ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ผ่านภพบรรจบฟ้า (ตีพิมพ์กับสนพ. คำต่อคำ)

    ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ ๔ บ่อสุดท้าย

    • อัปเดตล่าสุด 4 มิ.ย. 59



    ตอนที่ ๔ บ่อสุดท้าย



     ตอนฉันยังเด็กอายุราว ๗-๘ ขวบ มีครั้งหนึ่งถูกพี่สาวพาตามกลุ่มพี่ๆวัยมัธยมละแวกบ้านเดียวกันไปว่ายน้ำเล่นที่สโมสรว่ายน้ำของหมู่บ้าน ฉันที่ว่ายน้ำไม่ค่อยแข็งนักพาตัวเองมายืนตรงมุมสระ ตั้งใจจะกระโดดลงตรงนี้แล้วค่อยๆว่ายไปหาคนอื่น ไม่คิดว่ากระเบื้องที่ปูไว้ตรงพื้นสระมุมนั้นแตกพลิกขึ้นมาเป็นมุมแหลม พอกระโดดลงไปเท้าจึงปาดถูกกระเบื้องบาดเป็นแผลใหญ่ ฉันจำเหตุการณ์ที่สโมสรไม่ค่อยได้ จำได้เพียงว่าพี่ผู้ชายที่อยู่ข้างบ้านอุ้มฉันวิ่งจากสโมสรหน้าตาตื่นพามาส่งบ้านโดยมีพี่สาวฉันวิ่งร้องไห้ตามทั้งชุดว่ายน้ำ เลือดจากเท้าหยดติ๋งๆไปตามทางตั้งแต่สโมสรจนถึงบ้านก็ยังไม่หยุด


    ในตอนนั้นป๊ากับม้าไม่อยู่ น้องชายเองก็ถูกม้าเอาไปด้วย พี่สาวซึ่งอายุมากกว่าฉันสามปีเอาแต่ร้องไห้ทำอะไรไม่ถูก ทั้งกลัวฉันตายและกลัวป๊าม้าจะกลับมาว่า วิ่งลนลานไปมาสุดท้ายก็เอากล่องปฐมพยาบาลมาทำแผลให้ฉันทั้งน้ำตา จำได้ว่าแสบถึงทรวงจนฉันทนไม่ไหวน้ำตาไหลพรากๆ แต่หลังจากทำแผลแล้วเราสองพี่น้องก็เก็บเงียบไว้อย่างแนบเนียน


    จากนั้นไม่กี่วันไอ้ฟิล์มไม่สบายหนัก ฉันเองก็ตามไปช่วยถือของให้ม้าที่โรงพยาบาลด้วย ในตอนที่ม้าไปรับยา ตัวฉันที่นั่งรออยู่ยกขาขึ้นเปิดแผลที่เท้าซึ่งผ่านไปหลายวันแล้วก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหายขึ้นสำรวจพลางๆ ไม่คิดว่าตอนนั้นอาหมอที่รู้จักกับม้าจะเดินเข้ามาพอดี ฉันจำไม่ได้ว่าอาหมอพูดกับม้าว่าอะไร แต่วันนั้นฉันกลับถูกจับพาเข้าห้องเย็บแผลหน้าตาเฉย ห้องข้างๆมีแต่เสียงเด็กแผดร้อง หมอกับพยาบาลพยายามปลอบฉัน ทั้งคุยทั้งปลอบสารพัดและบอกให้ฉันที่พยายามผงกหัวขึ้นดูการทำงานของพวกเขานอนราบลง ฉันรู้สึกทุกฝีเข็มที่แทงลงไปในเท้า เจ็บมากจนน้ำตาไหลแต่ก็กลั้นไว้สุดชีวิต เอาผ้าสีเขียวซึ่งห่มตัวอยู่เช็ดน้ำตาเงียบๆก่อนจะกำแน่นกลั้นสะอื้นไว้ เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นทั้งหมอและพยาบาลต่างชมฉันไม่ขาดปากว่าเก่งมากในขณะที่ฉันตอนนั้นกลับใจเสียสุดๆ ไม่กล้ามองตาม้าที่จ้องเขม็งมาแม้แต่น้อย


    อาหมอบอกว่าฉันเป็นพวกความอดทนสูงเกินไปเหมือนพ่อไม่มีผิด ปิดท้ายด้วยคำพูดกึ่งหัวเราะว่าเลี้ยงลูกคนนี้หมั่นสังเกตให้ดี ระวังจะดื้อเงียบ ในตอนนั้นพอกลับบ้านพี่สาวฉันโดนม้าว่าอย่างหนัก หลังจากว่าพี่สาวจนร้องไห้โฮสะอื้นฮักๆแทบดูไม่ได้แล้วม้าก็หันมาตะคอกถามฉันว่าทำไมไม่พูด เจ็บมากขนาดนั้นทำไมไม่บอก ฉันได้แต่ยิ้มเจื่อนๆแล้วบอกไปว่าไม่ได้เจ็บมากเท่าไหร่ ไม่คิดจะโดนม้าว่ากลับมาเป็นชุด ซ้ำว่าแล้วม้ายังเป็นฝ่ายร้องไห้บอกว่าถ้าเป็นอะไรหนักขึ้นมาจะทำยังไง ตอนนั้นฉันถึงได้รู้สึกเป็นครั้งแรกว่านิสัยไม่เป็นไรหรอกของตนเองนั้นบางครั้งไม่ใช่เรื่องดี


    เรื่องราวในชาติภพก่อนผ่านเข้ามาดั่งความฝัน กว่าจะรู้ตัวว่าทุกสิ่งล้วนผ่านมาแล้วรอบกายก็มีเพียงความมืดมิด ฉันยกมือขึ้นคลำสะเปะสะปะหาทางออกด้วยความตื่นตระหนก จำได้ว่าตนเองตกสระบัวตาย เมื่อตายแล้วที่ที่ควรไปโผล่ก็น่าจะเป็นสวนของเทพบุตรผู้นั้นไม่ใช่ในความมืดเช่นนี้ ขาออกวิ่งเมื่อระลึกได้ว่าเทพบุตรเคยบอกหากตายบ่อยๆวิญญาณจะไร้กำลังติดอยู่ระหว่างมิติกลายเป็นผีเฝ้าบ่อ ฉันวิ่งอย่างไม่รู้จุดหมาย วิ่งไปเรื่อยๆวิ่งไม่หยุด ใจคิดเพียงว่าไม่ยอมเป็นผีเฝ้าบ่อเด็ดขาด ยังไงก็ไม่ยอมติดอยู่ตรงนี้ เวลาผ่านไปนานแค่ไหนไม่อาจทราบฉันที่เอาแต่วิ่งก็ได้พบแสงสว่างในที่สุด ใจตื่นเต้นยินดีพุ่งตัวเข้าหาแสงเดียวที่เห็นเต็มกำลัง


    พลั่ก


    หน้าคะมำล้มคว่ำไปอยู่ในท่ากึ่งคลานบนอะไรสักอย่างที่รองรับอยู่


    “กลับมาอีกแล้วหรือ”  เสียงเทพบุตรเอ่ยถาม


    ฉันหัวเราะแห้งๆ “กลับมาอีก...” ยังพูดไม่ทันจบประโยคตาก็ต้องเบิกกว้างเมื่อพบว่าต้นเสียงอยู่ตรงไหน


    “คราวนี้ถึง ๗ วันหรือยัง” เทพบุตรนอนหงายเงยหน้าถามฉันที่อยู่บนตัวเขา


    “น่าจะครบ ๗ วันพอดี”


    ฉันตอบพลางขยับขาค่อยๆปีนลงจากตัวเทพบุตรด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน ทั้งปีนลงมาแล้วยังคลานไปเก็บพัดจีบที่กระเด็นไปเอามามอบให้เทพบุตรซึ่งกำลังลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่อีกด้วย


    "กลับมาคราวนี้ดูเจ้าสดชื่นครึกครื้นขึ้นมากทีเดียว" เทพบุตรรับพัดจีบไปพลางเหล่มอง


    ฉันก้มหน้ายิ้มเจื่อน


    "ก่อนหน้านี้เหมือนจะติดอยู่ในบ่อ พอเห็นแสงทางออกเลยรีบร้อนไปหน่อย ต้องขอโทษด้วย"


    "ติดอยู่ในบ่อ" เทพบุตรทวนคำ น้ำเสียงประหลาดใจ


    "ก่อนหน้านี้ฉันรู้สึกตัวในความมืด วิ่งหาทางออกเท่าไหร่ก็ไม่เจอจึงวิ่งไปเรื่อยๆ คิดว่านั่นคงเป็นทางเชื่อมมิติที่คุณพูดถึงกระมัง" ฉันอธิบาย วางท่าทีนอบน้อมหลังจากก็ทำตัวเป็นอุกาบาตพุ่งชนเทพบุตรจนหงายหลังกระเด็นกระดอนไป


    "เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ยังอุตส่าห์กลับมาได้"


    อ้าว ฉันเงยหน้ามองเทพบุตรที่ปากชักไม่เทพบุตรตามหน้า


    "ติดอยู่ในทางเชื่อมมิติไปแล้วยังขวนขวายกลับมาได้ หึหึหึ เจ้านี่มัน" ทำหน้าเหมือนกำลังกลั้นขำแต่สุดท้ายก็กลั้นไม่ไหว เทพบุตรหันหลังให้ กางพัดหัวเราะเสียงดังลั่น "ไยมองข้าด้วยสีหน้าเช่นนั้นเล่า" หันกลับมาเห็นฉันมองอยู่ยังมีหน้ามาถาม


    "ฉันเกือบกลายเป็นผีเฝ้าบ่อตลกตรงไหน นี่ไม่ใช่เรื่องที่ควรเห็นใจกันหรือไง" ออกปากต่อว่า ไม่คิดโดนต่อว่าไปเช่นนี้แล้วอีตาเทพบุตรดันหน้าด้านหัวเราะดังลั่นอีกรอบ


    หัวเราะจนพอใจแล้วในที่สุดก็พูดกึ่งถอนใจว่า


    "ไม่คิดเวลาอันยาวนาน วันนี้จะได้มีโอกาสได้หัวเราะเต็มเสียงอีกครั้ง"


    หัวเราะบนความทุกข์คนอื่นน่ะสิ มีตรงไหนตลกกัน


    "แม่นาง คราวนี้เจ้าตายด้วยเหตุอันใด ไม่ใช่ว่าอยู่ในวังหลังเวรยามแน่นหนา ผู้ร้ายใดไม่อาจเข้าถึงหรอกหรือ" เทพบุตรเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้หิน สะบัดพัดถามอย่างผ่อนคลาย


    "ไม่ใช่ผู้ร้ายที่ไหนหรอก" ฉันตอบ ตามองหาเก้าอี้หิน อยากนั่งบ้างแต่ไม่มีเลยได้แต่ยืนอยู่อย่างนั้น "โดนสนมด้วยกันทำตกสระตาย"


    "อย่างไร นางผลักเจ้ารึ"


    "เปล่า สนมคนนั้นทำเป็นเสียหลักแล้วอาศัยจังหวะตอนฉันเข้าช่วยเอาเข็มพิษแทง ฉันโดนพิษ ตกสระไปไม่ทันได้ช่วยเหลือตัวเองก็ดิ่งลงก้นสระแล้ว" พูดแล้วก็พาลรู้สึกขนลุก หน้าตาสะสวยงดงามแต่จิตใจกลับโหดเหี้ยม ฆ่าคนได้อย่างเลือดเย็น ต้องอยู่ร่วมกับคนแบบนี้มีกี่ชีวิตถึงจะพอ หันมามองเทพบุตรที่กำลังทำสีหน้าครุ่นคิด นี่ก็ไม่ต่างกัน หน้าตาล้ำเลิศดุจเทพบนสรวงสรรค์ แต่กลับหัวเราะเยาะเคราะห์กรรมคนอื่นอย่างเลือดเย็น พวกหน้าตาดีสุดขีดพวกนี้ล้วนไม่มีใครไว้ใจได้ทั้งนั้น


    "เช่นนี้แล้วจะทำอย่างไรต่อ โดดลงบ่อสุดท้ายเลยดีหรือไม่" เทพบุตรเอ่ยถาม ปุบปับทันทีจนฉันผง่ะ


    "ขอพักสักเดี๋ยวเถิด"


    ฉันยกมือเหมือนขอเวลานอก ขอแล้วก็ทิ้งตัวลงนั่งขัดสมาธิมันตรงนั้น เอะอะจะให้ลงบ่อๆลูกเดียว ฉันเองก็เหนื่อยเป็นเหมือนกันนะ ตายจนกระทั่งวิญญาณเหนื่อย คาดว่าคงไม่มีใครได้สิทธิ์นี้นอกจากฉันอีกแล้ว เทพบุตรไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงมองดูฉันนั่งบนพื้นอย่างแล้งน้ำใจไปบนเก้าอี้หินแบบนั้นเอง


    "ครั้งก่อนว่าจะถาม ที่บอกว่าบ่อสุดท้ายจะเป็นสตรีธรรมดาที่ร่างกายแข็งแรง กำลังภายในแข็งแกร่งนั่นหมายถึงอะไร" ฉันถามคำถามที่ค้างคาใจตั้งแต่ก่อนเหยียบกิ่งไม้หงายลงบ่อคราวนั้น


    "ร่างที่เจ้าจะไปอาศัยอยู่นี้คือเด็กหญิงไร้ยศศักดิ์ไร้ฐานะ หากแต่ร่างกายนั้นกลับแข็งแรงอย่างมาก โรคภัยใดๆล้วนยากจะกล้ำกรายได้"


    "จะไม่ป่วยเลยตลอดชีวิตหรอ" ฉันถามแววตาเป็นประกาย การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ ใครๆก็ว่าอย่างนั้น


    "ไม่ใช่ไม่ป่วยเลย เพียงแต่เจ้ายากที่จะป่วยไข้ แข็งแรงกว่าคนทั่วๆไปสักหกเจ็ดส่วน"


    "ก็ยังดี แล้วที่ว่ากำลังภายในแข็งแกร่งล่ะ"


    "กำลังภายในแข็งแกร่งนั้นตรงตัว ร่างนั้นจุดเลือดลมชีพจรเหมาะสม สามารถฝึกฝนกำลังภายในได้จนถึงขีดสุด นับเป็นภาชนะชั้นเลิศที่เหมาะแก่การใส่ตำรายุทธทั้งหลายยิ่ง" เทพบุตรยิ้มภูมิใจ "ดูเถิด แต่ละร่างแต่ละฐานะที่เตรียมไว้ให้เจ้าล้วนเป็นของชั้นเลิศทั้งสิ้น ผ่านการคิดคำนวณแล้วทุกร่างว่าสามารถเกื้อหนุนเจ้าได้เป็นอย่างดี เช่นนี้แล้วเจ้ายังหาว่าข้าเลือดเย็นได้ลงคออีก"


    จบคำพูดนี้ทำเอาฉันสะดุ้งเฮือก เงยหน้ามองเทพบุตรเหลอหลา


    "ข้าดีต่อเจ้าถึงเพียงนี้ ในใจเจ้ากลับไม่เคยมองเห็นแม้เพียงน้อยนิด" ยกพัดจีบขึ้นบังครึ่งหน้า แสร้งดราม่าได้อย่างน่าชมเชย


    เจ้าเทพบุตรนี่ อ่านใจได้ตั้งแต่แรกกลับไม่เคยปริปากพูด!


    "หากปริปากพูด เกรงว่าข้าคงต้องพลาดความเพลินเพลินครั้งใหญ่ในรอบหลายร้อยปีกระมัง" หน้าที่เคยโศกเศร้าหนักหนาเปลี่ยนเป็นสดใสก่อนจะส่งยิ้มเจิดจ้ามาให้ เจิดจ้าจนน่าถีบตกบ่อไอ้ที่แห้งไปแล้วนั่นเลย


    ฉันพูดไม่ออก มองหน้าหล่อๆนั่นแล้วก็เคืองตาเลยก้มหน้าเอาไม้เขี่ยพื้นเล่นแทน


    "โมโหเสียแล้ว" ชายผ้าสีขาวสะอาดพลิ้วไหวอยู่ตรงหน้า


    "ลงมานั่งกับพื้นเช่นนี้เกรงว่าชุดสีขาวสะอาดนั่นจะเปื้อน อย่างไรท่านลุกไปนั่งที่เก้าอี้หินเถิด" ฉันพูดเป็นการเป็นงาน สายตามองไม้ที่กำลังเขี่ยเล่น


    "ดูท่าตัวข้าผู้นี้คงสนุกมากเกินไป"


    ชายผ้าสีขาวพลิ้วไหวพัดผ่าน เทพบุตรลุกขึ้นเดินออกไปนอกสายตา ฉันเงยหน้ามองหา ที่ตรงนี้ไม่มีใครอีก เทพบุตรผู้นั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว ถอนหายใจเฮือก ไม่ได้ถึงขั้นโมโหอะไรหรอกเพียงแค่วางตัวลำบากเท่านั้น ตัวฉันที่ติดนิสัยขี้นินทาชาวบ้านในใจ ต้องมาเจอกับเทพบุตรผู้อ่านใจได้ทำเอาขนหัวลุกยิ่งกว่าอะไร อย่าว่าแต่มาที่นี่ไม่รู้นินทาบ่นด่าไปแล้วตั้งกี่รอบ


    "ข้าชอบ ที่เจ้านินทาบ่นด่าไปตั้งหลายรอบนั่น"


    สะดุ้งโหยง นี่ถ้าไม่ติดว่าตายไปแล้วหัวใจฉันคงวายได้ตายอีกรอบ เทพบุตรเดินออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ข้างบ่อน้ำ


    "ท่านเป็นเด็กหรือไงถึงได้เที่ยวไปแอบตรงโน้นตรงนี้รอฟังความในใจผู้อื่น" ถามคนที่กำลังเดินยิ้มร่ามา


    "ความในใจของเจ้าน่าสนใจ" อีกฝ่ายก็ตอบหน้าชื่นตาบานมาอย่างไร้มารยาท "หากไม่ติดว่าเจ้ามีภารกิจสำคัญข้าจะลองหาทางรั้งเจ้าไว้ให้อยู่ช่วยงานข้างกาย บุคลิกท่าทางของเจ้านี้ทำให้ข้าถูกชะตาอย่างมาก"


    ฉันวางกิ่งไม้ลุกขึ้น


    "เช่นนั้นขอลาไปโดดบ่อเดี๋ยวนี้เลย" ว่าแล้วก็คำนับให้หนึ่งที


    เทพบุตรหัวเราะลั่น หลังจากหัวเราะจนพอใจแล้วก็เอ่ยยิ้มๆ


    "ข้าเริ่มเข้าใจเหตุใดจึงเป็นเจ้า"


    "ทำไมล่ะ" ฉันถาม เลิกวางท่าเป็นการเป็นงานประชดประชัน


    "เจ้าจะทำสำเร็จ" แต่คำตอบที่ได้กลับไม่ใช่จากสิ่งที่ถาม "ข้าเชื่อเช่นนั้น"


    "แล้วถ้าฉันล้มเหลวล่ะ ถ้าสุดท้าย ฉันกลายเป็นผีเฝ้าบ่อให้นาย"


    "เช่นนั้นข้าจะนำดอกไม้มาประดับตกแต่งบ่อให้งดงาม ชีวิตเฝ้าบ่อของเจ้าจะได้ไม่หม่นหมองนัก"


    เป็นพระคุณอย่างสูง ซึ้งใจจนฉันแทบทรุดตัวลงไปกราบ มุมปากเทพบุตรกระตุกยิ้มขำ


    "อีกคำถามหนึ่ง คำถามสุดท้ายก่อนฉันจะไป" ฉันมองหน้าเทพบุตร ถามน้ำเสียงจริงจัง “นายเป็นใคร ชื่ออะไร มีเหตุผลอะไรต้องมาช่วยเหลือฉันขนาดนี้"


    เกิดลมหมุนขึ้นรอบตัวฉัน สายลมนั้นพาให้เลื่อนถอยหลังไปหาบ่อน้ำที่เหลืออยู่ช้าๆ


    "ข้าคือผู้นำทางของเจ้า" เทพบุตรตอบ ในขณะที่ตัวฉันค่อยๆเอนลง "ส่วนอีกสองคำถามนั้น หากเจ้าได้พบนาง จงลองถามคำถามนี้กับนางดู"


    "ผู้หญิงคนนั้นรู้จักนายหรอ"


    "นางรู้จักข้าดี" รอยยิ้มปริศนาของเทพบุตรคือสิ่งสุดท้ายที่ฉันเห็นก่อนจะร่วงลงสู่บ่อน้ำ จมดิ่งสู่โชคชะตาอันเกี่ยวพันถึงสองภพที่ไม่ควรบรรจบกัน







     

    สิ่งที่ทำให้รู้สึกตัวคือความเย็นชื้นเปียกแฉะ หลังจากงุนงงอยู่พักหนึ่งจึงได้ทราบว่าเย็นชื้นเปียกแฉะนั้นคือดินโคลนที่ฉันกำลังเอาหน้าจิ้มอยู่ พลิกตัวกลับมานอนหงายให้เม็ดฝนที่กำลังร่วงหล่นลงมาตอนนี้ชำระล้างใบหน้า ลองเริ่มต้นได้บัดซบเช่นนี้ ไม่อยากคิดเลยว่าชะตาชีวิตต่อไปจะบัดซบขนาดไหน เทพบุตรบอกว่าฉันจะมาอยู่ในร่างเด็กหญิงไร้ยศศักดิ์ไร้ฐานะ ไม่คาดว่าจะไร้ถึงขนาดไร้บ้านจนต้องมานอนหน้าจิ้มโคลนตายอนาถอยู่ในป่าอย่างเดียวดาย


    ฉันนอนแผ่หลารู้สึกนึกคิดสิ่งใดไม่ออกชั่วขณะ แผ่ไปแผ่มาปากเริ่มสั่น ฟันกระทบกันดังกึกๆ พยายามลุกขึ้นแต่กลับไร้เรี่ยวแรงร่วงเผล่ะลงมาหาดินโคลนอีกรอบ บัดซบเทพบุตร ไหนว่าแต่ละร่างล้วนเกื้อหนุนฉันเป็นอย่างดี นี่ไม่เรียกว่าโฆษณาชวนเชื่อแล้วมาหักหลังกันหรือไง บ่นด่าไปก็เท่านั้น ฉันคลานอย่างทุลักทุเลไปที่ต้นไม้ใหญ่ อาศัยกิ่งก้านบังฝนนั่งกอดเข่าตัวสั่นงันงกอยู่ตรงนั้น


    สายฝนโปรยปราย แม้ไม่ได้โหมกระหน่ำหากแต่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด มองไปไม่ไกลนักมีกิ่งไม้เปียกชุ่มอยู่ขนาดเหมาะมือ ถึงเอามาก่อกองไฟไม่ได้แต่ฉันก็เอื้อมไปหยิบมาวางไว้ข้างๆเพื่อความอุ่นใจ ตัวเบียดเข้าชิดโคนต้นในหัวพยายามแล่นคิดหาทางเอาตัวรอดในป่า คิดไปได้ไม่เท่าไหร่ก็มีคนปรากฏตัวขึ้น จะทิ้งตัวเอกไว้กลางป่าเฉยๆก็ดูแล้งน้ำใจไปหน่อย อย่างไรเสียฟ้าก็ต้องส่งทางเลือกมาให้ได้มีทางรอดบ้าง ฉันลอบดีใจ


    ทางเลือกที่ว่าวิ่งหน้าตาตื่นเหมือนกำลังหนีอะไรมา ใจฉันเริ่มสังหรณ์แปลกๆ มือเลื่อนไปจับกิ่งไม้ข้างกาย เป็นเวลาเดียวกับอะไรที่ทางเลือกนั่นวิ่งหนีมากระโจนพรวดตามทัน ใช้ดาบฟันเข้ากลางหลังทางเลือกของฉันจนล้มคว่ำ เลือดไหลนองไปทั่วผสมดินโคลนเปียกแฉะอย่างน่าสยดสยอง


    ฉันนั่งตัวแข็งทื่อ มองฆาตกรใจโหดที่ส่งทางเลือกฉันไปปรโลกอย่างโหดเหี้ยม ในเวลานั้นใบหน้าที่มีผ้าปกปิดเหลือเพียงดวงตาก็หันมองมา ความกลัวตายแล่นขึ้นสมอง มือจับกิ่งไม้ค้ำยันลุกขึ้นตั้งใจจะหนี แต่พอลุกยืนขึ้นได้เจ้าฆาตกรนั่นก็เดินมาหยุดอยู่หน้าตรงฉันพอดี เอวัง


    มือสั่นๆของฉันจับกิ่งไม้ตั้งท่าเตรียมสู้ราวสุนัขจนตรอก ขนาดตัวที่สูงเพียงเอวของอีกฝ่ายซ้ำตัวยังเปียกมะลอกมะแลกยิ่งทำให้ดูเหมือนสุนัขเข้าไปใหญ่ ในใจหนาวยะเยือกยามเงยหน้ามองสบดวงตาที่ราวกับทะเลสีดำลึกสุดหยั่งคู่นั้น ดวงตาที่ไม่สะท้อนสิ่งใด เย็นเยียบน่ากลัวเสียยิ่งกว่าเม็ดฝนที่หล่นลงมากระทบใบหน้าตอนนี้ กลืนน้ำลายข่มความกลัว ฉันตายอีกไม่ได้แล้ว แม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไร้ทางรอดเช่นนี้ก็ไม่อาจตายได้ โอกาสของฉันหมดไปแล้ว ไม่ว่าต้องใช้วิธีใดก็จะไม่ยอมตายเด็ดขาด ตามองดาบในมือฆาตกรตรงหน้าที่ยังคงถือไว้ข้างตัว หากวิ่งหนีตอนนี้ไม่แคล้วต้องจบลงด้วยการตายหน้าทิ่มโคลนเหมือนชายคนนั้นแน่ ฉันคิดอย่างหนัก สุดท้ายจึงตัดสินใจใช้วิธีบ้าบิ่นที่สุดในชีวิต เขวี้ยงกิ่งไม้ในมือไปด้านข้างสุดแรง อาศัยจังหวะตอนฆาตกรสนใจกิ่งไม้นั่นพุ่งตัวเข้าหาคว้าด้ามดาบตั้งใจแย่งอาวุธเดียวนั้น


    สวรรค์ไม่เข้าข้าง...


    มืออาชีพเช่นนี้ไหนเลยจะคลายมือจากอาวุธประจำกาย ฆาตกรหันกลับมา ฉันที่อยู่ในท่ามือข้างหนึ่งกอดแขนอีกข้างพยายามดึงดาบได้แต่เงยหน้าไปส่งยิ้มแห้งๆให้อย่างอเนจอนาถ ฝ่ามือฟันฉับลงท้ายทอย เพียงแค่นั้นโลกของฉันก็ดับมืดลง ชะตากรรมเฝ้าบ่อนี้คาดว่าหนียังไงก็หนีไม่พ้นเสียแล้ว


     






    ซ่า


    น้ำเย็นเฉียบถูกสาดใส่ อดคิดไม่ได้ว่าช่วงนี้ชีวิตฉันช่างมีดวงผูกพันกับน้ำเสียจริง เดี๋ยวตกสระ เดี๋ยวโดดบ่อ เดี๋ยวโดนฆ่าตายกลางสายฝน หือ ฉันสะดุ้งเฮือกลุกพรวดมองซ้ายขวา พอเห็นว่ารอบกายไม่ได้มืดไปเสียหมดที่กังวลอยู่ในใจก็คลายลงหลายส่วน


    "อึดใช้ได้นี่ เอามากองทิ้งไว้ตรงนี้ทั้งตัวเปียก ผ่านมาตลอดคืนสีหน้าเจ้ายังคงดูดีอยู่ นับว่าเกินคาด" น้ำเสียงยียวนทำให้ฉันต้องแหงนหน้ามอง


    คนที่กำลังยืนบังแสงอาทิตย์อยู่นี้คะเนจากสายตาแล้วอายุน่าจะราวๆสิบสี่สิบห้า ผมชี้ฟูยาวระต้นคอดูผิดแปลกไปจากผู้ชายคนอื่นๆที่ฉันเคยพบเห็นตั้งแต่มาโผล่ยังมิตินี้ น้ำเสียงยียวน หน้าตายียวน กระทั่งกิ่งไม้เล็กๆที่คาบอยู่ยังดูยียวน


    "เจ้าเป็นใคร" เจ้ายียวนก้มมาถาม คว่ำถังไว้บนพื้นเอาเท้าเหยียบศอกวางเท้าบนเข่าโน้มตัวลงมา เจ้านี่มันสุดจะยียวนตั้งหัวจรดเท้าเลย


    "จำไม่ได้" ฉันตอบ ตามองถัง หากเอาขาวาดไปเตะถังออกเจ้ายียวนนี่จะหน้าคะมำหรือไม่


    "โกหก" เจ้ายียวนหยิบกิ่งไม้ที่คาบอยู่ชี้หน้า "แววตาเจ้านิ่งสงบ ไม่สับสนเหมือนพวกสูญเสียความทรงจำ"


    คำพูดนี้ทำเอาฉันทึ่งนิดๆ ไม่คาดว่าท่าทางยียวนแบบนี้แต่สมองกลับไม่ธรรมดา


    "ไยไม่ลองคิดว่าที่แววตาข้านิ่งสงบเพราะไม่มีสิ่งใดอยู่ในความทรงจำเล่า ไม่มีสิ่งใดให้คิด จึงไม่มีสิ่งใดให้สับสน"


    คำพูดของฉันทำให้เจ้ายียวนหรี่ตามองอย่างพิจารณาก่อนจะถาม


    "ผู้ใดส่งเจ้ามา"


    "ไม่รู้"


    "ไม่รู้ได้อย่างไร"


    "โดนฝ่ามือฟันฉับเข้าท้ายทอย มาฟื้นอีกทีก็ต่อหน้าเจ้า ส่วนผู้ที่ทำข้าสลบใส่ชุดดำทั้งตัว ข้าไม่เห็นหน้า" ตอบไปตามความเป็นจริง


    "แล้วก่อนที่จะเจอคนชุดดำเล่า เจ้าทำอะไร"


    "นอนหน้าทิ่มโคลนอยู่กลางป่า ฟื้นมาก็อยู่ตรงนั้นแล้ว จำอะไรไม่ได้"


    เจ้ายียวนจ้องตาฉันในขณะที่ฉันก็ไม่ได้หลบสายตาในตอนตอบ


    "แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าที่ที่คือที่ไหน" เห็นเจ้านั่นเลิกเหยียบถังกลับมายืนดีๆฉันจึงหันมองรอบๆ


    ที่ที่ฉันนั่งอยู่เป็นลานดินกว้างขวาง ข้างหลังห่างไปสักหน่อยมีกำแพงหินกับประตูบานใหญ่ ขวามือมีบ้านหลังเล็กๆทำจากไม้ ส่วนข้างหน้านอกจากลานดินแล้ว เหมือนจะเห็นสิ่งก่อสร้างอยู่ไกลๆ เลื่อนสายตากลับมามองเจ้ายียวนแล้วส่ายหน้า


    "เหอะ" เจ้ายียวนแค่นเสียง "คนผู้นั้นเห็นสิ่งใดในตัวเจ้าถึงได้มาโยนไว้ให้ข้าแล้วบอกว่าใช้ได้กัน" มองฉันด้วยสายตาดูแคลนก่อนจะเดินวนรอบๆ "เจ้าเคยฆ่าคนหรือไม่"


    ฉันนิ่งคิด


    "เหตุใดต้องนิ่งคิด"


    "ก็เพราะจำสิ่งใดไม่ได้จึงไม่รู้ว่าเคยหรือไม่" ฉันเงยหน้าไปตอบเนือยๆ ในหัวพยายามจับคำพูดที่ได้ยินมาประติดประต่อเรื่องราว


    "แล้วหากถูกบอกให้ฆ่าคนจะทำหรือไม่"


    "ไม่ทำ" คราวนี้ฉันตอบไปทันที


    "เหตุใดจึงไม่ทำ" เจ้ายียวนหยุดยืนหน้าฉัน เท้าเอวถาม


    "เพราะมันไม่ถูกต้องไม่ใช่หรืออย่างไร"


    พรึ่บ


    เสียงเหมือนผ้าสะบัด เพียงพริบตามีดก็มาจ่ออยู่ใต้คาง


    "แล้วหากกำลังจะถูกฆ่า เจ้าจะทำอย่างไร" ดวงตาที่เคยทอประกายยียวนเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ กระทั่งน้ำเสียงที่ถามยังเย็นชาเสียจนรู้สึกหนาวไปทั้งตัว


    ฉันมองหน้าคนถามที่อยู่ห่างไปไม่มากก่อนจะกวาดสายตาลงมาตามร่างหนากว่า มองหาทางหนีไม่ก็หนทางตอบโต้แล้วค่อยหนี


    "สาดดินโคลนใส่ตาข้าถือเป็นความคิดที่ดีของพวกจนตรอก แต่มือเจ้าคงไม่เร็วเท่ามีดข้า"


    มือฉันที่กำดินอยู่ข้างตัวคลายออก เจ้ายียวนเหยียดยิ้ม ขยับมีดเข้าใกล้คอฉันเข้ามาอีก


    อาจเพราะพบเจอกับความตายมาหลายครั้งฉันถึงยังคงนิ่ง สิ่งที่หวาดกลัวไม่ใช่คมมีดที่เคยประสพมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่กลับเป็นความมืดมิดและเดียวดายต้องกลายเป็นผีเฝ้าบ่อให้เทพบุตร ดังนั้นฉันจึงใช้สายตากวาดมองหาทางรอดให้กับตนเองมากกว่าจะสนใจมีดที่จ่ออยู่กับคอนั่น กำลังคิดว่าถ้าใช้มือทุบใบมีดลงจะแรงพอให้คนตรงหน้าเสียจังหวะ แล้วใช้มืออีกข้างผลักตัวไถลถอยหลังไปกับดินที่เปียกน้ำจนกลายเป็นโคลนนี้จะพ้นระยะมีดหรือไม่ ในเวลาเดียวกันนี้เจ้ายียวนกลับเป็นฝ่ายพูดขึ้นมา


    "เจ้าไม่กลัวคมมีด" ฉันเลื่อนสายตาที่กำลังมองพื้นอยู่ขึ้นมองสบตาคนพูด "ข้าขยับมีดอีกครั้งจนแทบชิดคอเจ้า เจ้ากลับไม่สะดุ้งแม้แต่น้อย"


    มีดสั้นถูกดึงออกห่างจากคอฉัน หากแต่เจ้ายียวนยังคงนั่งทิ้งเข่าลงข้างหนึ่งต่อหน้า วางแขนที่ถือมีดไว้บนเข่าตนเอง


    "เจ้ากลัวตายแต่ไม่กลัวคมมีด นั่นนับว่าน่าสนใจ" รอยยิ้มยียวนกลับมาปรากฏบนใบหน้าอีกครั้ง "กับสถานที่ที่มักถูกเรียกว่าค่ายโจรเช่นนี้ก็นับว่าใช้ได้อยู่"


    อะไรนะ! ฉันเงยหน้ามองตามตอนเจ้านั่นลุกขึ้นยืน ค่ายโจรอย่างนั้นรึ


    "โฮ่ หลังจากสีหน้าตอนสะดุ้งตื่นนั่น สีหน้าตกใจสุดขีดแบบนี้ค่อยเหมาะกับเด็กเล็กๆอย่างเจ้าหน่อย"


    เจ้ายียวนเคี้ยวกิ่งไม้ที่คาบอยู่ มองหน้าฉันอย่างพิจารณาอีกครั้งก่อนจะหันกายเดินจากไป ฉันอ้าปากค้างมองตาม เดินเข้าบ้านไม้หลังนั้นไปหน้าตาเฉย บอกว่าที่นี่คือค่ายโจร ทิ้งฉันไว้กลางลานดินแล้วเดินหนีไปเฉยๆ นี่มันอีเวนท์อะไรกัน ไม่สิ ฉันขยับพาตัวเองออกจากดินโคลน ร่างกายนี้อายุดูแล้วน่าจะราวๆ ๘-๙ ขวบ เด็กเสียยิ่งกว่าเด็ก หากจะหนีออกจากค่ายโจรด้วยร่างกายเช่นนี้ เกรงว่าไม่ทันพ้นดินลานดีก็คงได้หน้าจิ้มดินตายอนาถอีกเป็นแน่


    ตุบ


    ห่อข้าวกับกระบอกไม้ไผ่ใส่น้ำถูกโยนมาตรงหน้า


    “อาหารนี้กว่าจะได้มาพี่น้องเราต้องออกปล้นอย่างเหนื่อยยาก เสียแรงฆ่าคนไปไม่รู้เท่าไหร่ กินแล้วสำนึกไว้ด้วย” เจ้ายียวนพูดด้วยน้ำเสียงท่าทางยียวนก่อนเดินจากไป


    ฉันมองห่อข้าวเหมือนเห็นกระทะทองแดง เสียแรงฆ่าคนไปไม่รู้เท่าไหร่ พูดแบบนั้นแล้วมนุษย์ปุถุชนธรรมดาผู้ยังรู้ผิดชอบชั่วดีได้ยินแล้วจะยังมีใครกินลงอีก เห็นทีชีวิตสุดท้ายนี้จะอย่างไรไม่ง่ายเสียแล้ว เนตรนภาเอ๋ย



    --------------------------------------------------------------------------




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×