ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ผ่านภพบรรจบฟ้า (ตีพิมพ์กับสนพ. คำต่อคำ)

    ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ ๕ หมายเลข

    • อัปเดตล่าสุด 4 มิ.ย. 59



    ตอนที่ ๕ หมายเลข




    โครก


    ท้องร้องเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่อาจนับ ฉันนอนตะแคงหันหลังให้ห่อข้าวกับกระบอกน้ำหมดสภาพอยู่บนลานดิน ตามองท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นสีส้มอย่างไร้หนทาง


    โครก


    ราวกับกระเพาะบิด ใช่ว่าทั้งวันมานี้ฉันจะเอาแต่นอนอยู่เฉยๆ คล้อยหลังจากเจ้ายียวนไปไม่นานฉันก็ลุกขึ้นเดินโซซัดโซเซไปทางกำแพงหิน ที่ต้องเดินโซซัดโซเซนั้นต้องบอกก่อนว่าแต่เดิมร่างกายนี้ไม่ได้มีเรี่ยวแรงอะไรมากมายอยู่แล้ว ทั้งมาโดนเจ้ายียวนเคี่ยวกรำจนเส้นประสาททั่วร่างเกร็งเขม็งไปหมดยิ่งราวกับโดนสูบพลังงาน โซซัดโซเซไปจนเกือบถึงประตูไม้บานใหญ่สีน้ำตาลเข้มก็พบว่าตรงนั้นมีคนนั่งเฝ้าอยู่ ป้อมเล็กๆทำจากไม้ไผ่นั่นทำให้เดาได้ไม่ยากว่าผู้เฝ้าประตูคนนั้นคงมีหน้าที่ไม่ต่างจากยามในโลกเดิมของฉันนัก และที่ยิ่งเหมือนคือกระทั่งยามในโลกนี้ก็ยังนั่งหลับ


    ฉันแหงนหน้ามองประตูบานใหญ่ ตั้งใจจะเดินไปสำรวจดูใกล้ๆเผื่อว่าจะมีประตูเล็กที่ไม่ต้องใช้แรงเปิดมากนักให้ออกข้างๆ ไม่คาดจังหวะที่ขากำลังจะก้าวเลยป้อมยามกลับมีวัตถุบางอย่างพุ่งมาอย่างแรง วัตถุที่ว่าปาดเอากระโปรงสีมอซอของฉันจนขาดวิ่นแถมยังบาดกินเนื้อเข้ามาก่อนจะพุ่งเลยไปปักลงกับพื้นดินไม่ห่างนัก


    ฉันร้องโอ๊ยหงายหลังล้มก้นกระแทก มองไปที่เหนือเข่าขวาของตนเองด้วยความตกใจ เลือดไหลจากรอยบาดที่พาดขวางเป็นแนวตรงเป๊ะ แม้แผลจะไม่ลึกมากแต่ความเจ็บกลับมีมากจนต้องกัดริมฝีปากกลั้นไว้ หันมองวัตถุนั่นที่ตอนนี้ทราบแล้วว่าคือมีดสั้นอันเล็ก และเจ้าของมีดผู้ขว้างมาก็ไม่ใช่ใคร ยามในป้อมที่ตอนนี้นั่งเท้าคางมองฉันด้วยสายตาง่วงงุน


    “กลับไปที่ของเจ้า” ยามพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนยังไม่ตื่นนอนดี “เจ้าไม่อยากออกไปหรอก ข้างนอกนั่น”


    “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่อยากออกไป” ฉันถามกลับ มือกระชากกระโปรงที่รุ่งริ่งไปเสียครึ่งให้ขาดออกแล้วมามัดพันแผลที่ขาไว้


    “เจ้าดูไม่เหมือนพวกที่ไม่ต้องการมีชีวิตอยู่”


    ฉันตวัดสายตามอง ก็เพราะว่าอยากมีชีวิตอยู่ไม่ใช่หรือไงเล่าถึงได้อยากออกไป


    “กลับไปที่ของเจ้าเสีย” ยามพูดพลางอ้าปากหาว ท่าทางเกียจคร้านจนแทบไม่เชื่อว่าเป็นคนเดียวกับที่ขว้างมีดอันรวดเร็วรุนแรงใส่ฉันเมื่อครู่นี้


    “ไม่มีที่ของข้า” ฉันวางแขนไว้บนเข่าที่ยกขึ้นชัน พูดเสียงเรียบเรื่อย “ที่นี่ไม่มีที่ของข้า”


    เกิดความเงียบขึ้นระหว่างเรา พักหนึ่งยามก็ชี้นิ้วไปยังมีดสั้นซึ่งปักดินอยู่


    “หยิบมีดนั่นมาให้ข้าที”


    ฉันเหล่มองยามก่อนจะคลานไปหยิบอย่างว่าง่าย มีดเล่มนี้ค่อนข้างเล็กกว่ามีดที่เจ้ายียวนเอาจ่อคอฉันตอนเช้ามาก ลองถือพลิกไปมาก็พบว่าเหมาะมือพอดี ฉันถือมีดคลานกลับมาที่เดิม เอามีดตัดกระโปรงที่เหลือให้กลายเป็นกระโปรงสั้นเหนือเข่าเท่ากับที่โดนตัดขาดไป


    “เห้ยๆ นั่นมันของข้า” ยามท้วงขึ้นตอนฉันกำลังเอามีดสั้นพันด้วยผ้าแล้วผูกเข้ากับต้นขาซ้ายที่ไม่ได้บาดเจ็บ


    “ของของท่านต้องอยู่กับท่าน ตอนนี้มันอยู่กับข้าก็แสดงว่าเป็นของข้าแล้ว” ฉันตอบ มือจับผ้ามัดให้แน่นไปด้วย


    “เหอะ ตัวเท่าลูกหมา ริอาจขโมยของข้าต่อหน้าต่อตา” คนโดนขโมยของแค่นเสียง แต่ท่าทางกลับไม่ได้ใส่ใจมากนักกับของที่โดนขโมยไป


    ฉันลองลุกขึ้น เซล้มตุ้บไปทีหนึ่งแต่ก็ยังยันตัวลุกขึ้นยืนใหม่


    “ยังอยากออกไปอีกหรือไม่” ยามถาม


    “ไม่” ตอบพลางหันกลับทางเดิม


    “ไอ้ลูกหมา จากนี้ไปอย่าได้พูดว่าที่นี่ไม่มีที่ของข้าอีก เพราะหากที่นี่ไม่มีที่ของเจ้าแล้วก็ไม่จำเป็นต้องมีเจ้า คำพูดนั่นไม่ต่างอะไรจากการฆ่าตัวตาย จำไว้”


    ฉันหันกลับไปมองยามที่นั่งเท้าคางอยู่ในป้อมด้วยความประหลาดใจ เราต่างไม่รู้จักกันเหตุใดเขาถึงต้องแนะนำฉัน


    มุมปากยามยกยิ้ม 

    “ตั้งแต่ข้าอยู่ที่นี่มา ไม่เคยเห็นคนผู้นั้นหิ้วอะไรกลับมาสักที ครั้งนี้กลับได้เห็นเขาหิ้วเจ้า ทั้งยังหิ้วมาทั้งที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ ดูท่าว่าเจ้าเองคงมีบางอย่างที่ไม่ธรรมดา”


    “เขาเป็นใคร เขาที่หิ้วข้ามานั่น” ฉันถาม


    “หึ หากข้าบอกเจ้าเสียตั้งแต่ตรงนี้จะไปมีสิ่งใดสนุกกัน รอดไปให้ได้แล้วพบเขาด้วยตัวเจ้าเองสิ” ว่าแล้วก็อ้าปากหาวหวอดๆ “ไปๆ กลับที่เจ้าไปได้แล้ว”


    ด้วยเหตุนี้ฉันเลยเดินกะเผลกกลับที่อย่างยามบอก ซึ่งที่ของฉันนั้นก็ไม่พ้นตรงที่เจ้ายียวนโยนอาหารทิ้งไว้ หลังจากนั้นตลอดทั้งวันฉันก็เอาแต่นั่งคิดวิเคราะห์ทบทวนทุกอย่างเงียบๆอยู่เพียงลำพัง จะมีบางครั้งที่มีคนเดินผ่าน แต่คนเหล่านั้นกลับเพียงเหล่มองฉันและเดินผ่านไปราวกับฉันเป็นเพียงก้อนหินไร้ชีวิต นั่งไปนั่งมาก็อดคิดไม่ได้ว่าที่นี่ช่างเป็นค่ายโจรที่เงียบสงบเสียจริง






     

    โครก


    ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า จำได้ว่านิยายที่เคยอ่านตัวเอกส่วนใหญ่มักจะทิฐิสูง ยึดมั่นถือมั่นในหลักการของตนเยี่ยงชีพ เป็นตายอย่างไรไม่ยอมเสียศักดิ์ศรีเด็ดขาด ฉันนอนตัวงอเหมือนกุ้ง ยึดมั่นในศักดิ์ศรีความเป็นคนที่จะไม่แตะต้องอาหารซึ่งได้มาจากการหลั่งเลือดของผู้บริสุทธิ์มาทั้งวันรู้สึกตาลายเต็มที ในใจแอบหวังให้ทางการได้ฤกษ์ดีบุกกวาดล้างค่ายโจรคืนนี้ หรือไม่ก็เจ้ายียวนเดินกลับมาบอกว่าจิตใจเต็มเปี่ยมด้วยคุณธรรมของฉันนั้นน่านับถือ ฉันผ่านการทดสอบแล้ว จากนั้นก็เฉลยว่าที่นี่เป็นค่ายลับของเหล่าจอมยุทธ์ผู้เปี่ยมคุณธรรมหรืออะไรทำนองนี้


    ดวงจันทร์ลอยเด่นอยู่บนฟ้า ลำคอฉันแห้งผากราวกับจะกลายเป็นผุยผง ไม่ใช่ว่ายึดมั่นถือมั่นเช่นในนิยายแล้วปาฏิหารย์ย่อมเกิดหรอกหรือ แสงไฟจากคบเพลิงตรงป้อมยามสาดมาพอให้มองเห็นได้รางๆ พลิกตัวกลับไปหาห่อข้าวกับกระบอกไม้ไผ่ มองอยู่พักหนึ่งก็ค่อยๆยื่นมือสั่นเทาไปหยิบกระบอกมา แรงที่จะดึงใบไม้ซึ่งทำเป็นจุกปิดกระบอกยังแทบไม่มี ฉันรวบรวมแรงอันน้อยนิดดึงออกจนได้ ผงกหัวค่อยๆดื่มน้ำสะอาดในนั้น ระหว่างที่น้ำไหลผ่านลงคอไม่ทราบว่าทำไมอยู่ๆน้ำตาก็รื้นขึ้นมาจนต้องกะพริบตาถี่ๆไล่ให้กลับลงไปคืนอยู่หลายรอบ ฉันลุกขึ้นนั่งอย่างทุลักทุเล ตั้งกระบอกไว้ก่อนจะเอื้อมไปหยิบห่อข้าวที่ทำจากใบไม้ขึ้นมาค่อยๆแกะมันออก ในนั้นมีข้าวกับเนื้อแห้งๆแข็งๆ หยิบข้าวเข้าปาก ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะรู้สึกว่าอาหารแสนอเนจอนาถตรงหน้าอร่อยล้ำเลิศถึงเพียงนี้


    “หึ” เจ้ายียวนไม่ทราบมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เพียงได้ยินเสียงแค่นหัวเราะนั่นฉันก็จำได้ทันที “นึกว่าข้าต้องเสียเวลาเอาศพเจ้าไปโยนทิ้งข้างนอกนั่นเสียอีก”


    ฉันไม่ตอบ ไม่แม้กระทั่งเงยหน้ามอง


    “โลกใบนี้ไม่มีที่สำหรับผู้อ่อนแอ หากเสียใจก็จงมีชีวิตอยู่ เจ็บแค้นใจยิ่งต้องมีชีวิตอยู่ ใช้ความเจ็บแค้นนั้นทำให้ตนแข็งแกร่ง แกร่งจนไม่อาจมีผู้ใดเหยียบย่ำได้อีก”


    หยดน้ำตาร่วงหล่น กระทั่งเสียงสะอื้นก็กลั้นไม่อยู่ ตลอดชีวิตฉันคนนี้ วันนี้นับว่าเป็นครั้งแรกที่ร้องไห้ต่อหน้าคนไม่รู้จัก ร้องอย่างหมดสภาพ ร้องไห้ไปกินไป ทั้งเจ็บใจเสียใจแค้นใจผสมปนเป โลกใบนี้ไม่มีปาฏิหารย์ ไม่มีคนลึกลับมาคอยช่วยยามตกระกำลำบากเหมือนในนิยายเหล่านั้น ไม่มีใครให้หวังพึ่ง ไม่มีใครเลย


    “เพราะหากไร้ซึ่งกำลังแล้ว เจ้าก็ไม่อาจต่อกรหรือเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้”


    จบคำพูดนี้เจ้ายียวนก็หันกายจากไป ทิ้งฉันไว้กับอาหารมื้อที่จะจดจำฝังลึกไปจนวันตาย

     







    ซ่า


    อีกแล้ว ดูท่าว่าโจรค่ายนี้จะมีวัฒนธรรมการปลุกได้สิ้นเปลืองเหลือเกิน ฉันลุกขึ้นนั่งลูบน้ำออกจากหน้า มือยังไม่ทันพ้นปลายคางก็เป็นอันต้องผวารับถังน้ำที่คนสาดโยนโครมมาให้


    "ตามข้ามา" ทักทายด้วยถังน้ำแล้ว เจ้ายียวนที่เช้าวันนี้ยังคงคาบเศษไม้ที่ราวกับไม้จิ้มฟันในโลกเดิมของฉันไว้ในปากก็เดินนำออกไป


    ฉันวางถังน้ำลุกเดินตาม มองแผ่นหลังที่ยังไม่กว้างไม่ได้ดูกล้าแกร่งเท่าไหร่นักอย่างพิจารณา ถ้าจะว่ากันตามจริงช่วงอายุราวๆสิบสี่สิบห้าในยุคสมัยที่ฉันกำลังยืนอยู่นี้คงถือเป็นผู้ใหญ่แล้ว หากเป็นเด็กผู้หญิงก็คงออกเรือนกันไปเสียส่วนใหญ่ แต่หากมองตามประสาพี่สาวที่เคยมีน้องชายอายุ 17 ปีในชาติที่แล้ว เจ้ายียวนในสายตาฉันก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กม.ต้นที่นั่งเล่นเกมอยู่แถวร้านหน้าหมู่บ้าน จะต่างก็ตรงที่ว่าเจ้าเด็กนี่ออกจะฝีมือร้ายกาจไปเสียหน่อย อืม ร้ายจนกระทั่งเกือบปาดคอฉันตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน


    เดินตัดผ่านลานดินกว้างใหญ่ในที่สุดฉันก็ได้เห็นสิ่งก่อสร้างเสียที เรือนไม้หลังเล็กหลังใหญ่ตั้งอยู่รายล้อมเรือนไม้ใหญ่ที่ดูหรูหราตรงกลาง เจ้ายียวนพาฉันเดินเลี้ยวเข้าพงหญ้าฝ่าพุ่มไม้จนไปโผล่ที่เรือนไม้หลังหนึ่ง มองๆดูแล้วก็ออกจะคล้ายกับโรงฝึกที่สร้างด้วยไม้ยกพื้นขึ้นเสียมากกว่า ด้านในไม่มีสิ่งใดนอกจากที่นอนซึ่งถูกพับเก็บไว้ชิดผนังสองด้านเรียงราย ทำให้นึกถึงตอนเข้าค่ายจริยธรรมสมัยประถมขึ้นมา


    "เรียนผู้คุมสาม ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว" กำลังทอดถอนรำลึกความหลังในชาติก่อนก็พาลสะดุ้ง เมื่ออยู่ๆได้ยินเสียงจากคนมาใหม่ที่มาตอนไหนไม่ทราบ ทราบอีกทีก็เห็นยืนอยู่ด้านหลังเสียแล้ว


    เจ้าของเสียงเป็นเด็กผู้ชายตัวสูงกว่าฉันเล็กน้อย เสื้อแขนยาวกับกางเกงขายาวสีดำเข้ารูปที่ใส่อยู่ดูเหมือนเอาชุดจอมยุทธ์ไปผสมกับนินจาของทางญี่ปุ่น


    "อีกครึ่งชั่วยามพาเจ้านี่ไปเข้าเรียนกับอาจารย์เหลียงพร้อมคนอื่นๆ" เจ้ายียวนสั่ง


    “ยี่สิบเจ็ดรับคำสั่ง"


    คนสั่งทำท่าจะเดินออกไปหลังได้ยินคำตอบรับ หากแต่ก็ชะงักหันกลับมาหาฉันเหมือนนึกบางอย่างได้


    "จากนี้ไปเจ้าคือหมายเลขสี่สิบสาม" พูดจบก็เดินออกไปโดยไม่ขยายความใดๆ


    ฉันหันมองมนุษย์หนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ข้างๆ อีกฝ่ายเงยหน้าหันมายิ้มให้ถึงได้สังเกตว่าเป็นเด็กที่มีใบหน้าหมดจดดูเรียบร้อย ทั้งดวงตากลมคู่นั้นก็มีประกายอ่อนโยนอยู่ ดูผิดที่ผิดทางอย่างไรบอกไม่ถูก


    "ข้าคือหมายเลขยี่สิบเจ็ด" แนะนำตัวพร้อมกับส่งรอยยิ้มเป็นมิตรมาให้ฉันซึ่งไม่เข้าใจอะไรสักนิด "ด้านหลังมีที่ให้อาบน้ำอยู่ เจ้าจงไปชำระล้างร่างกายเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียให้เรียบร้อย กลับมาค่อยพูดคุยกัน" หมายเลขยี่สิบเจ็ดยื่นชุดสีดำพร้อมอุปกรณ์อาบน้ำให้


    ฉันเห็นดังนั้นก็รับมาอย่างงุนงง เดินไปหลังเรือนอย่างงุนงง อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เหมือนกับของหมายเลขยี่สิบเจ็ดอย่างงุนงง กระทั่งเดินกลับมาแล้วก็ยังไม่หายงุนงง


    โรงอาหารคือสถานที่ต่อไป


    "เจ้าในตอนนี้คือเด็กฝึก" หมายเลขยี่สิบเจ็ดพูดขึ้นระหว่างทาง "เด็กฝึกจะกินที่นี่” เขาหยุดยืนหน้าเรือนที่เป็นเหมือนโรงอาหาร “นอนที่โน่น” ชี้กลับไปทางโรงนอน “และเรียนวิชาความรู้ต่างๆที่นั่น” หันไปอีกทางพร้อมชี้ไปยังเรือนอีกหลัง “นอกเหนือจากนั้นเป็นการฝึกฝนร่างกาย”


    "เพื่อสิ่งใดกัน เหตุใดต้องฝึก" ฉันหันไปถามด้วยความงุนงงไม่หาย เริ่มสับสนว่าตนเองยืนอยู่ในค่ายโจรหรือค่ายทหาร


    "เพื่อถูกรับเลือกเข้าเป็นสมาชิกของสี่หอหลักของพรรค"


    คาดว่าใบหน้าฉันตอนนี้คงเหวอเต็มที่จนดูแปลกประหลาดไปเรียบร้อย หมายเลขยี่สิบเจ็ดจึงยิ้มขำเช่นนั้น


    "สุริยัน จันทรา นภา วารี หากอยู่รอดจนจบการฝึก สุริยันคือแนวหน้า กล้าหาญบุกทะลวง จันทราคือเงามืด ไปมาไร้ร่องรอย นภาคือค้าขาย เดินทางกว้างขวาง ส่วนวารีนั้นคือหน่วยข่าว แทรกซึมอยู่ทั่วแผ่นดิน"


    คราวนี้ปากฉันอ้ากว้างอย่างห้ามไม่อยู่ ละล่ำละลักถาม


    "น....นี่ นี่ไม่ใช่ค่ายโจรหรอกหรือ ข...ข้าเข้าใจผิดไปอย่างนั้นรึ"


    หมายเลขยี่สิบเจ็ดยิ้มหม่น


    "เจ้าเข้าใจถูกแล้ว"


    เกรงว่าถ้าตัวอะไรบินผ่านมาคงเข้าไปวางไข่สร้างตระกูลในปากฉันได้สักสามรุ่น ค่ายโจรครบวงจรงั้นเรอะ!

     


    กว่าสติจะกลับคืนมาครบถ้วนก็ตอนตักข้าวต้มรสชาติแย่เข้าปาก ฉันพยายามลบภาพค่ายโจรในจินตนการที่เหล่าโจรไว้หนวดเครารุงรัง พากันกระทืบเท้าตะโกนฮึ่มๆๆเตรียมออกปล้นไปจากในหัว


    "หน้าตาเจ้าดูเหมือนพวกเติบโตไปเป็นบัณฑิตมากกว่าจะเป็นโจร" มองหน้าหมายเลขยี่สิบเจ็ดแล้วก็อดไม่ได้พูดด้วยน้ำเสียงสะทดสะท้อนใจ


    "พ่อข้าเป็นบัณฑิต" คำตอบที่ได้ยินทำเอาเกือบสำลักข้าวต้ม


    "แล้วไยเจ้าดันมาเป็นโจรเล่า" วางช้อนถามต่อ เจ้าเด็กไม่รักดีนี่


    "พวกมันบุกปล้นฆ่าพ่อแม่ข้า พอเห็นข้าที่กำลังซ่อนตัวอยู่ในหีบมันก็นำตัวข้ามาที่นี่" ดวงตาสีดำขลับทอประกายเคียดแค้นยามพูดทำให้ฉันชะงักกึ่งประหลาดใจ บุกปล้นบ้านบัณฑิต ปล้นทำไม พวกบัณฑิตไส้แห้งมีสิ่งใดให้ปล้น


    "เด็กทุกคน หากไม่มีความเป็นมาอย่างข้าก็ล้วนเป็นเด็กไร้บ้าน หรือหากมีบ้านก็โดนลักพาตัวมา"


    "แล้วเหตุใดพวกเจ้าไม่พากันหนีเล่า" ฉันถามอีก


    "หนีไม่ได้ ครั้งหนึ่งเคยมีกลุ่มคนพยายามหนีออกไปจนสำเร็จ เช้าวันต่อมาพวกข้ากลับเห็นผู้คุมสามยืนเผาชุดที่พวกเขาใส่หนีไปอยู่ที่ลานดิน คาดว่าชีวิตคงไม่มีเหลืออยู่แล้ว"


    ฉันนิ่งเงียบ พยายามวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้มา


    "หนทางเดียวที่จะได้ออกไปคือกลายเป็นสมาชิกของหนึ่งในสี่หอหลักเท่านั้น"


    บางอย่างแปลกๆ หากเด็กที่เก็บมาฝึกล้วนมีความแค้นต่อพรรคเหตุใดพรรคโจรแห่งนี้ไม่ถูกล้มล้างไปตั้งแต่รุ่นแรกๆเล่า ดูจากที่ทางกว้างขวางและการทำงานอย่างเป็นระบบเช่นนี้ คาดว่าคงผลิตจำนวนประชากรโจรมาไม่ต่ำกว่าหลายสิบรุ่น


    "แล้วทำอย่างไรจึงจะได้เป็นสมาชิกของหนึ่งในสี่หอ" ฉันถามต่อ


    "มีเพียงผู้ที่ผ่านการทดสอบสุดท้ายเท่านั้นที่ได้รับเลือก"


    ทำกันเป็นกระบวนการเช่นนี้กลับตั้งอยู่ได้อย่างสงบสุข ไม่มีผู้ใดมายุ่งเกี่ยว เกิดคำถามมากมายขึ้นในหัวฉันเกี่ยวกับความเป็นมาและจุดประสงค์ของพรรคโจรแห่งนี้ แต่ถึงจะถามหมายเลขยี่สิบเจ็ดไปก็ไม่คาดว่าจะได้รู้


    "แล้วพวกที่ไม่ผ่านการทดสอบเล่า ทำอย่างไร" ฉันถามอีกครั้ง


    "ตาย" สั้นๆ คำเดียวกระจ่างแจ้งทุกสิ่งอัน


    ฉันถูกพาไปเข้าชั้นเรียนอาจารย์เหลียงหลังจากนั้น ในตอนนั้นถึงได้พบเพื่อนร่วมรุ่นมากมาย มีตั้งแต่เด็กกว่าฉันไปจนถึงโตกว่า มากสุดเห็นว่าอายุ ๑๒ ปี นับว่าฉันยังพอมีโชคอยู่บ้างที่วันนี้เป็นภาควิชาการเสียส่วนใหญ่ มีเพียงตอนเย็นที่ถูกสั่งให้วิ่งขึ้นลงเขาที่ทำเอาฉันแทบตาย วิ่งล้มลุกคลุกคลานมาถึงเป็นคนสุดท้าย ถูกจับไปรวมอยู่กับพวกไร้ความสามารถที่มาไม่ทันพระอาทิตย์ตกดินเลยอดกินข้าวเย็น







     

    “เห้ย ไอ้ลูกหมาที่มาใหม่นั่น มาตรงนี้” ในตอนที่ฉันตั้งใจจะล้มตัวลงนอนก็มีเหตุให้ต้องล้มไม่ได้ เด็กหนุ่มร่างใหญ่นั่งปักหลั่นอยู่กลางโรงฝึกกระดิกนิ้วเรียก


    หรือพรรคโจรก็มีพิธีรับน้องกับเขาด้วย ฉันคิดอย่างเหนื่อยใจแต่ก็ลุกขึ้นเดินไป


    “ได้ข่าวว่าเจ้าถูกคนของหอจันทราพาเข้ามา เป็นความจริงหรือไม่” เจ้ายักษ์ที่น่าจะหมายเลข หมายเลขใดจำไม่ได้แล้ว เช่นนั้นเรียกว่าเจ้ายักษ์ก็แล้วกัน


    “ไม่รู้ ตอนถูกพาเข้ามาข้าสลบอยู่” ฉันตอบไปตามความจริง “เจ้าไปได้ข่าวมาจากไหนที่ว่าข้าถูกคนของหอจันทราพามา”


    เจ้ายักษ์เหล่มองเด็กหนุ่มอีกคนที่ตัวผอมแห้งนั่งเยื้องไปทางขวา


    “ข่าวของข้าไม่มีผิดพลาด” เจ้าตัวหันมาตอบ


    “ขนาดตัวมันเองยังไม่รู้ เจ้ากลับยืนยันว่าข่าวไม่พลาด” เจ้ายักษ์โต้


    “ก็ในเมื่อเจ้าลูกหมานี่สลบอยู่ตัวมันจะรู้ได้อย่างไรเล่า เจ้าถามข้าก็ตอบ หากเจ้าไม่เชื่อก็ไม่ใช่เรื่องของข้าแล้ว” เจ้าตัวผอมพูดอย่างไม่ใส่ใจนักก่อนจะล้มตัวนอน


    ฉันรู้สึกเหมือนมุมปากตัวเองจะยกยิ้ม รู้สึกถูกชะตากับเจ้าตัวผอมคนนี้มาก


    “เจ้า” ยักษ์ใหญ่หันมาชี้หน้า “อย่าคิดว่าหอจันทราพาเจ้าเข้ามาแล้วจะทำตัวถือดีได้” เท่าที่จำได้ ฉันยังไม่ได้ทำตัวถือดีอะไรเลย ในใจพาลรู้สึกเบื่อหน่ายกับฉากพี่ใหญ่ขู่เด็กใหม่อย่างมาก ง่วงแสนง่วง “อยู่ร่วมกับพวกข้าย่อมมีกฏอยู่”


    “หืมๆ ใครเป็นพวกของเจ้ากัน เจ้าหก” เสียงหวานดังมาจากอีกมุมหนึ่ง


    ในโรงนอนแห่งนี้เด็กชายหญิงล้วนนอนปะปน ไม่มีแบ่งแยก


    “อย่าพูดราวกับเจ้าเป็นหัวหน้าใหญ่หน่อยเลย” ผมยาวสีดำสนิทที่ร่วงตกลงมาถึงเอวยามเจ้าตัวลุกขึ้นนั่ง ทำให้ดูงดงามเย้ายวนเกินอายุ


    ฉันเหล่มองเจ้ายักษ์ คิดว่าจะได้ดูละครนักเลงโตผู้มีใจภักดิ์ต่อหญิงงาม หากแต่เจ้านักเลงโตกลับทำเพียงหรี่ตามองหญิงงามอย่างระแวดระวังก่อนพูด


    “ในตอนที่พวกสามสิบเอ็ดหนีไปจนเหลือเพียงชุดกลับมานั่น ผู้ใดกันที่พูดว่าพวกเราทั้งหมดนี้ลงเรือลำเดียวกันแล้ว”


    หญิงงามหัวเราะคิก


    “หากไม่พูดเช่นนั้น เกรงว่าพวกเจ้าที่กำลังเสียขวัญคงแตกกระเจิงวุ่นวายกันไปหมดกระมัง”


    “หุบปากเสียทีข้าจะนอน!” เสียงดังมาจากผ้าห่มคลุมโปงอีกมุมหนึ่ง


    “ยี่สิบโมโหเสียแล้ว ระวังเขาโมโหหนักจะลุกมาฆ่าเราเสียทั้งหมด” หญิงงามพูดทั้งหัวเราะก่อนจะล้มตัวนอน


    “ข้าจับตาดูเจ้าอยู่” เจ้ายักษ์หันมาพูดกับฉันเป็นการปิดท้ายก่อนจะล้มตัวลงนอนบ้าง


    ฉันยืนหันซ้ายขวา เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดต่อบทสนทนาก็กลับที่ตนเอง ช่างเป็นสถานที่ที่รวมเอาพวกแปลกประหลาดน่าสนุกสนานไว้ซะครบถ้วนทุกประเภทเสียจริง คิดในใจก่อนจะล้มตัวลงนอน


    แล้วเหตุใดฉันถึงกลายเป็นลูกหมาไปแล้วเล่า...







     

    เช้าวันต่อมาเริ่มต้นด้วยการวิ่งขึ้นลงเขาหนึ่งรอบ หากใครกลับมาช้ากว่ากำหนดอดกินข้าว


    "เจ้าลูกหมา" เสียงร้องทักอย่างอารมณ์ดีผิดกับฉันที่หอบแฮ่กๆเหงื่อท่วมตัว "ข้าจำได้ว่ายังไม่ได้ทักทายตั้งแต่เจ้ามา" เด็กตัวผอมกระหร่องที่เป็นเจ้าของข้อมูลว่าคนจากหอจันทราเป็นผู้หิ้วฉันมาเดินขนาบข้าง


    ฉันยกมือให้เชิงทัก เหนื่อยจนไม่อยากพูด


    "เห็นท่าทางนิ่งสงบของเจ้ายามอยู่ต่อหน้าเจ้าหกเมื่อคืนแล้วนับว่าเข้าทีอยู่ ไม่เสียทีที่คนของหอจันทราเป็นผู้พาเข้ามา"


    "เจ้ารู้ได้อย่างไร" ฉันหยุดหอบนิดหนึ่งก่อนพูดต่อ "ว่าเป็นคนของหอจันทรา"


    "จุ๊ๆ วิธีการนั้นถือเป็นความลับ รู้เพียงว่าข่าวของข้าถูกต้องเสียเจ็ดในสิบส่วน"


    แล้วหากข่าวนี้อยู่ในสามส่วนที่เหลือเล่า ฉันอยากท้วงกลับ แต่ติดที่เหนื่อยเลยไม่พูด


    "เจ้าได้เห็นหน้าเขาหรือไม่" เจ้าผอมกระหร่องนี่ ทั้งๆที่ผอมกระร่องขนาดนี้ ไยแข็งแรงจนเดินขึ้นเขาสบายๆอย่างนี้ได้


    "ไม่เห็น" ฉันตอบ


    "แล้วก่อนหน้าที่เขาจะพาเจ้ามา เจ้าทำสิ่งใดอยู่"


    "สลบอยู่" ฉันตอบไม่ตรงความจริงนัก ไม่อยากอธิบายอะไรต่อให้มากความ


    "สิบเก้า เขาเพิ่งมาใหม่เจ้าก็ไม่เว้น" หมายเลขยี่สิบเจ็ดชะลอฝีเท้าถอยมาช่วย


    "เพราะเขามาใหม่อย่างไรเล่าข้าถึงเข้ามาพูดคุยด้วย เขาจะได้ไม่โดดเดี่ยว"


    ปล่อยให้ฉันโดดเดี่ยวเถิด


    "พวกเจ้ามัวมาอยู่ตรงนี้เดี๋ยวก็อดกินข้าวกันหมด รีบไปเถิด" ฉันพูดเตือน หากเอามือโบกไล่ได้จะยกขึ้นโบกด้วยแล้ว ขึ้นเขาไปพูดไปมันเหนื่อยน้อยเสียเมื่อไหร่


    "แต่ว่า..." ยี่สิบเจ็ดลังเล


    "ไปเถิด" ไปเถิดทั้งคู่ ไปไหนก็ไป


    "เจ้าเองก็รีบตามมา" ยี่สิบเจ็ดให้กำลังใจก่อนจะเร่งฝีเท้าออกนำไป เห็นเด็กผู้ชายหน้าหวานหุ่นบางวิ่งขึ้นเขาชิลๆในขณะที่ตัวเองหอบเหมือนจะตายแล้วก็รู้สึกสิ้นหวังขึ้นมา กระทั่งหมายเลขสิบสองสุดสวยยังนำหายไปแทบไม่ทิ้งฝุ่น นี่หากไม่ติดว่าเขาลูกนี้อยู่ในเขตพรรคด้วย ฉันคงแอบย่องหนีไปแล้ว


    "หลบไปๆๆ" เงาร่างคนพุ่งฟิ้วผ่ากลางหว่างฉันกับกับสิบเก้า กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง


    "ยี่สิบ เจ้าออกนอกเส้นทางไปฆ่าหมีมาอีกแล้ว!"


    มีหมีด้วย! ฉันหันมองสิบเก้าตาแทบถลน ดีแค่ไหนที่ไม่ได้คิดหนี


    "มันยั่วโมโหข้า!" เสียงยี่สิบตะโกนตอบกลับมาจากไกลๆ คนประเภทไหนฆ่าหมีทิ้งด้วยเหตุผลว่ามันยั่วโมโหทั้งที่ตนเองยังเป็นแค่เด็ก


    ฉันหยุดพัก ยืนเท้าแขนไว้กับต้นไม้


    "เจ้าไม่รีบไปบ้างหรืออย่างไร เดี๋ยวก็อดข้าว" ถามสิบเก้าที่ยังยืนกอดอกอยู่ข้างๆ

    "ข้ากินมาเรียบร้อยแล้ว เดินคุยเป็นเพื่อนเจ้าได้ตลอดทางเชียว" บัดซบ ฉันสบถในใจ ขอถอนคำพูดที่เคยบอกว่าถูกชะตากับมัน

     




    “เร็วหน่อยสี่สิบสาม ช้ามากเดี๋ยวผู้คุมสามจะโมโหแล้วเป็นเรื่อง” ผู้คุมสามที่สิบเก้าพูดถึงนี้ก็คือเจ้ายียวนนั่นเอง


    “สิบเก้า ข้านึกสงสัยเหตุใดเขาจึงเป็นผู้คุมสาม ข้าเห็นผู้คุมกับอาจารย์คนอื่นล้วนแต่อายุมากทั้งสิ้น มีเพียงเขาที่ดูใกล้เคียงกับพวกเรามากกว่าเสียด้วยซ้ำ” ฉันหยุดยืนพักหันไปถามสิบเก้าที่ยังเดินอยู่ข้างๆ


    “เรื่องนี้นับเป็นอีกหนึ่งปริศนาที่ข้าคิดไม่ตก” สิบเก้ายกมือขึ้นกอดอก “เห็นว่าเขาเองก็เริ่มต้นเหมือนพวกเรา ในตอนนั้นเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์อย่างมาก พัฒนารวดเร็วจนเป็นที่น่าจับตามอง อย่าว่าแต่ได้รับเลือกเลย เขาอาจได้เลือกเองด้วยซ้ำว่าต้องการอยู่หอใด แต่ในตอนสุดท้ายไม่ทราบเกิดสิ่งใดขึ้น เมื่อทดสอบเสร็จเขากลับบอกว่าจะขออยู่ช่วยผู้คุมในฝั่งของเด็กฝึกนี้ต่อไป ไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับสี่หอหลัก ดังนั้นเขาจึงอยู่ที่นี่มาตลอด” สิบเก้าอธิบายยืดยาว


    ฉันพยักหน้ารับรู้ไม่พูดอะไร ออกวิ่งเหยาะๆอีกครั้งก่อนจะเงยหน้ามองไปบนเขา จากตรงนี้เหมือนจะเห็นหลังคาสีเขียวของหอวารีอยู่ไกลๆ


    “ในหมู่พวกเราเองก็มีหลายคนที่น่ากลัว เจ้ามาอยู่ใหม่เช่นนี้อาจยังไม่รู้ นานๆไปจงระวังตัวเถิด ฟังว่าในแต่ละรุ่นผู้ที่ได้รับเลือกนั้นมีน้อยนิด ระหว่างการฝึกจึงอาจมีใครนึกอยากกำจัดคู่แข่งไปพลางๆก่อนก็เป็นได้ อย่าว่าแต่จนถึงตอนนี้ก็ล้มหายตายจากไปแล้วเสียหลายคน” สิบเก้าถอนหายใจ


    “สิบสองผู้นั้นค่อนข้างน่าสนใจ” ฉันพูดขึ้น น่าสนใจที่ว่านี้หมายถึงน่าสนใจว่าจะเป็นคนแอบกำจัดคนอื่นๆทิ้ง ไม่ทราบเพราะเคยโดนหญิงงามฆ่าตายมาครั้งหนึ่งแล้วจึงเกิดปมในใจหรือไม่ พอเห็นหญิงงามฉันจึงพาลนึกระแวงหวาดกลัวไปเสียหมด


    “นั่นแน่ อย่าเชียวสี่สิบสาม ข้าขอเตือนเจ้า” สิบเก้าผลักไหล่ฉันจนเกือบล้มคว่ำ “สิบสองผู้นั้นฝีมือร้ายกาจพอๆกับความงามนั่นเชียว อย่าได้คิดลองของ เจ้าจะตายไม่รู้ตัว”


    ฉันขมวดคิ้วมองสิบเก้างงๆ ลองของเรื่องใดกัน


    “บุรุษนั้นสิ้นชีพด้วยหญิงงามมานักต่อนัก”


    จบคำพูดนี้ของสิบเก้าทำเอาฉันเหมือนถูกไม้หน้าสามฟาดหน้า ฉันเองก็เป็นหญิงไม่ใช่หรือ ถึงร่างกายนี้ไม่ทราบด้วยเหตุใดถึงมีผมกุดสั้นแต่ฉันก็มั่นใจว่าเป็นร่างของเด็กหญิงหาใช่เด็กชาย ตอนเข้ามาก็ใส่กระโปรงถึงจะสีมอซอแต่ก็เป็นกระโปรงไม่ใช่หรือ แล้วทำไม


    “เร่งฝีเท้าเร็วเข้า ไม่เช่นนั้นข้าจะทิ้งเจ้าไว้ที่นี่แล้ว” สิบเก้าออกวิ่งนำไป ส่งให้ฉันได้แต่วิ่งตามอย่างคับแค้นใจ เพราะเหตุนี้ใช่หรือไม่พวกเจ้าจึงพากันเรียกว่าข้าว่าไอ้ลูกหมา เจ้ายียวนนั่นถึงปฏิบัติต่อข้าอย่างบัดซบเช่นนั้น เตะก้อนหินระหว่างทางไปเปรี้ยงหนึ่ง ที่ขุ่นเคืองในใจค่อยบรรเทา เอาเถิด ในเมื่อเข้าใจผิดไปแล้วก็ช่างหัวพวกเจ้าก็แล้วกัน

      



    -----------------------------------------------------



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×