ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ผ่านภพบรรจบฟ้า (ตีพิมพ์กับสนพ. คำต่อคำ)

    ลำดับตอนที่ #16 : ตอนที่ ๑๕ ภารกิจแรก

    • อัปเดตล่าสุด 4 มิ.ย. 59


     

     

    ตอนที่ ๑๕ ภารกิจแรก


    กลางดึกร่างสองร่างแต่งกายด้วยชุดสีดำสนิทกระโดดลงในสวนคฤหาสถ์เจ้าเมืองหลินเซียงอย่างเงียบงัน ก้มตัววิ่งผ่านตามแนวพุ่มไม้ ซุ่มรอจนถึงเวลาผลัดเปลี่ยนเวรยามแล้วจึงวิ่งผ่านมุมอับไปจวนหลัก กระโจนขึ้นชั้นสองเข้าห้องทำงานเจ้าเมืองอย่างเงียบเชียบ


    ภายในห้องทำงานของเจ้าเมืองหลินเซียง ฉันส่งสัญญาณมือบอกจิ้นเหอว่าจะค้นดูทางซ้ายให้เขาค้นทางขวา โชคดีที่วันนี้ท้องฟ้าเปิดแสงจันทร์สาดส่องมาทำให้ห้องไม่มืดเกินไปนัก พอรวมเข้ากับดวงตาของพวกเราที่ถูกฝึกฝนจนมองเห็นในที่มืดได้มากกว่าคนปกติแล้วก็ทำให้การค้นหาไม่ลำบากมาก ฉันพยายามค้นหาให้รวดเร็วและเบามือที่สุด พอมีทหารยามเดินผ่านมาตรวจตราก็หลบเข้ามุมหลังตู้รอให้ทหารไปก่อนแล้วจึงค้นต่อ


    “หรือจะอยู่ที่ห้องนอนเขา” จิ้นเหอเข้ามากระซิบถาม หลังจากค้นอย่างไรก็ไม่พบกล่องไม้ใบนั้น


    ฉันกวาดสายตามองรอบๆห้อง ยังไม่ได้ตอบจิ้นเหอสายตาก็เห็นภาพวาดขนาดใหญ่ที่ผนังด้านหนึ่งเสียก่อน เดินเข้าไปจับภาพวาดขยับเอาออกถึงได้พบว่าด้านหลังเป็นช่องลับ จิ้นเหอกับฉันหันมองหน้ากันก่อนจะเข้าไปสำรวจช่องลับซึ่งมีสามชั้นนั้นดู


    ในช่องลับมีทั้งเอกสาร ทอง ของมีค่าต่างๆวางอยู่ ฉันก้มลงดูของชั้นล่างพยายามหากล่องไม้ในขณะที่จิ้นเหอกวาดทองใส่ถุงผ้าสีดำที่พกมาด้วยเสียเรียบ ถุงผ้านี้ฉันเย็บระหว่างรอหยางชุน เย็บถึงสามถุงเผื่อเขาด้วยเขากลับไม่มา ยกหีบใบใหญ่ออกมาจึงได้เห็นว่าด้านหลังหีบนั้นเองที่กล่องไม้ซ่อนอยู่ ฉันจุดเทียนก้มส่องลายบนกล่องไม้อย่างถี่ถ้วน พอแน่ใจว่าใช่แล้วก็รีบดับแล้วเอากล่องยัดใส่ถุงผ้าของตนเอง


    “เมื่อครู่ข้าเห็นเงาคนจากด้านในนั้น เจ้าเห็นหรือไม่” เสียงจากทหารยามทำให้ทั้งฉันและจิ้นเหอหยุดนิ่งอยู่ที่เดิมกันทั้งคู่


    “จากในห้องทำงานของท่านเจ้าเมืองรึ เช่นนั้นก็เข้าไปดูกัน”


    ประตูเปิดผาง ฉันกลั้นหายใจตัวเกร็ง ทันทีที่ทหารทั้งสองคนเดินเข้ามาจิ้นเหอก็พุ่งพรวดเข้าใส่ปาดคอทั้งคู่อย่างรวดเร็ว ไม่คาดว่าจังหวะที่เดินออกจากห้องทำงานกลับมีทหารยามอีกคนเลี้ยวมา


    “ผู้บุกรุก! โจรชั่วบุกรุกห้องทำงานท่านเจ้าเมือง!” ทหารยามผู้นั้นตะโกนลั่น กว่าจิ้นเหอจะเข้าไปสังหารเสียงตะโกนนั้นก็ได้ยินไปทั่วกันแล้ว


    ฉันกระโดดลงจากชั้นสองทันที ลงไปก็พบทหารทั้งกลุ่มวิ่งกรูกันเข้ามา สุดท้ายจึงต้องชักกระบี่เข้าต่อสู้อย่างหมดทางเลือก ต่อสู้พลางหนีสบจังหวะก็หันมองจิ้นเหอแล้วพยักหน้าให้ เป็นอันรู้กันว่าจากนี้จะแยกกันหนีไปคนละทางเจอกันอีกทีที่ร้านน้ำชาจุดนัดพบชงจื้อเสียทีเดียว จิ้นเหอปลิดชีพทหารยามดุจใบไม้ร่วงช่องทางหนีปลอดโปร่งในขณะที่ฉันออกจะทุลักทุเล ใจไม่ถึงพอจะเข่นฆ่าพวกเขาอย่างง่ายดายเช่นนั้น ได้แต่ปัดป้องหาช่องหนีให้ได้


    “ท่านองครักษ์!


    เสียงจากทหารสักคน ได้ยินเท่านั้นฉันก็กระโดดถอยหลัง ใช้กระบวนท่าที่สองของเก้าทลายภูผากวาดทหารรอบกายให้กระเด็นออกแล้วรีบใช้วิชาตัวเบาเผ่นหนีออกจากคฤหาสถ์เจ้าเมืองทันที ลองได้ชื่อว่าองครักษ์แล้วฝีมือย่อมไม่ธรรมดา ฉันไหนเลยจะมัวห่วงชีวิตผู้อื่นอยู่รอเจอเขาเล่า กระแสลมที่พัดผ่านไปเบื้องหลังแปรเปลี่ยน ฉันเอียงตัวหลบคมพลังกระบี่ที่ซัดมาได้อย่างเฉียดฉิว ร่วงจากอากาศเท้าลงพื้นได้ก็ออกวิ่งโดยไม่หันหลังกลับไปมอง


    “เจ้าโจรชั่ว หยุดเดี๋ยวนี้!


    เสียงคำรามวางอำนาจ ไม่แคล้วว่าต้องเป็นท่านองครักษ์ผู้นั้นเป็นแน่ เป็นถึงองครักษ์ไยไม่เฝ้าอยู่ข้างตัวท่านเจ้าเมืองเล่า แล่นตามมาทำไม บ่นด่าท่านองครักษ์ที่ไล่มาติดๆในขณะที่ขาก็ออกวิ่ง สบโอกาสก็ทะยานขึ้นหลังคาบ้านคนหนีเอาเป็นเอาตาย คมพลังกระบี่ที่ฟาดฟันตามหลังมาทั้งรวดเร็วและรุนแรง ยิ่งมาจากด้านหลังเช่นนี้ฉันที่ประสบการณ์ต่อสู้ยังไม่สูงพอไม่สามารถรู้สึกถึงหรือกะเกณฑ์ทิศทางได้ทุกครั้ง หลังจากแขนเสื้อด้านขวาถูกเฉือนขาดไปก็เริ่มลังเลว่าจะหนีต่อไปเช่นนี้หรือหันกลับไปสู้กับเขาให้รู้ดำรู้แดง ออกไปจนถึงเขตนอกเมืองฉันก็ตัดสินใจหยุดฝีเท้าหันกลับ ไม่คาดว่าหันกลับครั้งนี้จะดูเป็นการคิดผิด เพราะด้านหลังองครักษ์ผู้นั้นมีทหารอีกฝูงตามมาด้วย


    “บัดซบ!” สบถได้คำหนึ่งก็ต้องรับกระบี่อีกฝ่ายที่ฟาดฟันลงมาอย่างไม่ไว้หน้า


    เพลงกระบี่ขององครักษ์ผู้นี้หนักหน่วงรุนแรงซ้ำยังฟาดฟันส่งพลังในระยะไกลได้ ฉันกระโดดหลบ งัดเอากระบวนท่าเก้าทลายภูผาที่ร่ำเรียนจากอาจารย์ออกมาใช้ พยายามประยุกต์ผสานไปกับทักษะการใช้กระบี่ดั้งเดิมของตนจนต่อสู้กับองครักษ์ได้สูสีอย่างไม่น่าเชื่อ เพียงแต่เมื่อพวกทหารยามฝูงหนึ่งนั่นแล่นมาถึงสถานการณ์ฉันก็เริ่มตกเป็นรอง


    เคร้ง


    เสียงคมดาบกระทบกันเบื้องหลัง ดาบของทหารถูกกั้นไว้ด้วยดาบของใครบางคนก่อนที่มันจะถึงตัวฉัน ฉันกระโดดหนีจากตรงนั้นหันมอง ผู้มาใหม่เป็นชายชุดดำปิดบังใบหน้า เข้าโรมรันกับพวกทหารยามในปุบปับทันที ฉันเห็นดังนั้นก็หันมารับมือกับองครักษ์ต่อ เพียงไม่นานชายชุดดำก็กระโจนเข้ามาสอดดาบประคองใต้กระบี่ฉันที่ปะทะกับกระบี่ขององครักษ์ก่อนจะพลิกขึ้นดันกระบี่ฉันออกแล้วเข้าต่อสู้แทน ฉันถอยออกมา หันมองรอบตัวก็พบว่าทหารยามฝูงนั้นลงไปกองกับพื้นกันหมดเสียแล้ว มองไปทางเพลงดาบอันเฉียบขาดของชายชุดดำในใจก็โล่งไปเปราะหนึ่ง หยางชุนนั่นเอง


    หยางชุนงัดกระบวนท่าที่ฉันไม่รู้จักออกมา พลิกตัวหมุนไปด้านหลังองครักษ์กลางอากาศแล้วฟันลงที่หลังเขา จังหวะที่องครักษ์ทรุดตัวลงไปก็พุ่งมาคว้าข้อมือฉันพาทะยานเข้าป่าอย่างรวดเร็ว หนีกันมาได้สักพักจนแน่ใจว่าพ้นแล้วเราถึงได้หยุด


    “เหตุใดจึงกลับมาเอาป่านนี้” ฉันดึงผ้าที่ปิดหน้าลงถามเขา


    หยางชุนหันกลับมา


    “ระหว่างทางพบเหตุไม่คาดฝันเล็กน้อยจึงต้องเสียเวลาจัดการ เรื่องนี้ต้องขอโทษเจ้ากับจิ้นเหอด้วย” เขาตอบ


    “อย่างนั้นรึ แล้วเหตุไม่คาดฝันนั่นได้ทำเจ้าบาดเจ็บหรือไม่”


    “ข้าไม่มีที่ใดบาดเจ็บ”


    “อย่างนั้นก็ดี ดีแล้ว” ฉันพยักหน้า ทิ้งตัวนั่งลงที่โคนต้นไม้พ่นลมหายใจยาว “เหงื่อท่วมตัวข้าไปหมด” พูดพลางเงยหน้ามองหยางชุนที่ตอนนี้ดึงผ้าปกปิดใบหน้าออกแล้ว ดวงตากังขาที่มองมาของเขาทำฉันเอียงคอมองกลับด้วยความสงสัย


    “เจ้าไม่ถามหรือว่าข้าไปไหนมา” หลังจากฉันเอียงคอมองอยู่พักหนึ่งเขาก็เอ่ยถาม


    “เจ้าไม่อยากให้ข้าถามหรอก” ฉันตอบ หยิบใบไม้มาพัดใส่หน้าตัวเอง “อีกอย่างแค่เจ้ากลับมาก็ดีแล้ว จะอย่างไรเจ้าก็กลับมา”


    ฉันที่มัวแต่หลับตารับลมอันน้อยนิดที่พัดโบกมาจากใบไม้ไม่ทันได้เห็น ยามที่สายตาของหยางชุนทอแววอ่อนลง เขาเดินมาทิ้งตัวนั่งลงข้างฉัน


    “เมื่อครู่ที่ยื่นมือเข้าสอดการต่อสู้ของเจ้าต้องขอโทษด้วย” เสียงทุ้มกล่าว วันนี้เขาออกจะขอโทษบ่อยไปหรือไม่ ตอนนี้สองครั้งแล้ว


    “ไม่เป็นไรๆ ข้าไม่ถือหรอก” ฉันโบกมือให้อย่างไม่ใส่ใจนัก เรื่องศักดิ์ศรีจอมยุทธ์อะไรเทือกนั้นฉันไม่มีกับเขาหรอก แค่ผลลัพธ์ออกมาว่าฉันกับหยางชุนหนีมาได้พร้อมกับกล่องไม้ก็นับว่าดีแล้ว นึกถึงกล่องไม้ขึ้นมาได้ก็รีบสำรวจถุงผ้าที่ติดตัวอยู่


    “เจ้าเป็นคนแปลก”


    คำพูดนี้ของเขาทำเอาฉันที่กำลังลูบกล่องไม้ด้วยความโล่งใจเงยหน้าขึ้นมอง


    “แปลกอย่างไร”


    หยางชุนไม่ตอบเพียงหันมาสบตาฉัน สีหน้าเขายังคงเรียบเฉยอย่างเคยหากแต่ดวงตาคู่นั้นกลับทอแววขบขันอยู่จางๆ มองอยู่เพียงครู่เขาก็หันกลับไป


    “ความทรงจำเจ้า หายไปจนหมดสิ้นเลยอย่างนั้นรึ”


    ฉันพยักหน้า นอกจากจะพูดขอโทษถึงสองครั้งแล้ว วันนี้เขายังดูเป็นฝ่ายชวนคุยมากกว่าปกติอีกด้วย


    “จดจำสิ่งใดไม่ได้เลยแม้แต่น้อย”


    “จดจำไม่ได้เลย”


    หยางชุนไม่ได้พูดสิ่งใดต่ออีก ทอดสายตามองไปเบื้องหน้า ฉันเองมองหน้าเขาอย่างงุนงงอยู่พักหนึ่งก็เลิกมองหันมาสำรวจกล่องไม้ต่อ กลัวว่างูบนลายกล่องจะไม่ได้เอาหางพันเกี่ยวกันไว้เหมือนในแบบ


    “เจ้าหายเหนื่อยแล้วหรือยัง มีถ้ำอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ไปพักที่นั่นดีหรือไม่” หยางชุนถามพลางลุกขึ้น  เห็นดังนั้นฉันจึงลุกตาม


    “เจ้านำไป”

     








    “พรุ่งนี้ครบกำหนดเจ็ดวันพอดี ข้านัดกับจิ้นเหอว่าจะไปพบกันที่ร้านน้ำชาที่หมู่บ้านเลย” ฉันพูด มือจับไม้เขี่ยกองไฟที่เพิ่งจุดขึ้นให้ติดทั่วๆกัน


    “หมู่บ้านนั้นอยู่ค่อนข้างไกลจากที่นี่ เดินทางในป่าตอนกลางคืนเช่นนี้ไม่ดีเท่าไหร่นัก อย่างไรก็ควรหลบอยู่ที่นี่สักคืนรอจนถึงพรุ่งนี้ค่อยไป” หยางชุนตอบ


    “อืม ข้าก็คิดเช่นนั้น” ฉันพยักหน้าเห็นด้วย


    “น้ำ” กระบอกน้ำถูกวางไว้ให้ข้างตัว ฉันหันมองหยางชุนที่กลับมานั่งข้างๆอีกครั้ง


    “เจ้า ก่อนหน้านี้ไปกินเหล้ามาใช่หรือไม่” ถามไปตามตรงด้วยสีหน้าสับสน กลับมาคราวนี้เขาดูประหลาดจริงๆ


    “ข้าไม่ได้กินเหล้า” ใบหน้าล้ำเลิศเหินห่างขึ้นอย่างคุ้นเคย


    “หรือองครักษ์ผู้นั้นเอากระบี่ฟาดโดนหัวเจ้ามา”


    “เขาไม่ได้เอากระบี่ฟาดหัวข้า!” หยางชุนปฏิเสธเสียงดังขึ้น


    “อ้อ” ฉันทำหน้ารับรู้ เห็นสีหน้าเย็นชาของเขาแล้วก็โล่งใจว่าสมองเขายังปกติดี มือหยิบกระบอกไม้ไผ่มาเปิดยกดื่มน้ำด้วยความเบาใจ

     







    เสียงไม้ติดไฟแตกดังเปรี๊ยะๆ ฉันกับหยางชุนยังคงไม่มีผู้ใดล้มตัวลงนอน สำหรับตัวฉันเองนั้นออกจะกังวลเกี่ยวกับทหารของเจ้าเมืองหลินเซียงอยู่ หากพวกเขายกพวกมาพลิกป่าหา ถ้ำที่แม้จะอยู่ลับตาคนนี้ก็อาจถูกพบได้ ด้วยเหตุนี้ฉันจึงเงี่ยหูคอยฟังอยู่ตลอดโดยไม่รู้เลยว่าทหารในคฤหาสถ์เจ้าเมืองหลินเซียงในเวลานั้นไม่อาจมาพลิกป่าตามหาตัวพวกฉันได้ หลังจากทหารประจำคฤหาสถ์ไล่ตามฉันกับจิ้นเหอมาเสียเกินครึ่ง คฤหาสถ์เจ้าเมืองก็ถูกกลุ่มคนปริศนาบุกปล้นอย่างอุกอาจทันที ทหารที่เหลือเพียงน้อยนิดกับองครักษ์เพียงหนึ่งไม่อาจปกป้องเจ้าเมืองได้ เขาถูกฆ่าตายในค่ำคืนนั้น นี่เป็นข่าวใหญ่ที่ฉันจะได้รู้ในเวลาต่อมา


    "ข้าจะเฝ้าเอง" อยู่ๆหยางชุนก็พูดขึ้น ฉันมองเขางงๆสักพักก็เข้าใจได้เลยโบกมือปฏิเสธ


    "ไม่เป็นไรข้าไม่ง่วง หากเจ้าง่วงนอนเสียก็ได้ ข้าเฝ้าเอง"


    "ข้าไม่ได้ช่วยพวกเจ้าทำภารกิจ แม้เจ้าจะสามารถรายงานเรื่องนี้ต่อหัวหน้าชงจื้อได้ ข้าก็ควรทำบางอย่างเสียบ้าง" เขาพูด สายตามองกองไฟสีส้มตรงหน้า


    "เจ้าช่วยข้า หากไม่ได้เจ้าข้าอาจฝ่าออกมาไม่ได้" ฉันพูด สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าด้านข้างของเขา "ข้าไม่บอกหัวหน้าชงจื้อหรอก สามปีก่อนเจ้าช่วยข้า เมื่อครู่นี้ก็ช่วยข้า ถือเสียว่าปกปิดความเหลวไหลครั้งนี้ของเจ้าเป็นการตอบแทนแล้วกัน"


    ใบหน้าล้ำเลิศที่ถูกแสงไฟสาดกระทบนั้นหันมา ฉันส่งยิ้มให้ ชีวิตนี้ของฉันมีเป้าหมายของเขาเองก็คงมีเช่นกัน อีกทั้งกับผู้ที่เคยช่วยชีวิต ได้หนทางตอบแทนเล็กน้อยแบบขี้โกงเช่นนี้ก็นับว่าคุ้มอยู่ หยางชุนมองฉันอยู่เนิ่นนาน แววบางอย่างที่สะท้อนอยู่ในดวงตาคมคู่นั้นทำฉันรู้สึกแปลก ราวกับว่าเขากำลังพยายามมองลึกเข้าไปในตัวฉัน ค้นหาบางอย่าง และทั้งๆที่กำลังค้นหาบางอย่าง ดวงตาคู่นั้นกลับเหมือนมีเรื่องราวอยู่มากมายเช่นกัน


    "เจ้าเคยพบข้ามาก่อนหรือไม่" ฉันถาม สายตายังคงสบประสานกับสายตาเขา "ข้า...ก่อนหน้านี้"


    "ข้าข้ามไปที่แคว้นฉู่มา" คำตอบกลับไม่ใช่สิ่งที่ฉันถาม หยางชุนละสายตาจากฉันหันไปมองกองไฟ "บางอย่างยังคงเหมือนเดิม"


    ฉันขมวดคิ้ว เขาเลี่ยงเช่นนี้ย่อมหมายความว่าตั้งใจจะไม่ตอบ


    "เจ้าเป็นคนแคว้นฉู่รึ" ถามเรื่องที่เขาพาเลี่ยงไปอย่างจำยอม หากเขาไม่อยากพูดฉันก็ไม่คิดไปซักไซ้


    "ใช่ ข้าเป็นคนแคว้นฉู่"


    "อ้อ เช่นนั้นเจ้าคงกลับบ้านมา" ฉันยกเข่าสองข้างชันขึ้นแล้วกอดไว้ พูดด้วยน้ำเสียงสบายๆราวกับว่าก่อนหน้านี้ฉันกับเขาไม่ได้จ้องตาค้นหากันอยู่เป็นพักใหญ่


    หยางชุนไม่ได้พูดอะไรอีกซึ่งฉันก็เข้าใจ เรื่องบ้านของเขานี้ออกจะส่วนตัวอยู่สักหน่อย หากบ้านเขาถูกฆ่าล้างไปเช่นยี่สิบเจ็ดคงไม่น่านำมาพูด บางทีที่กลับไปครั้งนี้เขาอาจกลับไปเคารพหลุมศพพ่อแม่มาก็เป็นได้ คิดได้ดังนั้นฉันก็ขยับตัวเข้าไปใกล้เขาอีกนิด ตบไหล่เขาเบาๆเป็นการให้กำลังใจ หยางชุนหันมองงงๆ พอเห็นฉันพยักหน้าส่งยิ้มเห็นใจไปให้เขากลับขมวดคิ้วใส่ ท่าทางไม่รับมุกของเขาเช่นนี้ทำเอารอยยิ้มฉันเจื่อน ได้แต่ดึงมือกลับมาแล้วกระแอมแก้เก้อไปสองที


    กลายเป็นว่าฉันเผลอหลับไป ความจริงเรื่องที่เผลอหลับนี้หากจะโทษก็ต้องโทษหยางชุน ทั้งบุคลิกและฝีมือของเขาทำเอาแม้แต่พวกขี้กังวลอย่างฉันยังวางใจจนเผลอหลับ ยิ่งด้วยลักษณะนิสัยของเขาที่อย่างไรก็คงไม่ปล่อยให้ทหารบุกมาฆ่าทิ้งง่ายๆ ทำให้อยู่กับเขาเช่นนี้ฉันวางใจจนเผลอลดการป้องกันตัวเองลงมากกว่าปกติ หยางชุนพาฉันไปล้างหน้าล้างตาที่ลำธารในป่า หายไปคราวนี้ไม่รู้เขาไปสำรวจหาข่าวอีท่าไหนชำนาญพื้นที่เหลือเกิน ล้างหน้าล้างตาเสร็จก็เลาะเดินไปตามป่า ไปโผล่อีกทีที่ชายป่าใกล้หมู่บ้านที่ชงจื้อพาออกมา


    วันนี้หมู่บ้านค่อนข้างเงียบเหงา แม้วันที่ออกมาจะเห็นว่าเงียบเหงาไปบ้างแต่ก็ดูไม่ร้างคนถึงเพียงนี้ เดินไปจนถึงร้านน้ำชาที่ชงจื้อกับจิ้นเหอนั่งรออยู่ก่อนแล้ว เจ้าจิ้นเหอเห็นหยางชุนก็ทำหน้าเหวอไปนิดหนึ่งก่อนจะทำนิ่งๆเนียนๆไปโดยไม่ได้กระโตกกระตากสิ่งใด


    "ไยหมู่บ้านดูร้างเช่นนี้เล่า" ฉันถามพร้อมๆกับนั่งลงตรงข้ามจิ้นเหอ


    "คงเข้าไปในตลาดเสียหมด" เป็นชงจื้อที่ตอบแต่ฉันไม่ได้หันมองหยิบกามารินน้ำชาแทน บัดซบคิ้วบาก อย่างไรก็ทำใจไม่ได้


    "เหตุใดพวกเขาถึงพากันเข้าตลาด" หยางชุนเป็นผู้ถามต่อ


    "พวกเจ้าไม่ได้มาจากในตลาดรึ" ชงจื้อถามกลับ


    "พวกข้าหนีเข้าไปหลบในป่าแล้วเดินเลาะจนออกมาจากป่าท้ายหมู่บ้าน"


    "อ้อ แล้วของในภารกิจเล่า" ชงจื้อถาม เปิดเรื่องชาวบ้านเข้าตลาดกันหมดไว้กลับไม่ต่อให้จบเสียอย่างนั้น


    ฉันเอาถุงผ้าวางบนโต๊ะเลื่อนไปให้ ชงจื้อเปิดถุงสำรวจกล่องไม้ดู


    "อืม ถูกต้อง" เขาพยักหน้าแล้วเก็บกล่องเข้าถุง "แล้วเงินข้าจะคืนตอนนี้หรือรับรางวัลภารกิจก่อนแล้วค่อยคืน"


    ฉันหันมองหน้าเขา ตกลงว่าเงินเล็กน้อยนั่นเขาจะเอาคืนจริงๆรึ บัดซบคิ้วบาก เจ้ามันเค็มยิ่งกว่าเกลือ ยิ่งกว่ามหาสมุทร ยิ่งกว่าเหงื่อคนทั้งหอจันทรารวมกันอีก!


    "หลิ่งเฟย นั่นเจ้าด่าข้าอยู่ในใจใช่หรือไม่" ชงจื้อถาม มุมปากยกยิ้มเล็กน้อย


    ฉันรีบทำหน้าซื่อตาใส


    "ท่านหัวหน้าหน่วยไยกล่าวหาข้าเช่นนั้นเล่า" ตอบอย่างหน้าซื่อตาใสไปแล้วก็ยกน้ำชาขึ้นดื่มแบบไม่รู้ไม่ชี้


    "ข้านึกว่าท่านพูดเล่น เป็นถึงหัวหน้าหน่วยกลับมาทวงเงินเด็กใหม่ ท่านนี่ขี้งกจริงๆ" หัวจิ้นเหอถูกผลักจากด้านหลังอย่างแรงจนหน้าทิ่มไปหาโต๊ะน้ำชา จิ้นเหอหันไปแยกเขี้ยวใส่ชงจื้อที่ยังคงมีรอยยิ้มน้อยๆประดับบนใบหน้า ราวกับว่าไม่ใช่เขาที่ทำร้ายจิ้นเหอไปเมื่อครู่นี้ "เอ้า พวกข้าเอามาเท่าใดท่านก็หยิบคืนไปเองแล้วกัน" เจ้าหมาบ้าเปิดถุงผ้าบรรจุทองเลื่อนไปให้


    "ไม่เลวๆ" ชงจื้อหยิบทองมาพลิกดู "หากแต่ภารกิจขโมยไม่ควรทำเกินคำสั่งหยิบของมาเกินหน้าที่ ข้าผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วยผู้คุมภารกิจขอลงโทษพวกเจ้าโดยการยึดทองถุงนี้ไว้ก็แล้วกัน"


    ชงจื้อพูดจบก็เอาทองเก็บใส่ถุงก่อนจะรวบไปหมดหน้าชื่นตาบาน ในขณะที่ฉันอ้าปากเบิกตากว้าง จิ้นเหอถลึงตาใส่เขาแทบถลน กระทั่งหยางชุนยังขมวดคิ้ว นี่มันปล้นกันซึ่งๆหน้าชัดๆ


    "เอาล่ะ ถึงเวลากลับเสียที ตามข้ามา" ร่างสูงโปร่งลุกยืนขึ้น สีหน้าสดชื่นสบายอารมณ์เป็นอย่างมาก ผิดกับพวกฉันซึ่งเดินหน้าเขียวคล้ำเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันตาม หากกระโดดขึ้นขี่คอขบหัวเขาแล้วไม่ถูกเขาฆ่าตาย ฉันจะกระโดดเข้าใส่เขาเดี๋ยวนี้เลย

     






    ขากลับชงจื้อไม่ได้พากลับทางเก่า หากแต่พาเข้าป่าแล้วอ้อมไปตรงส่วนที่เป็นรอยต่อตะเข็บชายแดนระหว่างแคว้นฉีและฉู่ พอหยางชุนถามเขาว่าเหตุใดจึงไม่กลับเข้าเมืองแล้วแฝงตัวไปกับพวกพ่อค้าตามเส้นทางที่ตัดผ่านสองแคว้น เขาก็ตอบว่าสถานการณ์ในเมืองหลินเซียงตอนนี้ไม่อำนวย และเป็นเพราะเส้นทางลำบากทั้งยังเป็นเส้นทางอ้อม กว่าจะถึงจุดที่เป็นน้ำตกสูงที่ชงจื้อต้องการพามาก็ปาไปเกือบสามวัน


    หัวหน้าหน่วยผู้นี้พาพวกเราปีนขอบน้ำตกต่อ ปีนจนไปถึงครึ่งความสูงก็จับโขดหินตรงหน้าเลื่อนออก จากนั้นก็แทรกตัวไปในช่องว่างเดินหายเข้าไปหลังม่านน้ำตก ฉันรีบแทรกตัวตามเข้าไป มองม่านน้ำตกด้วยความตื่นตา เส้นทางลับอย่างนี้เคยเห็นแต่ในหนังไม่คิดว่าจะได้มาสัมผัสของจริง ออกจากถ้ำซึ่งเป็นทางลับจากหลังน้ำตกแล้วชงจื้อก็พาเดินขึ้นเขาก่อนจะมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูไม้บานใหญ่สีน้ำตาลเข้ม นี่มันประตูหน้าด่านของฝั่งเด็กฝึกไม่ใช่รึ ประตูใหญ่โตเช่นนี้ฉันจำได้ ยังไม่ทันได้เอ่ยปากถามชงจื้อก็เดินเข้าไปใช้กำลังภายในผลักประตูเปิดอย่างง่ายดาย


    "หัวหน้าชงจื้อ ยินดีต้อนรับ" ยามในป้อมพูดพลางป้องปากหาว เขายังคงเป็นคนเดียวกับผู้ที่เตือนสติฉันวันนั้น


    "ลำบากเจ้าแล้ว" ชงจื้อทักกลับทำเอาฉันหันมองยามงงๆ เขาเอาแต่นอนเช่นนี้มีตรงไหนให้ลำบากกัน จังหวะนั้นยามกลับเปลี่ยนทิศทางสายตามาที่ฉัน ไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่หัวเราะหึในลำคอยิ้มๆ


     

    กลับถึงหอจันทราชงจื้อก็ให้พวกเรานั่งรอในห้องทำงานของเขา หายไปพักใหญ่ก็กลับมาพร้อมเงินรางวัลสามถุง มอบให้พวกเราเป็นรางวัลภารกิจ


    “จากนี้ถือว่าพวกเจ้าเป็นคนของจันทราเต็มตัวแล้ว ส่วนป้ายประจำตัวอีกสองวันจะส่งไปที่หน่วยสังกัดของพวกเจ้าเอง”


    จบคำพูดนี้พวกเราก็คาราวะขอบคุณเขาแล้วแยกย้ายกันไป ตัวฉันรีบตรงดิ่งไปที่เรือนไผ่ สิบกว่าวันมานี้ไม่ได้อยู่รับใช้ช่วยงานอาจารย์ไม่ทราบเขาเป็นอย่างไรบ้าง วิ่งหน้าตั้งไปเต็มกำลังพอถึงหน้าประตูเจอกับร่างสูงที่เดินออกมาพอดีก็ทำเอาหยุดไม่ทัน หน้าทิ่มไปข้างหน้าก่อนจะดึงตัวเองกลับมาจนหงายหลัง


    หมับ


    มือหนาคว้าจับต้นแขนซ้ายฉันดึงไว้ ทันเวลาก่อนที่จะได้หงายหลังไปแผ่หรามองฟ้าเข้าจริงๆ


    “รีบร้อนถึงเพียงนี้มีเรื่องใดกัน” น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถาม ดวงตาดุจน้ำทะเลลึกมีแววตำหนิเล็กๆ


    ฉันหัวเราะแหะๆกลับมายืนทรงตัวดีๆ พอเขาปล่อยมือจากแขนก็ก้มตัวประสานมือทำความเคารพ


    “หลิ่งเฟยคาราวะอาจารย์ สิบกว่าวันมานี้ไม่ได้อยู่รับใช้เกรงว่าจะสร้างความลำบากให้ท่าน เมื่อกลับมาถึงแล้วจึงรีบมา”


    “เจ้าไม่อยู่ ข้าลำบากขึ้นเล็กน้อยจริงๆ”


    “เช่นนั้นหลิ่งเฟยจะรีบไปปัดกวาดเช็ดถูเรือนเดี๋ยวนี้” ฉันตั้งท่าจะรีบไปทำหน้าที่ของตน


    “ช้าก่อน หลิ่งเฟย” เสียงเรียกของเขาหยุดขาฉันไว้ “เจ้าเนื้อตัวมอมแมมเช่นนี้ไม่ยิ่งทำให้เรือนข้าเลอะเทอะหรอกรึ ไยไม่ไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดให้เรียบร้อยก่อนค่อยกลับมาเล่า”


    ฉันก้มลงมองตัวเอง ชุดสีดำชุดนี้เลอะเทอะมอมแมมจริงๆ


    “หลิ่งเฟยเข้าใจแล้ว จะรีบไปอาบน้ำแล้วกลับมา”


    “กลับมาแล้วรอข้าอยู่ก่อนไม่ต้องทำความสะอาดเรือน ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า”


    ฉันรับคำ ทำความเคารพอาจารย์อีกทีก็รีบแล่นกลับเรือนพักหญิง อาบน้ำอาบท่าเปลี่ยนชุดให้เรียบร้อยแล้วกลับไปรออาจารย์ที่เรือนไผ่


    เรือนไผ่แห่งนี้แม้ฉันไม่อยู่ถึงสิบวันก็ไม่ได้ดูแตกต่างไปจากเดิม ยังคงสะอาดสะอ้านเป็นระเบียบเช่นที่เคยเป็น ฉันมองรูปภาพภูเขาในยามค่ำคืน มีดวงจันทร์ลอยเด่นอยู่เหนือต้นไม้ใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่อย่างเดียวดายบนยอดเขานั้น รูปภาพงดงามแฝงความยิ่งใหญ่หากแต่ซ่อนความโศกเศร้าไว้จางๆ รูปภาพนี้ให้ความรู้สึกเช่นเดียวกับเวลามองอาจารย์ รองประมุขหานเจี้ยบุคลิกนุ่มนวลสูงส่ง ดวงตาลึกล้ำสุดหยั่ง หากแต่ภายใต้ท่วงท่าของความเป็นยอดคนนั้นกลับแฝงความโศกเศร้าอยู่ ความโศกเศร้าแผ่วจางที่หากสัมผัสได้จะรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งหัวใจ


    “หลิ่งเฟย” เสียงเรียกจากอาจารย์ทำฉันหลุดจากภวังค์หันไปทำความเคารพ “ภารกิจแรกของเจ้าสำเร็จไปด้วยดี ข้าในฐานะอาจารย์ควรมีรางวัลให้เจ้า เข้ามาใกล้ๆ”


    ฉันขยับตัวเดินเข้าไปหา กระบี่เล่มหนึ่งถูกยื่นมาตรงหน้า ตัวฝักสีดำสนิททำจากไม้เนื้อแข็งคาดด้วยลวดลายคล้ายขนนกสลักลงบนทองแดงเนื้อดี ด้าบจับเป็นไม้ชนิดเดียวกันสีดำสนิท ที่ป้องกันมือสลักลายปีกสองข้าง มองดูแล้วเป็นกระบี่ที่งดงามสูงค่าไม่น้อย


    “ผู้ใช้กระบี่ย่อมต้องมีกระบี่ชั้นดีประจำกายจึงก้าวหน้าได้ไกล กระบี่นี้น้ำหนักค่อนข้างเบา ใบมีดบางคมกริบเหมาะกับการต่อสู้ของสายลมเยี่ยงเจ้า”


    “อาจารย์” ฉันเงยหน้ามองด้วยความตกใจ “กระบี่เล่มนี้ แม้หลิ่งเฟยไม่มีความรู้ยังสัมผัสได้ว่ามันล้ำค่า ท่านมอบให้คนอ่อนด้อยเช่นข้าไม่นับว่าเสียของหรอกหรือ”


    “เจ้าจะอ่อนด้อยตลอดไปหรืออย่างไร รับไว้เถิด กระบี่เล่มนี้ร้างเจ้าของมาเนิ่นนาน หากทิ้งไว้ให้ฝุ่นจับไม่นับว่าเสียของกว่าหรือไร”


    “ถึงอย่างนั้น หากเจ้าของเดิมรู้เข้า”


    “ข้าเชื่อว่าเจ้าของเดิมจะยินดีที่เจ้ารับสืบทอดมันไป รับไว้หลิ่งเฟย จงรับไว้แล้วแข็งแกร่งให้สมกับยอดกระบี่ที่เจ้ามี”


    “หลิ่งเฟยน้อมรับ จะขยันฝึกฝนจนแข็งแกร่ง ไม่ทำอาจารย์ผิดหวัง” ฉันก้มตัวยื่นมือไปรับกระบี่เล่มตรงหน้า เพียงสัมผัสโดนพื้นผิวฝักก็รับรู้ได้ถึงกลิ่นไอพลังที่อาบชโลมกระบี่เล่มนี้ไว้ ดูท่าแล้วเจ้าของเดิมคงไม่พ้นเป็นยอดคน


     

    ----------------------------------------------------------------------------------------


    เผื่อมีคนสงสัย ตอนนี้นางเอกอายุประมาณ 12 -13 ปีเท่านั้นเอง ส่วนพวกหยางชุนจิ้นเหอนี่อายุประมาณ 15 ปีกันแล้ว ในบรรดาหมายเลขที่คุยกันบ่อยๆ นางเอกอายุน้อยที่สุด แต่เดี๋ยวจะมีไทม์สคิปอีกรอบค่ะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×