คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ตอนที่ ๙ บททดสอบสุดท้าย
ตอนที่ ๙ บททดสอบสุดท้าย
สุดท้ายฉันก็ต้องมานอนเดี้ยงอยู่ที่เรือนพยาบาล
คืนนั้นที่ยี่สิบแบกฉันพาดบ่าพากลับโรงนอนทำทุกคนแตกตื่นไม่น้อย
ยิ่งรู้ว่าฉันที่เลือดเต็มตัวนี้อาจโดนพิษยิ่งแตกตื่น เคราะห์ดีที่หลังจากสิบสองตรวจสอบแผลแล้วก็บอกว่าฉันไม่ได้โดนพิษแต่อย่างใด
หลายคนเข้ามาช่วยปฐมพยาบาลฉัน
แต่สุดท้ายก็ลงความเห็นว่าควรส่งฉันไปที่เรือนพยาบาลจะดีกว่า
ด้วยเหตุนี้เจ้ายี่สิบจึงแบกฉันที่หน้ามืดตาลายเพราะเสียเลือดมากพาดบ่าห้อยต่องแต่งไปที่เรือนพยาบาลทั้งอย่างนั้น
บาดเจ็บคราวนี้นอกจากเสียเลือดมากกับแผลที่เอวซึ่งค่อนข้างลึกแล้วส่วนอื่นยังถือว่าดีอยู่
ผู้คุมหนึ่งที่เป็นหญิงเดียวซึ่งย้ายตนเองมาประจำเรือนพยาบาลถึงกับบอกว่าร่างกายฉันแข็งแกร่งเหลือเชื่อ
ทั้งที่เป็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็กๆกลับแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้ช่างน่าประหลาด นอกจากนี้นางยังถามถึงเรื่องที่ฉันสูญเสียความทรงจำอีกด้วย
พอฉันบอกว่าไม่มีสิ่งใดที่จดจำได้ก็ถอนหายใจก่อนจะไม่ถามสิ่งใดอีก
นอนเดี้ยงอยู่อย่างนี้นับว่าได้พักผ่อนอย่างแท้จริง
แม้มีคนมาเยี่ยมบ้างแต่ก็ไม่ได้อยู่นานนัก
ฉันนอนมองเพดานนึกไปถึงตอนที่หมายเลขหนึ่งผู้นั้นเข้ามาช่วยก็ออกจะประหลาดใจอยู่หลายส่วน
เขาไม่ได้สนิทสนมกับยี่สิบเจ็ด ยิ่งกับฉันแล้วไม่แม้แต่จะเคยพูดคุยกันด้วยซ้ำ
มีเหตุผลใดให้นายท่านผู้ล้ำเลิศผู้นั้นซึ่งถือหลักไม่ข้องแวะผู้อื่นต้องช่วยเหลือฉัน
หรือเขาเพียงผ่านทางมาเท่านั้น
เสียงประตูเลื่อนเปิดทำฉันหยุดความคิดหันมองผู้มาเยือน
รูปร่างอรชรใบหน้างดงาม สิบสองส่งยิ้มให้เดินตรงมาที่เตียงฉันเพียงลำพัง
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
นางถามพร้อมหยุดยืนอยู่ข้างๆ
“ค่อยยังชั่วขึ้นมากแล้ว” ฉันตอบ
นึกสงสัยที่นางถึงกับมาเยี่ยมฉันอีกคน
“ก่อนนี้ข้าคิดว่าเจ้าน่าสนใจ
มาบัดนี้ยิ่งพบว่าน่าสนใจ” สิบสองพูดเรียบเรื่อย สายตากวาดไปตามร่างฉัน
ทำเอารู้สึกขนลุกขึ้นมาเฮือกหนึ่งจนดึงผ้าห่มขึ้นคลุมถึงคอ “สี่สิบสาม
เจ้ารู้หรือไม่ ลูกดอกนั้นส่วนใหญ่ล้วนอาบด้วยยาพิษ”
“เจ้าต้องการพูดสิ่งใด” ฉันถาม
มือยังคงขยุ้มผ้าห่มกะคอไว้
“ลูกดอกของสี่สิบเอ็ด
แม้ยาพิษที่ใช้จะไม่ใช่พิษหายากร้ายแรง หากแต่ก็เป็นพิษที่เมื่อแล่นเข้ากระแสเลือดแล้วมีผลถึงตาย”
“แต่เจ้าบอกว่าลูกดอกนั่นไม่มีพิษ”
“ลูกดอกนั่นมีพิษ
แต่พิษนั้นกลับไม่สามารถทำอันตรายเจ้าได้
หากพูดเช่นนี้ต่อหน้าทุกคนเกรงว่าคงได้เกิดความสับสนวุ่นวาย” ฉันนิ่งอึ้ง
ในขณะเดียวกันสิบสองก็วางมือเรียวสวยนั้นลงบนแผลที่ไหล่ขวาของฉัน “พิษเข้าสู่ร่างกายเจ้าแต่เลือดในกายเจ้ากลับมีคุณสมบัติต้านพิษ
สี่สิบสาม เจ้าเป็นใครกันแน่”
ฉันไม่ตอบยังคงนอนนิ่งเงียบ
ข้อมูลนี้ทำเอาตกใจอย่างมาก
เลือดในกายมีคุณสมบัติต้านพิษนี่ไม่ใช่เรื่องเหลือเชื่อหรอกหรือ
“ได้ยินมาว่าเจ้าสูญเสียความทรงจำ
เรื่องราวก่อนมาที่ค่ายแห่งนี้ไม่อาจจดจำได้แม้แต่น้อย
บางทีชีวิตที่ผ่านมานี้ของเจ้าคงไม่ง่ายเลย”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” ฉันหันมองสิบสอง
หญิงงามจ้องประสานสายตากลับ
“การจะให้ร่างกายต้านพิษได้นั้น เจ้าของร่างจำต้องได้รับพิษนั้นต่อเนื่องเป็นเวลานานในปริมาณที่ไม่ถึงตายจนกระทั่งเลือดในกายแปรเปลี่ยน ทำให้พิษนั้นไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายอีก”
มือเนียนขาวละออกจากบาดแผลที่ไหล่ฉัน
“ข้าลองตรวจสอบดู เลือดของเจ้านั้นไม่เพียงต้านพิษของสี่สิบเอ็ด แต่สารพัดพิษที่ข้ามีอยู่ไม่อาจทำอันตรายใดแก่เจ้าได้ เช่นนี้แล้วข้ากลับไม่อาจมั่นใจว่ารู้สึกอย่างไรต่อเจ้า หวาดหวั่น ริษยาหรือเศร้าใจ”
“เจ้าไม่บอกเรื่องนี้กับผู้อื่นได้หรือไม่”
ฉันถาม เบนสายตาออกจากดวงตาเย้ายวนคู่นั้นมองเหม่อไปที่ปลายเตียง
“เช่นนั้นหากวันข้างหน้าข้ามีเรื่องขอร้องจำต้องให้เจ้ายื่นมือเข้าช่วยเหลือ
เจ้าจะรับปากช่วยข้าหนึ่งครั้งได้หรือไม่”
“หากไม่ใช่สังหารผู้ใดหรือไม่เกินกำลังข้า
ข้ายินดีรับปาก”
“เช่นนั้นเรื่องนี้ก็จะไม่มีวันออกจากปากข้าอีกจนวันตาย”
ฉันยังคงนอนอยู่ท่าเดิมแม้สิบสองจะกลับไปนานแล้ว
นึกสงสัยถึงเรื่องราวความเป็นมาของเด็กหญิงผู้นี้
เด็กหญิงที่แม้ดูภายนอกตัวเล็กกว่าเด็กคนอื่นๆในรุ่นเดียวกันมากแต่กลับมีร่างกายทนทาน
ซ้ำตอนนี้ยังพบว่าพิษใดไม่อาจทำอันตรายได้อีก นางเป็นใคร เติบโตมาอย่างไร
แล้วเหตุใดจึงไปสิ้นใจอยู่ป่าลึกเช่นนั้น คำถามเหล่านี้ฉันได้แต่ถามตัวเองอยู่ในใจ
หากไม่พบกับผู้ที่เคยรู้จักกับนางคงไม่อาจได้คำตอบ
ในที่สุดฉันก็หายดี ทุกอย่างกลับคืนสู่ปกติ
ไม่มีใครพูดถึงเรื่องหมายเลขห้าและคนอื่นๆที่ตายไปราวกลับตัวตนของพวกเขาถูกพัดหายไปพร้อมกับสายลม
ฉันกลับเป็นคนเดียวที่ยังติดใจอยู่
ตั้งแต่เกิดเรื่องนั้นยังไม่มีโอกาสได้ขอบคุณหมายเลขหนึ่งเลยสักครั้ง
อย่างไรเสียเขาก็มีบุญคุณถึงขั้นช่วยชีวิต ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดล้วนไม่อาจปล่อยผ่านไปได้
ฉันตัดสินใจตามหมายเลขหนึ่งไปหลังจากเสร็จสิ้นการฝึกในเย็นวันหนึ่ง
หมายเลขหนึ่งผู้นี้ในเวลาอื่นที่ไม่ใช่ตอนฝึกมักไปมาไร้ร่องรอย
สมกับที่สิบเก้าเคยบอกว่าเกิดมาเพื่อเป็นจันทราโดยแท้ หมายเลขหนึ่งตรงเข้าป่าเดินไปเรื่อยๆอย่างไม่เร่งรีบนักในขณะที่ฉันเดินตามห่างๆ
ตอนแรกตั้งใจว่าจะเข้าไปทัก
แต่ตอนนี้กลับสงสัยขึ้นมาว่าเขากำลังมุ่งหน้าไปที่ใดจึงตัดสินใจสะกดรอย ลึกเข้าป่าไปเรื่อยๆแม้จะเข้ามาลึกถึงเพียงนี้กลับไม่เจอสิงสาราสัตว์ใดสักตัว
พลันร่างนั้นหยุดกึก ฉันรีบเข้าหลบหลังต้นไม้แอบมอง ร่างสูงสง่าเกินเด็กยืนหันหลังให้อยู่ตรงนั้นพักหนึ่งก็พูดเสียงราบเรียบ
“เจ้าต้องการสิ่งใด”
เท่านั้นฉันก็รู้ว่าถูกจับได้แล้ว
เดินออกมาทั้งรอยยิ้มแห้งๆก่อนจะหยุดห่างจากเขาราวสองช่วงแขน
“ข้าเพียงต้องการขอบคุณเรื่องในวันนั้นเท่านั้น
หากไม่ได้เจ้าช่วยเหลือเกรงว่าตอนนี้คงไม่อาจมายืนอยู่ตรงนี้ได้”
ไม่มีคำตอบใด เขายังคงยืนเงียบหันหลังให้แบบนั้น
ฉันเม้มปากเข้าหากัน
ยืนมองจากด้านหลังแบบนี้ไม่ทราบอารมณ์เขาแน่ชัดจึงเดินอ้อมไปอยู่ด้านหน้า
อย่างน้อยหากเห็นว่าเขาเริ่มโกรธขึ้นมาจะได้หนีทัน
“ช่วยชีวิตนั้นถือเป็นบุญคุณใหญ่หลวง บุญคุณต้องทดแทน ข้ากลับไม่ทราบว่ากับผู้ที่ล้ำเลิศอย่างเจ้า ข้าจะมีสิ่งใดทดแทนให้ได้” ฉันเงยหน้าพูด มองสบดวงตาสีดำสนิทคู่นั้น
“เพียงผ่านทางไปเจอสิ่งกีดขวางจึงปัดออกให้พ้นทาง
ไม่ถือเป็นบุญคุณใด”
ฉันผง่ะอึ้ง
ปัดออกเสียจนกลายเป็นสี่ศพ ช่างเป็นการปัดที่รุนแรงเหลือเกิน
“เช่นนั้นการที่ไม่ปัดข้ากับยี่สิบเจ็ดออกไปด้วยคงต้องถือเป็นบุญคุณแทนกระมัง”
หมายเลขหนึ่งไม่ตอบ
เขาเพียงมองฉันด้วยสีหน้าที่อ่านไม่ออก
ได้มาสังเกตใกล้ถึงเพียงนี้ถึงได้รู้ว่าหมายเลขหนึ่งผู้นี้ไม่ได้ล้ำเลิศเพียงวรยุทธ
ใบหน้าก็จัดอยู่ในขั้นล้ำเลิศเช่นกัน อายุยังน้อยเช่นนี้กลับมีดวงตาคมกริบทรงอำนาจ
ทั้งบุคลิกยังดูสูงสง่า
หากไม่มาเจอเขาในสถานที่เช่นนี้ฉันอาจคิดว่าเขาเป็นองค์ชายจากแคว้นใดสักแคว้น
“จำได้ว่าตอนข้าถูกอัดจนสลบคราวก่อนเจ้าก็เป็นผู้นำข้าไปส่งเรือนพยาบาล
ครั้งนี้กลับได้เจ้าช่วยเหลืออีกรู้สึกซาบซึ้งใจมาก”
นอกจากนี้ยังรู้สึกกลัวเจ้ามากด้วย
ท่าทางนิ่งเฉยเช่นนี้ไม่ใช่ว่าอีกพริบตาวิญญาณฉันก็หลุดลอยไปเฝ้าบ่อให้เทพบุตรผู้นั้นหรอกนะ
ฉันก้มหน้าลง มองพื้นอยู่นานเขากลับไม่พูดสิ่งใด
ยืนกันอยู่ในป่าเงียบๆเช่นนี้รู้สึกอึดอัดอย่างมากในที่สุดจึงเงยหน้าขึ้นถาม
“ให้ข้าซักผ้าให้เจ้าสักสามเดือนดีหรือไม่”
หมายเลขหนึ่งนิ่งเงียบ ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย
“สาม สามเดือนอาจน้อยไป ห้าเดือนเป็นอย่างไร”
ฉันรีบพูดเสริม ยกมือขึ้นกางห้านิ้วประกอบ
ไม่คาดว่าลงทุนทำถึงเพียงนี้เขากลับมองเมินไปทางอื่น
หันกายทำท่าจะจากไป
“เช่นนั้น เช่นนั้นซักให้เจ้าหนึ่งปีเลยดีหรือไม่!” มือคว้าจับแขนคนตรงหน้า
ปากโพล่งออกไปอย่างจำยอม พอเห็นเขาเหล่มองมาที่แขนซึ่งถูกจับอยู่ใจก็ร่วงหวือ
รีบผง่ะถอยปล่อยแขนอันล้ำเลิศนั้นอย่างรวดเร็ว
หมายเลขหนึ่งหันกายเดินออก
ในตอนนั้นฉันจึงพูดตามหลังไป
“ข้าไม่ต้องการติดค้างผู้ใด แม้ไม่อาจเทียบเจ้าได้ในวันนี้ใช่ว่าในวันหน้าจะไม่มีวันเทียบ
เจ้าทำเมินน้ำใจข้าเช่นนี้ไม่ถือว่าเหยียดหยามกันเกินไปหรอกหรือ”
“เป็นสตรีไม่ควรใช้ชีวิตบุ่มบ่าม” เขาไม่ตอบคำถามกลับพูดประโยคนี้ออกมาก่อนจะเลี้ยวหายไปทิ้งฉันให้ยืนอึ้งอยู่
ไม่คาดว่าในหมู่พวกเรายังคงมีผู้ไม่ปัญญานิ่มอยู่หนึ่งคน
เปลวเทียนไหวระริกสาดแสงสีเหลืองนวลลงกระทบหยกสีขาวบนโต๊ะไม้
มีแสงสีทองเรืองรองรอบตัวหยกรูปร่างประหลาดบิดเบี้ยวไม่เป็นรูปทรงใดนั้น
แสงสีทองทอประกายอยู่ครู่หนึ่งก็ดับหายกลายเป็นเพียงหยกสีขาวธรรมดา บุรุษหนุ่มในชุดสีน้ำเงินเข้มยืนมือไพล่หลังมองก่อนจะยื่นมือมาหยิบด้ายแดงที่ร้อยกับตัวหยกยกขึ้นดู
ดวงตาสีดำสนิทลึกล้ำจ้องมองชิ้นหยกพักหนึ่งจึงหันกายเดินไปหยิบกล่องสีดำสนิทจากตู้ไม้
วางหยกลงไปในนั้นปิดฝา
เกิดแสงสีขาวทอขึ้นบนฝากล่องเป็นลวดลายอักขระประหลาดก่อนที่แสงนั้นจะดับไปกลายเป็นกล่องสีดำสนิทธรรมดา
3 ปีผ่านไป
“สิบเก้า
ความเร็วของเจ้าไร้ประโยชน์ยามเจอคู่ต่อสู้ที่รวดเร็วไม่แพ้กันเห็นหรือไม่
หากเพิ่มความรุนแรงของการโจมตีไม่ได้ก็จงฝึกความแม่นยำให้มาก!”
“สิบเก้านอบรับคำแนะนำ!”
“สี่สิบสาม
เจ้าเร็วได้มากกว่านี้ไยให้นิสัยชอบคิดไตร่ตรองนั่นทำให้ช้าลงเล่า
ในการต่อสู้จริงหาได้มีเวลาให้เจ้าคิดทบทวนได้ตลอดเวลาไม่ สายตาที่มักมองจุดโจมตีก่อนจะออกอาวุธคือจุดอ่อนสำคัญของเจ้า
แก้ไขเสีย!”
“สี่สิบสามนอบรับคำแนะนำ!”
ฉันเดินมาทิ้งตัวนั่งลงพร้อมกับสิบเก้าหลังจากต่อสู้กันเสร็จ
ครั้งนี้เป็นการทดสอบประลองฝีมือโดยใช้อาวุธที่ถนัด ฉันใช้กระบี่
สิบเก้าใช้กระบี่สั้นคู่ ส่วนพวกใช้อาวุธระยะไกลถูกแยกไปอีกที่
“เขายังอยากให้เจ้าเร็วไปมากกว่านี้อีกรึ
มากกว่านี้เกรงว่าเจ้าคงต้องไปสาบานเป็นพี่น้องกับสายลมแล้ว”
สิบหกที่นั่งอยู่ด้านหน้าหันมากระซิบ
“เรื่องคิดก่อนโจมตีอย่างไรข้าก็แก้ไม่ได้เสียที หากไม่คิดก่อนจะให้โจมตีไปอย่างไรเล่า
ข้าไม่ใช่พวกสัตว์ป่าอย่างเจ้ายี่สิบนี่จะได้ตอบสนองตามสัญชาตญาณเช่นนั้น” ฉันบ่น
มือปัดปอยผมเปียกเหงื่อออกให้พ้นตา
“เจ้าทำได้ถึงเพียงนี้ก็เก่งมากแล้ว การโจมตีนั่นหลายท่วงท่าข้ามองไม่ทันแม้แต่น้อย”
ยี่สิบเจ็ดที่นั่งข้างสิบหกหันมาให้กำลังใจ
“จะอย่างไรเจ้าก็ชนะข้า บ่นเช่นนี้ไม่คิดเกรงใจข้าที่แพ้เจ้าหน่อยหรอกรึ”
สิบเก้าพูดด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย ยกแขนเสื้อเช็ดเหงื่อจากใบหน้าที่ดูโตขึ้นมาก
ความสูงของเจ้าสิบเก้าตอนนี้นั้นพอๆกับยี่สิบเลยทีเดียวหากแต่ตัวไม่หนาเท่า
“เจ้าถูกจำกัดให้ใช้อาวุธเพียงชนิดเดียวเช่นนี้เสียเปรียบข้าย่อมไม่แปลก
หากไปเจอกันข้างนอกเกรงว่ายังไม่ทันถึงตัวเจ้า ข้าเป็นอันได้ตกกับดักไหนสักอันของเจ้าเสียก่อนกระมัง”
ฉันพูดด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายไม่แพ้กัน
สามปีมานี้ทุกคนเติบโตขึ้นมากมีเพียงฉันที่ออกจะโตช้ากว่าชาวบ้านอยู่เสียหน่อย
ยิ่งวันๆอยู่แต่กับกลุ่มเจ้าพวกเด็กหนุ่มสมองนิ่มนี่แล้วยิ่งดูตัวเล็กไปถนัดตา
“พวกเจ้าเงียบก่อน คู่เด็ดเริ่มแล้ว” สิบหกหันมาปรามก่อนจะพยักเพยิดหน้าไปทางสนามประลอง
การประลองนี้ชายหญิงไม่เกี่ยง
ต่างถูกผู้คุมสามเสี่ยงจับหมายเลขจากที่เขียนไว้บนไม้ไผ่นับว่าวัดดวงโดยแท้
และคู่ที่น่าจับตามองที่สุดก็คือคู่ฟ้าประทานเจ้าสัตว์ป่ากับสุดล้ำเลิศ
ยี่สิบกับหมายเลขหนึ่งผู้นั้น พวกที่นั่งหน้าสุดใกล้ลานประลองลุกถอยหนีออกมาอีกเมื่อทั้งคู่ลงสู่สนาม
ทันทีที่ผู้คุมสามบอกเริ่มฝุ่นดินก็ฟุ้งตลบไปทั่วบริเวณทันที หมายเลขหนึ่งนั้นมีดาบเป็นอาวุธส่วนเจ้ายี่สิบใช้ทวน
ก่อนหน้านี้ฉันประหลาดใจอย่างมากที่อาวุธถนัดของเจ้ายี่สิบกลับเป็นทวน
ด้วยนิสัยบ้าระห่ำเช่นเขานึกว่าจะถือดาบใหญ่ไล่ทุบไล่ฟันเป็นหมาบ้าเสียอีก
หนึ่งถือดาบฟาดฟันเฉียบขาดรวดเร็ว หนึ่งกวาดทวนรุกรับโจมตีเป็นวงกว้าง
ฉันมองดูการต่อสู้ที่สูสีนี้ด้วยใจลุ้นระทึก ทักษะต่างๆของหมายเลขหนึ่งอยู่ในระดับสูง
หากแต่สัญชาตญาณกับความบ้าระห่ำของยี่สิบเองก็อยู่ในระดับสูงไม่ต่างกัน ดาบฟันใส่ ทวนขึงรับ
ทวนกวาดหมุน ดาบลอยหลบ บรรดาผู้ชมทั้งหลายต่างพากันถอยออกจากสนามอีกหนึ่งช่วงแขนเพื่อความปลอดภัย
การประลองเป็นไปอย่างดุเดือด ตูมตามฟึ่บฟั่บฝุ่นตลบตื่นตาเป็นอย่างยิ่ง
ฉันเพ่งสายตาจดจ่อมองการเคลื่อนไหวของทั้งคู่ผ่านฝุ่นตลบนั้น
ดาบฟาดฟันได้เลือดจากยี่สิบมาสายหนึ่ง ทวนนั่นกลับไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าได้เลือดจากหมายเลขหนึ่งมาชโลมใบมีดเช่นกัน
ฉันเหล่มองผู้คุมสาม
นี่ไม่ใช่ว่าพวกเขาเอาจริงเอาจังกันมากเกินไปหรอกหรือแต่ละท่าถึงได้โจมตีถึงตายเพียงนั้น
หากพลาดพลั้งขึ้นมาเล่า ผู้คุมสามจ้องคนทั้งคู่เขม็ง มือค่อยๆคว้าจับด้ามง้าวที่อยู่ข้างตัว
หมายเลขหนึ่งออกกระบวนท่ากระโดดขึ้นง้างดาบกลางอากาศ
ในเวลาเดียวกันยี่สิบจับด้ามทวนด้วยสองมือแหงนปลายยกง้างขึ้น
มองจากเท้าที่ก้าวถอยหลังมาข้างหนึ่งของยี่สิบแล้วฉันก็ผุดลุกขึ้นยืนอย่างลืมตัว
เคร้ง! ฟุ่บ!
ดาบกระเด็นร่วงหล่นลงพื้น ทวนพุ่งปักลงดินเกือบชิดติดของสนาม
“พอเท่านี้!”
ผู้คุมสามที่ยืนถือง้าวขวางอยู่ตรงกลางระหว่างหมายเลขหนึ่งกับยี่สิบประกาศ
หนึ่งล้ำเลิศกับหนึ่งสัตว์ป่ามองหน้ากัน แววตายังคงกระหายในการต่อสู้
“กลับที่พวกเจ้า!”
ผู้คุมสามสั่งซ้ำ ทั้งสองจึงจำต้องแยกย้ายออกจากสนาม
หมายเลขหนึ่งเดินไปในทิศทางที่ตั้งเรือนพยาบาล ส่วนเจ้ายี่สิบเดินกลับมานั่งลงข้างสิบเก้าเสียอย่างนั้น
“เจ้าก็บาดเจ็บไม่ใช่รึ”
ฉันก้มข้ามหัวสิบเก้าไปถาม
“เล็กน้อยเพียงนี้หาได้ถึงตายไม่!” เจ้าสัตว์ป่ากระชากเสียงตอบ
ดูท่าแล้วอารมณ์คงยังไม่จบ
ฉันมองแขนซ้ายของยี่สิบที่มีเลือดไหลอาบลงมาก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงเหมือนเดิม
ไฟกำลังลุกเช่นนี้สอดมือเข้าไปเกรงว่าจะลวกมือเสียเปล่าๆ ก้นเพิ่งแตะถึงพื้นเท่านั้นก็ได้ยินเสียงยี่สิบร้องจ๊ากขึ้นมา
“สิบสอง เจ้าเอาสิ่งใดมาราดแขนข้า!” เจ้าสัตว์ป่าเงยหน้าไปตะโกนถามหญิงงามดังลั่น
“พิษชนิดหนึ่งเท่านั้น” สิบสองตอบ
“พิษ!” สิบหกทวนคำลั่น “เจ้าเอาพิษราดแขนยี่สิบอย่างนั้นรึ!”
ฉันเหล่มองสิบสองเงียบๆ
ต้องบอกก่อนว่าคำว่าพิษนั้นค่อนข้างกระทบใจฉัน แม้ชาตินี้จะมีร่างกายต้านพิษได้
แต่ด้วยประสพเหตุมีอันต้องตกตายเพราะพิษหลายรอบ คำว่าพิษจึงกลายเป็นปมในใจไปเสียแล้ว
ได้ยินทีใจก็ร่วงไปอยู่ตาตุ่มเสียทุกที
“เจ้า เจ้ามันงูพิษ!” ยี่สิบชี้หน้าสิบสอง ทำท่าจะลุกขึ้นไปขย้ำหากแต่ถูกสิบเก้าจับไว้
“พิษใดกัน หากเจ้าล้อเล่นก็จงรีบเฉลย
เจ้าบ้านี่สังหารเจ้าได้ในพริบตาไม่กลัวตายหรือไร” สิบเก้าล็อคคอเจ้าสัตว์ประหลาดไว้
ปากก็พูดบอกสิบสองที่ยังคงทำหน้าไม่ทุกข์ร้อน
“พิษนั่นมีฤทธิ์ในการทำให้เลือดแข็งตัว
หากเข้าไปอยู่ในร่างกายขวางกระแสเลือดคงมีผลถึงตาย หากแต่ข้าเพียงราดใส่ให้เลือดพวกนั้นอุดแผลเจ้า
ขวางกั้นไม่ให้เลือดเจ้าไหลนองเลอะพื้นไปมากกว่านี้
ไม่ขอบคุณข้ายังคิดจะฆ่าข้าอีกหรือ” ดวงตาเย้ายวนหรี่มอง
ใบหน้างดงามในยามนี้ไม่ทราบด้วยเหตุใดฉันจึงรู้สึกว่ากวนประสาทเหลือเกิน ไม่คาดว่าสามปีมานี้สิบสองเองก็ซึมซับความกวนประสาทจากเจ้าพวกบ้ารอบตัวมาได้มากถึงเพียงนี้แล้ว
มุมปากยี่สิบกระตุก สิบหกโถมตัวเข้าทับเขาไว้อีกคน
ได้แต่ชี้หน้าสิบสองที่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะเยื้อย่างมานั่งลงข้างฉันอย่างสบายอารมณ์
“แกล้งเขาเช่นนี้ เกิดเขาโมโหอาละวาดขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่า”
ฉันหันไปถาม
“หากเขาอาละวาด คงต้องรบกวนให้เจ้าช่วยรับมือเสียแล้ว”
สิบสองตอบยิ้มๆ
“ข้าที่รักชีวิตตนเองยิ่งกว่าสิ่งใดไหนเลยจะกล้าไปขวางตอนหมากำลังบ้าเล่า”
“สี่สิบสาม เจ้าว่ายี่สิบเป็นหมาอย่างนั้นรึ!” ไอ้เจ้าสิบเก้าตัวแสบแกล้งพูดเสียงดัง
ยี่สิบที่สงบลงแล้วเด้งตัวหันขวับมาทางฉันชี้หน้าตาขวาง
“หากข้าเป็นหมา เจ้าก็เป็นแค่ไอ้ลูกหมานั่นแหล่ะ!”
“จะลูกหมาพ่อหมา
อย่างไรก็หมาเหมือนกันใช่หรือไม่” ฉันหันกลับไปถามยี่สิบด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย
“เจ้า!”
ยี่สิบผุดลุกขึ้น มียี่สิบเจ็ดลุกตามห้าม
“ตรงนั้นเอะอะสิ่งใดกัน
หากปากหุบไม่ได้ก็ออกไปเสียให้พ้นจากตรงนี้!”
เสียงผู้คุมสามตะโกนว่า
สิบหกลุกขึ้นไปคว้าคอยี่สิบให้กลับมานั่ง
สิบเก้าเอาตัวบังไว้ ยี่สิบเจ็ดส่ายหน้าในขณะที่สิบสองหัวเราะไม่หยุด
ส่วนฉันเพียงส่งยิ้มกวนให้เจ้าหมาบ้าที่กำลังถลึงตาใส่เป็นบ้าเป็นหลังอยู่
จะอย่างไรแกล้งยี่สิบก็สนุกที่สุดจริงๆ
“ผ่านมาจนถึงตอนนี้เหลือพวกเราอยู่ทั้งหมด
30 คนพอดิบพอดี” สิบเก้าพูดขึ้นหลังจากวิ่งขึ้นลงเขารอบเช้าเสร็จในวันหนึ่ง
“ตายไป 13
นับว่าไม่มากไม่น้อย” สิบหกออกความเห็น
“ผ่านมาจนถึงตอนนี้กลับไม่มีวี่แววของบททดสอบสุดท้ายเสียที
เจ้าคิดว่านานเกินไปหรือไม่ รุ่นก่อนๆใช้เวลาฝึกกี่ปีกัน” ยี่สิบเจ็ดถามขึ้น
“ข้อมูลการฝึกนี้ออกจะเกินกำลังหามาได้ของข้าอยู่สักหน่อย
ไม่ว่าจะไปตะล่อมถามใครก็หาได้คำตอบไม่”
“หลังกินข้าวผู้คุมเรียกรวมที่ลานดิน
พวกเจ้าอย่าได้เถลไถล!”
เจ้าหกเดินมาตะโกนบอกพวกเราที่กำลังมุ่งหน้าไปโรงอาหาร
เขาที่อายุมากสุดในรุ่นตอนนี้ตัวสูงใหญ่อย่างมาก เสียงต่ำที่ใช้สั่งนั้นฟังไปฟังมาโหดกว่าผู้คุมสามเสียอีก
พวกเราทั้งหมดรีบโกยข้าวเข้าปาก
ความสงสัยทำให้รีบพากันไปยืนรวมที่ลานดินอย่างรวดเร็ว
ที่นั่นมีผู้คุมทั้งสามยืนอยู่อย่างครบถ้วน
ผู้คุมสามเรียกขานหมายเลขเมื่อครบทั้งหมดแล้วผู้คุมหญิงหนึ่งเดียวก็เดินออกมาเบื้องหน้า
“อีกสามวันจะมีการทดสอบครั้งสุดท้าย”
ไม่คาดว่าปากของยี่สิบเจ็ดนั้นขลังนัก
พูดถึงบททดสอบ บททดสอบก็มา
“ในสามวันนี้พวกเจ้าสามารถนำทุกสิ่งในโรงเก็บอาวุธและอุปกรณ์ไปเป็นของตนเองได้
สามารถใช้สนามฝึกทั้งหมดได้ไม่ว่าเป็นเวลาใด การทดสอบไม่มีข้อห้ามข้อจำกัดขอเพียงผ่านเกณฑ์ที่กำหนดก็นับว่าเจ้าผ่าน
และสำหรับเกณฑ์นั้นจะแจ้งแก่พวกเจ้า ณ สถานที่ใช้ทดสอบ มีสิ่งใดสงสัยหรือไม่”
“สิบเก้าขอถามผู้คุมหนึ่ง ในวันทดสอบนั้นพวกเราต้องรวมพลกันที่ไหนเวลาเท่าใด”
“ในวันทดสอบจะมีสัญญาณเคาะเรียกรวมพล
พวกเจ้าจงมารวมตัวกันที่นี่แล้วผู้คุมทั้งหมดจะพาพวกเจ้าไปยังสถานที่ลับที่ใช้ทดสอบเอง”
จบการแจ้งแทบทุกคนรีบวิ่งตรงไปยังโรงเก็บอาวุธเพื่อรวบรวมเอาอาวุธที่ตนถนัด ฉันเดินไปเรื่อยๆอย่างไม่เร่งรีบนัก โรงอาวุธนี้ปกติก็หาได้มีการตรวจตราป้องกันแน่นหนาจึงถูกเด็กฝึกหยิบยืมอาวุธไปฝึกแล้วไม่ได้ส่งคืนอยู่บ่อยครั้ง
กระบี่คู่มือที่ฉันใช้อยู่บ่อยๆเองตอนนี้ก็แอบไว้อยู่ในป่าตรงที่ฝึกซ้อมประจำ
ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลใดที่ต้องไปยื้อแย่งกับผู้อื่น ฉันตรงไปที่โรงเก็บอุปกรณ์
ไม่ทราบว่าการทดสอบนี้เป็นอย่างไรจึงได้แต่คาดเดาว่าการที่อนุญาตให้เอาสิ่งใดติดตัวไปก็ได้นี้
เป็นไปได้ว่าคงใช้เวลาในการทดสอบหลายวัน ฉันหยิบเอาเชือกและหินจุดไฟเอาใส่กระเป๋าหนังสะพายข้าง
หยิบของที่คิดว่าจำเป็นอีกสองสามอย่างก็ออกจากโรงอุปกรณ์ไปยังโรงอาวุธที่ตอนนี้เหล่าอาวุธบางตาไปมาก
เดินไปหยิบมีดสั้นที่เหลืออยู่สองเล่มใส่กระเป๋า
สายตาเหลือบไปเห็นอาวุธลับหลายชิ้นตกอยู่บนพื้นจึงหยิบใส่กระเป๋าไปด้วย เวลาเช่นนี้ทุกคนต่างแยกย้ายไปเตรียมตัว
ฉันเองก็เช่นกัน ตระเตรียมผ้าพันแผล ยาสมุนไพร อาหารไว้ให้พร้อมแล้วฝึกฝนอย่างหนัก
ถึงวันทดสอบ ผู้คุมทั้งสามพาพวกเราไปที่หอกลางเดินทะลุเข้าทางลับใต้ดินที่มีเพียงแสงจากคบไฟบนกำแพงสาดส่อง
ระหว่างทางบรรยากาศเครียดเขม็งไม่มีใครพูดสิ่งใดแม้แต่คำเดียว
ฉันกำสายกระเป๋าหนังที่สะพายอยู่
สัมผัสของมีดสั้นเล่มเก่าผูกคาดซ่อนอยู่ใต้เสื้อไม่เพียงพอให้รู้สึกอุ่นใจเพียงนิด
ประสาทสัมผัสทุกอย่างเปิดรับ
ฉันกังวลกระทั่งในตอนที่เดินไปนี้จะปรากฏกับดักใดขึ้นทดสอบระหว่างทางเสียด้วยซ้ำ
ทางลับไปโผล่ยังถ้ำแห่งหนึ่ง เดินผ่านถ้ำเข้าไปแล้วผู้คุมก็หยุดอยู่หน้าหินก้อนใหญ่ซึ่งปิดทางออกไว้
ผู้คุมสองเดินไปหยุดอยู่หน้าหิน คำรามเสียงก้องผลักหินก้อนยักษ์นั้นจนขยับเคลื่อนเข้าไปด้านในทำเอาฉันทึ่ง
ยิ่งเห็นภาพป่ารกทึบด้านในนั้นยิ่งทึ่ง
“สถานที่แห่งนี้เป็นหุบเขาปิดล้อมมีทางออกสองทาง
หนึ่งคือเส้นทางนี้ที่พวกเจ้ายืนอยู่นี้
อีกทางคือสิ่งที่พวกเจ้าต้องค้นหาด้วยตนเอง” ผู้คุมหญิงเริ่มต้นอธิบาย
“เมื่อพวกเจ้าทั้งหมดเข้าไปเส้นทางนี้จะถูกปิด
ผู้ที่ดึงดันกลับออกมาทางเดิมจะถูกพวกข้าซึ่งรั้งอยู่ที่นี่สังหารทันทีที่ออกมา”
เกิดความเงียบอันน่าขนลุกขึ้นเมื่อผู้คุมหนึ่งกวาดตามองทุกคนด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“เกณฑ์ในการทดสอบแบ่งแยกตามหอหลักทั้งสี่ ผู้ที่หาทางออกไปจากหุบเขาได้เป็นสิบคนแรกถือว่าผ่านการทดสอบเข้าสู่หอสุริยันทันที จันทรานั้นจะผ่านการทดสอบได้จำเป็นต้องสังหารหนึ่งชีวิตพร้อมนำหลักฐานไปที่ทางออก ห้าลำดับที่มาถึงก่อนได้เข้าสู่หอจัทรา”
ใจฉันสะท้านเฮือก
สังหารหนึ่งชีวิตพร้อมนำหลักฐานไปที่ทางออกอย่างนั้นรึ
“นภาและวารีนั้นคือป้ายโลหะอันสลักชื่อหอไว้
แต่ละหอมีจำนวนสามป้าย ผู้ที่ออกไปพร้อมป้ายเข้าสู่หอตามป้ายชื่อนั้น
กำหนดเวลาทั้งหมด 7 วัน หากเกินกว่านี้ถือว่าไม่ผ่านการทดสอบ มีคำถามใดหรือไม่!”
เงียบ
ไม่มีใครถามสิ่งใดแม้แต่คนเดียว
เกรงว่าตอนนี้ในใจทุกคนต่างสับสนปนเปหลากอารมณ์ไปกันหมดแล้ว
“ในป่าแห่งนี้เต็มไปด้วยกับดัก พืชพิษ
และสัตว์ร้ายกระจายอยู่ทั่ว นอกจากนี้ทุกการเคลื่อนไหวของพวกเจ้าล้วนถูกจับตา จะทำสิ่งใดจงตรองให้ดี
ทั้งหมดเข้าไปได้!”
ผู้คุมหนึ่งหลีกทาง
แล้วหมายเลขหนึ่งซึ่งยืนอยู่หน้าสุดก็เป็นผู้เริ่มต้นเดินเข้าไป
บัดนี้เหลือเด็กฝึกอยู่เพียง 28 คน ตายไปสองระหว่างสามวันก่อนถึงวันทดสอบ
ทันทีที่ทั้งหมดเข้ามายืนอยู่ในหุบเขาซึ่งเป็นป่าทึบก็มีเงาร่างสีดำพุ่งวูบไปที่ปากทาง
ผลักเลื่อนหินยักษ์ปิดทางเข้าก่อนจะพุ่งหายฟุ่บเข้าป่าไป
“เริ่ม!”
เสียงประกาศคำรามดังก้องทั่วหุบเขาเป็นสัญญาณพร้อมเลือดที่สาดกระเซ็น
“อ้ากกก”
------------------------------------------------------------
เริ่มแล้วบททดสอบ สุริยันรับ 10 จันทรารับ 5 นภากับวารีรับหอละ 3
ความคิดเห็น