คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #19 : ตอนที่ ๑๘ ชะตากรรมเวียนบรรจบ
ตอนที่ ๑๘ ชะตากรรมเวียนบรรจบ
ค่ำคืนนี้หอแว่วเสียงคีตาคึกคัก ด้วยเพราะมีการแสดงบรรเลงพิณจากหญิงงามมือวางอันดับหนึ่งของหอ
คึกคักเสียจนที่ดีที่สุดนั้นถูกจองเต็มหมด จินฟู่ขอโทษขอโพย
อย่างไรก็ไม่อาจดึงที่ดีๆกลับมาให้พวกฉันได้ ไม่เช่นนั้นจะเป็นการผิดใจต่อพวกคนใหญ่คนโตที่จองไว้เสียเปล่าๆ
แนะนำให้พวกฉันไปเดินแทรกหาส่องเอาด้านล่าง แทรกไปแทรกมาประเดี๋ยวก็ได้ที่ดีๆเอง
กล่าวอย่างไร้ความรับผิดชอบแล้วก็ทิ้งพวกฉันอย่างไร้ความรับผิดชอบไว้ในส่วนจัดแสดงนั้นเอง
ห้องที่ใช้จัดแสดงกว้างขวาง มีเวทีไม้สูงราวหัวเข่าอยู่กึ่งกลางให้บรรดาผู้ชมที่จ่ายเงินค่าเข้าแบบธรรมดาสามารถยืนล้อมดูได้ตามอัธยาศัย
ส่วนชั้นบนๆนั้นเป็นที่สำหรับเหล่าแขกพิเศษที่จองไว้ล่วงหน้า
สามารถนั่งกินดื่มมองลงมาดูการแสดงได้อย่างรื่นรมย์
ตัวฉันซึ่งถูกจินฟู่เอามาปล่อยทิ้งไว้ด้านล่างในตอนแรกก็ตื่นเต้นดีอยู่หรอก
มุดแทรกมุดส่องตามคำแนะนำของเขาอย่างขะมักเขม้น
รอจนถึงการแสดงหลักของหญิงงามมือวางพิณอันดับหนึ่งแล้วกลับมีผ้าขาวขึงรอบเวทีให้นางนั่งเล่นอยู่หลังผ้าขาวนั้น
มองอย่างไรก็ไม่อาจเห็นใบหน้าได้ชัด ฉันยืนโบกพัดอย่างขัดใจ
ไม่นึกว่าเจ้าจินฟู่จะเอาเล่ห์เหลี่ยมนี้มาดึงดูดลูกค้าด้วย
ได้แต่คิดเซ็งๆว่าจบจากงานนี้ค่อยไปขอเขาดูหน้าหญิงงามให้หายคาใจ คิดแล้วตัวก็ค่อยๆแทรกถอยออกมาจากเวที
ด้วยทักษะการเบียดแทรกผู้คนที่ฝึกปรือมาเป็นอย่างดีสมัยถูกพี่สาวในภพก่อนลากไปช้อปของลดราคา
ทำให้ตอนนี้พลัดหลงกับจิ้นเหอหยางชุนไปเสียแล้ว
มองบรรดาชายหนุ่มที่กำลังเคลิบเคลิ้มกับเสียงพิณของหญิงงาม
บางทีพวกเขาอาจกำลังนั่งน้ำลายย้อยอยู่เช่นกัน ครั้นจะไปขัดช่วงเวลาน้ำลายหยดน้ำลายย้อยของพวกเขาก็คงดูไม่เข้าทีนัก
ฉันจึงหลบออกมายืนอยู่มุมหนึ่งไกลๆโดยไม่ได้ตามหาทั้งคู่แต่อย่างใด
ความสนใจทั้งหมดถูกสาวงามดึงไปได้อย่างสมราคา
ฉันสะบัดพัดจีบในมือ
ขาค่อยๆก้าวออกจากห้องจัดแสดงขนาดใหญ่นี้อย่างเชื่องช้าแนบเนียน เมื่อออกมาได้แล้วก็สะพัดพัดอีกสองทีทำเป็นแหงนหน้ามองดูดาวบนฟ้าสูดอากาศบริสุทธิ์
กิริยาสูงส่งนุ่มนวลนี้ลอกเลียนมาจากเทพบุตรโลกวิญญาณได้อย่างไร้ที่ติ
เยื้อย่างอย่างไร้ที่ติออกห่างจากเรือนจัดแสดงกลับเข้าห้องพักที่จินฟู่จัดไว้ให้
จัดแจงเปลี่ยนชุดเป็นสีดำสนิททั้งตัวปกปิดใบหน้า
เมื่อสบจังหวะก็ออกจากห้องกระโดดแผล็วขึ้นหลังคา ใช้วิชาตัวเบากระโดดข้ามไปอีกหลังคาหนึ่งอย่างเงียบงัน
สามปีมานี้แม้ไม่ได้มีโอกาสรับภารกิจมากเท่าจิ้นเหอกับหยางชุน
แต่ทักษะวิชาย่องเบาของฉันนี้กลับเรียกได้ว่าสามารถยืดอกอย่างไม่อายผู้ใด
บรรดาสมาชิกหน่วยต่างๆที่ฉันได้ไปทำภารกิจด้วยล้วนออกปากชื่นชม แม้แต่หัวหน้าหน่วยหนึ่งยังถึงกับพูดว่า
“รวดเร็ว แผ่วเบา เกิดเรื่องโกยแน่บ
เจ้านี่มันสันดานโจรโดยแท้”
จำได้ว่าตอนนั้นฉันยืนอึ้ง
สมองไม่อาจประมวลได้ว่าเขาด่าหรือชม
แต่เมื่อเขาบอกว่าชมก็จำต้องน้อมกายขอบคุณทั้งมึนงงไปเช่นนั้น กล่าวถึงหัวหน้าหน่วยหนึ่ง
เขาผู้นี้นอกจากจะเป็นหัวหน้าหน่วยแล้วยังยังเป็นศิษย์พี่ร่วมอาจารย์เพียงผู้เดียวของฉันอีกด้วย
และด้วยความเป็นศิษย์นี้เองทำให้ไม่ว่าอาจารย์ไหว้วานเรื่องใดแก่เขา
เขาก็จะลงมือทำอย่างเต็มที่ไม่มีบิดพลิ้ว ไม่เอ่ยถามเหตุผลทั้งยังไม่แพร่งพรายผู้ใดนอกจากคนที่จำต้องใช้งาน
นับว่าเป็นศิษย์พี่ที่ยกย่องและจงรักภักดีต่ออาจารย์อย่างยิ่ง
ฉันนับหลังคาบ้านไปด้วยระหว่างวิ่ง มาจนถึงจุดในแผนที่ที่ศิษย์พี่ให้มาก็กระโดดลงไปในบริเวณบ้าน
อาศัยแสงจันทร์เดินหาต้นไม้ที่มีลำต้นใหญ่ที่สุดในบริเวณ
เมื่อพบแล้วก็ก้มหาจนพบกิ่งไม้สามง่ามกิ่งหนึ่ง หยิบมันขึ้นมาโยนแล้วรับสามครั้ง
ร่างเงาหนึ่งก็เดินออกมาจากมุมมืด สวมชุดสีดำสนิทปกปิดใบหน้ามิดชิด
“สกุลเสวียนสนับสนุนแคว้นฉิน
ได้รับการยืนยันเป็นที่แน่นอนแล้ว” เขาพูดเข้าเรื่องทันที
“เช่นนี้แปลว่าแคว้นฉินแทรกซึมเข้าสู่แคว้นจ้าวสำเร็จแล้วใช่หรือไม่”
ฉันถาม
“ใช่” เขาตอบสั้นห้วน
“พวกเขาจะเริ่มสงครามเมื่อไหร่”
“ข้อนี้ยังไม่อาจให้คำตอบได้ แคว้นฉินมากเล่ห์
จนกระทั่งตอนนี้ยังไม่รู้แน่ชัดว่าจะทำอย่างไรกับข้อพิพาทชายแดนเว่ย
จำต้องรอดูว่าพวกเขาจะเดินหมากอย่างไรต่อ”
ฉันรับพยักหน้ารับ
เมื่อได้ข้อมูลที่ต้องการแล้วก็ไม่ได้สอบถามสิ่งใดอีก เพียงก้มหัวกล่าวว่าลำบากพวกท่านแล้วเป็นการน้อมส่ง
ร่างนั้นหายกลับเข้าไปในความมืด ฉันเองก็กระโดดขึ้นหลังคาเตรียมกลับ ก่อนหน้านี้ทราบมาว่าเสนาบดีจางคอยช่วยเหลือแคว้นฉินอยู่ลับๆ
มาบัดนี้สกุลเสวียนที่หอวารีลงทุนติดตามมานานได้รับการยืนยันว่ากลายเป็นพวกแคว้นฉินไปอีก
สองสกุลจากสองบ่อแรกที่ฉันมีโอกาสได้เกี่ยวข้อง
ทั้งยังเป็นสองในสี่ของเสนาบดีใหญ่ประจำแคว้น เสนาบดีใหญ่ตกอยู่ในมือแคว้นฉินไปเสียแล้วสอง
แคว้นจ้าวคราวนี้นับว่ารอดยากจริงๆ
ฉันวิ่งไปบนหลังคาเรื่อยๆ
ขณะกำลังกระโดดข้ามมายังหลังคาร้านขายผ้าในตลาด สายตากลับเหลือบไปเห็นคนสองคนยืนอยู่ในตรอกแคบๆเยื้องไปไม่ไกลนัก
ขาชะลอความเร็วพร้อมๆกับตัวที่ย่อลงทีละน้อย คนสองคนลอบพบกันในที่ลับตาเช่นนี้กระตุกต่อมอยากรู้อยากเห็นเรื่องชาวบ้านของฉันเป็นอย่างมาก
ค่อยๆคืบคลานเข้าไปหาพวกเขาก่อนจะนอนคว่ำลงบนหลังคาที่ใกล้สุดเงี่ยหูฟังด้วยความสอดรู้สอดเห็นเต็มเปี่ยม
“บัดนี้กำลังฝ่ายเราเรียกได้ว่ากลับคืนมากว่าครึ่ง
บรรดาขุนนางเก่าที่ให้การสนับสนุนพระองค์นั้นปรึกษาหารือเรื่องนี้อย่างลับๆอยู่
ท่านแม่ทัพใหญ่เองเยือนทางใต้หนนี้ก็เพื่อพูดคุยกับท่านแม่ทัพอ้านเหวินซึ่งคุมกองกำลังทหารประจำด่านใต้ที่ติดกับแคว้นฉิน”
เสียงแรกกล่าวนอบน้อมเป็นการเป็นงาน
“ฉินรุกคืบเข้าแทรกซึมสู่แคว้นต่างๆอย่างลับๆ แม้ตอนนี้ยังไม่มีรายงานถึงการแทรกซึมมาสู่ฉู่ก็ไม่อาจวางใจได้” เสียงที่สองนี้ทำเอาฉันตัวเอียงวูบเกือบกลิ้งตกจากหลังคา “จะเคลื่อนไหวสิ่งใดตอนนี้ต้องระวัง อย่างไรบ้านเมืองต้องมาก่อน”
“องค์ชายกล่าวถูกแล้ว ความจริงยังคงมีอีกเรื่องที่ท่านแม่ทัพเป็นกังวล
เงามืดที่ท่านอาศัยอยู่นั้นหาใช่ที่ที่นึกอยากจะออกก็ออกมาได้ง่ายๆใช่หรือไม่”
“เรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ข้า”
“องค์ชาย”
“ข้าจะพูดคุยเรื่องนี้กับนางเอง”
ฉันเกาะหลังคากวาดสายตาไปมาเลิ่กลั่ก
เหตุใดพวกเขาจึงมาคุยเรื่องสำคัญกันในที่สาธารณะเช่นนี้ แม้จะเป็นตรอกแคบๆลับตาคน
แต่หากมีพวกสอดรู้สอดเห็นอย่างฉันแอบซุ่มฟังอยู่ตรงหลังคาไหนอีกสักหลังเล่า จะทำอย่างไร
“เช่นนั้นข้าจะรายงานท่านแม่ทัพตามนี้ ขอท่านรักษาตัวด้วย”
เสียงฝีเท้าแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยินหากไม่เงี่ยหูฟังดีๆนั้นบ่งบอกได้ว่าผู้ที่เดินจากไปเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง
ฉันยังคงนอนเป็นจิ้งจกตากแห้งเกาะหลังคาอยู่เช่นเดิม เงี่ยหูฟังฝีเท้าของอีกคนที่เหลืออยู่
รอว่าเมื่อไหร่เขาจะไป
เงียบกริบ
ผงกหัวชะเง้อคอมอง ไม่กล้าขยับกายมาก ความล้ำเลิศของผู้ที่เหลืออยู่นั้นหาใช่เรื่องที่ควรประมาท
เพียงเศษฝุ่นร่วงจากหลังคาก็คงไม่อาจรอดพ้นหูเขาไปได้
เวลาผ่านไปจนตะคริวเริ่มกินขา
ฉันกลืนน้ำลายเอื้อก หากโดดลงไปตอนนี้แล้วเจอเขายังยืนอยู่จะทำอย่างไร
ก่อนหน้านี้ยังพอทำไม่รู้ไม่ชี้ได้ ตอนนี้มาเกาะหลังคาแอบฟังความลับบ้านเมืองเขาเช่นนี้
ไม่ใช่ว่ายังไม่ทันอ้าปากหัวก็หลุดจากบ่ากลิ้งหลุนๆไปก่อนหรือ
ฟุ่บ
เสียงผ้าสะบัดก่อนจะมีร่างหนึ่งกระโดดลอยขึ้นมาเหนือหลังคา
ฉันแหงนหน้ามองร่างคุ้นตานั้นในท่าจิ้งจกตากแห้ง
มองจนเขาลงมายืนอยู่ข้างๆก็ยังไม่อาจพาตัวเองลุกจากท่าจิ้งจกตากแห้งได้
“มาทำสิ่งใดที่นี่” น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยถาม
เป็นเพราะหน้ากากปิดบังใบหน้าไปกว่าครึ่งจึงไม่อาจจับอารมณ์ได้
ฉันเงยหน้าไปยิ้มแห้งๆ
“สำรวจหลังคาอยู่ดีๆเส้นกลับยึด ขาทั้งเจ็บทั้งชา
ไปไหนไม่รอด”
คนที่ยืนอยู่คล้ายจะหรี่ตามอง
“เจ้าจะสำรวจหลังคาไปเพื่อสิ่งใดกัน”
“ก็เพื่อ เอ้อ วัตถุดิบที่ใช้ทำหลังคานี้มีหลายระดับ
ข้าเห็นหลังคาหอแว่วเสียงคีตาของจินฟู่แล้วรู้สึกไม่ชอบใจเท่าไหร่นัก
จึงลองออกมาสำรวจหลังคาบ้านอื่นดู” สีข้างตอนนี้คาดว่าถลอกปอกเปิกไปจนหมดแล้ว
หยางชุนมองหน้าฉันที่ยังคงแหงนมองเขาในท่าจิ้งจกตากแห้ง
ก้าวเดินมานั่งเลยหัวจิ้งจกของฉันไปเล็กน้อย
“แล้วข้อสรุปของการสำรวจหลังคาในครั้งนี้ได้ความว่าอย่างไร”
เขาถาม น้ำเสียงเรียบเรื่อยไม่เหมือนกับคนที่เพิ่งถูกแอบฟังความลับยิ่งใหญ่
ทั้งยังชันเข่าข้างหนึ่งแหงนหน้าชมจันทร์อย่างปลอดโปร่ง
ฉันแหงนหน้ามองเขา ในตอนนี้หากมีผู้ใดยืนมองมาจากหลังคาฝั่งตรงข้าม
คงได้เห็นภาพอันน่ารันทดหดหู่ของจิ้งจกตัวหนึ่งซึ่งนอนเกาะหลังคาอยู่ข้างบุรุษรูปงาม
จะลุกก็ไม่ได้เนื่องจากนอนเกร็งจนตะคริวกินขาไปหมด
ได้แต่แหงนมองบุรุษรูปงามชมจันทร์อย่างน่าเวทนาไปเช่นนั้น
“ว่าอย่างไรเล่า การสำรวจหลังคาของเจ้า”
เขาหันกลับมาถามย้ำ
ฉันคอตก เอาหัวหนุนแขน พูดพลางถอนหายใจเฮือก
“ทีหน้าทีหลังอย่าได้มาพูดคุยเรื่องสำคัญในสถานที่เช่นนี้
พวกสอดรู้สอดเห็นอย่างข้านั้นมีมาก” และเป็นเพราะฉันนอนหนุนแขนตนเองอยู่
จึงไม่ทันได้เห็นมุมปากเขาที่กระตุกยิ้มเล็กน้อย
“อยากลุกขึ้นนั่งดีๆหรือไม่”
“ไม่”
“เจ้าชอบอยู่ในท่านี้รึ”
“อยู่ท่านี้เจ้าอาจตัดคอข้าได้ลำบากขึ้นนิดหน่อย”
“เหตุใดเจ้าจึงคิดว่าข้าจะตัดคอเจ้า”
“แล้วเหตุใดเจ้าจะไม่ตัดคอข้าเล่า”
ฉันผงกหัวขึ้นเงยหน้าถาม สบตาเขาอยู่สักพักเขากลับเป็นฝ่ายเลื่อนสายตาออก
ทอดมองไปเบื้องหน้า
“หากจะทำเช่นนั้น ข้าคงทำไปตั้งแต่แรกแล้ว
ไม่ปล่อยให้เจ้านอนอยู่ในท่าประหลาดเช่นนี้จนเส้นยึดหรอก”
“เช่นนั้นก็แปลว่า” ฉันผงกหัวขึ้นสูงกว่าเดิม จากจิ้งจกตอนนี้เริ่มคล้ายจิ้งเหลนเข้าไปทุกที เห็นเขาไม่ตอบสิ่งใดก็มั่นใจแล้วว่าครั้งนี้รอดพ้นชีวิตยังไม่ถึงฆาตเป็นแน่ รีบดันตัวลุกขึ้นอย่างไม่เจียมสังขาร กลัวว่าเกิดเขาเปลี่ยนใจขึ้นมาจะได้ลากสังขารนี้หนีทัน
พรืด
สังขารนั้นใช่ว่าจะเป็นตามใจนึกเสียตลอด
นอกจากขาไม่ขยับแล้วในตอนยันตัวจะลุกขึ้นตัวกลับเอียงวูบกลิ้งหลุนๆลงไปตามแนวหลังคา
หากไม่ได้มือหยางชุนคว้าจับข้อมือไว้ก็ไม่ทราบว่าสภาพจะเป็นอย่างไร
ดวงตาภายใต้หน้ากากนั้นเหมือนเห็นแววเหนื่อยใจอยู่หลายส่วน
เขาออกแรงกระตุกดึงให้ฉันลอยขึ้นไปบนอากาศ จากนั้นลุกขึ้นคว้าจับเอวฉันดึงกลับลงมาให้ยืนอยู่ต่อหน้า
กระทำรวดเร็วเสียจนกว่าฉันจะจับต้นชนปลายได้ก็มายืนประจันหน้ากับเขาในระยะห่างเพียงคืบเดียวแล้ว
กะพริบตาปริบๆมองใบหน้าที่ยังคงมีหน้ากากปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง
ผมเผ้าที่ม้วนเก็บไว้อย่างดีก่อนออกมาหลุดลุ่ยแผ่สยาย
หากไม่ติดว่าทั้งฉันและเขาต่างคนต่างปิดบังใบหน้า เขาปิดครึ่งบนเหลือแค่ปาก ฉันปิดครึ่งล่างเหลือแค่ตา
ภาพฉากนี้อาจเป็นภาพฉากชายหญิงสบตาพินิศใบหน้ากันและกัน เป็นภาพฉากที่งดงามโรแมนติกภาพหนึ่ง
หากแต่เมื่อนึกถึงฉันที่แต่งชุดดำดั่งโจรแล้ว
หากมืออีกข้างของเขาที่ไม่ได้อยู่ตรงเอวฉันถือมีดง้างใส่
ภาพฉากนี้ก็จะกลายเป็นฉากสังหารกลางแสนจันทร์ งดงามสยดสยองเป็นอย่างยิ่งไม่ต่างกัน
หยางชุนยกมือข้างที่ไม่ได้โอบรอบเอวฉันขึ้นมา คิดว่าเขาจะเอามีดง้างใส่เหมือนในมโน
เขากลับเอามือนั้นถอดหน้ากากที่ตนเองใส่อยู่ ตัวฉันชะงัก
แม้แต่มือที่กำลังจะผลักเขาออกก็พาลชะงักตามไปด้วย คิ้วเข้ม ดวงตาคมกริบ จมูกโด่ง
ไล่ลงมาจนถึงริมฝีปากหยัก ใบหน้าล้ำเลิศเย็นชานี้ร้ายกาจอย่างมาก
ร้ายกาจจนเรียกได้ว่าแทบหยุดหายใจ
เขามองสบตาฉัน
มาบัดนี้ถึงได้สังเกตว่าดวงตาคู่นี้ของเขานอกจากคมกริบอย่างมากแล้วยังทรงอำนาจอีกด้วย
เป็นเขาไม่ผิดแน่ ผู้ที่อ๋องฉู่เล็งเห็นว่าคู่ควรที่จะสวมอาภรณ์มังกร
รัชทายาทเหยียนจวิ้นผู้นั้น มือที่รั้งเอวอยู่ค่อยๆคลายออก อดีตรัชทายาทน้อยผู้ซึ่งทุกคนคิดว่าล่วงลับไปแล้วหันกายเดินออกจากตัวฉันมองไปทางอื่น
ฉันมองตาม ผ่อนลมหายใจออก เพิ่งรู้ว่าตนเองหยุดหายใจไปครู่หนึ่งจริงๆ
“อยากฟังหรือไม่” เขาเอ่ยถาม
มือที่ถือหน้ากากไว้ไพล่หลัง สายตาทอดมองเบื้องหน้า
“ไว้ใจข้าหรือไม่” ฉันถามกลับ มือดึงผ้าที่ปิดบังใบหน้าออกเนื่องจากหายใจไม่ค่อยสะดวก
“หากไม่ไว้ใจเจ้า ข้าคงตายไปนานแล้วกระมัง”
“นานแล้ว” ฉันทวนคำ “นานแล้วนั่น นานสักเพียงไหนกัน”
หยางชุนเงียบไป จากตรงที่ฉันยืนอยู่มองเห็นเพียงเสี้ยวหน้าในฝั่งที่แสงจันทร์สาดมาไม่ถึงของเขา
จึงไม่อาจคาดเดาได้ว่าเขากำลังทำหน้าอย่างไรอยู่
“สักสิบปี”
คำตอบที่ไม่คิดว่าจะได้ยิน
ไม่คิดว่าเขาที่แทบไม่เคยเปิดเผยสิ่งใดจะตอบออกมาง่ายดายเพียงนี้
“เจ้าเคยพบข้า” ฉันกล่าว
สายตาจ้องมองเสี้ยวหน้าในเงามืดนั้น
เงามืดแปรเปลี่ยนเป็นสว่างยามเมื่อร่างสูงตรงหน้าหันกายกลับมา
แสงจันทร์สาดกระทบ แม้ใบหน้ายังคงเรียบเฉย หากแต่ดวงตากลับทอแววบางอย่างอยู่จางๆ
“ข้าเคยพบเจ้า”
เรือนไผ่เงียบสงบ
ประมุขขวาหานเจี้ยถือม้วนกระดาษฉบับหนึ่งนั่งนิ่งอยู่ที่โต๊ะทำงานประจำกาย
เบื้องหน้า...สตรีผู้ได้ชื่อว่าเป็นประมุขซ้ายแห่งหอจันทราจ้องมองตรงมายังเขา
“เรื่องนี้แต่แรกล้วนเป็นความรับผิดชอบของเจ้า”
หานเจี้ยเอ่ย สายตายังคงจดจ่ออยู่กับม้วนกระดาษในมือ
“ถูกแล้ว เป็นความรับผิดชอบของข้า
ของข้าแต่เพียงผู้เดียว” ใบหน้าที่มักมีแววขี้เล่นใจดีบัดนี้เรียบสนิท
“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่เล่า”
ผู้เป็นเจ้าของเรือนเอ่ยถาม เงยหน้าจากม้วนกระดาษขึ้นมอง
ไป๋เสวี่ยจ้องประสานสายตา
“เพื่อมาขอร้องเจ้า” กล่าวตอบอย่างหมายมั่นชัดเจน
“ตั้งแต่แรกข้าบอกเจ้าแล้ว เขาไม่มีทางรามือ”
“ใช่ว่าตัวข้าคิดว่าเขาจะยอมรามือ
ตั้งแต่แรกนั้นรู้ดีอยู่แล้ว”
“เช่นนั้นเจ้าก็ยังเลือกที่จะช่วยเหลือเขา”
“คำสัญญานั้นสำคัญเพียงใด
ไม่ใช่ว่าเจ้าเองก็รู้ดีหรือไร”
ดวงตาดั่งน้ำทะเลลึกแข็งกร้าวขึ้นมาวูบหนึ่ง
ไป๋เสวี่ยกลับเพียงยิ้มบางเบา
“เมื่อได้ยื่นมือเข้าช่วยแล้วก็นับว่าวาสนาผูกเข้าด้วยกันตั้งแต่ตอนนั้น
ไม่อาจปล่อยทิ้งไปได้อีก มีแต่ต้องช่วยเหลือส่งไปให้ถึงที่สุดเท่านั้น ไม่ใช่ว่าหลักการนี้เจ้าเองก็ยึดถือเช่นเดียวกันหรอกหรือ
หานเจี้ย”
รองประมุขซ้ายขวาประสานสายตากัน
แสงเทียนไหววูบไปตามแรงลมที่ผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง ในที่สุดผู้ดำรงตำแหน่งรองประมุขขวาก็ถอนหายใจ
“ประมุขจันทราหาใช่ผู้ที่พูดคุยตกลงด้วยได้ง่าย
เรื่องนี้เจ้าเองก็รู้ดี”
“เช่นนั้นข้าถึงได้มาหาเจ้าอย่างไรเล่า”
“หยางชุนพูดคุยเรื่องนี้กับเจ้าแล้วอย่างนั้นรึ”
“อีกไม่นานเขาต้องเข้ามาพูดคุยกับข้าอย่างแน่นอน”
หานเจี้ยวางม้วนกระดาษในมือลง
หันมองรูปภาพต้นไม้ใหญ่บนภูเขาซึ่งติดอยู่ที่ผนัง พูดด้วยน้ำเสียงทอดถอน
“สัญญา...เพียงคำเดียวกลับมีอำนาจเหนือสิ่งใด”
ไป๋เสวี่ยหันมองตาม
“มีอำนาจหรือไม่นั้นล้วนอยู่ที่ผู้มอบสัญญา
ว่าใจนั้นยึดถือมันเพียงใด”
ระหว่างที่สองประมุขซ้ายขวาพูดคุยกัน
กล่องไม้สลักอักขระซึ่งถูกเก็บไว้ในหีบลับของรองประมุขขวาสว่างวาบขึ้น
แสงสีทองสาดให้เห็นรอยอักขระซึ่งลบเลือนไปบางส่วน ในเวลาเดียวกันนี้ ณ
ที่แห่งหนึ่ง บนโต๊ะไม้เนื้อดีสลักลวดลายอย่างหรูหรา
กระบี่สูงค่าทอแสงสีทองจางๆออกมาราวกับกำลังตอบรับอะไรบางอย่าง
ด้ามกระบี่งดงามทองอร่ามไม่ต่างจากแสงที่กำลังเรืองรอง หากแต่ตัวกระบี่เกือบทั้งหมดกลับเป็นสีดำ
แสงเทียนบนโต๊ะไหวรับแสงสีทองจากตัวกระบี่
สาดให้เห็นร่างหนึ่งซึ่งหันมามองปรากฏการณ์นี้อย่างเงียบงัน
------------------------------------------------------------------
ขอบคุณคุณ Uray ที่ช่วยตอบคำถามให้ด้วยนะคะ
*ช่วงตอบคำถาม*
คือนางเอกต้องตามหาตัวเองเพื่อถามถึงภารกิจของตัวเอง?
นางเอกไม่ได้ตามหาตัวเองค่ะ หญิงชุดขาวไม่ใช่นางเอก ตอนที่แล้วมีบอกไปแล้วนิดหน่อยว่านางเป็นใคร นางเอกตามหาว่าตัวเองมาที่นี่ทำไม เพราะเชื่อว่าตัวเองน่าจะมีภารกิจถึงได้ถูกส่งมา กำลังพยายามตามหาข้อเชื่อมโยงของหยกขาวกับชีวิตบ่อก่อนๆที่ถูกส่งไปว่าเกี่ยวข้องกันหรือไม่ ตอนหน้าเดี๋ยวจะได้ข้อสรุปคร่าวๆแล้วว่าสามปีมานี้ได้อะไรบ้าง ส่วนตอนนี้คิดว่าน่าจะพอจับทางกันได้แล้วว่าจุดเชื่อมโยงของสองบ่อที่แล้วคืออะไร
ให้ 27 พอตายแล้วต่อไปได้เป็นเซียนบนสวรรค์ได้มั้ย?
จากตำนานที่เราอ่านๆมาบ้างฟังเพื่อนเล่าบ้างสรุปได้ว่า เทพเซียนในตำนานจีนนั้นจะมีอยู่ 2 แบบ แบบที่เกิดมาก็เป็นเทพเซียนแล้วกับอีกแบบคือมนุษย์ สัตว์ สิ่งมีชีวิตในบนโลกบำเพ็ญเพียรจนบรรลุกลายเป็นเซียน ดังนั้น 27 จึงเป็นเทพเซียนไม่ได้ เขาจะเข้าสู่การเวียนว่ายของมนุษย์เพื่อไปเกิดใหม่แทน เกิดชาติหน้าชีวิตอาจจะดีกว่าเดิมก็ได้นะ
ความคิดเห็น