ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ผ่านภพบรรจบฟ้า (ตีพิมพ์กับสนพ. คำต่อคำ)

    ลำดับตอนที่ #7 : ตอนที่ ๗ ยี่สิบ

    • อัปเดตล่าสุด 4 มิ.ย. 59


    ตอนที่ ๗ ยี่สิบ




    หมายเลขสามสิบหกตาย


    ยี่สิบเป็นผู้พบศพเขานอนจมกองเลือดตายอยู่ในป่าลึก  จากคำบอกเล่าของสิบเก้าที่แอบตามผู้คุมสามไปบอกว่าบาดแผลไม่ได้เกิดจากสัตว์ร้าย หากแต่เกิดจากคมดาบของมนุษย์


    “สามเดือนที่แล้วเจ้าถูกสามสิบหกอัดจนน่วมใช่หรือไม่ สี่สิบสาม” เจ้าหกนั่งกอดอกอยู่กลางโรงนอนออกปากถามฉันที่ถูกเรียกมายืนกลางดึก


    “ใช่” ฉันตอบสั้นๆ


    ในตอนทดสอบการต่อสู้ด้วยมือเปล่านั้นเริ่มแรกสามสิบหกไม่ได้เอาจริงมากนัก เพราะต่างรู้กันว่าฝีมือฉันห่วยแตกแค่ไหน มีเพียงลูกเตะสุดท้ายนั่นที่เขาโมโหเอาจริงจนทำฉันช้ำในอยู่หลายวัน หากไม่ติดว่าร่างกายนี้อึดอย่างมากก็ไม่รู้เมื่อไหร่จะลุกได้


    “สามเดือนมานี้วิชายุทธเจ้าก้าวหน้าอย่างมาก ไม่ใช่ว่านึกอยากแก้แค้นสามสิบหกขึ้นมาหรอกหรือ”


    ฉันจ้องหน้าเจ้าหก “ไม่ใช่ข้า” พูดยืนยันโดยไม่หลบสายตา


    “ต่อให้สี่สิบสามอยากฆ่าสามสิบหกจริง แม้จะก้าวหน้าขึ้นมากแต่สามสิบหกเองก็หาได้อ่อนด้อย ด้วยระดับฝีมือของเขาไหนเลยจะกลับมาได้โดยไม่บาดเจ็บเช่นนี้” ยี่สิบเจ็ดพูดขึ้นมาจากที่นอนของตนเอง


    “ฆ่าหรือไม่แล้วอย่างไรเล่า” สิบสองลุกขึ้นเข้าร่วม “ต่อให้สี่สิบสามฆ่าสามสิบหกจริงแล้วอย่างไร ที่นี่มีกฏเกณฑ์ห้ามฆ่าคนตั้งแต่เมื่อไหร่” ดวงตาเย้ายวนกวาดมองรอบๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดตอบก็ค่อยๆเยื้อย่างมาหยุดยืนหน้าเจ้าหก “เจ้าทำราวกับไม่เคยมีคนตายมาก่อน”


    เจ้าหกจ้องหน้าหญิงงาม


    “หากแม้กระทั่งเจ้าเด็กใหม่สุดห่วยอย่างสี่สิบสามก็ลุกมาฆ่าคนเสียแล้ว เกรงว่าจากนี้ไปพวกเราคงไม่อาจอยู่กันได้อย่างสงบสุข”


    สิบสองเอามือป้องปากหัวเราะ


    “อยู่อย่างสงบสุข ยังมีคนคิดว่าเราจะได้อยู่อย่างสงบสุขอีกอย่างนั้นรึ” ใบหน้างดงามที่กำลังขบขันพลันเปลี่ยนราบเรียบ “มีความคิดเช่นนี้ ข้าคงไม่มีโอกาสได้พบเจ้าหลังบททดสอบสุดท้ายกระมัง” พูดจบนางก็หันหลังกลับ


    “สิบสอง อย่าได้ทะนงตนนัก เจ้าเองก็ไม่ได้เก่งกาจไปกว่าผู้ใด” เจ้าหกพูดตามหลังไป


    “ข้าไม่เคยคิดว่าตนเก่งกาจกว่าผู้ใด ข้าเป็นเพียงคนผู้หนึ่งที่พร้อมจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ออกไปจากที่นี่ก็เท่านั้น”


    แน่นอนว่าคงไม่ใช่สิบสองเพียงผู้เดียวที่คิดเช่นนี้ ฉันกวาดตามองไปรอบๆ ในท้ายที่สุดแล้วทุกคนที่นี่ย่อมทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้ตนเองต้องตาย เดินกลับที่นอนเมื่อไม่เห็นว่าเจ้าหกพูดสิ่งใดต่อ


    “สี่สิบสาม เจ้าไม่ต้องคิดมาก ไม่มีใครคิดว่าเจ้าฆ่าสามสิบหกหรอก” ยี่สิบเจ็ดที่นอนอยู่ข้างๆพูดปลอบ


    “ยี่สิบเจ็ด หากทางเดียวที่จะทำให้เจ้าผ่านการทดสอบสุดท้ายได้คือต้องฆ่าข้า เจ้าจะทำอย่างไร”


    ยี่สิบเจ็ดนิ่งอึ้ง มองฉันซึ่งจ้องกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย


    “ไยเจ้าถามเช่นนี้”


    “ชีวิตพวกเราในตอนนี้หาได้เป็นของเรา ที่ทำได้มีเพียงทำตามคำสั่งผู้คุมกับดิ้นรนเอาชีวิตรอด หากเขาสั่งให้เราฆ่ากันเอง เราก็ไม่อาจขัดขืนได้” ฉันยังคงพูดด้วยใบหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์ใด “ในตอนนี้ข้าถึงตระหนัก ว่าแท้จริงแล้วพวกเราล้วนยืนอยู่หน้าประตูปรโลก เพียงพลาดพลั้งก้าวเดียวไม่อาจหวนคืน”


    ฉันพลิกตัวนอนหงายแล้วหลับตาลง ยี่สิบเจ็ดเองก็ไม่ได้พูดสิ่งใดอีก หากกลับกันเป็นฉันต้องฆ่ายี่สิบเจ็ดเล่า ยี่สิบเจ็ดที่เข้ามาพูดคุยกับฉันเป็นคนแรก คอยดูแลฉันอยู่เสมอ หากเป็นอย่างนั้นฉันจะทำอย่างไร





     

    วันต่อมาพวกเราทั้งหมดวิ่งลงจากเขา ด้านล่างมีผู้คุมสองรออยู่ ผู้คุมสองผู้นี้เป็นชายร่างใหญ่ผิวคล้ำใบหน้าดุดัน บุคลิกห่างเหินแตกต่างจากผู้คุมสามที่เป็นกันเองอยู่หลายส่วน ผู้คุมสองพาเราไปหยุดยืนริมแม่น้ำ


    “บนผาหินนั่นมีธงอยู่ พวกเจ้าแต่ละคนจงใช้วิชาตัวเบาข้ามแม่น้ำขึ้นไปหยิบธงบนผาแล้วกลับมาที่นี่ สิบลำดับที่ใช้เวลามากสุดไม่ต้องกินข้าว!” เขาสั่งเสียงดัง ในมือมีม้วนรายชื่ออยู่เหมือนตอนที่ผู้คุมสามให้ทดสอบการต่อสู้ด้วยมือเปล่า


    ในการทดสอบนี้หลายคนผ่านไปได้อย่างราบรื่น บางคนต้องหยุดพักบนก้อนหินกลางแม่น้ำแล้วจึงค่อยไปต่อ บางคนข้ามแม่น้ำแล้วไปหยุดอยู่หน้าหินผาก่อนจะวิ่งไต่ขึ้นไปทีหลัง การไต่หินผาของยี่สิบสองนั้นน่าสนใจอย่างยิ่ง นางใช้วิชาตัวเบาข้ามแม่น้ำไปก่อนจะเหวี่ยงเชือกตะขอเข้าเกี่ยวที่ผาหินใช้เป็นตัวช่วยปีนขึ้นไปหน้าตาเฉย ฉันกับอีกหลายคนหันมองผู้คุมสองแต่ไม่เห็นเขาคัดค้านหรือพูดสิ่งใด คาดว่าขอเพียงใช้วิชาตัวเบานอกเหนือจากนั้นใครจะมีตัวช่วยอย่างไรก็ไม่ผิดกระมัง คราวนี้ฉันจึงได้เห็นว่าหลายคนต่างมีอาวุธหรือไม่ก็อุปกรณ์ซ่อนอยู่ สิบหกที่ไปเกือบไม่ถึงเองก็ใช้กระบี่ปักค้ำยันผาหินไว้ก่อนจะเหวี่ยงตัวขึ้นไปได้สำเร็จ


    ผู้คุมเรียกหมายเลขฉัน ฉันเดินออกไปมองทบทวนเส้นทางที่หมายเลขหนึ่งใช้วิ่งข้ามแม่น้ำไต่ขึ้นผาแบบรวดเดียวจบ กำหนดลมปราณก่อนจะออกวิ่งไปเส้นทางเดียวกัน วิชาตัวเบานี้นับเป็นสิ่งที่ฉันถนัดที่สุดในบรรดาการฝึกแขนงต่างๆ ข้ามแม่น้ำไต่ผาหินคว้าธงที่ปักไว้มาอันหนึ่งก่อนจะกลับไปรวดเดียวจบเช่นกัน


    สีหน้าผู้คุมไม่ได้เปลี่ยนไปในตอนที่ฉันกลับมาวางธงลงบนแท่นหิน เขาเพียงหันมาบอกว่ามีผู้ใดบ้างที่ไม่ได้กินข้าวเช้าก่อนจะสั่งให้พวกเราวิ่งขึ้นเขากลับค่าย


    “เจ้าเยี่ยมยอดขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ สี่สิบสาม” สิบหกเข้ามาผลักไหล่หยอกเสียจนหน้าฉันเกือบทิ่ม


    “ช้ากว่าหมายเลขหนึ่งเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เจ้านี่ประมาทไม่ได้จริงๆ” สิบเก้าเข้ามาเดินข้างๆสิบหกอีกที


    “ช้ากว่าหมายเลขหนึ่งหรอกหรือ” ฉันพูดขึ้นมา นึกว่าเวลาไม่ต่างกันเสียอีก


    “ไม่ทันไรคิดเทียบหมายเลขหนึ่งแล้ว เจ้าลูกหมานี่!” สิบหกตบหัวฉันจนผมที่เริ่มยาวแล้วสะบัด


    “จะอย่างไรก็ถือว่าน่าทึ่ง ตอนเจ้าข้ามแม่น้ำไปทุกคนล้วนแต่ยืนทึ่งมองเจ้ากันทั้งนั้น” ยี่สิบเจ็ดที่เดินอยู่ข้างฉันพูดด้วยรอยยิ้ม “เป็นวิชาตัวเบาที่งดงามมาก”


    “ถูกต้อง งดงามเกินคาด ชั่วขณะนั้นข้าเกือบหลงผิดคิดว่าเจ้าเป็นเด็กหญิงตัวน้อยที่จะเติบโตมาเป็นหญิงงามไปเสียแล้ว” สิบหกส่ายหัว “เกือบไปแล้ว เกือบไปแล้วตัวข้า”


    “ไม่ใช่แค่เจ้า ข้าเห็นพวกที่เกือบหลงทางมองสี่สิบสามตาค้างอีกหลายคนเชียว เสียดายเจ้าแปดกลับตาค้างไปกับเขาด้วย ไม่เช่นนั้นข้าจะให้เจ้านั่นจดจำใบหน้าของพวกเจ้าแล้ววาดรูปให้เสียหน่อย ในภายภาคหน้าอาจได้ใช้” สิบเก้าส่ายหน้าด้วยความเสียดาย


    “ใช้รีดไถพวกข้าใช่หรือไม่ เจ้าจิ้งจอกนี่!” สิบหกหันไปง้างมือฟาดหวังตบหัวจิ้งจอกเจ้าเล่ห์นั่น แต่จิ้งจอกก็ว่องไวสมฉายาหลบได้อย่างสบายๆ


    “สี่สิบสาม วันนี้ตัวข้าค้นพบหนทางที่เหมาะสมกับเจ้าแล้ว” สิบเก้ากระโดดแผล็วมาอยู่ฝั่งยี่สิบเจ็ด


    ฉันมองหน้าเจ้าผอมกะหร่องงงๆ


    “หนทางใดกัน”


    “เจ้าควรมุ่งมั่นไปที่หอวารี จากนั้นเข้าเป็นสายข่าวแทรกซึมอยู่ที่หอนายโลม ต้องรุ่งโรจน์เป็นแน่”


    “ไอ้บัดซบสิบเก้า!” สิบหกคว้าก้อนหินเขวี้ยงหัวเจ้าปากมากนั่น ทำเอาฉันซาบซึ้งในตัวสิบหกผู้นี้อย่างมาก ซาบซึ้งอยู่ไม่เท่าไหร่คำพูดต่อมาก็เล่นเอาฉันสำลักความซาบซึ้งจนไออย่างแรง “หากสี่สิบสามมันเลือกทางนั้นแล้วรุ่งโรจน์ขึ้นมาจริงๆเล่า พวกข้าที่มองมันตาค้างกันวันนี้ไม่พากันหลงทางหมดหรอกรึ!


    ไอ้พวกบัดซบสมองมีปัญหานี่ พวกเจ้ามันสมองมีปัญหาจริงๆ!


    ฉันเตะก้อนหินตรงหน้าไปเปรี้ยงหนึ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย ยี่สิบเจ็ดสะดุ้งหันมอง ไม่พูดสิ่งใดแต่กลับขยับถอยห่างจากฉันไปนิดหนึ่งอย่างเงียบงัน

     





    “จบการทดสอบวันนี้คงต้องจดจำสี่สิบสามไว้ในฐานะศัตรูตัวฉกาจที่จะแย่งที่นั่งในสี่หอหลักเสียแล้ว” เสียงหวานดังมาจากโต๊ะข้างๆ สิบสองที่นั่งอยู่กับเด็กผู้หญิงอีกสามคนหันมาส่งยิ้มให้ฉัน


    “เหตุใดต้องแย่ง” ฉันถามกลับ “สี่หอไม่ต้องการกำลังคนเยอะๆหรอกรึ”


    “ได้ฟังมาว่าจำนวนเด็กที่ได้รับเลือกในแต่ละรุ่นนั้นมีไม่มาก บางรุ่นรับเพียงสองในห้าเท่านั้นเสียด้วยซ้ำ” สิบสองตอบ


    “อย่างนั้นรึ” ฉันพยักหน้าครุ่นคิด เป็นเพราะพวกที่ได้เข้าไปอยู่ในหอหลักล้วนมีฝีมือจึงไม่ค่อยมีใครล้มตายหรืออย่างไรถึงได้รับคนเข้าน้อยเพียงนั้น


    “หรือไม่ จุดประสงค์ที่แท้จริงของพวกเขาอาจต้องการมองพวกเราดิ้นรนอย่างเพลิดเพลินก็เป็นได้” สิบสองพูดต่อ รอยยิ้มที่ประดับอยู่นั้นแม้จะงดงามหากแต่แฝงความเหยียดหยันอยู่ในที


    “แล้วเจ้ารู้หรือไม่ บททดสอบสุดท้ายพวกเราต้องทำอย่างไร”


    สิบสองส่ายหน้า


    “เรื่องนี้กระทั่งสิบเก้าก็ยังไม่อาจสืบมาได้”


    ฉันหันมองยี่สิบเจ็ดที่นั่งอยู่ด้วยกัน ยี่สิบเจ็ดเองก็ส่ายหน้า


    “เมื่อถึงเวลาพวกเขาจะแจ้งแก่เรา แต่เมื่อไหร่นั้นไม่มีผู้ใดรู้”





     

    ฉันพักเรื่องบททดสอบสุดท้ายเอาไว้ก่อน ทุกคืนยังคงเข้าป่าไปฝึกซ้อมเพียงลำพังอย่างสม่ำเสมอ ความจริงแล้วไม่ใช่เพียงฉัน ยังมีอีกหลายคนที่ออกมาฝึกตอนกลางคืน เพียงแต่จะแยกย้ายกันไปจุดใครจุดมัน มีบ้างที่ซ้อมเป็นคู่ บ้างซ้อมเป็นกลุ่ม แต่ฉันสะดวกใจมากกว่าที่จะซ้อมคนเดียว


    เสียงสวบสาบทำให้รู้ว่ายี่สิบกลับมาจากฝึกอีกแล้ว หันมองผู้ที่เรียกได้ว่าเจอกันแทบทุกคืนแต่ไม่เคยพูดจากัน ยี่สิบยังคงเดินเลือดชุ่มแขนเสื้อมาอีกเช่นเคย ด้วยชุดสีดำสนิทนั่นทำให้สังเกตได้ยากเวลาเปื้อนเลือด หากแต่ฉันเจอกับยี่สิบโชกเลือดอย่างนี้ราวๆเจ็ดวันต่อครั้งได้ ผ่านไปหลายเดือนจมูกจึงพัฒนาอย่างมาก ได้กลิ่นเลือดตั้งแต่ยี่สิบยังไม่ปรากฏตัวออกมา


    การเดินวันนี้ของยี่สิบออกจะแปลกอยู่ ฉันมองตาม จังหวะการเดินของเขาปกติแล้วจะสม่ำเสมอและเร็วกว่านี้ ด้วยความสงสัยจึงเดินเข้าไปใกล้


    “เจ้า” จับแขนซ้ายของยี่สิบ แต่อีกฝ่ายกลับหันมาเหวี่ยงแขนขวาฟาดเข้าใส่ราวกับเป็นปฏิกิริยาตอบสนองแบบอัตโมมัติ


    ฉันก้มลงหมุนตัวถอยหลังกลับ หลบท่อนแขนแข็งแรงที่เกือบฟาดเข้าคอได้อย่างหวุดหวิด


    “เจ้าบาดเจ็บ” ฉันพูด ตามองแขนซ้ายของยี่สิบที่ยังคงปล่อยทิ้งแนบลำตัว ผ้าตรงนั้นขาดเป็นริ้วๆ


    “หาใช่กงการของเจ้า” ยี่สิบบอกปัด แม้จะห้วนสั้นแต่สีหน้ากลับดูข่มกลั้นอย่างมาก


    เลือดยังคงหยดจากปลายแขนเสื้อลงพื้น มันหยดลากมาตลอดทางตั้งแต่พุ่มไม้ที่เจ้านี่แหวกออกมา ทำเอาฉันนึกถึงสมัยตนเองโดนกระเบื้องบาดเท้าขึ้นมาเลย ยี่สิบทำท่าจะหันเดินไป ฉันอ้าปากจะรั้ง ไม่รู้จะรั้งด้วยคำพูดไหนสุดท้ายจึงพูดโพล่งออกไปว่า


    “ดื่มน้ำสักหน่อยไหม!


    ยี่สิบหันกลับมา


    “ข้ามีน้ำ มีอาหารที่ เอ่อ แอบแบ่งเก็บไว้”


    ยี่สิบขมวดคิ้ว ทำหน้าเหมือนฉันเป็นท่อนไม้ไร้ประโยชน์ที่ไม่ควรสนทนาด้วยแต่แรก แต่ในตอนที่กำลังจะหันกลับไปนั้นตัวกลับเซวูบ ฉันรีบพุ่งเข้าไปประคอง ใบหน้าที่เหมือนโมโหใครอยู่ตลอดเหยเกเล็กน้อยตอนฉันออกแรงจับที่แขนซ้าย


    “นั่งลง”


    “อย่ามายุ่งกับข้า”


    “นั่งลงเร็วเข้า เลือดเจ้าไหลจะหมดตัวอยู่แล้วดูเสียบ้าง” ฉันพยายามกดไหล่เจ้าบ้านี่ให้นั่งลง แต่เจ้าบ้าก็ยังคงเป็นเจ้าบ้าอยู่วันยังค่ำ ฝืนตัวไม่ยอมนั่ง “ยี่สิบ ข้าบอกให้นั่งลง”


    “ไปให้พ้น!


    ได้ยินเสียงตะโกนต่อต้านขัดขืนอย่างนี้แล้วความอดทนฉันก็ขาดผึง เตะข้อพับยี่สิบแล้วผลักเจ้าสมองนิ่มนี่จนหงายหลังนั่งลงจนได้


    “เจ้า!


    ยี่สิบถลึงตาใส่แต่ฉันไม่สน วิ่งกลับไปหยิบกระบอกน้ำกับผ้าพันแผลมา ด้วยเพราะฉันฝึกตรงนี้เสมอหลายครั้งได้รับบาดเจ็บ ก่อนหน้านี้จึงเอาชุดกระโปรงตัวเก่ามาซักจนสะอาดแล้วตัดแบ่งเป็นผ้าพันแผลม้วนไว้หลายม้วน นอกจากนี้ยังมีสมุนไพรที่ได้มาจากยี่สิบสองแลกเปลี่ยนโดยการเอาเสื้อผ้าแม่ค้าหน้าเลือดนั่นไปซักอยู่หนึ่งเดือน


    ยี่สิบพยายามจะลุกขึ้น ฉันที่เห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งมาผลักเขาหงายลง โยนกระบอกน้ำกับผ้าพันแผลไว้ข้างๆแล้วโดดขึ้นนั่งคร่อมทับไว้


    “เจ้า!” พูดได้แค่เจ้าก็โดนฉันฉีกแขนเสื้อที่ขาดเป็นริ้วๆนั่นดังแคว่ก “ไปให้พ้น!


    เขายกมือขวาพยายามจะคว้าบีบคอฉันแต่ฉันก็ปัดออก เอาเท้าเหยียบแขนขวานั่นไว้อย่างไร้ความปรานี หันมาสนใจแผลจากกรงเล็บที่ครูดยาวบนแขนอย่างน่ากลัว ดูจากแนวกรงเล็บแล้วฉันแน่ใจว่ามันต้องลากจากแขนมาจบที่ตัวเป็นแน่ แล้วก็เป็นเช่นนั้นเมื่อเสื้อเองก็มีรอยขาด ฉันจัดการล้างแผลเอาสมุนไพรโปะ ยี่สิบเลิกโวยวายดิ้นรนขัดขืนหันมาถลึงตามองฉันอย่างเคียดแค้นแทน การถลึงตาเช่นนี้ก็นับว่าดีอยู่เพราะอย่างน้อยก็ไม่ขัดขวางการทำแผลของฉันแถมยังไม่หนวกหูอีกด้วย พันแผลที่แขนเสร็จฉันก็ขยับตัว จับเสื้อยี่สิบฉีกแคว่กอีกรอบ


    “เจ้า!” ยี่สิบตวาด แขนขวาถูกฉันเหยียบไว้ขยับไม่ได้ แขนซ้ายก็เดี้ยงไปเสียแล้ว ที่ทำได้จึงเพียงแค่เจ้าแล้วถลึงตาอยู่แบบนั้น


    ฉันค่อยๆโปะยาบนรอยกรงเล็บ รอยแผลบาดลึกจนน่ากลัว อย่างนี้แล้วยังอุตส่าห์เดินกลับมาได้ ยังเป็นแค่เด็กแท้ๆทำไมถึงได้ดื้อด้านอดทนถึงเพียงนี้ ด้วยความที่แผลลากยาวมาจากชายโครงจนถึงสะดือใหญ่เกินกว่าจะพันแผลด้วยผ้าที่ฉันมีอยู่ได้ ฉันจึงแค่โปะๆสมุนไพรไว้ สายตาเลื่อนไปยังกางเกงยี่สิบใส่อยู่ เขานอนชันเข่านิ่งไม่ออกฤทธิ์ออกเดชเตะฉันแบบนี้ไม่ใช่ว่าขาก็บาดเจ็บด้วยหรอกนะ


    “หยุด!” มือเพียงแค่ยกขึ้นยี่สิบก็ตวาดลั่น “หยุดมือของเจ้าเดี๋ยวนี้!


    “ขาเจ้าบาดเจ็บหรือไม่” ฉันหันกลับมาถาม


    “ไม่!


    ฉันหรี่ตามอง


    “ขาข้ายังดีอยู่!” เขาพูดย้ำทั้งตาถลึง “ลุกออกไปจากตัวข้าเสียที!


    “ไม่” ฉันปฏิเสธ “หากข้าลุกเจ้าก็ต้องลุก แล้วหากเจ้าลุกยาที่ข้าโปะไว้ก็เป็นอันร่วงหมด เจ้าต้องนอนอยู่ตรงนี้จนกว่าเลือดจะหยุดไหล”


    “เจ้าเป็นใครมาสั่งข้า”


    “เป็นเจ้าของยาสมุนไพรพวกนี้อย่างไรเล่า เจ้ารู้หรือไม่ข้าต้องซักผ้าให้ยี่สิบสองตั้งเป็นเดือนถึงได้มา บัดนี้เอามาโปะให้เจ้าหมดแล้ว”


    “ผู้ใดขอให้ช่วย!


    “ไม่มี ข้ามันโง่ช่วยเจ้าเอง!


    ยี่สิบชะงัก


    “เจ้าปัญญานิ่มรึ อยู่ๆด่าตนเองว่าโง่”


    “เจ้านั่นแหล่ะปัญญานิ่ม เลือดโชกขนาดนี้คิดว่ามันหายได้เองหรืออย่างไร”


    ยี่สิบอึกอัก เถียงไม่ออกแต่กลับไม่ยอมแพ้อ้าปากจะเถียงต่อ ฉันเห็นดังนั้นจึงเหยียบแขนขวาเขาแรงขึ้น ยกมือกอดอกถลึงตาใส่


    “เจ้า” ยี่สิบพูดเสียงลอดไรฟัน


    “ข้าทำไม ข้าทำสิ่งใดผิดกัน เพิ่งช่วยชีวิตเจ้าไว้แท้ๆเจ้ากลับไม่สำนึก เอาแต่ต่อปากต่อคำอยู่ได้”


    “เจ้า”


    “เจ้าๆๆ เจ้าอยู่นั่น หมดท่าเถียงไม่ออกแล้วใช่หรือไม่”


    “หุบปาก!


    “เจ้านั่นแหล่ะหุบปากแล้วนอนเฉยๆไป”


    ยี่สิบถลึงตามองฉัน ฉันถลึงตามองกลับ ถลึงกันไปมาจนเมื่อยเจ้าสัตว์ประหลาดนี่ถึงได้ยอมเลิกราหันหน้าหนีไปทางอื่น เห็นเขาสงบลงฉันก็ถอนหายใจ นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้เถียงกับผู้ใดยาวขนาดนี้ พูดฉอดๆราวกับคนเก็บกดไม่เคยได้พูดไม่มีผิด


    ฉันนั่งทับยี่สิบอยู่แบบนั้น ตอนแรกก็เฝ้าสังเกตอยู่หรอกว่าเลือดหยุดไหลดีแล้วหรือยัง สักพักกลับเบื่อหน่ายง่วงนอนสุดๆ เจ้ายี่สิบนอนหันหน้ามองต้นไม้เงียบกริบ ไม่ใช่ว่าหลับไปแล้วหรอกหรือ หาวหวอดๆอยู่สามสี่รอบ ในที่สุดฉันก็เอนตัวพิงเข่าที่คนบาดเจ็บยกชันไว้หลับไปทั้งอย่างนั้น

     





    เปียก


    หน้าฉันกำลังเปียก มีสายน้ำเย็นไหลผ่าน สะดุ้งลุกพรวดลืมตา คนที่เคยนอนหมดสภาพเมื่อคืนยืนเทน้ำจากกระบอกรดหน้าฉันอย่างไร้มารยาท


    “ได้เวลาไปวิ่งแล้ว เจ้าปากมาก”


    ฉันลุกขึ้นนั่งลูบน้ำออกจากหน้า ไอ้วัฒนธรรมราดน้ำปลุกชาวบ้านนี่มันสืบทอดกันรุ่นต่อรุ่นหรืออย่างไร


    “แผลเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”


    “ก่อนมายุ่งเรื่องของข้ายุ่งเรื่องที่เจ้ากำลังจะไปไม่ทันวิ่งลงเขาไม่ดีกว่ารึ เจ้าปากมาก” โยนกระบอกน้ำใส่ฉันแล้วยี่สิบก็เดินหนีไปทันที


    ตอนนี้ฉันถึงได้เห็นว่าเจ้านั่นเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้ว แสดงว่าก่อนหน้านี้ไอ้คนไม่รู้คุณนั่นทิ้งฉันนอนกลางป่าคนเดียว บัดซบ ฉันนี่มันทำดีไม่ขึ้นจริงๆ

     




    หลังจากวันที่ฉันถลาหน้าตั้งไปทันวิ่งขึ้นลงเขาตอนเช้านั่นแล้วฉันก็ไม่ได้พูดคุยกับยี่สิบอีก เราเพียงเดินสวนกันไม่ให้ความสนใจเหมือนเมื่อก่อนนี้ ฉันเองก็ไม่ได้ติดใจสิ่งใด ตอนที่ช่วยไปนั้นก็ไม่คิดหวังสิ่งตอบแทนจากสัตว์ประหลาดยี่สิบอยู่แล้ว ดังนั้นชีวิตประจำวันจึงไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง ตกดึกก็ยังคงออกไปฝึกฝนอยู่เสมอ


    คืนนี้เองก็เช่นกัน ฉันเอาท่อนไม้ขนาดเหมาะมือมาใช้แทนกระบี่ ขณะกำลังฝึกท่าพุ่งเข้าแทงอยู่นั้นอยู่ๆกลับมีเงาร่างหนึ่งพุ่งมาจากพุ่มไม้ไอสังหารแผ่ชัด ฉันหันเอาท่อนไม้รับท่อนไม้ที่ฟาดเปรี้ยงลงมา แรงจนมือสั่นแทบยันไว้ไม่อยู่ เงยหน้ามองคนที่ยืนอยู่ต่อหน้า ดวงตาเรียวดุกับหน้าตาเหมือนโกรธใครอยู่เสมอคือเอกลักษณ์ของเจ้าสัตว์ประหลาดนี่ กำลังจะอ้าปากถามว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันไปเดินเหยียบเท้าหรือไร เจ้ายี่สิบก็กระโดดถอยหลังพุ่งเปลี่ยนทิศทางไม้ฟาดลงข้างตัว ฉันเอียงหมุนหลบ ยังไม่ทันได้ถามสิ่งใดก็กลายเป็นการต่อสู้ย่อมๆระหว่างฉันกับยี่สิบไปเสียแล้ว


    ฟาดฟันกันอยู่นาน เจ้ายี่สิบเหมือนโกรธฉันมาสิบชาติไม่เว้นช่องให้พัก ฉันทั้งตั้งรับทั้งพยายามสวนกลับ งัดทุกกระบวนท่าที่จำได้เข้าสู้ จนกระทั่งตอนที่คิดว่าเห็นช่องแทงแต่แทงไม่ถูก หางตาเห็นคนตัวสูงกว่าหมุนตัวหลบไปด้านข้างง้างไม้ขึ้น ฉันหลับตารอรับความเจ็บปวด ร่างกายล้าจนไม่สามารถหลบไปไหนได้ หลับอยู่นานไม่เห็นเจ็บเสียทีสุดท้ายจึงลืมตาขึ้นหันมอง


    “ร่างกายตอบสนองช้า คิดมากเกินไป” พูดห้วนๆด้วยน้ำเสียงเหมือนหาเรื่องแล้วก็ทิ้งไม้ที่ง้างอยู่ใส่หัวฉันดังปั้ก


    ฉันเอามือลูบหัวตัวเองมองเจ้าสัตว์ประหลาดเดินหายไปด้วยความงุนงง แล้วหลังจากนั้นทุกๆสามสี่วันยี่สิบจะโผล่พรวดพราดมาโจมตีใส่ฉันเป็นชุดแบบนี้แล้วก็ไป ฉันถึงได้เข้าใจว่านี่คงเป็นวิธีการตอบแทนของเจ้านั่น ตอบแทนโดยการเป็นคู่ต่อสู้ให้ฉันได้ฝึกฝน

     






    พรืด


    ไถผ้าเปียกไปบนพื้นไม้ เช้านี้เหตุเกิดด้วยฉันยืนหลับในชั่วโมงอาวุธ สุดท้ายจึงถูกไล่มาถูพื้นอยู่ตรงระเบียงทางเดินของหอกลาง เรื่องนี้ความจริงหากจะโทษก็ต้องโทษยี่สิบ ใครใช้ให้เมื่อคืนนี้เขาพลาดพลั้งเกือบโดนฉันโจมตีเข้าจุดตายได้กันเล่า ความฮึกเหิมที่เกือบชนะได้นั้นทำเอาฉันทุ่มสุดกำลัง ต่อสู้สูสีติดพันมาจนถึงเช้าจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้นอน


    พรืด


    สองมือจับผ้าสองขาไถตัวไปข้างหน้า หอกลางคือเรือนไม้หลังใหญ่สามชั้นที่อยู่ตรงกลางของส่วนหน้าค่ายนี้เอง ขึ้นชื่อว่ากลางก็กลางสมชื่อ คือเป็นส่วนกลางที่มักมีคนเดินเข้าเดินออกอยู่เสมอ ฉันถูพื้นไปเรื่อยๆ เด็กฝึกไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในหอกลาง ผู้คุมสามเองก็สั่งย้ำฉันว่าเพียงถูพื้นที่ทางเดินนี้เท่านั้น อย่าได้เข้าไปด้านใน ฉันรับคำไม่คิดจะเข้าไปแต่อย่างใด แค่เพียงถูๆอยู่ครั้งหนึ่งประตูห้องเปิดมีคนเดินออกมาก็แอบเหล่มองเล็กน้อยเห็นว่าเป็นห้องหนังสือก็ไม่ได้ติดใจสิ่งใดอีก เกิดเป็นชนชั้นล่างอย่างนี้สอดรู้มากไปไม่เป็นผลดี ยิ่งเฉพาะกับฉันที่ดวงไร้คนเกื้อหนุนด้วยแล้ว เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมาคงได้มุ่งหน้าไปเฝ้าบ่อลูกเดียว


    ชายผ้าพลิ้วไหวอยู่ด้านหน้า ฉันหยุดมือคลานขยับไปนั่งคุกเข่าข้างๆรอให้ผู้ผ่านมาเดินผ่านไปอย่างสงบเสงี่ยม ไม่คาดผู้ผ่านมานั้นกลับไม่ยอมผ่านไปเฉยๆ หยุดยืนอยู่ตรงหน้าจนฉันต้องเงยหน้าขึ้นมอง บุรุษในชุดสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำ บุคลิกนุ่มนวลสูงส่ง หากแต่สิ่งที่ทำให้ใจฉันกระตุกอย่างแรงกลับเป็นดวงตาคู่นั้น ดวงตาที่ดั่งทะเลลึกไร้หยั่ง ดวงตานั่นจ้องมองฉัน สายลมพัดผ่านผมสีดำสนิทพลิ้วไหว


    “หากอยากได้คืน จงมาที่จันทรา” น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ย เมื่อเอ่ยแล้วกลับไม่ขยายความต่อ เดินผ่านหน้าฉันไปอย่างเงียบงัน


    รอจนร่างนั้นเลี้ยวหายไปฉันถึงขยับตัวได้ ใจที่ราวกับหยุดเต้นไปแล้วกลับมาเต้นรัวอย่างตระหนก ดวงตาคู่นั้นฉันจำได้ ดวงตาที่แม้จ้องมองลึกเข้าไปยังไม่เจอสิ่งใดคู่นั้นเหมือนกับดวงตาของชายชุดดำที่ฉันเจอในป่าไม่มีผิด


    หากอยากได้คืน จงมาที่จันทรา อยากได้สิ่งใด คนผู้นั้นเอาสิ่งใดจากฉันไป มือรีบล้วงไปในเสื้อจับดู มีดสั้นที่ผูกผ้าสะพายคาดไว้ด้านในยังคงอยู่ แล้วสิ่งใดเล่า เมื่อตอนเข้ามาที่นี่ฉันมาตัวเปล่า จนถึงตอนนี้นอกจากมีดสั้นแล้วก็ไม่มีสิ่งใดเป็นของตนเอง แล้วที่ให้ไปเอาคืนนั่นคือสิ่งใด


    สายตามองทางเดินว่างเปล่าที่ไม่มีใครอยู่แล้ว


    “จงมาที่จันทรา” ฉันพึมพำแผ่วเบากับตนเอง

     



    -----------------------------------------------------------------------

    หานเจี้ยที่รักของข้าาา เปรี้ยง ผู้ใดปาทุเรียนมา!!!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×