คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : [สิบเก้าเล่าขาน] สี่สิบสามผู้นั้น
[สิบเก้าเล่าขาน] สี่สิบสามผู้นั้น
บัดซบ!
ข้าสบถในใจ ใช้ปากกัดปลายผ้าช่วยมือขวามัดห้ามเลือดที่แขนซ้ายอย่างทุลักทุเล
ไอ้บัดซบนั่นหากไม่ใช่ข้าสิบเก้าผู้นี้ไหนเลยจะรอดจากกับดักของมันมาได้
ในช่วงที่เวลาเหลือน้อยถึงเพียงนี้กลับนำเอาป้ายหอมาล่อฆ่าผู้คน
ช่างเป็นไอ้บัดซบที่จิตไม่ปกติโดยแท้ ผูกผ้าจนเสร็จเรียบร้อยยังไม่ทันได้เช็ดคราบดินโคลนออกจากใบหน้าจังหวะเดินฝ่าพุ่มไม้ออกมากลับมีเสียงดังฟุ่บ
ดั่งใจปลิวหาย ขาอยากก้าวหลบกลับก้าวไม่ออก เมื่อพ้นพุ่มไม้ออกมาคมกระบี่ก็จ่ออยู่ที่คอเสียแล้ว
เจ้าของกระบี่ตรงหน้ากลับทำข้าประหลาดใจมากกว่าหวาดหวั่น
“สี่สิบสาม!” ข้าส่งเสียงเรียก เกือบเผลอเอียงคอมองเขาหากไม่ติดว่ากระบี่ยังคงคาอยู่ข้างคอ
เจ้าของหมายเลขไม่ตอบ
เขาเพียงยืนนิ่งถือกระบี่จ่อคอข้าไว้ไม่มีท่าทีจะลดมันลงแต่อย่างใด
“เกิดสิ่งใดขึ้นกับเจ้า” ข้าถาม
เขาในตอนนี้ผมเผ้ายุ่งเหยิง
แก้มขวาเปื้อนคราบเลือดไปกว่าครึ่ง มือสองข้างเองก็ถูกย้อมไปด้วยสีเลือดแห้งเช่นกัน
เขาไม่ตอบข้า
หากแต่เมื่อเผลอสบเข้ากับดวงตาคู่นั้นข้ากลับรู้สึกหนาวไปทั้งแนวสันหลัง ดวงตาโศกที่ทำให้ใบหน้าเขาดูหวานซึ้งเกินชายมาบัดนี้กลับทอแววเย็นเยียบไม่สะท้อนประกายใด
ข้าเหล่มองกระบี่ที่ยังพาดอยู่ข้างคอ หากเป็นเขาดังเช่นปกติคงไม่มีสิ่งใดต้องหวาดกลัว
สี่สิบสามผู้นี้แม้จะเย็นชาอยู่สักหน่อยแต่ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะตั้งใจฟาดฟันผู้คนจนถึงตาย
ดึงสายตากลับมามองสบดวงตาสีดำสนิทคู่ตรงหน้า แต่สี่สิบสามในเวลานี้ข้านั้นไม่อาจคาดเดา
“สี่สิบสาม” ข้าเรียกชื่อเขา
พยายามทำท่าทางให้เป็นมิตรที่สุดก่อนจะถาม “เจ้าค้นหาทางออกพบแล้วหรือไม่”
“ไม่” น้ำเสียงราบเรียบตอบกลับมาสั้นๆทำให้ข้ารับรู้ว่าเขายังพอมีสติ
เช่นนั้นเหตุใดเขาจึงยังคงเอากระบี่พาดคอข้าอยู่เช่นนี้เล่า เจ้าลูกหมานี่!
ข้าส่งยิ้ม แม้ในใจจะอยากเข้าไปตบหัวเจ้าลูกหมานี่แรงๆคืนสติให้แล้วจึงค่อยขยี้ผมเขาอย่างเคย
“เช่นนั้นมาแลกเปลี่ยนกันดีหรือไม่
ตัวข้ารู้เส้นทางไปถึงทางออก ข้าจะนำทางเจ้าแลกกับการที่เจ้าปล่อยข้าไป
จากนั้นเจ้าค่อยดักอยู่ตรงทางออกคอยสังหารผู้ที่ผ่านไปถึง
ล่วงเข้าวันที่หกเช่นนี้พวกที่บาดเจ็บนั้นมีมาก แม้ไม่บาดเจ็บมากหากแต่กว่าจะไปถึงที่นั่นก็ล้วนสิ้นเรี่ยวแรง
ดักสังหารตรงนั้นคงไม่เหนือบ่ากว่าแรงเจ้า” ข้าค่อยๆพูดโน้มน้าว
ทำราวกับกำลังล่อลวงเด็กน้อยด้วยขนมหวาน
“เช่นนั้นก็นำไป” เด็กน้อยรับข้อเสนอข้าอย่างง่ายดาย
“เจ้าให้สัญญากับข้าก่อนได้หรือไม่
ว่าจะไม่ทำอันตรายใดแก่ข้า” ข้าเรียกร้อง
สี่สิบสามมองนิ่ง
นิ่งเสียจนกระทั่งน้ำลายข้าก็ไม่กล้ากลืน เผลอกลั้นหายใจเสียจนคิดว่าจะขาดใจไปเสียแล้วในตอนที่เขาลดกระบี่ลง
“หากเจ้าพาข้าไปถึงทางออก
ข้าจะไม่ทำอันตรายใดแก่เจ้า” เขาพูด มือเก็บกระบี่ใส่ฝัก สีหน้ายังคงเรียบเฉย
ถึงตอนนี้ข้าแทบอยากเข้าไปเขย่าคอเขา เค้นถามว่านี่เจ้าถูกหมายเลขหนึ่งสิงเข้าให้แล้วใช่หรือไม่
เขาทำอย่างไรจึงสิงเจ้าได้กัน โวยวายโทษไอ้บัดซบหมายเลขหนึ่งว่าเอาเจ้าลูกหมาของพวกข้าคืนมาบัดเดี๋ยวนี้เลยนะโว้ย
หากแต่ในความเป็นจริงข้าเพียงยิ้มอย่างสงบเสงี่ยม หันกายไปในทิศทางออกอย่างสงบเสงี่ยม
แล้วค่อยๆกระโดดขึ้นกิ่งไม้อย่างสงบเสงี่ยมเช่นกัน
ทางไปสู่ทางออกนั้นต้องผ่านดงไม้เลื้อยที่มีรังงูซ่อนอยู่
แทรกตัวเข้าไปในรอยแตกของหินก่อนจะไปโผล่ด้านหลัง ว่ายน้ำข้ามลำธารที่ไหลผ่านถ้ำจนไปโผล่อีกด้าน
เมื่อออกจากถ้ำแล้วก็ต้องเดินเท้าไปอีกเล็กน้อยจึงจะเจอปากถ้ำซึ่งซ่อนอยู่หลังต้นไม้ใหญ่
มีเถาวัลย์พันเกี่ยวปกปิดปากทางไว้อยู่ ระหว่างทางมานี้สี่สิบสามตามข้ามาเงียบๆ
ฟันงูหลายตัวที่ผ่านเข้ามาในสายตาขาดครึ่งไปหลายตัว เสียดายหมีซึ่งเคยอาศัยอยู่ในถ้ำนั้นตายไปเสียก่อนแล้วจึงไม่มีโอกาสได้เห็นสี่สิบสามในยามนี้สู้กับหมียักษ์ตัวนั้น
“เพียงแหวกเถาวัลย์นี้ก็จะพบถ้ำซึ่งเป็นทางออก”
ข้าหันมาบอก เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้โต้แย้งสิ่งใดก็หันกายกลับเข้าหาเถาวัลย์
“เช่นนั้นขอให้เจ้าโชคดี ข้าออกไปก่อนแล้วกัน” เถาวัลย์อยู่ห่างจากมือเพียงคืบ
แขนขวาของข้าที่ใช้งานได้ดีอยู่ข้างเดียวก็ถูกรั้งไว้
“เจ้าผ่านเงื่อนไขใด”
เสียงสี่สิบสามดังขึ้นเบื้องหลัง
ข้าหันกลับไป ตอบเพียงคำสั้นๆ
“หอวารี”
ไม่คาดคำสั้นๆอย่างหอวารีนี้ดันไปกระทบใจของสี่สิบสามเข้า
ดวงตาขวางกราดเกรี้ยว ไอสังหารแผ่เต็มพิกัดจนข้าผง่ะถอยหลัง
“เจ้าได้มันมาจากผู้ใด” เขาถาม
แม้เสียงราบเรียบข้ากลับเหมือนเห็นเงาทะมึนอยู่บนหลังเขาเสียอย่างนั้น
“สามสิบแปด
เจ้าบัดซบสามสิบแปดมันวางกับดักไว้ตรงป้าย
เคราะห์ดีที่ข้าไหวตัวทันอีกทั้งตัวมันยังบาดเจ็บ ข้าจึงได้ป้ายมา”
บัดซบสามสิบแปด เมื่อลองคิดดูดีๆแล้วการที่มันเอาป้ายมาวางไว้บนกับดักเช่นนั้นทั้งที่ตนเองบาดเจ็บอาจเป็นเพราะมันต้องการปกป้องไว้
รอให้แผลหายดีสักหน่อยจึงค่อยไปทางออก สุดท้ายกลับมาเจอข้าเสียก่อน
“เจ้าฆ่ามันไปแล้วหรือไม่”
“ไม่!” ข้ารีบปฏิเสธ
“ข้าสู้กับเขาเพียงกระบวนท่าเดียวก็อาศัยจังหวะหลบหนีล้มลุกคลุกคลานออกมา”
“เช่นนั้นจงนำไป
นำข้าไปที่ที่ไอ้บัดซบนั่นมันอยู่!” เขาสั่งเสียงเกือบเป็นตะคอกทำเอาข้าทั้งตกใจและประหลาดใจ สี่สิบสาม
เจ้าถูกผีสิงไปแล้วจริงๆใช่หรือไม่
สบตาเขาอีกครั้งข้าก็ได้แต่ก้าวเท้ากลับทิศทางเดิม สิบเก้าเอ๋ย ป้ายก็มีแล้ว ทางออกก็อยู่ตรงหน้ากลับไม่ได้ออกไป ข้าเคยทำสิ่งใดให้สวรรค์แค้นเคืองกัน
ข้าพาสี่สิบสามที่ถูกผีสิงนี้กลับทางเดิม
ระหว่างทางอดสงสัยไม่ได้ว่าเหตุใดเขาจึงอยู่ตัวคนเดียว
จำได้ว่าตอนวันแรกเขาออกตัวไปพร้อมกับยี่สิบเจ็ด
มาวันนี้แล้วยี่สิบเจ็ดไปอยู่ที่ไหน
เหล่มองตาขวางๆนั่นแล้วข้าก็ไม่มีความคิดที่จะถามสิ่งใดจากเขา
ยามนี้เปลี่ยนจากผีหมายเลขหนึ่งเป็นผีเจ้ายี่สิบเสียแล้ว
ขืนพูดสิ่งใดสุ่มสี่สุ่มห้าคาดว่าคอข้าคงได้หลุดกระเด็นไปก่อนรู้ตัว
มาจนถึงสถานที่ซึ่งข้าพบกับสามสิบแปด
เขาไม่อยู่ตรงนี้แล้วตามคาด สี่สิบสามออกสำรวจรอบๆ เห็นเขาจดจ่ออยู่กับหยดเลือดถึงเพียงนั้นข้าจึงอาศัยโอกาสนี้ถีบตัวพุ่งทะยานออกไปด้วยความเร็วชนิดที่เรียกได้ว่าที่สุดในชีวิต
มาจนไกลแล้วหันไปมองเห็นเขาไม่ได้ตามมาถึงได้โล่งใจ
“นภารับสอง!”
เสียงประกาศดังกึกก้องทั่วหุบเขา
ข้าล้วงเข้าไปในกระเป๋าลับของตนเองจับพบป้ายหอวารีก็เบาใจก่อนจะเร่งฝีเท้าขึ้นอีกจนมาถึงทางออก
ทันทีที่แหวกเถาวัลย์ก็พบกับปากถ้ำซึ่งเป็นรอยแยกพอให้คนตัวใหญ่ๆผ่านไปได้คนหนึ่ง
ข้าเข้าไป ด้านในเป็นถ้ำที่มีแสงจากปลายทางสาดเข้ามา ค่อยๆเดินออกไปช้าๆไม่ลดความระแวดระวังลงแม้แต่น้อยนิด
ไปจนถึงปากทางออกก็ต้องหรี่ตาลงด้วยแสงสว่างจ้านั่น ขาก้าวออกไป
ที่ตรงนั้นมีธงประจำสี่หอหลักปักอยู่
สีแดงสัญลักษณ์ดวงอาทิตย์คือสุริยัน สีดำสัญลักษณ์ดวงจันทร์คือจันทรา
สีฟ้าสัญลักษณ์ก้อนเมฆคือนภา และสีเขียวสัญลักษณ์สายน้ำคือวารี ด้านหลังธงทั้งสี่มีหมายเลขคุ้นหน้าคุ้นตากระจายอยู่
ข้าเดินตรงไปที่วารี หยิบป้ายยื่นให้หญิงงามในชุดสีเขียวอ่อน
นางรับไปตรวจสอบก่อนจะส่งให้ชายหนุ่มด้านหลังที่คำนับรับป้ายไป เขาใช้วิชาตัวเบาไต่ขึ้นเขาไปแจ้งจากนั้นชายร่างใหญ่โตที่ยืนปักหลั่นอยู่บนนั้นก็ตะโกน
“วารีรับสาม!”
เสียงดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ ข้าถอนหายใจ
แข้งขาอ่อนพาลจะทรุดลงตรงนั้นเสียให้ได้
“ด้านโน้นมีกระโจมสำหรับพวกเจ้าที่บาดเจ็บ
จงไปพักที่นั่นเถิด” หญิงงามเอื้อนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
น้ำเสียงไพเราะของนางชโลมจิตใจอันหวาดผวาของข้าได้ราวกับน้ำทิพย์
ข้าเดินเซผ่านสิบสองไป หอวารีเป็นเช่นนี้นับว่าไม่เลวเลย
เดินไปยังไม่ทันถึงกระโจมหมอ
สายตากลับเหลือบไปเห็นเจ้ายี่สิบเสียก่อน ข้าหันขวับไปชี้หน้าเขาที่ยืนอยู่หลังธงจันทรา
“เจ้า ไยไปอยู่จันทราได้
ไม่ใช่เจ้ามุ่งหวังไปสุริยันหรอกรึ!”
เจ้ายี่สิบทำหน้าเช่นไม่น่าหันมาสบตากับข้าเลยก่อนจะตอบเสียงไม่ดังนัก
“ข้าหลงทาง”
“ว่าอย่างไรนะ!”
“ข้าหลงทาง! ยังมาไม่ถึงสุริยันก็เต็มไปก่อนแล้วจะให้ทำอย่างไรเล่า!” เจ้าหมาบ้ายี่สิบถลึงตาตะคอกใส่
“อ้อ เป็นเช่นนั้นเอง” ข้าทำหน้าเข้าใจ
มุมปากกระตุกยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นเขาแยกเขี้ยวใส่
กำลังจะเดินต่อไปยังกระโจมหมอเจ้าหมาบ้ากลับถามขึ้นมา
“เจ้าเห็นสี่สิบสามบ้างหรือไม่”
“เห็นก่อนออกมา”
“เจ้านั่น ยังอยู่ดี...”
ยี่สิบขมวดคิ้วเล็กน้อยตอนพูดกึ่งถาม
“ยังอยู่ดี” ข้าตอบ
ถ้าไม่นับที่เขาเหมือนโดนผีสิงก็นับว่ายังดีอยู่ “คิดว่าเขาคงตามเจ้าไปจันทราเร็วๆนี้”
เจ้ายี่สิบไม่ได้ถามสิ่งใดอีก
ข้าเองก็ตรงไปที่กระโจมหมอ จะอย่างไรจันทราก็ยังคงเหลืออีกสองที่
หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาดสี่สิบสามคงกลับมาได้ไม่ยาก ทำแผลล้างเนื้อล้างตัวเอาอาหารใส่ท้องแล้วข้าก็กลับออกมา
เดินไปทิ้งตัวนั่งลงข้างๆสิบสองที่หลังธงวารี
“เป็นเจ้ากระมัง ที่มาถึงก่อนผู้ใดในวารี” ข้าถาม
“เป็นข้าเอง” สิบสองตอบ ท่าทางของนางในตอนนี้ที่นั่งกอดเข่าซึ่งชันไว้ทั้งสองข้าง
สายมองตรงไปยังทางออกดูผิดแปลกแตกต่างจากนางในยามปกติอยู่มาก
ข้าเบนสายตาจากสิบสองมองไปยังทางออกบ้าง
ก่อนหน้านี้ไม่รู้เกิดสิ่งใดขึ้นกับนาง
อย่าว่าแต่ในบรรดาผู้ที่รอดชีวิตออกมาได้ในตอนนี้นั้นยังคงมีผู้ใดบ้างที่จิตใจยังปกติอยู่
เงยหน้าขึ้นมอง คืนนี้ดวงจันทร์กลมโตลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า หมู่ดาวพร่างพราย
สายลมพัดผ่านแผ่วเบา ได้มานั่งเคียงข้างหญิงงามในบรรยกาศเช่นนี้
หากภายในจิตใจไม่ได้รู้สึกหนักอึ้งอย่างที่เป็นอยู่คงดีไม่น้อย
“นั่นมัน สิบหกใช่หรือไม่”
เสียงจากสิบสองทำให้ข้าละสายตาจากดวงจันทร์มองตามไป
เงาร่างคุ้นตาล้มลุกคลุกคลานตรงมาอย่างทุลักทุเล เจ้าสิบหกสภาพสะบักสะบอม
กัดฟันพาตัวเองมาจนถึงหน้าธงนภา
หยิบป้ายออกมายื่นให้บุรุษชุดฟ้าแล้วก็อ้วกออกมาเป็นเลือดดังโอ้ก
“นภารับสาม!”
เสียงประกาศดังพร้อมกับร่างของสิบหกที่ถูกหามเข้ากระโจมหมอไป
“กระทั่งเจ้าสิบหกยังรอดออกมาได้”
สิบสองเอื้อนเอ่ย สายตายังคงทอดมองไปยังทางออก
ค่ำคืนที่หกนี้ยาวนานนักในความรู้สึก
นอกจากข้าแล้วยังมีหมายเลขอื่นที่ไม่ได้บาดเจ็บหนักพากันมานั่งอยู่หลังธงเช่นกัน
ในตอนที่เหลือที่ว่างเพียงสองที่ในหอจันทราเช่นนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็คงอยากรู้ว่ามันจะจบลงอย่างไร
ท้องฟ้าสีหมึกค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นสีม่วงเข้ม
แสงแรกของวันพาดผ่านเกิดเป็นแสงสีส้มขึ้นแซมเป็นริ้ว ร่างหนึ่งปรากฏตรงทางออก
แสงเงาในยามเช้าสาดกระทบเป็นสีทองสลับเงาดำมืดในทุกย่างที่เขาก้าวออกมา
แม้ก้าวนั้นจะเชื่องช้าด้วยต้องลากขาข้างหนึ่งทั่วทั้งตัวข้ากลับรู้สึกหนาวยะเยือก
ชุดสีดำสนิทถูกย้อมเป็นสีเข้ม มือขวาถือกระบี่
มือซ้ายลากแขนข้างหนึ่งซึ่งถูกตัดขาดมากับพื้นดิน
“สี่สิบสาม” สิบสองพึมพำ
ในขณะที่ข้านั้นราวกับหยุดหายใจไปชั่วขณะ
ยิ่งเขาเดินมาใกล้ธงของจันทรามากเท่าไหร่ยิ่งชวนขนหัวลุกมากเท่านั้น
เส้นผมตกลงมาปรกครึ่งหน้าบดบังดวงตาคู่นั้นจนหมดสิ้น ที่ปลายผมกลับยังคงมีเลือดหยดติ๋งลงมา
สี่สิบสามโยนแขนที่คาดว่าน่าจะเป็นของสามสิบแปดใส่บุรุษชุดดำตัวแทนของจันทรา
แขนเฉียดปลายชุดของตัวแทนโดยที่เขาไม่ขยับ กลับเป็นมือขวาของสี่สิบสามที่กำด้ามกระบี่แน่นก่อนจะจับพลิก
“จัทรารับสาม!”
หากแต่ทันทีที่เสียงประกาศดังก้องไปทั่วบริเวณเขากลับล้มตึงลงแทบเท้าของตัวแทนจันทราเสียอย่างนั้น
กระทั่งหมายเลขหนึ่งยังเผลอตัวก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง
ข้ามองตามร่างของสี่สิบสามซึ่งถูกคนของจันทราอุ้มไปที่กระโจมหมอ
กลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ในวันที่เจ็ดของบททดสอบสุดท้าย ณ พรรคโจรอันลึกลับแห่งนี้สิบเก้าขอบังอาจกล่าว
สี่สิบสามผู้นั้นหากในภายภาคหน้าไม่ได้เดินในเส้นทางที่ยิ่งใหญ่ก็ถือว่าสวรรค์มีตาแต่ไร้แววแล้ว
------------------------------------------
ตอนนี้สี่สิบสามสติสตังไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอยเท่าไหร่ เลยต้องมาเป็นตอนพิเศษในมุมมองของสิบเก้าแทน
ในที่สุดก็จบพาร์ทเด็กฝึกแล้ว อีกหลายๆหมายเลขที่อยู่กันคนละหอคงไม่ได้เจอกันอีกนานเลย
20 - เจ้าสิบหกนั่น ไม่ใช่ว่าถ่อมาถึงนี่แล้วจะตายคากระโจมเสียล่ะ
12 - เขาอ้วกใส่ธงของหอนภาด้วยเจ้าเห็นหรือไม่
22 - ประมุขหอนภาจะคิดเห็นอย่างไร หากรู้ว่ามาถึงเขาก็ลบหลู่เกียรติหออ้วกใส่ธงเสียแล้ว
19 - นับว่าเป็นการผ่านการทดสอบที่อุบาทว์บัดซบที่สุดสมควรได้รับการจารึกไว้เป็นอย่างยิ่ง
1 - ... (เดินเข้ากระโจมหมอ)
16 - โอ้ก (ร่างกายจำต้องขับพิษถึงเช้า อ้วกอยู่ในกระโจม)
ความคิดเห็น