ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ผ่านภพบรรจบฟ้า (ตีพิมพ์กับสนพ. คำต่อคำ)

    ลำดับตอนที่ #20 : [หยางชุนเล่าขาน] ตอนที่ ๑๙ เหยียนจวิ้น

    • อัปเดตล่าสุด 4 มิ.ย. 59




    [หยางชุนเล่าขาน] ตอนที่ ๑๙ เหยียนจวิ้น




    รัชสมัยของอ๋องฉู่เจี้ยนเฉิง ในตอนนั้นเหยียนจวิ้นน้อยอายุ 8 ปี นอกจากเป็นองค์ชายเหยียนจวิ้น หลานชายคนโปรดของอ๋องฉู่องค์ปัจจุบันแล้ว เขายังเป็นหลานชายของเจ้าเมืองอู๋ซีท่านตาของเขาอีกด้วย ครั้งหนึ่งในตอนที่เสด็จแม่พาเขาไปเยี่ยมท่านตาและพักผ่อนอยู่ที่นั่น ระหว่างที่เขาปลอมตัวออกมาเยี่ยมชมเมืองกับองครักษ์ได้ถูกลอบทำร้ายจนพลัดหลง เขาได้รับบาดเจ็บ แม้ไม่มากแต่ก็ทำให้เคลื่อนไหวได้ช้าลงหนีอย่างยากลำบาก ขณะกำลังหนีอย่างทุลักทุเลอยู่นั้นบังเอิญพบกับเด็กหญิงผู้หนึ่งเข้า นางเปิดประตูหลังเรือนออกมา เมื่อเห็นเขาที่ได้รับบาดเจ็บก็รีบฉุดดึงให้เข้าไปด้านในแล้วปิดประตู


    เรือนที่เขาถูกดึงเข้าไปนั้นเป็นหลังเรือนของโรงหมอที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของเมืองอู๋ซี ในตอนแรกเหยียนจวิ้นคิดว่านางคือเด็กรับใช้ ด้วยเพราะตอนนางฉุดเขาเข้าไปเขาเห็นว่านางกำลังซักผ้ากองโตอยู่ นางจัดแจงให้เขานั่งอยู่นิ่งๆบนตอไม้ใกล้ๆ รีบวิ่งเข้าเรือนหลังเล็กซอมซ่อแล้วออกมาพร้อมกับยาสมุนไพร เมื่อรักษาแผลให้แล้วก็รีบไล่เขากลับ ทั้งผลักทั้งดันเขาจนออกนอกประตูแล้วรีบปิดทิ้งให้เขายืนงุนงงอยู่ตรงนั้น เด็กหญิงตัวผอมแต่งกายซอมซ่อที่กลายเป็นผู้มีพระคุณช่วยเหลือเขานี้ กระทั่งชื่อแซ่ก็ไม่ได้ถาม


    หลังจากวันนั้นเขามาเยือนที่โรงหมอ ถามหาเด็กหญิงรับใช้ผู้หนึ่ง ท่านหมอกับบรรดาลูกศิษย์กลับไม่มีผู้ใดรู้จักหรือพบเห็น เขาลอบไปเฝ้าดูแถวๆประตูหลังเรือน กระโดดขึ้นกำแพงไปแอบดูก็แล้วกลับไม่พบแม้แต่เงาของนาง หลายวันผ่านไปเขาถูกสั่งห้ามไม่ให้แอบออกไปข้างนอกอีก เหยียนจวิ้นรู้ดี สถานะของเขาดั่งอยู่ท่ามกลางคมหอกตลอดเวลา ตั้งแต่สามขวบก็ถูกปองร้ายไม่ได้หยุด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอยากพบนางอีกสักครั้ง ให้เขาได้บอกขอบคุณหรือตอบแทนนางสักเล็กน้อยก็ยังดี


    ในที่สุดสวรรค์ก็เข้าข้าง เขาพบนางกำลังซักผ้ากองโตเช่นเดียวกับวันนั้น เหยียนจวิ้นเฝ้ามองนางจากบนกำแพง วันนี้นางดูอ่อนแรงใบหน้าซีดขาวราวกับคนป่วย ในตอนที่นางดึงแขนเสื้อข้างหนึ่งขึ้นเขาตกตะลึงจนเกือบพลัดตกจากกำแพง แขนข้างนั้นของนางเขี้ยวคล้ำอย่างน่ากลัวไปทั่วทั้งแขน เหยียนจวิ้นกระโดดลงมา การปรากฏตัวของเขาทำนางตกใจเสียจนหงายหลังล้มไปข้างถังไม้


    “แขนเจ้า เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้”


    เขาถามแต่นางไม่ตอบ นอกจากไม่ตอบแล้วยังรีบบอกให้เขากลับไปอย่างลนลาน เขาสับสนงุนงง เกิดสิ่งใดขึ้นกับนางกัน มองใบหน้าตื่นกลัวของนางแล้วก็ตัดสินใจทิ้งตัวนั่งลงบนตอไม้ ปฏิเสธที่จะกลับไปตามคำพูดของนางอย่างสิ้นเชิง เด็กหญิงจนใจ นางกลับมาซักผ้าต่อ ซักจนเสร็จก็รีบเดินหนีเข้าเรือนเล็กหลังนั้น เขารั้งอยู่อีกพักหนึ่งเมื่อไม่เห็นนางออกมาอีกก็กลับคฤหาสถ์ไปเช่นกัน


    สองวันถัดมาเขากลับมาอีก นั่งมองนางทำงานของนางไปเช่นนั้นเงียบๆจนนางเข้าเรือนไปแล้วเขาถึงกลับ เป็นเช่นนี้ต่อไปอีกหลายครั้ง เขาจะลอบออกมานั่งอยู่ที่ตอไม้มองนางทำงานไปทุกๆสองสามวัน เหยียนจวิ้นค้นพบว่าใจเขารู้สึกสงบ ร่างกายไม่ต้องเครียดเขม็งคอยตั้งรับกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันตลอดเวลา ไม่ต้องเป็นองค์ชายเหยียนจวิ้นที่แบกรับความคาดหวังจากทุกคนในตระกูล ราวกับตัวเขาเป็นเพียงตอไม้ที่ขึ้นอยู่ตรงนี้ มองเด็กหญิงตัวจ้อยทำงานของนางอย่างขยันขันแข็งไปเรื่อยๆ จิบน้ำชาจืดชืดที่นางนำมาวางให้เงียบๆไปเช่นนั้นเอง


    เด็กหญิงหายไปอีกครั้ง นางหายไปนานถึงเจ็ดวัน หายไปนานเสียจนใกล้ถึงกำหนดที่เขาต้องกลับเมืองหลวง เหยียนจวิ้นร้อนใจ เขาลอบออกมาจากคฤหาสถ์กลางดึก เข้าไปในเรือนหลังเล็กซอมซ่อนั่นแล้วก็พบว่าในนั้นเป็นโรงเก็บสมุนไพร เต็มไปด้วยโต๊ะตู้ต่างๆอัดแน่นอยู่ทั่วพื้นที่ ไม่มีวี่แววของนางหรือผู้ใดที่อาศัยอยู่ องค์ชายน้อยสำรวจอย่างระมัดระวัง แสงสว่างหนึ่งลอดผ่านหลังตู้สมุนไพรออกมา ด้านหลังตู้นั้นเป็นช่องทางลับ เขาค่อยๆแทรกตัวผ่านลงบันไดซึ่งนำไปสู่ห้องใต้ดิน


    “กินเข้าไป! จับตัวมันไว้! กรอกเข้าไป!” เสียงหมอเจ้าของโรงรักษาแห่งนี้ร้องสั่ง


    แสงเทียนสาดให้เห็นลูกศิษย์ของเขากำลังจับตัวเด็กหญิงที่กำลังอาเจียนออกมา เอาผ้าเช็ดปากนางลวกๆแล้วเอายาในถ้วยกรอกปากฝืนบังคับให้นางกลืนลงไป


    “ยาแก้ครั้งก่อนใช้การไม่ได้ ครั้งนี้ข้าลองลดส่วนผสมบางอย่างแล้วไม่น่าผิดพลาด” ผู้ได้ชื่อว่าเป็นหมอทำท่าครุ่นคิด


    “อาจารย์ หากร่างกายมันต่อต้านอีกจะทำอย่างไร” ลูกศิษย์ซึ่งยังคงบังคับกรอกยาใส่ปากเด็กหญิงเอ่ยถาม


    คนเป็นอาจารย์ปรายตามองเด็กหญิงผู้นั้น


    “พิษชนิดนี้เพิ่งเผยแพร่มาจากชนเผ่าหนึ่งของแคว้นฉิน ร่างกายมันไม่เคยได้รับย่อมไม่สามารถต่อต้านได้” เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ดั่งเห็นนางเป็นเพียงสัตว์ตัวหนึ่ง


    เหยียนจวิ้นตัวเกร็ง สองมือกำแน่นสองตามองเด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังสำลักยาอย่างแรง นางไม่ได้ต่อต้าน ไม่ตอบโต้ เพียงปล่อยให้ไอ้พวกสุนัขโฉดกรอกยาใส่ปากนางไปเช่นนั้น องค์ชายน้อยกัดฟันแน่น ฝืนบังคับตนให้หันหลังกลับ เรื่องนี้ไม่สามารถกระทำการวู่วามได้ เขาต้องกลับไปแจ้งท่านตา ต้องใช้กองกำลังจู่โจมเข้าตรวจสอบให้จับได้คาหนังคาเขา มือที่กำอยู่กำจนซีดขาว เพราะเหตุนี้แขนนางจึงเขียวคล้ำในวันนั้น เพราะเหตุนี้นางจึงหวาดกลัวเมื่อเขาเข้ามา เพราะเหตุนี้นางจึงตัวผอมไร้เรี่ยวแรง เพราะถูกไอ้พวกสุนัขชั่วใช้เป็นตัวลองยา ทำดั่งนางไม่ใช่คน อาศัยประโยชน์จากความชั่วนี้กอบโกยชื่อเสียงเงินทองเข้ากระเป๋า


    องค์ชายน้อยสะดุดเซไปชนกับตู้ยา เกิดเสียงดังโครมคราม เขารีบวิ่งออกจากเรือนหลังเล็กกระโดดขึ้นกำแพงหนี เมื่อถึงเรือนพักตนในคฤหาสถ์ทั้งร่างก็ทรุดลง ที่ผ่านมาเขาเจอเรื่องโฉดชั่วมามากมาย นี่กลับเป็นครั้งแรกที่รู้สึกโกรธแค้นสะอิดสะเอียนจนแทบอาเจียน เขาจะต้องช่วยนางออกมาจากที่นั่น ไม่ว่าอย่างไรต้องช่วยออกมาให้จงได้


    คืนนั้นเหยียนจวิ้นเข้าพบท่านตา เขาไม่อาจรอได้จนถึงเช้า เพียงนึกถึงว่าที่ผ่านมานางต้องถูกกรอกยาพิษ เฝ้าดูอาการแล้วจึงให้ยาถอนพิษสลับไปมาเช่นนั้น เขาก็ไม่อาจทนได้ ท่านตารับปากว่าจะสืบสวนเรื่องนี้ แม้ว่าเขาจะยืนยันหนักแน่นให้นำกำลังไปบุกจับพวกหมอโฉด แต่ท่านตากลับบอกว่าไม่อาจทำได้ โรงหมอแห่งนั้นมีชื่อเสียงมากทั้งยังมีความสัมพันธ์กับขุนนางหลายตำแหน่ง จำต้องสืบสวนหาหลักฐานให้แน่ชัดเสียก่อน เขาผิดหวังในตัวท่านตา ผิดหวังในอำนาจของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าเมือง ตั้งใจจะลอบออกจากคฤหาสถ์เพื่อไปช่วยนางด้วยตนเองกลับถูกดักไว้ เขาถูกจับขัง เวรยามแน่นหนา ไม่สามารถยื่นมือเข้ายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้อีกต่อไป


    จนถึงวันที่เขาต้องเดินทางกลับเมืองหลวง ท่านตามาบอกด้วยตนเองว่าได้หลักฐานเรื่องที่โรงหมอแห่งนี้แอบผสมยาพิษที่ทำให้คนไข้ต้องกลับมารักษาต่ออีก จึงให้ออกคำสั่งให้นำกำลังเข้าบุกจับ ปรากฏว่าหมอใหญ่ไหวตัวทันหนีไปได้ ทหารค้นจนทั่วนอกจากห้องใต้ดินในโรงเก็บยาแล้วกลับไม่พบเด็กหญิงผู้นั้นแม้แต่เงา เหยียนจวิ้นไม่ตอบสิ่งใด เด็กหญิงผู้นั้นคงถูกหมอโฉดนั่นนำตัวหนีไปด้วยแล้ว เขาไม่แสดงท่าทีใดต่อเรื่องนี้อีก ทั้งยังไม่พูดกับท่านตาอีกเช่นกัน

     





    สองปีผ่านไป


    องค์ชายเหยียนจวิ้นถูกแต่งตั้งให้ขึ้นเป็นองค์รัชทายาท แม้มีขุนนางบางส่วนไม่เห็นด้วย หากแต่ประกาศิตขององค์ราชันแคว้นฉู่นั้นยากเกินผู้ใดต้าน รัชทายาทเหยียนจวิ้นบุคลิกองอาจเย็นชา ท่วงท่าสง่างามเกินอายุ ไม่ว่างานใดที่ได้รับมอบหมายล้วนทำได้ดีไม่มีผิดพลาด นับเป็นอัจฉริยะที่ยากจะพบเจอ หลังจากรับตำแหน่งรัชาทายาทได้ปีกว่า ทางอู๋ซีได้แจ้งข่าวมาว่าท่านเจ้าเมืองล้มป่วย ในตอนแรกเหยียนจวิ้นไม่ได้ไปเยี่ยม ด้วยตำแหน่งในตอนนี้หลายฝ่ายกลัวว่าการเดินทางไปอู๋ซีจะทำให้เขาไม่ปลอดภัยเสด็จแม่จึงไปแต่เพียงผู้เดียว


    หลายเดือนต่อมาอาการท่านตาทรุดหนัก เสด็จแม่บอกว่าท่านตาอยากจะพบเขาอีกสักครั้ง ในช่วงที่ยังตกลงกันไม่ได้ทางอู๋ซีได้แจ้งมาว่าอาการท่านตาทรุดหนักอย่างมาก หากไม่รีบมาเกรงว่าจะไม่ทันการแล้ว ด้วยเหตุนี้ขบวนเสด็จจึงถูกจัดขึ้นอย่างรีบร้อน เร่งออกเดินทางไปในวันนั้น


    ผู้ใดจะคาดขบวนเสด็จนี้ไม่อาจไปถึงอู๋ซี กลุ่มโจรชุดดำบุกจู่โจมกลางป่า แต่ละคนฝีมือร้ายกาจราวกับถูกคัดสรรมาเป็นอย่างดี สถานการณ์ตกอยู่ในความเลวร้ายเมื่อทหารไม่สามารถต้านรับกลุ่มโจรนี้ได้ เสด็จแม่สั่งให้เขาเปลี่ยนชุดรัชทายาทออกสลับตัวกับเด็กรับใช้ ระหว่างนั้นเสด็จพ่อก็นำห่อผ้ายัดใส่มือเขาพร้อมกับมอบป้ายไม้แผ่นหนึ่งให้


    “พาองค์รัชทายาทหนีไปให้ถึงเมืองเถียน ไปที่หมู่บ้านหลัวถามหาแม่เฒ่าที่เป็นหมอประจำหมู่บ้าน เมื่อพบนางให้ยื่นป้ายไม้แผ่นนี้ให้” สั่งองครักษ์ที่ปลอมตัวเป็นทหารอย่างเร่งรีบ


    “แล้วเสด็จพ่อกับเสด็จแม่” เขาร้องถาม หวังให้ทั้งสองพระองค์ไปด้วยกันกลับถูกเสด็จพ่อผลักออก ตัวท่านดึงแขนเด็กรับใช้ที่แต่งชุดรัชทายาทหนีไปพร้อมกับองครักษ์ของเขา อีกด้านหนึ่งเสด็จแม่กับนางกำนัลและองครักษ์หนีไปอีกทาง โจรชุดดำกระจายตัวแยกกันเร่งติดตาม จังหวะนั้นเขาก็ถูกองครักษ์พาตัวหนีไป เหยียนจวิ้นกัดฟันวิ่ง มือข้างหนึ่งอุ้มห่อผ้าถือแผ่นป้าย อีกข้างจับดาบปกป้องตนเอง เขารู้ดีสิ่งสำคัญที่สุดในยามนี้คือชีวิตของเขา ชีวิตที่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรักษาไว้ให้ได้


    โจรผู้หนึ่งกระโจนตามหลังมา ทั้งๆที่หนีออกมาไกลจากจุดที่ถูกโจมตีแล้วโจรผู้นี้กลับยังคงไล่กวดพวกเขาไม่ได้หยุด ในตอนที่ต่อสู้กับองครักษ์ของเสด็จพ่อผ้าที่ปิดบังใบหน้าโจรอยู่ถูกเกี่ยวหลุด ในตอนนั้นเขาถึงได้เห็นว่าโจรผู้นี้เป็นคนเดียวกับทหารที่เคยติดตามองครักษ์คนสนิทของเสด็จอา ทหารผู้นี้ฝีมือล้ำเลิศ องครักษ์ของเสด็จพ่อสละชีวิตสังหารโจรชั่ว ปูเส้นทางเลือดให้แก่เขา เขาจึงหลบหนีเข้าสู่เมืองเถียนได้สำเร็จ


    เหยียนจวิ้นเหลือตัวคนเดียว ในมือมีเพียงห่อผ้ากับป้ายไม้ หน้าตาสกปรกมอมแมมไม่ต่างจากขอทาน ยังดีที่มีวรยุทธ์ติดกายจึงเอาตัวรอดมาได้ โซเซอยู่หลายวันในที่สุดก็พบคนใจดีพาไปหมู่บ้านหลัว ได้พบแม่เฒ่าที่เป็นหมอประจำหมู่บ้านผู้นั้น เขายื่นป้ายไม้ที่ด้านหนึ่งสลักเป็นรูปดวงจันทร์ลายวิจิตร อีกด้านสลักหมายเลขสี่สิบสามมีอักษรเสวี่ยอยู่ด้านล่าง แม่เฒ่ารับไปตรวจสอบ เมื่อตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วจึงก้มมาจับไหล่เขา ส่งยิ้มอย่างเมตตา


    “เจ้าไม่เป็นไรแล้ว” ประโยคนี้ประโยคเดียวดั่งคลายทุกความเคร่งเครียดในร่างกาย เขาทรุดตัวลงสลบลงตรงไปนั้นเอง


    เหยียนจวิ้นรักษาตัวอยู่ในกระท่อมของแม่เฒ่า หลังจากนั้นไม่กี่วันก็ได้พบกับหญิงผู้หนึ่งซึ่งเอ่ยนามของตนว่า ‘ไป๋เสวี่ย’ ไป๋เสวี่ยผู้นี้บอกว่าเป็นเพื่อนสนิทกับเสด็จแม่ของเขาตั้งแต่ตอนสเด็จแม่ยังเป็นเพียงบุตรสาวเจ้าเมืองอู๋ซี ในตอนที่เขาเกิดได้มอบป้ายไม้แผ่นนี้ไว้ให้เป็นของขวัญ พร้อมกับให้สัญญาว่าหากวันข้างหน้าเขามาพบนางพร้อมป้ายไม้แผ่นนี้ นางจะให้ความช่วยเหลือเขาหนึ่งข้อ


    “ท่านเป็นใคร” คือสิ่งที่เขาถามกลับ


    “เป็นเพื่อนสนิทแม่เจ้าอย่างไรเล่า แม่ของเจ้าเป็นพวกช่างวิตกกังวล ด้วยเหตุนี้ข้าถึงได้ให้สัญญาเช่นนั้นกับนางไป ไหนเลยจะคาดว่าเจ้าจะหอบป้ายมาเร็วถึงเพียงนี้” นางตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม หากแต่เขากลับถามย้ำ


    “ท่านเป็นใคร”


    รอยยิ้มไร้พิษสงนั้นพลันเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอย่างมีเลศนัย


    “หากข้าตอบเจ้าแล้ว เจ้ายอมรับผลที่จะตามมาได้หรือไม่”


    “ผลอย่างไร”


    “ผลที่ว่าหากหลังจากนี้คำตอบของเจ้าไม่ถูกใจข้า ข้าจะสังหารเจ้าทันที” นางส่งยิ้มมาให้ ดวงตาที่โค้งขึ้นจนเกือบปิดนั้นส่งให้ดูน่าขนลุกแตกต่างจากตอนแรกอย่างสิ้นเชิง


    เหยียนจวิ้นพินิจมอง หญิงผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดา การที่เสด็จพ่อเสด็จแม่กล้าฝากฝังเขาไว้ย่อมหมายความว่าในสถานการณ์เช่นนี้นางเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด


    “ข้ายินดีรับผลนั้น”


    ไป๋เสวี่ยยังคงยิ้ม บอกเล่าเรื่องราวของตนอย่างไม่ปิดบัง


    “หากข้าอยากเข้าไปที่นั่นต้องทำอย่างไร” เหยียนจวิ้นถาม


    “เพียงละทิ้งเหยียนจวิ้น เจ้าทำได้หรือไม่”


    รัชทายาทน้อยนิ่งอึ้ง หลังจากคิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวตอบ


    “เช่นนั้นนามเหยียนจวิ้นนี้ ข้าขอละทิ้งตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป”


    ไป๋เสวี่ยหรี่ตามอง เมื่อมองแล้วก็ไม่ได้คัดค้านสิ่งใด พาเขาไปที่ค่ายฝึกเข้าพบกับผู้ที่เรียกตนเองว่าผู้คุมสาม มอบชีวิตใหม่ให้แก่เขาพร้อมเรียกขาน ‘หมายเลขหนึ่ง’

     







    ดวงจันทร์ลอยเด่นบนท้องฟ้า ทอแสงกระจ่างสาดลงบนหลังคาร้านค้าในแคว้นฉู่ยามค่ำคืน


    “หลังจากนั้นข้าก็เดินทางกลับเมืองหลวง ไม่ได้พบเจ้าอีก” หยางชุนจบเรื่องเล่าในอดีตลงตรงวันที่เขาเดินทางออกจากเมืองอู๋ซี วันแรกที่เขาตัดสินใจไม่พูดกับท่านตาอีก วันสุดท้ายที่เขามีโอกาสได้ยินเสียงท่าน


    หญิงสาวข้างกายเงยหน้ามองเหม่อไปยังดวงจันทร์ ผมสีดำสนิทยาวจรดเอว สองมือวางบนขาที่นั่งอยู่ในท่าขัดสมาธิ


    “ชีวิตเจ้านับว่าไม่ง่ายเลย” นางเอ่ย


    “ที่นับว่าไม่ง่ายควรเป็นชีวิตเจ้า” เขาแก้ แต่นางกลับส่ายหน้า


    “ข้าไม่อาจจดจำสิ่งใดได้ สำหรับข้าเรื่องราวเหล่านั้นเป็นเพียงสายลมที่พัดผ่านจากไป แต่เจ้าผู้ซึ่งจดจำทุกสิ่งไว้ นี่ถึงเรียกว่าไม่ง่าย” ใบหน้านั้นหันกลับมาหา แสงจันทร์สาดกระทบดูงดงามแปลกตา


    หลิ่งเฟยถอนหายใจยาว


    “ด้วยความสอดรู้สอดเห็นของข้านี้ จะอย่างไรก็พอเดาต่อได้ว่าอีกหลายปีหลังจากนั้นชีวิตเจ้ายิ่งไม่ง่าย” ว่าแล้วนางก็ขยับกายเข้ามาใกล้ วางมือบนไหล่ซ้ายเขาแล้วตบลงสองที


    เขามองหน้านางซึ่งพยักหน้ากลับมาดั่งจะส่งกำลังใจให้ มุมปากเหมือนจะยกยิ้ม สีหน้ามุ่งมั่นจริงจังอย่างยิ่งนี้เป็นหนึ่งในบุคลิกประหลาดของนางที่ไม่มีผู้ใดเหมือน


    “แต่อย่างไรเจ้าก็ควรทักทายข้าบ้างตอนอยู่ในค่ายฝึก ไยทำเหมือนไม่รู้จักกันเช่นนั้น”


    “เจ้าในตอนนั้นไม่มีความทรงจำในอดีตอีกแล้ว ความทรงจำเช่นนั้นข้าเห็นว่าหลงลืมไปแล้วก็นับว่าดี ไม่มีความจำเป็นใดให้ต้องรื้อฟื้นอีก”


    วันนั้นเป็นวิชาเรียนของอาจารย์เหลียง ยี่สิบเจ็ดเป็นผู้พานางเข้ามา อาจารย์เหลียงแนะนำว่านี่คือหมายเลขสี่สิบสาม จะอยู่ร่วมกับพวกเขานับจากวันนี้ เขาในตอนนั้นตกตะลึง แม้ผมนางถูกตัดจนสั้นกุดแต่ใบหน้านั้นเขาจดจำได้ เด็กหญิงที่ไม่อาจช่วยเหลือได้ในวันนั้นกลับมายืนอยู่ต่อหน้า นางกวาดสายตาไปทั่วห้อง ไม่มีท่าทีตื่นตระหนก ที่ปรากฏชัดในดวงตามีเพียงความสับสนงุนงงเท่านั้น สายตานางกวาดมองจนบังเอิญสบเข้ากับสายตาเขา เพียงครู่เดียวนางก็ละสายตามองไปทางอื่นดั่งคนไม่เคยรู้จักกัน วันนั้นเขาถึงได้รู้ นางสูญเสียความทรงจำเดิมไปจนหมดสิ้น


    เด็กหญิงผู้นั้นกลายมาเป็นสี่สิบสามผู้มีบุคลิกสุขุม ไร้ซึ่งความหวาดกลัวตื่นตระหนกต่อผู้คนดังเช่นแต่ก่อนราวกับเป็นอีกคนหนึ่ง เขาลอบสังเกต นางไม่เพียงนิ่งสงบพูดน้อยกลับดูฉลาดเฉลียวใจเย็น แม้หลายครั้งจะเหม่อลอยไปบ้าง แววตากลับเหมือนครุ่นคิดสิ่งใดอยู่ตลอดเวลาดูไม่เหมือนผู้สูญเสียความทรงจำ ตรงข้ามในหัวเล็กๆของนางนั้นราวกับมีเรื่องราวให้ต้องขบคิดมากมาย


    บุคลิกนี้ของนางดึงดูดผู้คนเข้าหาตัว สิบเก้าที่แต่ก่อนไม่ได้ให้ความสนิทสนมกับผู้ใดเพียงลอยไปลอยมาไร้กลุ่มสังกัดกลับสนใจนาง สิบสองผู้นั้นก็สนใจนาง หมายเลขหกจับตาดูนาง กระทั่งยี่สิบที่ไม่สนใจสิ่งใดก็ยังไปรวมอยู่กับนาง เขาเพียงมองอยู่ห่างๆ มีเพียงสองครั้งที่ยื่นมือเข้ายุ่ง ครั้งแรกคือเข้าไปบอกผู้คุมสามว่านางเป็นสตรี ผู้คุมผู้นั้นกลับเพียงหัวเราะขันแล้วตอบว่าข้ารู้แล้ว ส่วนครั้งที่สองเป็นตอนที่พบนางกำลังถูกรุมทำร้ายอยู่กับยี่สิบเจ็ด


    เขาไม่ได้คิดอยากยุ่งเกี่ยวใกล้ชิดกับนาง ด้วยว่าตัวเองมีเป้าหมายที่ไม่อาจให้ผู้ใดในค่ายข้องเกี่ยวได้ ไม่คิดว่าสุดท้ายจะได้มาลงเอยนั่งอยู่ข้างนางบนหลังคาเช่นนี้


    “เจ้านั่งนิ่งๆนานๆเช่นนี้ไม่เส้นยึดเจ็บขาบ้างรึ” เสียงร้องถามดึงเขาออกจากห้วงความคิด หันกลับไปก็พบว่าผู้ถามเปลี่ยนมานั่งชันเข่าขึ้นทั้งสองข้างเสียแล้ว


    “ไม่” เขาตอบสั้นๆ


    “แล้วไม่ง่วงรึ”


    เขามองหน้า


    “นี่ไม่ใช่ว่าข้าง่วงหรอกนะ” พูดยังไม่ทันจบประโยคก็ฝืนกลั้นหาวไว้ไม่ไหว หลิ่งเฟยยิ้มแห้งๆ “ให้นั่งเป็นเพื่อนเจ้ายันเช้ายังได้เลย” ถึงขั้นนี้ยังอุตส่าห์พูดต่อจนจบ


    “เจ้ากลับไปก่อนเถิด” เขาบอก หากแต่นางส่ายหน้า


     “ไม่ได้หรอก จะทิ้งเจ้าไว้ได้อย่างไร”


    “เหตุใดไม่ได้” เขาถาม สายตาจดจ้องใบหน้านางที่กำลังครุ่นคิด


    “นั่งบนหลังคาเพียงลำพังในยามค่ำคืนเช่นนี้เจ้าจะไม่รู้สึกโดดเดี่ยวหรอกหรือ จะอย่างไรมีข้านั่งเป็นเพื่อนก็คงดี หรือไม่ดี” ฉับพลันสีหน้านางกลับเหมือนนึกบางอย่างได้ มองหน้าเขาเลิ่กลั่ก เลิ่กลั่กแล้วก็รีบลุกขึ้นยืนส่งยิ้มมาอย่างเกรงอกเกรงใจ


    หลายครั้งเขาก็นึกอยากรู้ ในหัวนางคิดสิ่งใดอยู่ จะน่าสนใจอย่างที่นางแสดงออกมาหรือไม่


    “เช่นนั้นเชิญเจ้าตามสบายเถิด” นางกล่าว ยกมือเชิญให้ “ข้าไม่อยู่รบกวนแล้ว กลับก่อนแล้วกัน”


    เขาไม่ได้ตอบสิ่งใด จนกระทั่งนางเดินผ่านหน้าไปแล้วปากถึงเอ่ยพูด


    “นั่งอยู่เป็นเพื่อนข้า อีกครู่หนึ่งได้หรือไม่”


    ขานางชะงัก เอี้ยวตัวที่ค้างอยู่กลับมาหาในท่าประหลาดพิสดาร เขาเลี่ยงหลบสายตา ด้วยไม่ถนัดการพูดประโยคที่ดูเหมือนขอร้องเช่นนี้ ครู่หนึ่งร่างที่ชะงักอยู่ของนางก็เดินกลับมาทิ้งตัวนั่งลงข้างๆเขาเหมือนเดิมโดยไม่ได้ตอบสิ่งใด


    หยางชุนก้มหน้ายิ้มกับตนเอง สายลมพัดผ่าน พวกเขาเพียงนั่งอยู่ด้วยกันอย่างเงียบงันไปเช่นนั้นเอง




    -----------------------------------------------------------


    (รีไรท์)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×