัดคนชั่วออกจากแผ่นดินเท่านั้น” เขาตอบเสียงเรียบ มาตอนนี้ฉันถึงนึกขึ้นได้ว่าเขาเป็นคนแคว้นฉู่ แล้วไยคนแคว้นฉู่เพียงหนึ่งเดียวนี้กลับไม่ออกความเห็นใดเกี่ยวกับการเมืองแคว้นที่พวกฉันคุยกันจนคอแห้งนี่เลยเล่า


    ฉันยกชาขึ้นจิบ ลอบสังเกตใบหน้าครึ่งหนึ่งของเขาที่ยังคงเรียบเฉย ข้ามไปแคว้นฉู่เมื่อสามปีก่อน หาญกล้าเสนอตัวรับภารกิจกำจัดเสนาบดีคลังซึ่งเป็นพรรคพวกของอ๋ององค์ปัจจุบัน อีกทั้งยังหน้ากากนั่น วางถ้วยชาในมือลง สายตามองน้ำชาใสแจ๋วที่เหลืออยู่ เรื่องนี้คงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ต่อไปไม่ได้เสียแล้ว 




    ----------------------------------------------------------------------


    ตอนนี้เรื่องการเมืองเยอะหน่อย

    ส่วนเรื่องที่นางเอกคุยกับหานเจี้ยเกี่ยวกับภารกิจของตัวเองรวมทั้งแคว้นจ้าว เดี๋ยวจะมีปรากฏว่าสองอาจารย์ศิษย์นี้ดำเนินการอะไรกันอยู่ลับๆ เป็นเพราะพอนางเอกเล่าเรื่องให้หานเจี้ยฟัง เราก็ไทม์สคิปข้ามไปสามปีเลยไม่ได้กล่าวถึงตรงนี้ จะยกไปในตอนหน้าๆแทนค่ะ ความจริงเรื่องหญิงชุดขาวหานเจี้ยบอกให้นางเอกตัดไปเพราะจะไปตามหาเทพเซียนก็ใช่เรื่อง แต่นางเอกยังยึดถือคำที่เทพบุตรเคยบอกให้ตามหาอยู่ เลยยังคงตามหาต่อไปเองควบคู่ไปด้วย รายละเอียดตรงนี้ตอนหน้าๆจะกล่าวถึงเช่นกัน ตัวภารกิจหลักเกี่ยวกับหยกขาวยังคงอยู่ ทุกอย่างจะเชื่อมโยงกันไปสู่เรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นในที่สุดค่ะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×