ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ผ่านภพบรรจบฟ้า (ตีพิมพ์กับสนพ. คำต่อคำ)

    ลำดับตอนที่ #17 : ตอนที่ ๑๖ สามสหายรวมตัวอีกครั้ง

    • อัปเดตล่าสุด 4 มิ.ย. 59


     

    ตอนที่ ๑๖ สามสหายรวมตัวอีกครั้ง



    “การพาดวงวิญญาณจากภพอื่นมานั้นไม่ใช่เรื่องสมควร ถือเป็นการผิดหลักสมดุลซึ่งค้ำจุนภพต่างๆอยู่ การที่นางพาดวงวิญญาณเจ้ามาหากไม่ใช่ด้วยเหตุจำเป็นบางอย่าง ก็คงเป็นเพราะแต่เดิมวิญญาณเจ้าเป็นของภพนี้อยู่ก่อนแล้ว”


    ฉันคิดทบทวนคำพูดของอาจารย์ เมื่อตอนกลางวันตัดสินใจเล่าเรื่องทุกอย่างให้เขาฟัง เล่าตั้งแต่เรื่องที่ฉันไม่ใช่คนของภพนี้ ตั้งแต่หญิงชุดขาว เทพบุตรโลกวิญญาณ บ่อสามบ่อ จางลู่หลิน เสวียนกุ้ยถิง จนมาถึงชาตินี้ที่ได้เป็นสี่สิบสาม อาจารย์รับฟังเงียบๆตั้งแต่ต้นจนจบ เมื่อฟังจบแล้วก็ไม่ได้กล่าวหาว่าสติฉันวิปลาสไปแต่อย่างใด เขาบอกว่าหญิงชุดขาวผู้นั้นมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นเทพเซียน เพราะมนุษย์ธรรมดาคงไม่มีอำนาจมากพอที่จะชักจูงวิญญาณของผู้ใดได้


    ฉันเอนตัวพิงกับต้นไม้เงยหน้ามองท้องฟ้าสีเข้มที่มีดวงดาวพร่างพราย หลังจากได้ป้ายประจำตัวมาแล้วก็สามารถเข้าออกหอจันทราได้โดยไม่ต้องขออนุญาต ดังนั้นในเวลาว่างหรือเวลาอาจารย์ไม่อยู่ฉันจึงมักจะกลับมาที่ค่ายเด็กฝึก มานั่งคิดทบทวนเรื่องต่างๆอยู่ในป่าตรงที่เคยเป็นจุดซุ่มฝึกซ้อมของฉันตรงนี้


    ฟุ่บ


    มีดสั้นพุ่งตรงเข้ามา ฉันพลิกตัวลงจากกิ่งไม้ที่นั่งอยู่ลงสู่พื้น มือจับด้ามกระบี่หันขวับไปทางทิศที่มีดถูกซัดมา


    “โฮ่ ถือว่าพัฒนาขึ้น หลบเลี่ยงอย่างใจเย็นไม่ลนลานเช่นแต่ก่อน” น้ำเสียงยียวนที่ได้ยินก่อนเห็นตัวทำให้ฉันคลายมือที่จับกระบี่ลง


    “นี่เป็นวิธีทักทายศิษย์เก่าของท่านหรืออย่างไร” ย้อนถามร่างสูงที่เดินออกมาจากในป่า


    ผู้คุมสามส่งยิ้มกวนให้ เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าฉันแล้วก้มตัวมาจนอยู่ในระดับสายตาเดียวกัน


    “แล้วศิษย์เก่าอย่างเจ้ามารำลึกความหลังอะไรแถวนี้เล่า”


    ฉันหันหน้าหนีจากใบหน้ายียวนของเขา เดินไปกอดอกพิงต้นไม้


    “พวกท่านยังไม่เห็นเริ่มฝึกเด็กรุ่นใหม่เสียที ข้ากลับมาจะเป็นไรไป”


    “อย่างนั้นรึ” เขาเบ้ปากพยักหน้าหงึกๆ “ข้านึกว่าพวกเจ้าทุกคนเมื่อก้าวไปข้างหน้าแล้ว ไม่มีผู้ใดอยากย้อนกลับมายังอดีตเสียอีก”


    “ข้ากลับคิดว่าอดีตนั้นเป็นสิ่งที่คอยย้ำเตือนไม่ให้เราหลงลืมตัวตนเดิมของเราไป นานๆกลับมาทีไม่เห็นเป็นไร”


    “เจ้านี่นะ” มือของคนตัวสูงกว่าขยี้ผมฉันจนฟูอย่างไร้ความเกรงใจ “ตัวแค่นี้ทำราวกับเป็นคนแก่ที่ผ่านโลกมามาก”


    ฉันก้มหน้ายิ้มขำ ความจริงแล้วก็ผ่านโลกมามากจริงๆ หลายชาติเสียด้วย


    “ได้รับนามแล้วใช่หรือไม่”


    “นามของข้าคือหลิ่งเฟย”


    “หลิ่งเฟย” ผู้คุมสามพูดทวน “เป็นชื่อที่ดี เหมาะกับเจ้าดี”


    เขาเดินมายืนพิงต้นไม้ข้างๆ ในเวลาเดียวกันสายลมก็พัดผ่านมาหอบหนึ่งดั่งตอบรับนามที่มีความหมายเดียวกับมัน


    "หากข้าถามบางสิ่งเกี่ยวกับท่าน ท่านจะโมโหข้าหรือไม่"


    ฉันเงยหน้าถามบุรุษสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ ได้มายืนข้างเขาเช่นนี้ถึงเห็นว่าเขาสูงใหญ่ขึ้นเพียงใด ผู้คุมสามจอมยียวนผู้นี้ไม่ได้เป็นเหมือนเด็กม.ต้นที่อยู่ตามร้านเกมแถวบ้านฉันในภพก่อนอีกแล้ว คิดได้แบบนี้ก็อดนึกถึงไอ้ฟิล์มขึ้นมาไม่ได้ ป่านนี้ไม่รู้เป็นอย่างไรบ้าง จะเรียบจบมหาวิทยาลัยแล้วหรือยัง


    "บอกว่าอยากถามข้า ไยคนถามกลับยืนเหม่อเช่นนี้เล่า"


    "ข้าหาได้ยืนเหม่อ เพียงแต่ท่านยังไม่รับปากเสียที ข้าจึงรอฟังอยู่"


    "โฮ่ ไอ้เจ้าลูกหมานี่ อุตส่าห์เปลี่ยนมานุ่งกระโปรงเช่นนี้แทนที่จะอ่อนหวานขึ้นบ้าง กลับพัฒนาเป็นเจ้าลูกหมาจอมเจ้าเล่ห์เสียได้"


    "อย่าพูดเช่นนี้เลย คำว่าอ่อนหวานจากปากท่านนั้น ได้ยินแล้วข้ากลับขนลุกอย่างไรบอกไม่ถูก" ฉันพูดเรียบๆ ก้มหน้าเอามือลูบแขนตัวเองสองที


    "ฮ่าๆๆ เจ้านี่มัน เอ้า อยากถามสิ่งใดก็ถามมา"


    "ท่านจะไม่โมโหข้าใช่หรือไม่"


    ผู้คุมสามเหล่มอง ฉันเงยหน้าจ้องกลับหน้าซื่อ เขาเห็นดังนั้นก็หัวเราะแล้วเอามือยีผมฉันจนฟูอีกครั้ง


    "ข้ารับปากจะไม่โมโหเจ้า อยากถามสิ่งใดก็ถามมา"


    ฉันนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะถาม


    "เหตุใดท่านจึงเลือกรั้งอยู่ที่นี่ แทนที่จะเข้าสู่สี่หอหลัก"


    ผู้คุมสามชะงักไปเล็กน้อย ยกมือออกจากหัวฉัน


    "ในเวลานั้นข้าเพียงไม่หลงเหลือเป้าหมายให้ก้าวต่อไป" เขาตอบ สายตามองใบไม้ที่กำลังไหวไปมาบนกิ่งไม้กิ่งหนึ่ง


    "เพราะเหตุใด"


    เขาถอนหายเฮือก


    "เมื่อก่อนนี้ข้าเป็นขอทานไม่มีพ่อแม่ ตั้งแต่จำความได้ก็เร่ร่อนไปทั่วเสียแล้ว ในตอนนั้นข้ามีเพื่อนที่สนิทกันจนนับเป็นพี่น้องอยู่คนหนึ่ง พวกเราถูกจับมาที่นี่พร้อมกัน ในตอนนั้นเทียบกับการเป็นขอทานที่ต้องอดมื้อกินมื้อแล้วที่นี่ก็ไม่ได้เลวร้ายสักเท่าไหร่ในสายตาพวกข้า เราวาดฝันไว้ว่าจะเข้าสู่หอนภา เป็นพ่อค้าเดินทางไปในที่ต่างๆ แต่สุดท้าย..." เขาหยุดเว้นวรรคไปครู่หนึ่ง "น้องชายข้าผู้นั้นก็ไปต่อไม่ไหว เขาปลิดชีพตนเองก่อนถึงวันทดสอบสุดท้ายเพียงหนึ่งวัน"


    ฉันอึ้ง


    "ข้าในเวลานั้นรู้สึกอย่างไรไม่อาจแจกแจกได้ ทั้งโมโห เคียดแค้น เสียใจ ทุกสิ่งปะปนกันไปหมด ออกมาจากป่าทดสอบได้ก็ตะโกนถามพวกเขาลั่น พวกท่านจะทำอย่างไรกับพวกที่ออกมาไม่ได้ตามกำหนด จะสังหารพวกเขารึ พวกเขาทำสิ่งใดผิดกัน ความจริงไม่ได้ถามเปล่า ข้าพร้อมพุ่งเข้าฟาดฟันพวกเขาเอาชีวิตเข้าแลกแล้วเสียด้วยซ้ำ" เขาพูดกึ่งขำ


    "แล้วพวกเขาตอบว่าอย่างไร"


    "เจ้าคิดว่าพวกเขาจะสังหารผู้ไม่ผ่านการทดสอบจริงๆรึ" ผู้คุมสามถามกลับ "หากสังหารเด็กจนหมดสิ้นจะเอาแรงงานที่ไหนมาใช้งานเล่า เจ้ามาที่นี่บ่อยๆไม่พบเจ้าเก้าที่ทำงานอยู่โรงครัวบ้างหรืออย่างไร"


    ความจริงข้อนี้ทำเอาฉันหันมองผู้คุมสามตาโต


    "ก็ไหนว่าเอะอะพวกเขาก็จะฆ่าพวกเราตาย"


    "นั่นพวกเจ้าลือกันไปเองทั้งสิ้น"


    "ถ้าเช่นนั้น... สาวใช้ คนงานทั้งหมด" ฉันพูดตะกุกตะกัก


    "ถูกแล้ว เจ้าอย่าได้คิดรังแกพวกเขาเชียว ผู้เฝ้าประตูก็เป็นคนหนึ่ง เขากินเห็ดพิษเข้าไป หลับอยู่ในนั้นจนเกินกำหนดจึงไม่ผ่านการทดสอบ ทั้งๆที่ฝีมือเขาร้ายกาจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าผู้ใด"


    เรียกได้ว่าล่มจมเพราะการนอนโดยแท้ ฉันคิดในใจ


    "เจ้าคิดว่าผู้คุมเช่นข้าเป็นอย่างไรบ้าง" อยู่ๆเขาก็ถามขึ้นมา


    ฉันเงยมองหน้าเขานิดหนึ่งก่อนจะเริ่มนับนิ้ว


    "กวนประสาท น่าโมโห เคี้ยวหญ้าเคี้ยวไม้น่ารำคาญ" รู้สึกเหมือนขาข้างขวาของผู้คุมสามกระตุก "หากแต่ก็เป็นกันเอง ฝึกสอนให้คำแนะนำพวกข้าเป็นอย่างดี คอยชี้จุดดีจุดด้อยให้ตลอด ข้าพัฒนาขึ้นมากหลักๆแล้วต้องขอบคุณท่าน" พูดแล้วก็หันไปยิ้มประจบใส่


    "หึ มีข้าอยู่นับเป็นโชคดีของพวกเจ้า ในรุ่นก่อนๆนั้นไม่มีผู้ใดมานั่งแนะนำพวกเจ้าเช่นนี้หรอก เก็บเกี่ยวไปได้ก็เก็บเกี่ยว หากไม่ได้ก็ลำบากเจ้าเอง"


    "สี่สิบสามซึ้งในน้ำใจท่านผู้คุมสามยิ่งนัก" ฉันแสร้งทำเป็นย่อตัวลง


    "เจ้านี่มัน" เขายกมือทำท่าจะยีหัวฉันอีกแต่ก็ไม่ได้ยี เพียงแยกเขี้ยวใส่แทน "ไปอยู่กับรองประมุขขวาคงไม่ได้กวนประสาทเขาเช่นนี้หรอกนะ"


    "ข้าหาใช่คนไม่รู้ความจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร ที่มอบให้รองประมุขขวาล้วนมีแต่ความเคารพนอบน้อมทั้งสิ้น"


    "แล้วข้าเล่า"


    ฉันไม่ตอบ เงยหน้ายิ้มมุมปากใส่เขา ผู้คุมสามหรี่ตามอง


    "เจ้าลูกหมานี่ ตอนนั้นเป็นเพียงลูกหมาแท้ๆ" เขาหัวเราะในลำคอ หันไปหักปลายไม้เล็กๆมาจากกิ่งใกล้มือ "อยู่จันทราก็ดีไปอย่าง หากอยู่วารีล่ะก็คงได้เติบโตมาเป็นหญิงอันตรายโดยแท้" พูดแล้วเอาไม้เข้าปากคาบ หันกายเดินจากไปอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเช่นนี้เอง


    อยู่วารีคงได้เติบโตมาเป็นหญิงอันตราย แล้วหญิงที่อันตรายอยู่แล้วอย่างสิบสองเล่า นึกถึงใบหน้างดงามนั้นพลันรู้สึกหนาวยะเยือกแทนเจ้าสิบเก้าที่อยู่หอเดียวกันขึ้นมา


    ฉันกลับหอจันทราหลังจากนั้น เจอสาวใช้โค้งตัวหลบให้ก็นึกไปถึงคำพูดของผู้คุมสามอดไม่ได้โค้งกลับ สาวใช้มองหน้าฉันงงๆโค้งกลับมาอีกครั้ง ฉันเห็นดังนั้นก็โค้งตอบ โค้งกันไปโค้งกันมาจนหัวหน้าหน่วยสี่บังเอิญเดินผ่าน ถูกดุเข้าให้ว่าไม่มีงานการทำหรืออย่างไรถึงมายืนเต้นรำกันอยู่ตรงนี้ ฉันเดินออกมางงๆ ก้มๆเงยๆแบบนั้นถือเป็นการเต้นรำประเภทไหนกัน


    สายลมพัดผ่านพาเอาใบไม้ปลิดปลิว ฤดูใบไม้ร่วงมาเยือนอีกไม่นานจะเข้าสู่ฤดูหนาว หอจันทรายังคงเงียบเหงาวังเวงเช่นเดิม






     

    สามปีผ่านไป


    ฤดูใบไม้ผลิปกคลุมหอจันทรา ดอกไม้ใบไม้ชูช่อสดสวยเปลี่ยนสีดำอันเป็นสีประจำหอให้ดูสว่างสดใสขึ้นมาก กระทั่งบัวในสระที่ไม่ค่อยมีผู้ใดในหอสนใจก็ยังแข่งกันบานเหนือน้ำ งดงามไม่แพ้ไม้บกใด ฉันก้าวเท้าเร็วๆเดินผ่านสระบัว ชายกระโปรงสีฟ้าพลิ้วสะบัด รีบตรงดิ่งกลับเรือนไผ่หลังจากทำภารกิจเสร็จ ภารกิจสุดสะพรึงที่ลำบากยิ่งกว่าตอนออกไปด้านนอก เข้าเขตเรือนไผ่แล้วก็เดินเลี้ยวไปห้องทำงานรองประมุขหานเจี้ยอย่างคุ้นเคย


    "อาจารย์ หลิ่งเฟยกลับมาแล้ว!"


    "เข้ามา"


    ฉันผลักประตูเข้าไป อาจารย์ยังคงนั่งอ่านเอกสารอยู่ที่โต๊ะเช่นเดียวกับตอนที่ฉันออกไป


    "ครั้งนี้นับว่าเจ้ากลับมาเร็ว” เขาพูด สายตาไล่อ่านเอกสารในมือ


    ฉันไม่ได้ตอบสิ่งใด เร็วกว่าเดิมหรือไม่นั้นไม่อาจทราบ นำเอกสารไปให้รองประมุขซ้ายทีไรโดนนางกักตัวไว้ให้อยู่คุยเป็นเพื่อนเสียทุกที คุยจนน้ำชาในถ้วยเย็นชืดแล้วก็ยังไม่จบ รองประมุขซ้ายที่มีทักษะการพูดไม่หยุดสูงจนถึงขั้นโหดเหี้ยม ฉันนั่งฟังเนิ่นนานจนรู้สึกราวกับผมจะร่วงหมดหัวนางยังหาเรื่องมาคุยได้ต่อ ความเก็บกดจากการโดนผู้ช่วยเอางานมาสุมนี้ไม่ใช่เล่นๆเลยจริงๆ


    "นางว่าอย่างไรบ้าง" อาจารย์เอ่ยถาม ฉันจึงจำต้องเลิกสะพรึงกับความโหดเหี้ยมของรองประมุขซ้ายชั่วคราว


    "ท่านรองประมุขซ้ายบอกว่าท่านประมุขหอจันทราหายเข้ากลีบเมฆไปเช่นนี้ ท่านไหนเลยจะควรเอางานมาโยนใส่นางอีก เท่านี้ก็จะกลบฝังนางตายแล้ว" ฉันตอบ ถ่ายทอดคำพูดไปอย่างครบถ้วน


    "อืม" อาจารย์ตอบรับ ไร้ซึ่งความเห็นใจต่อรองประมุขซ้ายที่กำลังจะถูกกลบฝังอย่างสิ้นเชิง "มีใบภารกิจสำคัญมา" เขาเงยหน้าขึ้นจากม้วนเอกสาร "ภารกิจนี้หยางชุนเสนอตัวขอรับด้วยตนเอง"


    "ภารกิจใดรึ" ฉันถาม


    สามปีมานี้ความล้ำเลิศของเขายิ่งก้าวหน้าไปมาก วงแลกแปลกเปลี่ยนสนทนาในครัวที่ฉันไปสนิทสนมด้วยเพราะต้องนำสำรับอาหารมาให้อาจารย์ทุกวันบอกว่า ตอนนี้เขาอยู่ในลำดับต้นๆของหน่วยสามเลยทีเดียว เก่งกล้าพอที่จะเลือกอาสาทำภารกิจที่หน่วยประกาศแจ้งได้โดยไม่ต้องการพิจารณา


    "ลอบสังหารเสนาบดีคลังของแคว้นฉู่" อาจารย์ตอบ


    "เสนาบดีคลัง" ฉันทวนคำอึ้งๆ ด้วยตำแหน่งนี้ไม่ใช่ว่าเป็นภารกิจระดับสูงหรอกหรือ


    "เขารับอาสาทำภารกิจนี้เพียงผู้เดียว" อาจารย์พูดต่อ "เขายืนยันว่าทำได้ หัวหน้าหน่วยสามจึงส่งเรื่องมาให้ข้า"


    "อาจารย์ แล้วท่านคิดเห็นอย่างไร"


    "หยางชุนเป็นคนมีฝีมือ ฉลาดรอบคอบ เพียงแต่ภารกิจนี้สำหรับเขาออกจะเกินตัวอยู่สักหน่อย เจ้ารู้หรือไม่ เขาเกี่ยวข้องอย่างไรกับแคว้นฉู่"


    "เขาเคยบอกว่าแคว้นฉู่คือบ้านเกิด" ฉันตอบ


    อาจารย์มองหน้าฉันก่อนจะมองข้อความในเอกสาร


    "ภารกิจนี้เกรงว่าเขาจะวู่วาม"


    "เหตุใดเขาจึงจะวู่วามเล่า"


    "เสนาบดีคลังผู้นี้ฉ้อราษฎร์บังหลวง คดโกงทั้งภาษีและเบี้ยหวัดทหาร ยิ่งตอนนี้แคว้นฉินทรงอำนาจ ข้อพิพาทกับเว่ยที่ยังไม่ได้ตัดสินนั่นก็มีสิทธิ์ก่อสงครามขึ้นสูง ฉู่ซึ่งเป็นหนึ่งในแคว้นใหญ่ไม่ควรเกิดปัญหาต่อชาวบ้านและทหารเช่นนี้"


    "แล้วอ๋องฉู่ ไม่มีผู้ใดรายงานเรื่องนี้รึ"


    "อ๋องผู้นี้จะว่าไป ตั้งแต่ขึ้นครองราชย์เมื่อห้าปีก่อนยังไม่มีผลงานใดเป็นชิ้นเป็นอัน ในยุคที่ฉินกล้าแกร่งขึ้นมากราวกับกำลังจะก่อการใหญ่เช่นนี้ หากผู้นำแคว้นอื่นไม่เก่งกาจแล้วโอกาสเกิดสงครามแย่งชิงดินแดนย่อมมีสูง อย่าว่าแต่แคว้นจ้าวจนบัดนี้ยังแก้ไขปัญหาการเมืองภายในไม่ได้ แคว้นใหญ่ๆนั้นจึงเหลือเพียงฉู่ที่ยังพอคานกับฉินไว้"


    อย่างที่รู้ ตามประวัติศาสตร์ในภพเดิมในที่สุดเจ็ดแคว้นจะถูกจิ๋นซีฮ่องเต้รวบรวมกลายเป็นหนึ่ง เป็นจีนแผ่นดินใหญ่ในเวลาต่อมา เพียงแต่เจ็ดแคว้นในภพที่ฉันยืนอยู่นี้หาใช่อดีตของภพเก่าที่จากมา ยุคสมัยและการพัฒนาสิ่งของรวมถึงการเรียกขานยศฐาบรรดาศักดิ์มีหลายสิ่งที่แตกต่าง เป็นเหมือนอีกโลกหนึ่งที่มีเพียงชื่อของเจ็ดแคว้นเท่านั้นที่เหมือนอดีตที่เคยได้ร่ำเรียนมา ดังนั้นในโลกนี้อาจไม่มีจิ๋นซีฮ่องเต้หรือหากมีผู้ที่คิดจะรวมแคว้นจริงคนผู้นั้นก็อาจไม่ใช่คนเดียวกับในประวัติศาสตร์ เจ็ดแคว้นอาจเกิดสงคราม อาจถูกรวมเป็นหนึ่ง หรืออาจไม่ถูกรวมยังคงสภาพเป็นเจ็ดแคว้นเช่นนี้อีกเนิ่นนาน ทุกอย่างสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น


    “ข้าได้ยินมาว่าในช่วงสามปีมานี้ท่าทีของฉินเปลี่ยนไปมาก ทั้งๆที่เมื่อก่อนพวกเขาเป็นแคว้นที่แม้องอาจก็อยู่กันอย่างเงียบสงบมาตลอด เพราะเหตุใดกัน" ฉันพูดด้วยสีหน้าครุ่นคิด ก่อนหน้านี้แม้ฉินจะเป็นแคว้นที่ขึ้นชื่อเรื่องกำลังทหารมาแต่ไหนแต่ไรกลับอยู่อย่างเงียบเชียบมาโดยตลอด การที่อยู่ๆพวกเขาลุกขึ้นมาทำท่าเหมือนจะรุกรานแคว้นอื่นเช่นนี้ย่อมต้องมีสาเหตุ


    "เจ้าจำได้หรือไม่ วันที่ข้าบอกเจ้าถึงเรื่องที่ในช่วงสิบปีนี้ทั้งจอมยุทธ์และแคว้นต่างๆเริ่มมีการเคลื่อนไหวอย่างลับๆ ฉินเป็นแคว้นหนึ่งที่เห็นได้ชัด อ๋องฉินพระองค์นั้นแต่เดิมดูเหมือนไม่มีสิ่งใดพิเศษ อยู่ๆเขากลับลุกมาปฏิวัติระบบต่างๆของแคว้น ปกครองเข้มงวดจนหลายครั้งเรียกได้ว่าโหดเหี้ยม เวลาผ่านไปกองทัพกำลังทหารกล้าแกร่งโดดเด่น จัดการชนเผ่าใหญ่ๆของแคว้นเสียราบ ยึดอำนาจเบ็ดเสร็จได้เกือบทั้งแผ่นดิน"


    "อยู่ๆเขากลับลุกมาปฏิวัติระบบต่างๆของแคว้น” ฉันพึมพำครุ่นคิด


    "เรื่องนี้จะอย่างไรก็ต้องนับว่าแปลก” อาจารย์เสริม “หอวารีตามสืบมาหลายปียังไม่อาจเข้าใจกระจ่างแจ้ง แม้เชื่อว่าพวกเขาคงมีเบาะแสบ้าง แต่เพราะยังไม่สามารถสรุปชัดเจนได้จึงยังไม่ปริปากสิ่งใดออกมา"


    "หยางชุน" ฉันนึกได้ "ท่านเห็นว่าเพราะเป็นบ้านเกิดเขาใช่หรือไม่ จึงเกรงเขาจะวู่วามสังหารเสนาบดีคดโกงผู้นั้นด้วยความโมโห"


    อาจารย์เงียบไปพักหนึ่งค่อยตอบออกมา


    "ก็อาจเป็นได้"


    ฉันนิ่งคิด จะอย่างไรหยางชุนก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ทั้งตอนนี้อายุ 18 ปี เข้าสู่ช่วงวัยรุ่นเลือดร้อนเต็มที่ หากเป็นภพที่แล้วของฉันนับว่าเป็นวัยฮอร์โมนพลุ่งพล่าน มีสิทธิ์ขาดสติไปชั่ววูบสูง ปล่อยเขาไปคนเดียวเช่นนั้นคงไม่ได้


    "อาจารย์ ภารกิจนี้ท่านใส่ชื่อข้ากับจิ้นเหอลงไปด้วยได้หรือไม่" ฉันพูดออกมาในที่สุด


    "ภารกิจนี้เสี่ยงอย่างมาก เจ้าแน่ใจแล้วรึ" อาจารย์ถาม มือวางม้วนเอกสารลง


    "ข้าเป็นถึงศิษย์ท่าน สามปีมานี้นอกจากติดตามช่วยงานท่านแล้วภารกิจยากๆแทบไม่ได้ออกทำเช่นคนอื่น เกรงว่าคมกระบี่บัดนี้คงทื่อหมดแล้วกระมัง"


    "อืม” อาจารย์พยักหน้า “เป็นเพราะคมกระบี่เจ้าทื่อนี่เองจึงไม่เคยเอาชนะข้าได้เสียที" น้ำเสียงเรียบเรื่อยหากแต่มุมปากนั้นโค้งขึ้นเล็กน้อย


    ฉันไม่ได้ตอบสิ่งใด แต่ยิ่งไม่ตอบสีหน้าของรองประมุขหานเจี้ยผู้นี้ก็ยิ่งดูอารมณ์ดีอย่างมาก แม้จะเป็นอารมณ์ดีที่แฝงอยู่ในสีหน้าสูงส่งไม่กระโตกกระตากของเขา แต่ฉันซึ่งรับใช้ใกล้ชิดมาสามปีไหนเลยจะดูไม่ออก ได้แกล้งฉันสำเร็จสักหนึ่งที ท่านรองประมุขผู้นี้ก็จะอารมณ์ดีไปหนึ่งวัน นับว่าสูงส่งได้อย่างน่าโมโหโดยแท้


    "เรื่องเพิ่มชื่อพวกเจ้านั้นไม่เป็นปัญหา แต่กับจิ้นเหอเขาได้ทำภารกิจอยู่หรือไม่ เจ้าควรตรวจสอบให้ดีเสียก่อน" อาจารย์พูดต่อ นำพู่กันจุ่มหมึกเขียนลงเอกสาร ท่าทีปลอดโปร่งสบายอารมณ์เกินเหตุเป็นอย่างมาก

     





    ตกดึกฉันลอบเข้าไปฝั่งเรือนพักบุรุษ เดินเข้าห้องจิ้นเหออย่างคุ้นเคย ไปถึงเห็นเขายังไม่กลับมาจึงจุดเทียนเอานิยายที่หยิบติดมือมาด้วยนั่งอ่านรออยู่ที่โต๊ะน้ำชา

    เสียงประตูเปิด


    เจ้าของห้องเดินเข้ามาได้ก้าวเดียวก็ชะงัก ยกนิ้วชี้หน้าฉันด้วยสีหน้าถมึงทึง


    “เจ้า” พูดมาหนึ่งคำก็หันกลับไปปิดประตูก่อนจะเดินมาตะคอกถามเสียงดัง “ไยเจ้ามาห้องข้าอีกแล้ว!


    “ภารกิจครั้งนี้เป็นอย่างไรบ้าง” ฉันลดนิยายในมือลง เงยหน้าถาม


    “ไม่ต้องมาภารกิจเป็นอย่างไรบ้าง ที่นี่เป็นเรือนพักบุรุษสตรีไม่ควรเข้ามา ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งแล้ว!


    “เอาน่า ข้าไม่ถือหรอก” ฉันโบกมืออย่างไม่ใส่ใจนัก


    “เจ้า!” จิ้นเหอนี้เวลาโมโหมากๆเข้ามักพูดได้แค่เจ้า นิสัยนี้ตั้งแต่เด็กจนโตไม่เคยเปลี่ยน


    ฉันแหงนหน้ามอง สามปีมานี้เขาสูงใหญ่ขึ้นมาก ตัวหนาไหล่กว้าง ใบหน้าคมเข้ม หากไม่ติดว่าดวงตาเรียวคู่นั้นของเขาดูดุไปเสียหน่อย ในสายตาผู้อื่นเขาคงดูเป็นมิตรน่าเข้าใกล้มากกว่านี้


    “เจ้าไม่นั่งรึ” เอ่ยถาม


    จิ้นเหอถลึงตาใส่ เดินมาทิ้งตัวลงนั่งตรงข้ามฉันอย่างแรงทั้งยังรินชาใส่ถ้วยยกซดอึกใหญ่ รอจนเขากระแทกถ้วยชาลงบนโต๊ะแล้วฉันถึงถามต่อ


    “ได้เบาะแสของนางบ้างหรือไม่”


    “ไม่” คำตอบสั้นๆห้วนๆ


    “อย่างนั้นรึ” ฉันพยักหน้ารับ ไม่ได้พูดสิ่งใดต่อ


    “หญิงชุดขาวท่าทางสูงศักดิ์เช่นนั้นจะอย่างไรก็ต้องโดดเด่นเหนือผู้อื่น สองปีมานี้ทั้งข้าและเจ้าพากันตามหาทุกครั้งที่ได้ทำภารกิจกลับไม่เคยพบ หากนางไม่เป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์อยู่ในอารามชั้นสูงก็คงเป็นจอมยุทธ์เก่งกล้าเร้นกายไม่พบผู้ใด ไม่เช่นนั้นก็คงเป็นเชื้อพระวงศ์สักองค์ในวังแล้ว” จิ้นเหอพูด ท่าทางหงุดหงิดโมโหคลายลงหลายส่วน


    สองปีก่อนฉันเอารูปวาดหญิงชุดขาวที่อาจารย์ลงมือวาดให้จากคำบอกเล่าของฉันให้จิ้นเหอดู บอกเขาว่าเป็นคนที่อยู่ๆปรากฏขึ้นมาในความทรงจำ ไหว้วานให้เขาซึ่งมีโอกาสได้ออกทำภารกิจข้างนอกมากกว่าช่วยค้นหาอีกแรง แม้นางมีสิทธิ์เป็นเทพเซียนอย่างที่อาจารย์พูด ฉันก็ยังไม่อยากคิดว่านางจะกลับภพภูมิเซียนไปแล้ว


    “เรื่องหญิงชุดขาวผู้นี้พักไว้ก่อน ที่ข้ามาพบเจ้าครั้งนี้เพราะเรื่องอื่น” ฉันเปลี่ยนเรื่อง “อาจารย์บอกข้าว่าหยางชุนรับอาสาทำภารกิจลอบสังหารเสนาบดีคลังแคว้นฉู่เพียงลำพัง”


    “เสนาบดีคลังรึ เดี๋ยวนี้เจ้านั่นกล้าเสนอตัวรับงานใหญ่ถึงเพียงนั้นเชียว”


    “เป็นเพราะภารกิจนี้ค่อนข้างเสี่ยง ลอบสังหารขุนนางชั้นผู้ใหญ่หากผิดพลาดขึ้นมาโทษล้วนถึงตาย”


    “จริงของเจ้า”


    “ดังนั้นข้าจึงเห็นว่าภารกิจนี้ไม่ควรปล่อยเขาไปเพียงลำพัง เลยบอกอาจารย์ให้เพิ่มชื่อข้ากับเจ้าเข้าไปด้วย”


    “อืม หืม เจ้าว่าอย่างไรนะ! ไยต้องมีชื่อข้าด้วยเล่า!” จิ้นเหอลุกพรวดชี้หน้า


    “เหตุใดไม่ได้ ภารกิจเจ้าก็เรียบร้อยแล้ว” ฉันเงยหน้าถามเขา กะพริบตาปริบๆ


    “ภารกิจลอบฆ่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ล้วนยุ่งยากกินเวลานาน มีรายละเอียดยิบย่อยให้ระวังมากมาย ครั้งหนึ่งข้าถูกไหว้วานให้ไปรับข่าวจากแม่ค้าหอนภายังต้องระวังทุกฝีก้าว จะทำสิ่งใดไม่ได้ทำเสียที ภารกิจน่าอึดอัดเช่นนี้ข้าไม่เอาด้วยหรอก”


    “อ้อ” ฉันลากเสียง “หากเจ้าคิดเช่นนั้นข้าย่อมไม่ฝืนใจ จะอย่างไรเกิดข้ากับหยางชุนผิดพลาดมีอันต้องทิ้งชีวิตอยู่แคว้นฉู่ทั้งคู่ก็วานเจ้าช่วยเผากระดาษไปให้ด้วยก็แล้วกัน ไม่รบกวนเวลาเจ้าแล้ว ราตรีสวัสดิ์” ฉันลุกขึ้น ถือนิยายเดินไปที่ประตู ยังไม่ทันถึงประตูเจ้าของห้องก็พุ่งมาขวางไว้


    “ไยเจ้าต้องพูดเช่นนี้เล่า!


    “ข้าพูดสิ่งใดผิดกัน” ฉันเงยหน้ามอง จ้องประสานสายตาถมึงทึงคู่นั้น


    “เจ้า!


     





    ถึงกำหนดวันเริ่มภารกิจ หนึ่งบุรุษชุดดำ หนึ่งบุรุษชุดฟ้าและอีกหนึ่งบุรุษชุดแดง จึงพากันมายืนอยู่หน้าบ้านสองผู้เฒ่าในหมู่บ้านเล็กๆชายแดนแคว้นฉีด้วยประการนี้แม้มีสีหน้าแตกต่างกัน


    ชุดดำเรียบเฉยเย็นชา ยังคงเคืองไม่หายที่อยู่ๆภารกิจของเขาถูกสอดมือเข้ายุ่ง


    ชุดฟ้าถือพัดโบกไปมาด้วยท่าทางไม่ทุกข์ร้อน จะอย่างไรก็มาครบสาม นับว่าวางใจได้


    ส่วนชุดแดงนั้นเอามือเกาหัว สบถก่นด่าดินฟ้าอากาศว่าร้อนบัดซบไม่ได้หยุด


    จะอย่างไรในที่สุดพวกเราทั้งสามก็ได้กลับมารวมตัวกันครบถ้วนอีกครั้งหลังจากภารกิจแรกเมื่อสามปีก่อน นับเป็นเรื่องดีไม่น้อย ฉันสะบัดพัดในมือด้วยท่วงท่าที่เลียนแบบมาจากเทพบุตรโลกวิญญาณ มองไก่สองตัวที่กำลังจิกตีกันอย่างสบายอารมณ์






    ----------------------------------------------------------------



    ด้านล่างนี้เป็นแผนที่ 7 แคว้นค่ะ เดี๋ยวไปแคว้นฉู่ครั้งนี้จะได้เจอเพื่อนเก่าด้วยคนหนึ่ง งานนี้มีอันได้อยู่ฉู่อีกนานเลย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×