ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ผ่านภพบรรจบฟ้า (ตีพิมพ์กับสนพ. คำต่อคำ)

    ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ ๓ บ่อที่สอง

    • อัปเดตล่าสุด 4 มิ.ย. 59




     

    ตอนที่ ๓ บ่อที่สอง



    ฉันกลับมาที่โลกวิญญาณอีกครั้ง ยังดีหน่อยที่ไม่ต้องไปต่อแถวยาวเหยียดนั่นอีกรอบ แต่มาโผล่อยู่ตรงสวนที่มีบ่อน้ำสามบ่อแทน ยืนเอ๋ออยู่ไม่เท่าไหร่ก็มีคนเดินเลี้ยวมาจากมุมทางขวามือ ชุดสีขาวที่พลิ้วไหวมาก่อนทำให้นึกว่าคนๆนั้นคือคุณตาที่เคยพาฉันมาที่นี่ กำลังจะส่งยิ้มแห้งๆให้รอยยิ้มก็พลันแข็งค้างไปเมื่อพบว่าเจ้าของชุดสีขาวไม่ใช่คุณตา แต่เป็นเทพบุตรถือพัดจากสวรรค์สักชั้นฟ้าเยื้องกรายมาอย่างสูงส่ง เส้นผมสีดำละเอียดพลิ้วเป็นระลอกคลื่นยามเจ้าของใบหน้านั้นหันมอง ดวงตาเรียวปรากฏแววประหลาดใจก่อนที่ริมฝีปากสีแดงเรื่อจะโค้งขึ้นเล็กน้อย


    ฟุ่บ


    เสียงพัดจีบในมือถูกพับเก็บแล้วเคาะเบาๆบนมืออีกข้าง ดึงสติฉันกลับมาพร้อมกับสั่งตัวเองให้หุบปากที่อ้าค้างโดยไม่รู้ตัว


    “เจ้าไม่กลับมาเร็วไปหน่อยหรือไร” คำถามด้วยรอยยิ้มกึ่งเย้า ทำเอาฉันได้แต่หลบตาแล้วหัวเราะแห้งๆกลับไป


    หล่อบาด หล่อเจิดจ้า หล่อจนเหมือนเห็นแสงออร่าสีทองแผ่ออกมารอบตัว เรียกว่าหล่อแสบตาจริงๆ


    “โลกนั้นคงยังไม่ครบปีกระมัง” อย่าว่าแต่ครบปีเลย ยังไม่ถึงสามเดือนด้วยซ้ำ เดี๋ยวนะ


    “คุณรู้จักฉันด้วยหรือคะ” ฉันเงยหน้าถามอย่างงุนงง เท่าที่จำได้ ฉันไม่เคยพบหน้าเทพบุตรสุดแสบตาคนนี้มาก่อน


    เทพบุตรยิ้มละไม


    “ในเมื่อข้าเป็นผู้ส่งเจ้าไปไม่นาน ไหนเลยจะลืมได้ง่ายดายถึงเพียงนั้นเล่า”


    “ส่งไป ไม่น่าใช่นะคะ คนที่ส่งฉันไปคือคุณตา”


    ฉันพูดจบปุ๊บเทพบุตรชุดขาวก็หมุนตัวปั๊บ พอหันกลับมาอีกก็กลายเป็นคุณตาคนที่ฉันหมายถึงไปแล้ว ปากอ้าค้างอีกรอบ รู้สึกเหมือนหน้าจะมืด แต่คงเพราะตอนนี้ตายแล้วกลายเป็นวิญญาณไม่มีเลือดไหลเวียนให้ได้มืดอีก เลยได้แต่มืดในใจไปคนเดียว ปุบปับคุณตาก็หมุนตัวแล้วกลับมาเป็นเทพบุตรคนเดิมโดยไม่เกรงใจฉันที่หน้ามืดในใจไปอีกรอบ


    “หากส่งเจ้าด้วยรูปลักษณ์นี้ เกรงว่าเจ้าจะไม่ยอมไป” เทพบุตรหัวเราะหึหึแล้วเดินผ่านหน้าไป


    หลงตัวเองไม่เบา พวกหล่อแล้วรู้ตัวว่าตัวเองหล่อนี่บางทีใจก็พาลให้หมั่นไส้ขึ้นมาตงิดๆ


    “ไม่ใช่ว่าตอนนี้เจ้าควรเป็นลูกสาวเสนาบดีใหญ่หรอกหรือ” เทพบุตรที่ตอนนี้เดินไปนั่งลงบนเก้าอี้หินใต้ต้นไม้ใหญ่ถาม


    ฉันหันมองตาม ยกมือขวาขึ้นเกาแก้มตัวเองเก้อๆก่อนจะพูด


    “ฉันเป็นไปแล้ว แต่เป็นไม่เท่าไหร่ก็บังเอิญ เอ่อ เอ้อ บังเอิญตายเสียแล้ว” พูดจบก็ยิ้มแห้งๆให้ทีหนึ่ง


    “ง่ายดายถึงเพียงนี้เลย” เทพบุตรเลิกคิ้วเล็กน้อย


    “ง่ายด่ายถึงเพียงนี้เอง” ฉันก้มหน้าตอบรับ


    “ช่างน่าผิดหวังเสียจริง”


    คำว่าช่างน่าผิดหวังนี้กลับกระแทกเข้าลิ้นปี่กระทบสู่ใจฉันอย่างจัง ฉันที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ถูกส่งไปโลกอื่นโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ซ้ำยังไปเป็นเด็กนั่นแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แล้วยังมาถูกฆ่าตายไปโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่อีก เรื่องทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ ทุกตอนล้วนแต่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ทั้งสิ้น แบบนี้แล้วยังจะมาผิดหวังอะไรกับคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่อย่างฉันได้ และเพราะอย่างนั้นน้ำเสียงที่พูดตอบกลับไปเลยออกจะติดกระชากนิดๆ


    “ฉันก็ไม่ได้อยากตายสักหน่อย ไม่ได้อยากตายตั้งแต่แรกนั่นแหล่ะ แต่มันความผิดของฉันหรือไง”


    เทพบุตรหยุดเคาะพัดกับมือเล่น รอยขบขันในดวงตาหายไป จ้องมองฉันอยู่ครู่หนึ่งก็พูดเสียงราบเรียบ


    "ไม่ใช่ความผิดของเจ้า ไม่ใช่เลย"


    ฉันชะงักกับสีหน้าแววตาอ่านไม่ออกนั้น ถามต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนลง


    "ถ้าอย่างนั้นพวกคุณต้องการอะไร ผู้หญิงคนนั้นต้องการอะไร"


    ความเงียบบังเกิด สายลมพัดผ่านพาเอากลีบดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ปลิวมาตกอยู่ระหว่างเรา เทพบุตรจ้องมองกลีบดอกไม้บนพื้น ชั่วครู่จึงเงยหน้าขึ้นมองฉันก่อนจะพูด


    "ข้าเป็นผู้นำทาง เรื่องที่ว่านางต้องการสิ่งใดนั้นเกรงว่าเจ้าต้องค้นหาด้วยตนเองเสียแล้ว"


    ฉันถอนหายใจเฮือก เบือนหน้าหนีหลังได้ยินคำตอบ


    "ในเมื่อตายแล้วแบบนี้ก็ไปหาคำตอบอะไรไม่ได้หรอก" ว่าแล้วก็ถอนหายใจอีกเฮือกหนึ่ง


    "บ่อน้ำนั่น แห้งไปหนึ่งบ่อ ยังคงเหลืออีกสองให้เจ้าเลือก"


    "อะไรนะ"


    พัดจีบถูกจับชี้ไปทางบ่อน้ำเมื่อฉันหันกลับไปหา


    "หญิงงามแห่งวังหลังกับสตรีธรรมดานั่นอย่างไร"


    "อย่าบอกว่าฉันต้องโดดบ่ออีกแล้ว แล้วคราวนี้จะไปโผล่ยุคไหนภพไหนอีก"


    "ภพเดียวกับที่เจ้าจากมาอย่างไรเล่า ทุกบ่อล้วนไปที่ภพเดียวกันทั้งสิ้น แม่นาง ช่วงเวลานั้นถูกกำหนดไว้แล้ว ข้าเพียงให้เจ้าเลือกว่าจะไปในฐานะใดเท่านั้น"


    "แล้วถ้าคราวนี้ฉันตายอีกล่ะ"


    "ก็ยังคงเหลือบ่อสุดท้าย แต่ถึงอย่างไรการตายบ่อยๆย่อมไม่ส่งผลดี ควรรู้ไว้ว่าการไปของเจ้านั้นไม่ใช่ทางปกติ การตายแล้วมาที่นี่เองก็เช่นกัน วิญญาณต้องเข้าๆออกๆร่างในเส้นทางไม่ปกตินี้หลายครั้งในระยะเวลาอันสั้นย่อมเกิดความเสียหาย หากเสียหายมากๆเข้าอาจสิ้นกำลัง ติดอยู่ในทางเชื่อมระหว่างมิติไปตลอดกาล"


    ฉันกลืนน้ำลาย จะบอกว่าถ้าตายอีกฉันมีสิทธิ์กลายเป็นวิญญาณเฝ้าทางเชื่อมมิติของบ่อน้ำนั่น เป็นผีเฝ้าบ่อไม่ได้ไปผุดไปเกิดหรือไง


    "งะ...งั้นส่งฉันไปที่อื่น ไปชดใช้กรรม ไปเกิดเป็นหมาเป็นแมวอะไรก่อนก็ได้ ฉันไม่ลงบ่อแล้ว" ไม่พูดเปล่า ขายังก้าวออกห่างจากบ่อน้ำมาอีกก้าวหนึ่งด้วย


    "นั่นคือทางที่เจ้าต้องไป" เทพบุตรใช้พัดจีบชี้ไปยังบ่อ ยิ้มละไม มายิ้มเอาตอนที่พูดอะไรแบบนี้พาลให้รู้สึกถึงความโหดเหี้ยมบอกไม่ถูก


    ฉันส่ายหน้า


    "นางเลือกเจ้า"


    "ฉันทำไม่ได้หรอก บอกให้ผู้หญิงคนนั้นไปเลือกคนอื่นเถิด"


    เทพบุตรยังคงยืนยิ้มละไมในขณะที่ฉันรู้สึกสยอง ราวกับถูกยิ้มนั้นกดดันให้รีบๆโดดไปเสียที


    "ฉันกลายเป็นผีเฝ้าบ่อแหงๆ"


    "ข้าไม่คิดเช่นนั้น"


    "งั้นนายก็โดดเองสิ" สรรพนามที่ใช้เรียกเปลี่ยนไปตามระดับความกลัว


    "แม่นาง" เทพบุตรชุดขาวลุกเดินเข้ามาใกล้ "หากหาสิ่งที่ต้องทำไม่พบ ไยไม่หาคนที่เคยพบซึ่งเป็นต้นเหตุเล่า"


    "หมายถึง..." ฉันชะงัก "เธอคนนั้นอยู่ที่นั่นด้วยหรอ"


    รอยยิ้มละไมถูกส่งมาให้อีกครั้ง


    "นายจะบอกว่าผู้หญิงชุดขาวคนนั้นก็อยู่ที่นั่นอย่างนั้นหรอ"


    "ข้าหาได้บอกสิ่งใด ไม่ได้พูดสิ่งใดเลย" ปฏิเสธแต่ดวงตาเรียวคู่นั้นกลับทอประกายวิบวับ รู้สึกเจิดจ้าขึ้นมาอีกแล้ว พักหนึ่งเทพบุตรก็ยกมือข้างที่ถือพัดผายไปทางบ่อน้ำ "เลือกเถิด"


    ฉันมองหน้าตาล้ำเลิศนั่นอีกครั้งก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังบ่อน้ำสองบ่อ ค่อยๆเดินเข้าไปหา หญิงงามแห่งวังหลัง น้ำหน้าอย่างฉันอย่าว่าแต่นางผู้เป็นที่รักของเจ้าแผ่นดินเลย ในสถานที่นองเลือดแบบนั้น ต่อให้เป็นแค่นางกำนัลยังไม่รู้จะเอาชีวิตรอดไหม ขืนไปอยู่ที่นั่นฉันคงรอดได้ไม่เกิน ๗ วัน หันมองบ่อหินอีกบ่อที่ปลายทางเป็นสตรีธรรมดาที่มีร่างกายแข็งแรงแล้วอะไรนะ กำลังภายในแข็งแกร่ง


    "ว่าแต่ที่ว่ากำลังภายในแข็งแกร่งมัน..."


    พรืด


    ฉันหันกลับมาว่าจะถามเทพบุตรสักหน่อยว่ากำลังภายในแข็งแกร่งที่ว่ามันคืออะไร ไม่ทราบด้วยเคราะห์กรรมอะไรที่ทำไว้ เท้าดันไปเหยียบเอากิ่งไม้แห้งลื่นหงายหลัง


    ตู้ม


    ร่างกายร่วงกระแทกลงน้ำสักบ่อ เห็นเพียงเทพบุตรที่มองมาด้วยสีหน้าตกใจเล็กน้อยก่อนที่ทุกอย่างจะมืดมิดหายไป


    อันว่าชิบนั้นได้อันตรธารไปแล้ว...








     

    อะไรที่แล้วไปแล้วก็ให้แล้วไป ในเมื่อหงายร่วงตู้มมาแล้วก็จงร่วงตู้มไปถึงที่สุดเถิด ฉันนั่งเหม่อมองหลันฮวาสีขาวบริสุทธิ์ที่ถูกจัดรวมกับดอกไม้ชนิดอื่นในแจกันใบสวย


    "นายหญิง วันนี้อากาศดี ออกไปเดินเล่นสักหน่อยไหมเจ้าคะ" ซือซือ นางกำนัลคนสนิทที่นั่งคุกเข่าอยู่ไม่ห่างส่งเสียงถาม


    "ไม่ล่ะ ข้ายังอยากพักอีกสักหน่อย" ฉันตอบ


    ซือซือก้มหัวตอบรับเจ้าค่ะก่อนจะทำตัวราวกับเป็นอากาศ ไม่รบกวนเวลาพักผ่อนของฉันอีกต่อไป


    เสวียนกุ้ยถิง คือชื่อเจ้าของร่างอันงดงามนี้ สนมในองค์หยางหลง อ๋องผู้ปกครองแคว้นจ้าว หนึ่งในเจ็ดแคว้นที่ยิ่งใหญ่


    เสวียนกุ้ยถิงผู้นี้มีรูปร่างอรชร ผิวขาวเนียนละเอียด ใบหน้างดงาม โดยเฉพาะดวงตาคู่สวยอันโดดเด่นที่รอบกรอบด้วยแพขนตาหนา รวมกับจมูกมนและริมฝีปากอิ่มแล้ว กล่าวได้ว่าเป็นหญิงงามที่มีใบหน้าดวงตาหวานซึ้งชวนให้คนึงหาเป็นอย่างยิ่ง ไม่แปลกใจนักหรอกที่สนมผู้นี้จะเคยเป็นที่โปรดปรานและจับตามองจากบุคคลแทบทั้งวังหลัง ที่ใช้คำว่าเคยก็เพราะก่อนหน้าที่ฉันจะหงายหลังตกบ่อเข้ามาอยู่ในร่างนี้นั้น สนมผู้งดงามผู้นี้เกิดเดินอีท่าไหนไม่ทราบลื่นตกสระบัวจมน้ำแทบเอาชีวิตไม่รอด แต่ถึงจะรอดก็ดันป่วยกระเสาะกระแสะไม่หาย ไม่ว่าอ๋องจ้าวจะสรรหาของบำรุงและส่งหมอผู้เชี่ยวชาญมายังไง สนมน้อยผู้นี้ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหายดีแต่อย่างใด แคว้นจ้าวนั้นอยู่เหนือสุดในหมู่แว่นแคว้น เรื่องความหนาวเย็นขึ้นชื่อ เมื่อปลายฤดูหนาวที่ผ่านมาสนมน้อยผู้นี้อาการทรุดหนักได้แต่นอนป่วยบนเตียงไร้เรี่ยวแรง คาดว่าดวงวิญญาณคงหลุดลอยไปตอนไหนสักตอนก่อนที่ฉันจะมาเข้าร่างนี้


    กลับมาที่ปัจจุบัน ฉันยังคงนั่งเหม่อคิดเรื่องต่างๆอยู่ หลังจากฟื้นขึ้นมาร่างกายก็ดีขึ้นมากจนแม้แต่หมอหลวงยังประหลาดใจ ข้าวของต่างๆจากสนมคนอื่นๆถูกส่งมาแสดงความยินดีไม่ขาดสาย ตอนแรกที่รู้ว่าตัวเองเป็นสนมคนโปรดฉันเกือบเป็นลมล้มพับ แทบอยากไปกระโดดสระบัวตายถ้าไม่ติดว่ากลัวจะได้เป็นผีเฝ้าบ่อของเทพบุตรในโลกวิญญาณ ขึ้นชื่อว่าสนมก็ต้องถวายงานอ๋อง แล้วนี่สนมคนโปรดอ๋องจะไม่รีบแล่นมาหาทันทีที่มีแรงลุกหรอกหรือ เคราะห์ยังดีที่ตอนนี้เจ้าผู้ครองแคว้นผู้นั้นไม่อยู่ เสด็จเยือนชนเผ่าทางเหนือ อีกเป็นอาทิตย์โน่นถึงจะกลับมา


    มองหลันฮวาสีขาวในแจกันอีกรอบแล้วก็ได้แต่ถอนหายเฮือก เริ่มต้นเพราะหญิงชุดขาว สานต่อด้วยหยกขาว ส่งต่อด้วยเทพบุตรชุดขาว อีเวนท์ทะลุมิติใดๆล้วนแล้วแต่เริ่มต้นด้วยสีขาว ฉันเริ่มไม่ชอบเจ้าสีขาวเหล่านี้เสียแล้ว มองเห็นขาวๆไปเสียหมดก็พาลรู้สึกสยองขึ้นมา วันก่อนลองถามซือซือดูว่าในวังหลังแห่งนี้มีสิ่งใดที่ฉันควรรู้ สิ่งใดที่ควรระวังบ้าง ด้วยว่าล้มป่วยมานานความทรงจำเหมือนจะขาดหาย ซือซือได้ยินดังนั้นก็ร่ายยาวกฏต่างๆมาจนฉันเวียนหัว ร่ายไปร่ายมาก็พูดถึงบรรดาสนมชั้นยอดที่ต้องจับตามอง ฟังชื่อเสียงเรียงนามแล้วจำไม่ไหว อดคิดไม่ได้ว่าอ๋องสมัยนี้จดจำพวกนางได้อย่างไร หรือปกติแล้วไม่ต้องจำ ตกดึกก็เดินสุ่มๆเรือนเอา แสงจันทร์ส่องไปเรือนไหนค่อยเลี้ยวเข้าก็ดูเป็นวิธีการที่ยุติธรรมดี


    ในบรรดาสนมตัวเด่นๆที่ซือซือบอกมามีคนหนึ่งน่าสนใจ นางชื่อจางลู่เหลียนเป็นลูกสาวของเสนาบดีจาง หนึ่งในสี่เสนาบดีใหญ่ประจำแคว้น ฟังดูคุ้นเคยจนฉันต้องถามกลับไปว่าใช่เสนาบดีที่มีลูกชายเป็นรองแม่ทัพทางใต้ชื่อจางลู่เหวินหรือไม่ ซือซือพยักหน้าตอบว่าใช่แล้วเจ้าค่ะ ว่าแล้วก็พูดกึ่งทอดถอนว่าเมื่อปีที่แล้วเกิดเรื่องสะเทือนขวัญครั้งใหญ่ขึ้น ลูกสาวคนสุดท้องของเสนาบดีใหญ่ผู้นั้นถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม ฟังว่าผู้สังหารยังเอาศพมาวางไว้บนกำแพงหินหลังเรือนคุณหนูน้อยผู้นั้นอีก ไม่มีร่องรอยใดหลงเหลือ แม้แต่บนพื้นยังไม่ปรากฏรอยเลือด เสนาบดีจางสะเทือนใจจนล้มป่วยหนัก และถึงแม้ว่าผู้สังหารจะอุกอาจถึงเพียงนี้ จนบัดนี้ก็ยังไม่สามารถจับได้


    ฉันนั่งฟังเงียบๆในใจนึกถึงตอนตัวเองโดนมีดเสียบจนมิดด้าม บัดซบคิ้วบาก ยังอุตส่าห์แบกร่างฉันไปส่งบ้านให้อีก มีน้ำใจเหลือเกิน ซือซือยังเล่าอีกว่าช่วงนี้เกิดเหตุร้ายแล้วตามหาต้นตอไม่ได้บ่อยๆ อย่างบ้านใต้เท้าผู้หนึ่งที่มีตำแหน่งพอตัวโดนบุกปล้นยังไม่อาจจับผู้กระทำได้เลย ผู้พิทักษ์ความสงบในแคว้นคงตกจ่ำจนถึงขีดสุดแล้ว ทั้งปล้นทั้งฆ่า อย่าว่าแต่ตกต่ำเลย แน่ใจหรือว่าในแคว้นยังมีผู้พิทักษ์อยู่ ฉันถอนหายใจ นอกจากเรื่องทั่วๆไปแล้วก็ลองถามซือซือถึงเรื่องจอมยุทธ์ดู ไม่น่าเชื่อว่าในยุคนี้ยังคงมีเหล่าชาวยุทธ์อยู่ ทั้งยังเป็นชาวยุทธ์ที่ฝึกฝนวิชาเหาะเหินตีลังกาสู้กันฉวัดเฉวียนอีกด้วย

     




    เวลาผ่านไปหลายวันฉันเอาแต่นั่งคิด จะไปตามหาหญิงชุดขาวได้ที่ไหน ดูจากหน้าตาท่าทางอันสูงส่งแล้วถ้าไม่เป็นจอมยุทธ์ชั้นยอดก็คงไม่พ้นเป็นสนมชั้นเยี่ยม


    "ซือซือ" ส่งเสียงเรียกนางกำนัลคนสนิท เมื่อได้ยินเสียงขานรับก็จึงพูดต่อ "เอากระดาษกับพู่กันมาให้ข้าที"


    ซือซือจัดการให้ตามคำขออย่างรวดเร็ว ฉันจุ่มพู่กันลงในหมึก พยายามนึกใบหน้าของหญิงชุดขาวแล้วค่อยๆบรรจงวาด ใช้เวลาอยู่นานในที่สุดภาพหญิงชุดขาวครึ่งตัวก็เสร็จสมบูรณ์


    "ซือซือ เจ้าเคยเห็นคนผู้นี้หรือไม่" พลิกกระดาษหันไปเอ่ยถาม


    ซือซือมีสีหน้าตกตะลึงก่อนจะพยายามเพ่งมอง ฉันปล่อยให้ซือซือเพ่งมองจนแขนเริ่มเมื่อย จนในที่สุดก็ทนไม่ไหว


    "ว่าอย่างไร คุ้นหน้าบ้างหรือไม่"


    ซือซือเงยมองฉันด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน


    "ข้าไร้ความสามารถทางศิลป์ซ้ำตายังไร้แวว ไม่อาจมองรูปของนายหญิงออกเป็นผู้ใดได้ ขอนายหญิงโปรดลงทัณฑ์" ว่าแล้วก็เขยิบถอยหลังแล้วเอาหัวโขกพื้นดังลั่น


    ฉันตกตะลึงบ้าง หันเอารูปที่ตัวเองวาดกลับมาดู ก็แค่หน้าเบี้ยวไปนิด จมูกงอไปหน่อย ตาไม่เท่ากันเล็กน้อย แต่ริมฝีปากบางเฉียบนี่ฉันขีดวาดได้ดีทีเดียว อย่างนี้ยังมองไม่ออกอีกหรือ หันไปมองซือซือที่ยังคงก้มหน้าชิดพื้นอยู่


    "เจ้าอาจไม่เคยเจอคนผู้นี้ ข้าไม่ถือสาหรอก เงยหน้าขึ้นเถิด" พูดแล้วก็พับกระดาษรูปภาพนี้วางไว้บนโต๊ะ คงต้องหาโอกาสไปเดินส่องสนมคนอื่นๆดูอีกที


    โอกาสที่ว่าก็คือการเข้าเฝ้าผู้เป็นใหญ่แห่งวังหลัง ชายาคู่บัลลังก์ของอ๋องแห่งแคว้น ประเพณีของที่อื่นฉันไม่ทราบแต่ที่นี่พระชายาจะมีกำหนดให้เหล่าสนมเข้าเฝ้าเจ็ดวันครั้ง เช้านี้ฉันจึงตื่นมาพร้อมกับความหมายมั่นที่จะไปมองหาหญิงชุดขาวในหมู่มวลดอกไม้แห่งวังหลังเต็มที่ ไม่ลืมวางท่าทีแบบที่ซักซ้อมเตรียมไว้ ต้องไม่ดูโดดเด่นจนเกินไปและไม่อ่อนแอจนเกินไป จากการนั่งดูหนังจีนที่หม่าม้าชอบดูบ่อยๆ ฉันก็พอจะจับจุดสงครามวังหลังได้บ้าง เด่นไปมักเป็นภัย อ่อนแอเกินไปก็ไร้ที่ยืน ดังนั้นตอนที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองยืนอยู่ในจุดไหนก็ควรรักษาระดับกลางๆไว้ก่อน


    การเข้าพบพระชายาครั้งนี้ถือเป็นการเดินเข้าโรงละครโดแท้ หลังจากโดนถามไถ่สารทุกข์สุขดิบจากพระชายาและโดนคำพูดอวยพรกึ่งจิกกัดฟาดฟันอีกสองสามชุดจากสนมตัวแม่คนอื่นๆ ในที่สุดฉันก็ได้มานั่งจิบชาดูละครอย่างสงบสุขเสียที ระหว่างฟังพระชายาพูดคุยกับสนมคนอื่น สายตาก็แอบกวาดมองไปรอบๆทีละนิด เมื่อไม่พบว่ามีหญิงชุดขาวอยู่ในกลุ่มสนมเหล่านี้จึงหันมาตั้งใจดูละครวังหลังอย่างเพลิดเพลิน วันนี้มีผู้พ่ายแพ้เสียหน้าไปหนึ่งราย นับว่าดราม่าเข้มข้นสนุกไม่เบา


    หลังจบละครยามเช้าฉันก็เตรียมกลับตำหนักเงียบๆ ไม่คาดว่าจะโดนรั้งไว้โดยดอกไม้งามดอกหนึ่ง เห็นว่าคือสนมหลี่ที่พอจะเรียกได้ว่าสนิทสนมคุ้นเคยกับเจ้าของร่างนี้พอประมาณ สนมหลี่บอกว่าช่วงนี้บัวในสระกำลังออกดอกสวย ทิวทัศน์งดงามเช่นนี้เหมาะแก่การเดินเล่นเพื่อสุขภาพ หากฉันมีเวลาก็น่าจะลองแวะไปชมบ้างเพราะเมื่อก่อนฉันชอบดอกบัวมาก 

    ชอบมากจนลื่นตกสระป่วยตาย ฉันคิดในใจแต่ภายนอกนั้นยิ้มละไม ตอบไปว่าเดี๋ยวคงต้องหาวันที่อากาศเหมาะๆออกไปชมบ้างแล้ว


    การปั้นหน้าเป็นสนมชั้นเลิศนั้นไม่เหมาะกับฉันอย่างยิ่ง ปั้นได้ไม่เท่าไหร่ก็รู้เหมือนตะคริวจะกินไปทั้งหน้า กว่าจะถึงตำหนักเล่นเอาทรมานไม่น้อย ไม่กล้าคิดเลยว่าต่อไปจะเอาชีวิตรอดได้ยังไง


    "นายหญิง ซือซือขอเสียมารยาท" หลังจากนั่งจิบชาเงียบๆ อยู่ๆนางกำนัลคนสนิทก็พูดขึ้นมา


    "ว่ามา"


    "นายหญิงมีเรื่องใดกังวลใจอยู่หรือเจ้าคะ ซือซือเห็นนายหญิงมักเหม่อลอย บางคราวก็ราวกับกำลังคิดกังวลสิ่งใดอยู่"


    "อืม ข้ามีเรื่องให้คิดมากมายจริงๆ" ฉันตอบ ตามองน้ำชาใสกระจ่างในถ้วย


    "อีกไม่นานฝ่าบาทก็เสด็จกลับมาแล้ว ขอนายหญิงหักห้ามใจถนอมร่างกาย ไม่เช่นนั้นล้มป่วยไปอีกจะแย่นะเจ้าคะ"


    มือที่กำลังจะหยิบถ้วยชาชะงัก ดีแค่ไหนที่ยังไม่ทันได้ยกขึ้นจิบ ไม่เช่นนั้นเสียกิริยาคงไม่งาม เจ้าหาว่าข้าคิดถึงฝ่าบาทของเจ้ามากจนป่วยเป็นไข้ใจอย่างนั้นรึ ถามนางกำนัลในใจ ข้าดูเหมือนหญิงที่ตกอยู่ในห้วงรักถึงเพียงนั้นเชียว เลื่อนมือลงจากโต๊ะ หันไปมองหลันฮวาในแจกัน


    ซือซือเห็นดังนั้นก็รีบพูดต่อ


    "หากฝ่าบาทรู้ว่านายหญิงหายป่วยแข็งแรงดีแล้วจะต้องรีบมาหานายหญิงแน่ๆเจ้าค่ะ ที่ผ่านมาทรงกังวลกับอาการป่วยของนายหญิงมากกว่าผู้ใด ยังทรงมาเยี่ยมนายหญิงอยู่บ่อยครั้งเลยนะเจ้าคะ ไม่ว่าสนมคนไหนก็ไม่เคยได้รับการปฏิบัติเช่นนี้"


    "ซือซือ ระวังคำพูดเจ้าด้วย" ฉันเอ่ยปราม นางกำนัลน้อยสะดุ้งก่อนจะเอาหัวโขกพื้นขออภัยสามรอบจนนึกเจ็บแทน เรื่องนินทาชาวบ้านนี้ นินทาในใจก็ไม่เป็นไรหรอก แต่นินทาออกมาแบบมีเสียง ในวังหลังอันโหดเหี้ยมจะอย่างไรก็ไม่ปลอดภัย


    ฉันไม่ได้พูดอะไรอีกนอกจากบอกให้ซือซือเตรียมตั้งสำรับเท่านั้น ฝ่าบาทของเจ้าน่ะ ไปเยือนชนเผ่าเหนือคราวนี้คงไม่แคล้วได้หญิงงามติดไม้ติดมือมากลับมาด้วย ไม่ว่างมาสนใจสนมขี้โรคอย่างนายหญิงของเจ้าหรอก ใช่แล้ว อย่าว่างมาสนใจเลย สาธุ

     





    วันต่อมาอากาศแจ่มใส ฉันเลยตั้งใจจะออกไปเดินเล่นชมสระบัวตามที่สนมหลี่เคยพูดถึงเป็นการคลายเครียด ด้วยเพราะยิ่งใกล้วันที่ฝ่าบาทผู้นั้นเสด็จกลับมาเท่าไหร่ฉันก็ยิ่งรู้สึกเครียดขึ้นมามากเท่านั้น อย่างไรเสียเสวียนกุ้ยถิงก็เคยเป็นสนมคนโปรด หายป่วยแบบนี้ฝ่าบาทคงได้หาเวลามาเยี่ยมเป็นแน่ และถ้ามาเยี่ยมแล้วคงไม่จบแค่ให้ของขวัญแล้วบอกว่าเจ้าจงรักษาตัว ตามหลักไม่แคล้วองค์ราชันย์มังกรเป็นอันต้องประคองสนมรักขึ้นเตียงเสพสุขให้สมใจ


    คิดแล้วหน้าจะมืด เนตรนภาอายุยี่สิบไปแล้วหรือยังไม่อาจทราบเพราะกาลเวลาพลิกผัน ถึงตอนสมัยที่เป็นเนตรนภาจะเคยมีแฟนกับเค้ามาบ้าง แต่ก็เป็นรักใสๆตามประสามเด็กใสๆมาคบกัน มากสุดเพียงโดนหอมแก้มเท่านั้น แถมหอมแล้วฝ่ายชายยังเขินม้วนต้วนในขณะที่ฉันมัวแต่นั่งนิ่งอึ้งไป อย่างนี้แล้วจะให้อยู่ดีๆถูกองค์ราชันย์มังกรที่ไหนไม่รู้พาขึ้นเตียงก็ออกจะเกินรับได้อยู่ อย่าว่าแต่องค์ราชันย์ผู้นั้นรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรก็ยังไม่เคยเห็น


    คิดไปไม่นานก็มาถึงสวนที่มีสระบัว ฉันลงจากเกี้ยวเดินเข้าไปอย่างไม่เร่งรีบนัก ชมนกชมไม้สูดอากาศบริสุทธ์ไปจนถึงสระบัวด้านใน ดอกบัวสีสวยทั้งแดงขาวบานสลับงดงามอย่างที่สนมหลี่บอก แต่หากเป็นเสวียนกุ้ยถิงเจ้าของร่างนี้จริงๆแล้ว ฉันก็ไม่แน่ใจว่าเจ้าตัวจะกล้ามาเชยชม ลองได้ลื่นตกจมน้ำแทบตายขนาดนั้น ใครยังจะมีใจกลับมายืนดูที่ที่เกือบเคยเป็นสุสานตนเองอีกเล่า ไม่รู้ว่าสนมหลี่คิดอะไรอยู่ พูดถึงสนมหลี่ สนมหลี่ก็มา ด้วยความที่ลำดับขั้นเท่ากันเราจึงเพียงส่งยิ้มเป็นการทักทาย


    "วันนี้อากาศดีเหมาะแก่การเดินเล่นชมดอกบัว" สนมหลี่เอ่ย สายตาทอดมองดอกบัวงดงามในสระ


    "ต้องขอบคุณสนมหลี่แล้วที่แนะนำ" ฉันส่งยิ้มให้อย่างสุภาพ


    "ดอกบัวนี้หากจะชื่นชมก็ควรมาชื่นชมในตอนที่เหล่าบัวได้ที่ ในช่วงที่งดงามที่สุดจึงจะถือได้ว่าคุ้มค่า เพราะหากเลยช่วงนี้ไปแล้วคงไร้ราคาที่จะเหลียวมอง" สนมหลี่พูดด้วยรอยยิ้ม


    อีกแล้ว พวกในวังหลังนี่ไม่เหนื่อยกันหรืออย่างไร จะพูดจะเดินจะทำอะไรล้วนต้องมีความหมายแฝง หากต้องใช้ชีวิตอยู่ในนี้อีกไม่กี่ปีฉันต้องเส้นเลือดในสมองแตกตายเป็นแน่


    "ดอกบัวนั้นถือเป็นดอกไม้ทรงคุณค่า สิ่งที่ทรงคุณค่า ต่อให้ผ่านช่วงที่งดงามที่สุดไปก็มิอาจลบคุณค่าที่มีอยู่ไปได้ สนมหลี่ไม่คิดเช่นนั้นหรือ" ถึงอย่างนั้นฉันก็ปั้นหน้าพูดตอบไปด้วยรอยยิ้มละไม ภาวนาให้นางอย่าได้โต้สิ่งใดกลับมาอีก


    สนมหลี่ยิ้มค้างเล็กน้อยก่อนจะพูดเสียงเรียบเรื่อย


    "คุณค่านั้นแสดงถึงคุณค่าได้ก็ต่อเมื่อมีผู้พบเห็น"


    สาบานว่าเมื่อก่อนรู้จักสนิทสนมกันประมาณหนึ่ง นี่ขนาดประมาณหนึ่งยังฟาดฟันกันถึงเพียงนี้ เห็นทีที่เหลือคงพร้อมจะเอามีดมาจ่อคอ


    "สนมหลี่กล่าวถูกแล้ว ในโลกนี้ยังคงมีกฏเกณฑ์โหดร้ายเช่นนี้อยู่จริงๆ" ฉันเป็นฝ่ายถอยออกมาแบบบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น


    "กฏเกณฑ์นี้บีบให้เหล่าดอกบัวล้วนต้องแข่งชูช่อให้สูงเหนือผิวน้ำ ช่างน่าสะทดสะท้อนใจ"


    พอเถิด เพียงเท่านี้ก็เวียนหัวมากแล้ว จบเรื่องบัวเสียที ไม่อย่างนั้นคืนนี้ฉันคงมีอันฝันเห็นหัวสนมทุกคนเปลี่ยนเป็นดอกบัวกันหมดทั้งวังหลังแน่ๆ


    "น่าเสียดาย บัวบางดอกโดดเด่นเกินไป กล้าแกร่งเกินไป ล้มหักไปแล้วยังฝืนต้าน" น้ำเสียงทอดถอนนั้นทำให้ฉันหันมองแต่สนมหลี่ไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงหันกายออกจากสระบัว ไม่คิดว่าจังหวะนั้นนางกลับลื่นเซไถล เคราะห์ดีที่ฉันคว้าจับเอาไว้ได้ไม่ตกเป็นเหยื่อสระบัวไปอีกราย


    สนมหลี่หน้าซีด นางกำนัลที่ติดตามมาเองก็รีบเข้ามาช่วยพยุง ในตอนนั้นตรงข้อมือฉันกลับรู้สึกเจ็บเหมือนถูกเข็มทิ่ม รอจนนางกำนัลประคองตัวสนมหลี่ดีแล้วฉันถึงได้ยกข้อมือขึ้นดูแต่ไม่พบร่องรอยใด ขณะที่กำลังสงสัยว่าตนเองอุปทานไปเองอยู่ๆสนมหลี่ก็เสียหลักเซอีก ฉันเห็นว่านางกำนัลคนเดียวนั่นที่สนมหลี่พามาจะช่วยไม่ไหว เลยหันไปบอกให้นางกำนัลของฉันที่พาติดตามมาสองคนเข้าช่วยพาออกไปส่งที่หน้าสวน ไม่คิดตอนกำลังจะเดินตามอยู่ๆร่างกายกลับเอียงวูบ สายตาพร่ามัวขึ้นมากะทันหัน วาดมือเปะปะจะทรงตัวกลับทรงไม่อยู่


    ตู้ม


    เสียงฉันกลายเป็นฝ่ายตกลงสระบัวเสียเองพร้อมกับเสียงกรีดร้องของคนอื่นๆ ร่างค่อยๆจมดิ่งลงเมื่อฉันไม่อาจขยับตัวได้ ทั่วทั้งตัวรู้สึกชาไปหมด อากาศเหลือน้อยลงๆพร้อมๆกับสายตาที่พร่ามัวจนมองไม่เห็นสิ่งใด ทั้งที่หักล้มไปแล้วยังฝืนต้าน เช่นนี้จึงต้องหักทิ้งให้สิ้นซาก ก็รู้อยู่หรอกว่าตนเองอ่อนด้อย แต่ไม่คิดว่าจะอ่อนด้อยจนแปลคำแนะนำให้ไปชมสระบัวตั้งแต่แรกไม่ออก เนตรนภาเอ๋ย งานนี้ไม่แคล้วได้กลายเป็นผีเฝ้าบ่อแท้ๆ





    -----------------------------------------------------------



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×