ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ผ่านภพบรรจบฟ้า (ตีพิมพ์กับสนพ. คำต่อคำ)

    ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ ๑ กลับมา

    • อัปเดตล่าสุด 4 มิ.ย. 59


    ตอนที่ ๑ กลับมา


     

    ฉันตาย หลังจากเดินอยู่ในแถวยาวเหยียดบนถนนเส้นนี้มาพักใหญ่ๆฉันก็ได้ข้อสรุปให้กับตัวเองว่า...ฉันตายแล้ว


    ถ้าจะถามว่าฉันมาต่อแถวอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร ใครไปรับมา ใช่ยมทูตชุดดำอย่างที่เขาพากันจินตนาการหรือเปล่า ก็คงต้องตอบว่าไม่รู้ ตอนแรกในหัวฉันว่างเปล่า ได้แต่เดินไปเรื่อยๆเหมือนกับคนอื่นๆในแถว เช่นหุ่นยนต์ที่ถูกโปรแกรมไว้ แต่พอเดินไปสักพักความทรงจำของฉันก็ค่อยๆคืนกลับ มันกลับมาทีละน้อยเริ่มจากฉันเป็นใคร ชื่ออะไร อายุเท่าไหร่ พ่อแม่พี่น้องชื่ออะไร ไปเรื่อยๆจนกระทั่งเหตุการณ์สุดท้ายที่เกิดขึ้นก่อนจะมาที่นี่คืออะไร และเพราะมันค่อยๆกลับมาทีละน้อย พร้อมกับความรู้สึกของประสาทสัมผัสทั้งหมด ฉันที่ตกใจไปตั้งแต่ตอนแรกที่เริ่มจำได้ เลยไม่ตื่นตระหนกมากเท่าไหร่นักในตอนที่จำทุกอย่างได้หมด เพียงแค่สับสนงุนงงลนลานไปราวสิบนาทีเท่านั้น


    สิบนาทีที่ฉันพยายามสะกิดถามคนที่อยู่ข้างหน้าและข้างหลังว่าที่นี่คือที่ไหนแต่ก็ไม่ได้รับคำตอบ ที่ได้มามีเพียงสีหน้าว่างเปล่ากับเท้าที่ก้าวลากไปข้างหน้ายามที่แถวขยับเท่านั้น สถานการณ์น่าขนลุกที่มีตัวเองหันซ้ายหันขวาอยู่คนเดียวในแถวดำเนินไปราวสิบนาที ก่อนที่ฉันจะจนปัญญาและยอมแพ้กับการชวนคนนอื่นคุย หันมาคิดไตร่ตรองกับตัวเองแทน


    อย่างแรกที่ความรู้สึกบอกคือฉันไม่กล้าก้าวออกจากแถว ไม่ว่าแถวยาวเหยียดนี่มันจะคืออะไร ก็เหมือนมีความรู้สึกบังคับว่าฉันต้องอยู่ในแถวต่อไป


    อย่างที่สอง ภาพสถานที่กับสิ่งแวดล้อมรอบตัวมันทำให้คิดว่าที่นี่ไม่ได้อยู่บนโลก คงไม่มีที่ไหนในโลกที่ว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย มีเพียงถนนเส้นยาวสีนวลซึ่งไม่รู้จะไปสุดที่ไหน กับคนสีหน้าไร้ความรู้สึกมากมายที่กำลังยืนต่อคิวเหมือนจะไปรอรับการพิจารณาอะไรสักอย่าง มันทำให้คิดจริงๆว่าฉันตายแล้วและกำลังเข้าแถวรอไปเจอท่านยมเหมือนกับคนอื่นๆ ยิ่งเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ฉันโดนรถชนจนตัวลอยละลิ่วลงมากระแทกกระจกหน้ารถแล้วยังกระเด้งลงมากระแทกพื้นถนนซ้ำอีกมันยิ่งชัด เหตุการณ์ในตอนนั้นเกิดขึ้นเร็วแต่ฉันก็ยังจำได้ จำได้กระทั่งว่าเห็นผู้หญิงคนนั้นเดินมาหยุดยืนอยู่ไม่ห่างนักด้วยท่าทางที่ไม่เหมือนกับคนเป็นลมก่อนหน้านี้เลยสักนิด เธอขยับปากพูดอะไรบางอย่าง อะไรบางอย่างที่สติของฉันมันเลือนหายไปก่อนที่จะทันได้ยิน และพอรู้ตัวอีกทีฉันก็มาอยู่นี่แล้ว


    แถวค่อยๆขยับไปอย่างช้าๆ ทำให้มีเวลาได้คิดเรื่องต่างๆมากมาย คิดถึงพ่อแม่ คิดถึงเจ๊ฟางกับไอ้ฟิล์ม ใครจะคิดว่าคำพูดสุดท้ายที่ฉันพูดกับน้องชายคือคำว่า


    "อย่างน้อยฉันก็ดีกว่าแกแล้วกัน"


    ไหนจะเจ๊ฟาง ที่ฉันต้องออกจากบ้านไปวันนี้ ก็เพราะจะเอาพาสปอร์ตที่เจ๊ลืมไว้ไปให้ที่สนามบิน เจ๊จะรู้สึกยังไงถ้ารู้ว่าฉันไปไม่ถึง จะโทษตัวเองหรือเปล่าว่าเป็นคนทำให้ฉันตาย  ถึงเจ๊ฟางจะเป็นหญิงแกร่งปากกรรไกร แต่ต้องมาเจออะไรแบบนี้ฉันก็ไม่คิดว่าเจ๊จะรับได้ ไหนจะป๊ากับม้าที่ไปกินข้าวกับเพื่อนอีก ทั้งๆที่ได้เจอเพื่อนเก่าที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศแท้ๆ ทั้งๆที่มันควรจะเป็นวันที่ป๊าม้ามีความสุข แต่....


    ฉันก้มหน้าเช็ดน้ำตาร้องไห้เงียบๆคนเดียว คิดถึงป๊าม้า คิดถึงเจ๊ฟางกับไอ้ฟิล์ม คิดถึงเพื่อน ฉันไม่เคยคิดเลยว่าคนเราจะคิดถึงใครได้รุนแรงจนต้องเจ็บปวดมากขนาดนี้ เพิ่งเคยได้สัมผัสสิ่งที่เขาพูดกันว่าคิดถึงใจจะขาด แต่คิดถึงมากแค่ไหนก็ไม่อาจกลับไปได้ เนิ่นนานที่ฉันเดินร้องไห้เงียบๆคนเดียว ร้องจนเหนื่อยจนไม่มีน้ำตาให้ร้อง ร้องจนมาถึงประตูบานหนึ่ง มันเป็นประตูไม้เก่าๆบนกำแพงสีเหลืองนวลที่ขวางอยู่ คนที่อยู่ด้านหน้าฉันหยุดเดินในตอนที่คนก่อนหน้าเขาเดินเข้าไป สักพักใหญ่ๆประตูก็เปิดออกอีกครั้ง แล้วเพื่อนร่วมทางที่ฉันคิดว่าเราพอจะสนิทกันนิดหน่อยแม้ว่าจะไม่เคยพูดอะไรกันก็เดินเข้าไป


    ฉันหยุดยืนรอ เริ่มมองซ้ายขวาเลิ่กลั่กอีกครั้ง ความรู้สึกกลัวผุดขึ้นมาเฉยๆพอคิดว่าตัวเองกำลังจะไปเจอกับท่านยม ฉันเคยทำบุญทำกรรมอะไรไว้บ้าง จะมากพอให้ไม่ต้องลงนรกไหม หรือฉันควรจะรีบชิงฟ้องท่านยมก่อนว่าฉันตายอย่างไม่ยุติธรรม ผู้หญิงคนนั้นแกล้งเป็นลมให้ฉันเข้าไปช่วย ผู้หญิงที่ใส่ชุดขาวแปลกๆหน้าตาสวยๆนั่นต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของฉันแน่ๆ เพราะฉันจำได้ว่าตอนจะข้ามถนนมองดูแล้วว่าไม่มีรถ อีกอย่างถนนในหมู่บ้านก็ไม่มีใครขับเร็ว แล้วอยู่ๆรถมาจากไหน มาเร็วขนาดฉันไม่รู้ตัวกระทั่งถูกชน นี่มันแปลกเกินไป ขณะกำลังคิดหาทางเอาตัวรอดกับท่านยมประตูตรงหน้าก็เปิดออกอีกครั้ง ฉันหันไปมองหน้าคนที่อยู่ด้านหลัง แต่ก็ได้รับใบหน้าว่างเปล่ากลับมาเหมือนเคย ถือเสียว่าเขาให้กำลังใจ ว่าแล้วก็เดินตัวเกร็งเข้าในประตูนั้นไป


    ด้านในยังคงเป็นทางเดินสีนวล ฉันเดินไปเรื่อยๆ ข้ามสะพาน เดินไปอีกจนมาหยุดอยู่ตรงทางแยกสามทาง ยืนมองทางทั้งสามเส้นที่ไม่มีแม้แต่ป้ายบอกจุดหมายสลับไปมา อย่าบอกว่าโลกวิญญาณเลือกไปนรกสวรรค์กันด้วยการสุ่ม ฉันยืนหันรีหันขวางอยู่นาน อาจจะนานมากจนในที่สุดก็มีคนปรากฏตัว


    "เหตุใดเจ้าจึงไม่เดินไปยังเส้นทางของเจ้า" น้ำเสียงนุ่มนวลจากด้านหลังดึงสายตาฉันหันกลับไปหา ตรงหน้าเป็นชายชราเคราขาวหน้าตาอิ่มเอิบ เขาอยู่ในชุดผ้าสีขาวยาวลากพื้นที่ไม่มีลวดลายใดๆ


    "เอ่อ คือหนู หนูไม่รู้จะไปทางไหน"


    ชายชราเลิกคิ้วที่เป็นสีขาวเหมือนเคราขึ้นเมื่อได้ยินฉันตอบ


    "เจ้ามีนามว่าอย่างไร"


    "หนูชื่อเฟิร์นค่ะ ชื่อจริงเนตรนภา วาณิชเพิ่มพูน" ฉันตอบอย่างมั่นใจ


    "อายุเท่าไหร่"


    "สิบเก้าค่ะ"


    ดวงตาลึกล้ำหรี่ลง สองมือไพล่หลังมองฉันอย่างพิจารณา จนกระทั่งสายตามาหยุดอยู่แถวๆกระเป๋ากางเกงยีน ฉันมองตาม ในกระเป๋ากางเกนยีนตัวเดียวกับที่ใส่ตอนถูกรถชนมีเส้นด้ายสีแดงห้อยออกมา


    "นี่มัน!"


    ฉันอุทานแล้วหยิบหยกขาวรูปร่างแปลกๆที่ร้อยด้วยด้ายแดงออกมาด้วยความตกใจ นี่มันของที่ผู้หญิงคนนั้นพยายามยัดใส่มือฉันคะยั้นคะยอให้ บอกว่าเป็นของตอบแทนที่ช่วยนี่นา ด้วยความรีบบวกกับปฏิเสธยังไงเธอก็ไม่ยอม ฉันเลยรับมาแล้วยัดใส่กระเป๋ากางเกงไว้ ไม่คิดว่าจะติดมาด้วย


    "ตามข้ามา" ชายชราบอกก่อนจะเดินนำไปในทิศทางอื่นที่ไม่ใช่ทางสามแยก


    ฉันมองตามเลิ่กลั่ก เมื่อไม่เห็นว่ามีใครมาอีกก็กำหยกไว้แล้วรีบเดินตามไป เขาพาฉันมาที่สวนแห่งหนึ่งซึ่งประดับประดาคล้ายกับสวนในจวนของขุนนางในหนังจีนที่เคยดู เดินมาจนถึงบ่อน้ำสามบ่อแล้วหยุดอยู่ตรงนั้น


    "ส่งของในมือเจ้าให้ข้า"


    หยกในมือถูกยื่นไปให้แต่โดยดี ชายชรารับมันไปพิจารณาก่อนจะพูดกึ่งทอดถอน


    "สัญญาอันแสนยาวนาน"


    ฉันได้แต่ยืนมองเงียบๆไม่กล้าพูดรบกวน เพราะถึงตอนนี้ก็ยังไม่แน่ใจว่าคุณตาคนนี้เป็นใคร มีสิทธิ์ตัดสินอนาคตของฉันหรือเปล่า


    "เลือกเอาเถิด" ชายชราเงยหน้าจากหยกขึ้นมาบอกในที่สุด "เจ้าต้องกลับไปที่นั่น แต่จะกลับไปในฐานะใดนั้นจงเลือกเอา" มือเหี่ยวย่นผายไปทางบ่อน้ำทั้งสาม


    "คะ?" ฉันเลิกคิ้วอุทานด้วยความไม่เข้าใจ


    "บ่อแรกเจ้าจะเป็นบุตรีขุนนางใหญ่ มียศถาและบริวารมากมาย บ่อที่สองเจ้าจะเป็นหญิงงามแห่งวังหลังผู้ได้รับความรักจากเจ้าแผ่นดิน ส่วนบ่อที่สามนั้นเจ้าจะเป็นสตรีธรรมดาหากแต่ร่างกายแข็งแรง กำลังภายในแข็งแกร่ง"


    ฉันมองบ่อน้ำทั้งสามตาโตหลังจากฟังจบ


    เลือกได้ด้วย! แต่เดี๋ยว ขุนนาง วังหลัง ไม่ใช่ยุคสมัยมันออกจะแปลกๆอยู่สักหน่อยหรือ


    "คือ...หนูต้องโดดบ่อน้ำนี้เพื่อไปเกิดใหม่หรอคะ" ฉันชี้ไปทางบ่อน้ำประกอบ พอเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าก็ถามต่อ "แล้วที่จะไปเกิดนี่ยุคไหนคะ ทำไมถึงมีขุนนาง มีวังหลัง เอ่อคือ มันฟังดูแปลกๆ"


    "ยุคที่แตกต่าง ภพที่แตกต่าง" คุณตาตอบ ในขณะที่ฉันอึ้งกับคำตอบที่เหมือนกับไม่ใช่คำตอบ


    "แล้ว..."


    "ไปเถิด เวลาเดินแล้ว กงล้อแห่งชะตากรรมเริ่มหมุนแล้ว รีบไปเสีย มิเช่นนั้นเจ้าอาจพลาดสิ่งสำคัญ"


    คุณตาเร่งแม้ท่าทีจะดูสงบนิ่ง ฉันเดินไปทางบ่อน้ำเก้ๆกังๆ แล้วไม่ต้องไปพบท่านยมแล้วหรือ ไม่ต้องไปชดใช้กรรมแล้วใช่ไหม นี่ฉันไปเกิดได้เลยแถมยังเลือกเกิดได้อีก บุญพาวาสนาส่งฉันขนาดนี้เชียว กวาดสายตามองบ่อน้ำพร้อมกับทวนอนาคตในภพหน้าของแต่ละบ่อในใจอยู่สามรอบก่อนจะเลือกเดินไปยังบ่อแรก อย่างน้อยเป็นลูกขุนนางชีวิตก็น่าจะดีที่สุด ยกขาขึ้นปีนขอบบ่อ มองเห็นน้ำแล้วใจก็นึกกลัวขึ้นมา


    "คือหนูจะ..."


    วูบ


    ยังไม่ทันได้ถามว่าหนูจะจมน้ำตายก่อนไปเกิดไหมก็มีแรงดูดฉันจนหัวทิ่มตู้มลงบ่อ พร้อมกับเสียงคุณตาดังสะท้อนไล่ตามหลังมา


    "จากนี้ไม่มีสิ่งใดติดค้างกันแล้ว"


    -------------------------------------------------------


    ยินดีต้อนรับแม่บ้านพ่อบ้านที่บังเอิญหลงเข้าพรรคมานะคะ เรื่องนี้ช่วง 3 ตอนแรกอาจจะเกิดคำถามว่า เอ๊ะ ทำไมไม่เหมือนกับในคำโปรยเลย ลงบ่อตามนางเอกเราไปสักพักก่อนนะคะ ตอนที่ 4 เป็นต้นไปก็จะเหมือนแล้วค่ะ ฮ่าๆๆ

    (อาจจะไม่ใช่ฉบับเดียวกับที่เป็นรูปเล่มนะคะ เพราะเดี๋ยวจะมีตรวจซ้ำอีก)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×