ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ผ่านภพบรรจบฟ้า (ตีพิมพ์กับสนพ. คำต่อคำ)

    ลำดับตอนที่ #14 : ตอนที่ ๑๓ ถูกจ้วงแทงครั้งนั้นยังจดจำได้

    • อัปเดตล่าสุด 4 มิ.ย. 59



    ตอนที่ ๑๓ ถูกจ้วงแทงครั้งนั้นยังจดจำได้



    “อรุณสวัสดิ์” ฉันร้องทักจิ้นเหอที่เดินมาจากฝั่งเรือนพักของบุรุษ


    จิ้นเหออ้าปากหาว พยักหน้าหงึกๆเป็นการทักทายฉันไปด้วย


    “เมื่อคืนไม่ได้นอนรึ เช้ามาถึงได้หาวไม่หยุดเช่นนี้” ฉันถาม รอจนเขาเดินมาใกล้จึงค่อยออกเดินไปพร้อมกัน


    “ข้าฝึกเพลงทวนกับคนในหน่วย ประลองกันติดพันกว่าจะได้นอนก็แทบรุ่งสาง” เขาพูด ปากก็อ้าหาวหวอดๆไม่ได้หยุดจนฉันหาวตาม “หน้าเจ้าซีดๆไปหรือไม่” พากันหาวจนน้ำตาเล็ดแล้วเขาก็หันมาถามบ้าง


    “ทำภารกิจครั้งแรกรู้สึกกระสับกระส่ายนิดหน่อย” ฉันตอบ ซึ่งไม่ใช่ความจริงทั้งหมด


    เมื่อคืนฉันนึกว่าตัวเองคงมีอันต้องตายได้ไปเฝ้าบ่อให้เทพบุตรเสียแล้ว อยากจะลุกออกจากผ้าห่มไปโรงหมอก็ไม่สามารถทำได้ ในหัวพยายามแหวกภาพเลือดไหลนองนึกหาทางออกต่างๆนานา พยายามอย่างทรมานเช่นนั้นอยู่ครู่ใหญ่ปรากฏว่าอาการปวดร้าวเจียนตายนั่นกลับหายไปเสียเฉยๆ หายไปราวกับก่อนหน้านี้ไม่เคยมีอยู่ทำเอานอนผวาทั้งคืน


    “กระสับกระส่ายที่จะได้ออกไปข้างนอกรึ” จิ้นเหอถาม พาเลี้ยวเข้าประตูใหญ่ของเรือนทำการหลัก


    “ส่วนหนึ่ง อีกส่วนข้ากังวลเรื่องภารกิจอยู่นิดหน่อย” ฉันตอบ หันมองตรวจสอบเส้นทางที่เดินมา เจ้าจิ้นเหอนั้นเรื่องเส้นทางไว้ใจไม่ได้อย่างยิ่ง ขนาดเส้นทางวิ่งขึ้นลงเขาช่วงเป็นเด็กฝึกเขายังหลงได้ไปฆ่าหมีฆ่าหมาเกือบทุกวัน


    “เหตุใดไปกังวลเรื่องภารกิจเล่า เรื่องที่เราจะไปเปิดหูเปิดตาข้างนอกนั่นยังน่านึกถึงเสียกว่า”


    ฉันเงียบไปครู่หนึ่ง คิดตามคำพูดจิ้นเหอแล้วก็พยักหน้า


    “จริงด้วย ข้ายังไม่เคยไปตลาดเลยสักครั้ง” มัวแต่ตายก่อน ประโยคหลังนี้คิดในใจ


    “ข้าก็ไม่เคย”


    “เจ้าก็ไม่เคยรึ”


    “ก่อนหน้านี้ข้าใช้ชีวิตอยู่แต่บนเขา อย่าว่าแต่ตลาด เมืองหน้าตาเป็นเช่นไรข้าหาได้รู้ไม่”


    “แล้วเหตุใดเจ้าเหาะไปอยู่ตั้งบนเขาเล่า”


    “ข้าเหาะไปอยู่เองเสียเมื่อไหร่ จำความได้ก็เติบโตมาในค่ายโจรภูเขาแล้ว กระทั่งคนจากหอสุริยันไปถล่มล้างบางค่ายโจรนั่นข้าถึงได้โดนจับมาที่นี่”


    “เช่นนี้นี่เอง” ฉันพยักหน้าเข้าใจก่อนจะเอื้อมมือไปตบไหล่เขา “จิ้นเหอ เจ้านี่บ้านนอกโดยแท้”


    “ทำอย่างกับเจ้าไม่บ้านนอก!” เขากระชากเสียงเบี่ยงตัวหนี “บ้านนอกไม่เคยเห็นตลาดเช่นเดียวกันยังมีหน้ามาทำเห็นใจข้า”


    “ข้าสูญเสียความทรงจำไหนเลยจะจำตลาดได้เล่า ก่อนหน้านี้ข้าอาจเคยเป็นคนเมืองก็ได้”


    “ก่อนหน้าก็คือก่อนหน้า เรื่องที่จำไม่ได้ย่อมไม่นับ” จิ้นเหอพูด ใบหน้าที่มองมากวนอวัยวะเบื้องต่ำอย่างมาก


    “พวกไม่ยอมรับ...เอ๊ะ” กำลังจะต่อว่าเขาก็ต้องหยุดชะงักเมื่อตรงหน้าเป็นบันได “เจ้า ไม่ใช่ว่าห้องทำงานของหัวหน้าหน่วยหกอยู่ชั้นนี้หรอกรึ”


    “ถูกต้อง ห้องทำงานของหัวหน้าชงจื้ออยู่ถัดจากห้องของหัวหน้าหน่วยห้า” จิ้นเหอตอบหน้าซื่อ


    “เช่นนั้นเจ้ากับข้าเดินมาที่บันไดริมสุดนี่ทำไมกัน” ฉันหันมองหน้าเจ้าหมาบ้าจิ้นเหอ


    “เจ้าเดินตามข้ามาเองหาใช่ความผิดของข้าไม่!” ไอ้เข็มทิศใช้การไม่ได้รีบแก้ต่างให้ตัวเอง


    ฉันล่ะอยากจะตบกะโหลกเขาสักป้าบเหมือนที่เจ้าสิบหกเคยตบเวลาเขาหลงทางจนเสียเรื่อง ติดอยู่อย่างเดียวที่ตอนนี้เจ้าบ้านี่ดันตัวสูงกว่าฉันขึ้นมาก หากจะตบกะโหลกคงต้องปีนตัวเขาขึ้นไปจึงจะตบถึง


    “หากข้าถูกหัวหน้าหน่วยเจ้าลงโทษข้อหามาสาย ทุกอย่างล้วนเป็นความผิดเจ้า!” ชี้หน้าคาดโทษเขาจึงเป็นสิ่งเดียวที่ทำได้แล้วหันกายเดินกลับทางเดิม


    “ชงจื้อไม่ลงโทษหรอก เขาไม่ใส่ใจเรื่องหยุมหยิมเช่นนี้” จิ้นเหอเดินตามมา พูดอย่างไม่ทุกข์ร้อน


    “เขาไม่เข้มงวดรึ” ฉันถามกลับ


    “ไม่เลย คนที่หน่วยข้าบอกว่าเขาเป็นหัวหน้าหน่วยที่โหดน้อยที่สุดแล้วซึ่งข้าก็เห็นด้วย เขาแทบไม่มีไอสังหารใดๆแผ่ออกมาเลยด้วยซ้ำ เดินอยู่ในหน่วยนั้นกลมกลืนกับลูกหน่วยจนข้าเกือบเผลอไปกอดคอเขาเข้า”


    แน่ล่ะสิ เจ้าบ้าที่สมองมีแต่กล้ามเนื้ออย่างเจ้า จะเดินไปกอดคอประมุขจันทราก็หามีสิ่งใดต้องแปลกใจ


    “ส่งเขาที่ไม่น่ากลัวมากนักมาดูแลพวกเราเช่นนี้ นับว่าจันทรายังพอมีเมตตาอยู่บ้าง”


    ฉันหยุดยืนหน้าห้องที่มีป้ายไม้หมายเลขหกบ่งบอก มองโลหะสองชิ้นที่ห้อยอยู่ข้างๆป้าย กำลังจะเอื้อมมือไปหยิบมันเคาะจิ้นเหอกลับตะโกนออกมาเสียก่อน


    “จิ้นเหอกับหลิ่งเฟยมาถึงแล้ว ขออนุญาติเข้าไป!


    “เข้ามา!” ด้านในมีเสียงตอบกลับ คุ้นหูจนฉันรู้สึกประหลาดใจ


    ประตูถูกเปิด จิ้นเหอเดินเข้าไปก่อนมีฉันเดินตาม เห็นหยางชุนนั่งรออยู่ที่เก้าอี้ไม้แล้วใจก็หายแว้บ มาสายจริงๆเสียด้วย


    “เจ้าหลงทางอีกแล้วหรืออย่างไร มากันสองคนก็ยังหลงอีกรึ” เสียงเดียวกับที่บอกอนุญาตให้เข้ามาถาม ยิ่งได้ยินยิ่งคุ้น


    “ผู้ใดใช้ให้ห้องพวกท่านหน้าตาเหมือนกันหมดเล่า หลิ่งเฟย นี่หัวหน้าหน่วยหกชงจื้อ” จิ้นเหอขยับกายหลีกทางให้ฉัน


    “หลิ่งเฟย...” ฉันที่กำลังจะก้มหัวทำความเคารพหัวหน้าหน่วยผู้นี้พลันตัวแข็งค้าง สองตาเบิกกว้างมองร่างสูงที่อยู่ในชุดสีดำตรงหน้าด้วยความตกตะลึง


    ใบหน้านั้น จมูกนั้น ริมฝีปากนั้น ดวงตานั้น ทุกส่วนล้วนประทับฝังลึกอยู่ในใจฉันรวมทั้งรอยบากที่คิ้วนั่นด้วย


    “ไม่ใช่ว่าเจ้าตกตะลึงนานเกินไปแล้วรึ” น้ำเสียงที่ฉันไม่มีวันลืมพูดกึ่งเย้า “เจ้ากึ่งยืนกึ่งก้มเช่นนี้ ไม่เมื่อยหรืออย่างไร” เขาก้าวเข้ามาหาในขณะที่ฉันก้าวถอยหลัง


    บัดซบคิ้วบาก ไอ้ฆาตกรที่เอามีดแทงฉันจนตาย แถมมีดนั่นยังมีพิษอาบอยู่จนพูดจาทวงหาความเป็นธรรมใดไม่ได้ ได้แต่นอนเบิกตาเลือดออกปากออกจมูกค่อยๆหมดลมหายใจไปทั้งอย่างนั้น เป็นการตายที่ทรมานเสียยิ่งกว่าถูกรถชนตายไม่รู้กี่เท่า


    “เหตุใดนางจึงดูหวาดกลัวข้าเช่นนี้เล่า” เขาหันไปถามจิ้นเหอที่มองฉันอย่างงุนงง


    “หลิ่งเฟย เกิดสิ่งใดขึ้น” เจ้าหมาบ้าเดินเข้ามาหาแต่ฉันกลับก้าวถอยจากเขาไปด้วย มือสองข้างเริ่มสั่นจนต้องกำกระโปรงเอาไว้ ตาจ้องคนคิ้วบากตรงหน้าอย่างเขม็ง


    เขาคือไอ้ฆาตกรบัดซบนั่นไม่ผิดแน่ แม้ว่าบุคลิกลักษณะนิสัยตอนนี้จะแตกต่างกับตอนที่ฉันเจออย่างสุดขั้ว หากแต่รูปร่างหน้าตานั้นฉันจดจำได้ขึ้นใจ โหดเหี้ยม เลือดเย็น ไร้สำนึก ฉันที่เป็นเพียงเด็กอายุสิบสอง เขากลับยืนเช็ดเลือดออกจากมีดมองด้วยสีหน้าเรียบเฉย มองฉันค่อยๆตายไปทั้งอย่างนั้น ความรู้สึกตอนที่อากาศค่อยๆถูกช่วงชิงไปคืนกลับดั่งเหตุการณ์เกิดซ้ำ พลันสองขาไร้สิ้นเรี่ยวแรง ฉันเข่าอ่อนทรุดลง กลับเป็นหยางชุนพุ่งเข้ามารับประคองไว้อย่างเหนือความคาดหมาย


    “เจ้า...เคยพบข้าอย่างนั้นรึ” ฆาตกรที่ฆ่าฉันไปครั้งหนึ่งถาม  สีหน้าสบายๆหายไปแล้วหากแต่ไม่ได้ถึงขั้นเลือดเย็นเหมือนตอนนั้น


    ฉันกำแขนเสื้อหยางชุนแน่นตอนที่เขาเดินเข้ามาใกล้ ใจเต้นกระหน่ำ คิดสิ่งใดไม่ออก ลืมไปเสียด้วยซ้ำว่าตนเองก็เป็นวรยุทธ์


    “นางไม่ค่อยสบาย เป็นมาตั้งแต่เมื่อวาน” หยางชุนพูด เขามองหน้าฉันก่อนจะหันไปหาคนคิ้วบากที่ยังคงมองฉันอยู่ “มาวันนี้คงฝืนร่างกายมา ขอท่านหัวหน้าหน่วยโปรดอภัย”


    “หากนางไม่สบายแล้วเหตุใดรองประมุขขวาจึงบอกข้าว่านางพร้อมสำหรับภารกิจ”


    “นางมีนิสัยดื้อดึง ด้วยเข้ามาใหม่ไม่อยากสร้างปัญหาให้ท่านรองประมุขขวาจึงปิดบังไว้ ขอท่านหัวหน้าหน่วยโปรดเห็นใจ อนุญาตให้ข้าพานางไปที่โรงหมอ” หยางชุนตอบพลางก้มหัว เมื่อได้รับอนุญาตก็ช้อนตัวฉันอุ้มขึ้นเดินออกจากห้องมีจิ้นเหอเดินตามออกมาติดๆ

     





    “เจ้า” ฉันกระตุกแขนเสื้อหยางชุนเมื่อเดินไกลออกมาระยะหนึ่ง ลมหายใจเริ่มสม่ำเสมอ สติคืนกลับ “พาข้าไปที่ห้องพักแทนได้หรือไม่”


    “ไม่ได้” เขาปฏิเสธทันที “ข้าบอกเขาว่าจะพาเจ้าไปโรงหมอเจ้าก็ต้องไปโรงหมอ ไม่เช่นนั้นจะยิ่งเป็นการผิดสังเกต”


    “นี่มันเกิดสิ่งใดขึ้น อยู่ๆไยเจ้ากลายเป็นเช่นนี้เล่า” จิ้นเหอเดินขึ้นมาขนาบข้างถาม


    “ข้าเพียง...เกิดสับสนขึ้นมากะทันหัน” ฉันตอบ


    “สับสนสิ่งใด เจ้าดูหวาดกลัวเขาราวกับเคยถูกเขาไล่ฆ่ามา”


    หาใช่ถูกไล่ฆ่าแต่เป็นถูกฆ่ามาแล้วต่างหากเล่า อยากจะตอบเช่นนี้แต่ฉันก็เพียงนิ่งเงียบ


    “เจ้าออกมาด้วยเช่นนี้ผู้ใดจะรับภารกิจ” หยางชุนหันไปถาม ไม่ได้ลดจังหวะการก้าวเท้าลงแม้แต่น้อย


    “นางเป็นเช่นนี้จะรับภารกิจได้อย่างไร เรื่องภารกิจนั่นเดี๋ยวข้าค่อยไปถามเขาทีหลังก็ได้”


    ด้วยเหตุนี้พวกเราจึงมาที่โรงหมอประจำหอจันทรากันทั้งหมด บอกท่านหมอที่เฝ้าอยู่ว่าฉันหมดสติไปเพราะฝึกหนักเลยขอมานอนพัก


    “พวกเจ้า ข้าขอนอนพักเพียงลำพังได้หรือไม่” ฉันบอกสองคนที่ยังคงยืนอยู่สองฝั่งเตียง


    “เจ้าตั้งใจหลบเลี่ยง ไม่เล่าให้พวกข้าฟัง” จิ้นเหอพูด สีหน้าแสดงออกชัดเจนว่าไม่พอใจ


    ฉันนิ่งเงียบไม่ตอบสิ่งใด ไม่รู้จะตอบอย่างไร ในเวลาเดียวกันนั้นหยางชุนก็หันกายเดินออกไป จิ้นเหอยืนจ้องฉันอยู่อีกพักหนึ่งจึงพูดออกมาหนึ่งประโยคแล้วเดินออกไปเช่นกัน


    “ข้าไม่ชอบนิสัยนี้ของเจ้าเลย”


    ฉันมองตามแผ่นหลังของเขาก่อนจะหลับตาลง สูดลมหายใจเข้าลึก ใช่ว่าฉันอยากปิดบังพวกเขา ยิ่งกับจิ้นเหอด้วยแล้วนับว่าเขาเป็นคนหนึ่งที่ช่วยเหลือฉันไว้มาก สามปีที่เป็นเด็กฝึกนั้นนอกจากจะได้เขาช่วยฝึกฝนทักษะการต่อสู้ให้แล้ว ยังได้เขาพาออกไปหาของในป่ามาไว้แลกเปลี่ยนกับยี่สิบสองอีกหลายหน เพราะเขาฉันถึงได้เรียนรู้การใช้ชีวิตอยู่ในป่ามามากมาย ถึงแม้ส่วนใหญ่แล้วเขาจะพาฉันกับคนอื่นๆหลงทางก็ตาม


    ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ฉันไม่เคยรู้เลยว่าการที่ต้องมาพบกับคนที่ช่วงชิงลมหายใจแห่งชีวิตไปอีกครั้งนั้นจะเลวร้ายถึงเพียงนี้ ความรู้สึกตอนกำลังตายย้อนกลับคืนมาอย่างโหดเหี้ยม หวาดกลัวจนยืนแทบไม่อยู่ทั้งที่ความจริงแล้วชีวิตนี้ผ่านเรื่องหวาดกลัวมานับไม่ถ้วน เขาเป็นคนแรกที่ฆ่าฉันอย่างตั้งใจ ฆ่าโดยที่ฉันไม่มีแม้แต่โอกาสได้ถามถึงสาเหตุดังนั้นฉันจึงจดจำใบหน้าของเขาได้แม่น จดจำไว้อย่างแค้นเคืองแม้ไม่อาจรู้ว่าจะมีโอกาสได้พบเจอเขาอีกไม่ มาวันนี้อยู่ๆเขากลับกลายมาเป็นหัวหน้าหน่วยของจิ้นเหอ อีกทั้งนอกจากหน้าตาแล้วบุคลิกยังแตกต่างจากบัดซบคิ้วบากที่ฉันเคยเจออย่างสิ้นเชิง กลายมาเป็นผู้มอบภารกิจ การให้คนที่ฆ่าฉันต้องมาดูแลฉันแบบนี้ ไม่สิ ในใจฉุกคิดบางอย่าง เขาไม่ได้ฆ่าฉัน คนที่เขาฆ่าคือจางลู่หลิน บุตรสาวคนเล็กของเสนาบดีแห่งแคว้นจ้าวผู้นั้น


    ฉันผุดลุกขึ้น หากเขาคือหัวหน้าหน่วยของหอจันทรา เช่นนั้นการที่เขาสังหารคุณหนูจางลู่หลินผู้นั้นย่อมมีเหตุผล หรือนั่นเป็นภารกิจของเขา หานเจี้ยอาจารย์ฉันคนนี้เคยพูดถึงแคว้นจ้าวว่าการเมืองในแคว้นไม่นิ่งนัก เป็นเพราะอำนาจหลักตกอยู่ในมือของสี่เสนาบดีแห่งแคว้นซึ่งคานกันอยู่ ท่าทางแล้วเสนาบดีหลี่ผู้นั้นคงมีบางอย่างให้จันทราพุ่งเป้าไป ถึงอย่างนั้นก็เถอะ จางลู่หลินเป็นเด็กอายุสิบสอง ความจริงข้อที่ว่าเขาสังหารเด็กหญิงอายุเพียงสิบสองอย่างเลือดเย็นนั้นไม่สามารถปฏิเสธได้ คนประเภทที่ฆ่าเด็กตายอย่างไร้ความรู้สึกเช่นนั้นหรือที่จิ้นเหอบอกว่าเป็นหัวหน้าหน่วยที่โหดน้อยที่สุด น้อยที่สุดบนกบาลเจ้าน่ะสิ


    เสียงประตูโรงหมอเปิด ฉันหันมองคนที่เดินเข้ามา ดวงตาสีดำ จมูกโด่ง ริมฝีปากบางเฉียบกับรอยบากที่คิ้ว ฉันจดจำใบหน้าของไอ้หัวหน้าหน่วยบัดซบคนนี้ได้ขึ้นใจจริงๆ


    “เห็นเจ้านั่งอยู่แบบนี้ดีขึ้นมากแล้วกระมัง” เขาหยุดยืนข้างเตียง เอ่ยถามฉัน


    “ข้าดีขึ้นมากแล้ว ก่อนหน้านี้ต้องขออภัยด้วยที่แสดงกิริยาไม่เหมาะสมต่อหน้าท่านหัวหน้าหน่วย” ฉันตอบ ก้มหัวลงเล็กน้อย


    “ท่าทางเจ้าราวกับว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่พบข้า เราเคยพบกันมาก่อนหรือไม่” เขาถาม ดึงเข้าจุดประสงค์หลักที่มาทันที


    “คำถามข้อนี้ข้าคงไม่อาจตอบได้ ตัวข้าก่อนเข้ามาที่นี่นั้นสูญเสียความทรงจำ จึงไม่อาจทราบได้ว่าเคยพบเจอท่านมาก่อนหรือไม่” ฉันตอบ ยังคงก้มหน้าเล็กน้อย


    “สูญเสียความทรงจำ” เขาพูดกึ่งขำ “เช่นนั้นก็ตลกดีที่ตัวเจ้ากลับสั่นถึงเพียงนั้นเมื่อได้พบคนที่ไม่รู้จักครั้งแรก บางทีหน้าตาข้าอาจน่ากลัวกระมัง”


    ฉันเงยหน้าขึ้นมองเขาซึ่งส่งยิ้มแบบที่ตาไม่ได้ยิ้มด้วยให้


    “เรื่องนั้นอธิบายได้ค่อนข้างยาก หากข้าบอกว่าทันทีที่เห็นหน้าท่านก็รู้สึกไม่ถูกชะตาเกลียดขี้หน้าขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ท่านจะโมโหข้าหรือไม่”


    หัวหน้าหน่วยหกนิ่งอึ้งไป มองสบตาฉันซึ่งมองกลับ มองอยู่ครู่หนึ่งเขากลับหัวเราะดังลั่น


    “เช่นนี้นี่เอง ที่แท้เจ้าไม่ถูกชะตาไม่ชอบขี้หน้าข้าตั้งแต่แรกเห็น ฮ่าๆๆ” ร่างสูงโปร่งทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง “พอบอกได้หรือไม่ เหตุใดจึงไม่ถูกชะตาข้า”


    ฉันจ้องมองดวงตาคู่นั้นของเขา


    “ข้าเพียงรู้สึกว่าท่านนั้นดูจากบุคลิกแล้วเหมือนเป็นพวกสองหน้า ภายใต้ท่าทางสบายๆเป็นกันเองนี้อาจซ่อนความโหดร้ายเลือดเย็นอย่างคาดไม่ถึงไว้อยู่ก็เป็นได้”


    ริมฝีปากบางเฉียบยกยิ้ม


    “อย่างนั้นรึ”


    “แต่นั่นเป็นเพียงความรู้สึกงี่เง่าของข้าเอง เรื่องความไม่ถูกชะตานี้บางทีก็ห้ามกันไม่ได้ ต้องขออภัยท่านด้วยจริงๆ” ฉันก้มตัวลงเล็กน้อยประกอบคำพูด


    “หึ ถูกอย่างเจ้าพูด เรื่องความไม่ถูกชะตานี้บางทีห้ามกันไม่ได้ ดังนั้นหากข้าถือโทษเจ้าด้วยเรื่องที่ห้ามกันไม่ได้นี้คงไม่ยุติธรรมต่อเจ้าเท่าไหร่นัก”


    “ขอบคุณท่านหัวหน้าหน่วยที่ใจกว้าง”


    “การที่เจ้าซึ่งอายุเพียงเท่านี้กลับกล้าพูดออกมาต่อหน้าข้าว่าไม่ชอบขี้หน้าข้า นับว่าเป็นเด็กที่ตรงไปตรงมาใจกล้าบ้าบิ่นเกินคาด” เขาพูดยิ้มๆด้วยท่าทีไม่ทุกข์ร้อน “ข้าชักถูกชะตาเจ้าขึ้นมาเสียแล้ว”


    ถูกชะตาหน้าแข้งข้านี่ ฉันมองเขาที่ส่งยิ้มมาอย่างน่าโมโห หากไม่ติดว่าความคับแค้นในใจนี้ต้องระบายออกไปบ้าง คนอย่างฉันไหนเลยจะใจกล้าบ้าบิ่นประกาศความในใจด้านลบของตนต่อหน้าเจ้าตัวได้ เรื่องของความสะใจบางทีก็ทำให้ลืมกลัวตายไปชั่วขณะหนึ่งเหมือนกัน


    “ไม่แปลกใจที่รองประมุขขวาดึงตัวเจ้าไป สายตานี้ของเจ้าแหลมคมยิ่งนัก” เขาพูดยิ้มๆพร้อมกับลุกขึ้น รอยยิ้มที่ยิ้มไม่ถึงดวงตานี้ของเขากระตุกต่อมหงุดหงิดฉันได้ดีเหลือเชื่อ “วันพรุ่งนี้ยามเฉินมาพบข้าที่ห้องทำงาน พวกเจ้าทั้งสามจะได้เริ่มภารกิจเสียที” พูดแล้วเขาก็หันกายเดินออกจากโรงหมอไป


    ผู้ที่เคยเอามีดจ้วงแทงฉันจนตายไปรอบหนึ่งเช่นนี้ จะอย่างไรก็ทำใจให้ญาติดีด้วยไม่ได้จริงๆ







     

    “ภารกิจนี้สถานที่คือเมืองหลินเซียง เมืองหน้าด่านของแคว้นฉี ที่พวกเจ้าต้องทำคือขโมยของในรูปจากบ้านเจ้าเมืองหลินเซียงมาให้ได้”


    กระดาษที่ได้รับแจกกันคนละแผ่นมีรูปวาดของกล่องไม้สีเหลี่ยมล็อคกุญแจแน่นหนา บนฝากล่องสลักลายงูสองตัวหันหัวไปคนละทางหางเกี่ยวกันไว้


    “กล่องนี้ถูกซ่อนอยู่ในคฤหาสถ์ของเจ้าเมืองหลินเซียง เพียงแต่เขาจะซ่อนไว้ที่ไหนนั้นเป็นหน้าที่ของพวกเจ้าที่ต้องค้นหาให้เจอ” หัวหน้าหน่วยหกชงจื้อกล่าวต่อ


    ตอนนี้ฉัน จิ้นเหอและหยางชุนนั่งถือกระดาษคนละแผ่นอยู่ในห้องทำงานของเขา


    “คฤหาสถ์ของเจ้าเมืองนั้นเป็นที่รู้กันดีว่าเวรยามแน่นหนา การบุกเข้าไปขโมยของเขาจึงจำเป็นต้องมีแผนการที่รัดกุม สำหรับภารกิจแรกนี้ข้ามีตัวช่วยให้เจ้า ในตลาดของเมืองหลินเซียงมีคนของหอนภาแฝงตัวอยู่ หากเจ้าบอกประโยคลับแก่เขา เขาจะมอบแผนผังคฤหาสถ์ของเจ้าเมืองให้ ประโยคลับคือเดียวดายไร้ราคา สูงค่าเคียงเส้นไหม”


    ชงจื้อหันมาทางพวกเราทั้งสาม


    “ประโยคนี้ใช่ว่าพวกเจ้าจะไปเดินพูดสุ่มสี่สุ่มห้าได้ เนื้อความในประโยคได้บ่งบอกแล้วถึงร้านของพ่อค้าผู้นั้น หากถอดความหมายไม่ได้แผนผังย่อมไม่ได้เช่นกัน จดจำรูปร่างของกล่องนั่นครบถ้วนแล้วหรือไม่ หากจดจำได้แล้วจงเผากระดาษแผ่นนั้นทิ้งลงในอ่างนี่เสีย จำไว้ว่าใบภารกิจจะให้ผู้อื่นล่วงรู้ไม่ได้”


    หยางชุนเป็นคนแรกที่เดินไปเอากระดาษไปจ่อกับเปลวเทียนที่จุดไว้ก่อนจะทิ้งลงไปในอ่างดินเผา จิ้นเหอเดินตามไป ฉันเก็บรายละเอียดทุกเม็ดของกล่องไม้อีกรอบแล้วจึงเดินไปเผากระดาษทิ้งเป็นคนสุดท้าย


    “ตามข้ามา วันนี้จะพาออกไปด้วยเส้นทางของจันทรา”


    เส้นทางของจันทรานั้นอยู่ในป่า เดินเข้าถ้ำผ่านเส้นทางคดเคี้ยวลงไปในอุโมงค์ใต้ดิน ระหว่างทางหัวหน้าหน่วยหกก็แสดงวิธีเลี่ยงกับดักต่างๆไปด้วย ปลายอุโมงค์มาโผล่ที่ห้องใต้ดินของบ้านหลังหนึ่ง พอเดินขึ้นมาก็พบกับสองผู้เฒ่าชายหญิงที่กำลังแยกผลไม้ป่ากันอยู่ที่แคร่ไม้หน้าบ้าน ชงจื้อเดินผ่านสองผู้เฒ่าไป สองผู้เฒ่าเองก็ทำราวกับเขาไม่มีตัวตน


    หลังจากออกจากบ้านหลังซอมซ่อแล้ว เขาก็พาพวกเรามานั่งที่ร้านน้ำชาเล็กๆของหมู่บ้าน เลี้ยงข้าวพร้อมกับให้เงินติดตัวอีกนิดหน่อยแล้วจึงพูด


    “อีกเจ็ดวันกลับมาพบกันที่นี่ แล้วเงินนั่นจบภารกิจแล้วอย่าลืมมาใช้คืนข้าด้วย พวกเจ้าไปได้แล้ว”


    ด้วยเหตุนี้จึงเหลือเพียงพวกเราบุรุษชุดดำ บุรุษชุดแดงและบุรุษน้อยชุดฟ้าพากันเดินออกมาจากหมู่บ้านพร้อมกัน


    “ชุดเจ้ายิ่งมาเดินกลางแดดเช่นนี้ยิ่งเด่นเห็นหรือไม่ ผิดจากที่ข้าบอกที่ไหน” ฉันหันไปค่อนแคะเจ้าจิ้นเหอ เสื้อสีแดงนั่นไปเอามาจากไหนกัน แต่งอย่างกับมาจากชนเผ่าไหนสักชนเผ่า เช่นนี้จะไม่ถูกเพ่งเล็งหรอกเรอะ


    “ยุ่งน่า สนใจเรื่องที่เจ้าจะทำตัวอย่างไรให้สมกับที่แต่งเป็นชายไม่ดีกว่ารึ” จิ้นเหอแยกเขี้ยวใส่


    “ข้าที่ทำพวกเจ้าเข้าใจว่าเป็นชายมาได้ถึงสามปีมีสิ่งใดต้องกังวลกัน” ฉันตอบ เชิดหน้าเดินอยู่ตรงกลาง เป็นเพราะตัวเตี้ยกว่าพวกเขาสองคนมากจึงได้รับอภิสิทธิ์ได้อยู่ตรงกลางเช่นนี้


    หนึ่งบ้านนอกเข้ากรุงชุดแดง หนึ่งจอมยุทธ์ผู้เงียบขรึมชุดดำ กับอีกหนึ่งคุณชายน้อยชุดฟ้า อืม นับเป็นกลุ่มคนที่รวมตัวกันได้อย่างพิลึกพิลั่นเป็นอย่างยิ่ง


    “หลิ่งเฟย นั่นตลาดใช่หรือไม่!” เจ้าจิ้นเหอตะโกนชี้นิ้วไปด้านหน้าเสียงดังลั่น


    “ร้านค้าผู้คนเยอะแยะเช่นนั้น นั่นคือตลาด!” ฉันตะโกนตอบรับ


    เราสองคนหันมองหน้ากันตาลุกวาว ลุกวาวแล้วก็รีบวิ่งถลาเข้าตลาดไปอย่างบ้านนอกคอกนา ทิ้งหยางชุนให้ยืนทะมึนอยู่หน้าตลาดนั้นแต่เพียงผู้เดียว

     



    -----------------------------------------------------

    กะความยาวตอนผิดไปหน่อย ทำภารกิจเต็มๆคงต้องยกไปตอนหน้า ภารกิจครั้งนี้สงสัยต้องฝากความหวังไว้ที่หยางชุนแล้วล่ะมั้ง สองบ้านนอกเข้ากรุงนั่นจะหวังพึ่งอะไรได้ ฮ่าๆๆ


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×