คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : ตอนที่ ๑๔ เดียวดายไร้ราคา สูงค่าเคียงเส้นไหม
ตอนที่ ๑๔ เดียวดายไร้ราคา สูงค่าเคียงเส้นไหม
“เมืองหลินเซียงผู้คนพลุกพล่านครึกครื้นไม่ใช่เล่นเลย” ฉันพูด สายตากวาดมองลูกค้าหนาแน่นในโรงเตี๊ยมแห่งนี้
“เมืองหลินเซียงเป็นเมืองหน้าด่านของแคว้นฉีซึ่งมีพรมแดนติดกับแคว้นฉู่ ดังนั้นจึงมีทั้งพ่อค้าคาราวานนักเดินทางผ่านไปผ่านมาอยู่เสมอ” หยางชุนวางถ้วยชาลงอธิบาย “นอกจากนี้ภูมิประเทศที่เป็นภูเขาสลับซับซ้อนขวางกั้นระหว่างรอยต่อพรมแดนยังทำให้เสี่ยงต่อการถูกโจรภูเขาปล้นระหว่างทาง พวกพ่อค้านักเดินทางจึงมักมองหาว่าจ้างผู้มีฝีมือเพื่ออารักขา เมืองหลินเซียงจึงเต็มไปด้วยจอมยุทธ์เช่นเดียวกัน”
“หัวสมองเจ้านี่มันน่าทึ่งจริงๆ” จิ้นเหอกัดหมั่นโถเคี้ยว “ทั้งๆที่ติดอยู่ในค่ายเหมือนกันแท้ๆกลับรู้เรื่องพวกนี้เสียได้”
“หัวสมองหยางชุนล้ำเลิศมาแต่ไหนแต่ไร อีกทั้งเรื่องพวกนี้อาจารย์เหลียงก็สอนสั่งมาไม่น้อย หัวทึบอย่างเจ้าไหนเลยจะเทียบได้” ฉันหันไปกัดจิ้นเหอ ขยับเก้าอี้เลื่อนไปใกล้หยางชุนนิดหนึ่ง ตั้งแต่เข้าตลาดเดินเที่ยวกันมาทั้งวันจนมาหยุดพักที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้หยางชุนแทบไม่พูดอะไรสักคำ เพิ่งจะมาพูดเอาก็ตอนนี้หลังจากจิบชาไปอึกหนึ่ง ดูก็รู้ว่าโดนเขาเคืองให้ไม่มากก็น้อย
“อะไรของเจ้าอยู่ดีๆก็หาเรื่องข้า เป็นบ้ารึ!” เจ้าจิ้นเหอว่าให้
“หาเรื่องอะไรกันเจ้าอย่ามาซี้ซั้ว ข้าแค่ไม่ชอบที่เจ้าเอาสมองอันล้ำเลิศของหยางชุนมาเปรียบเทียบกับพวกสามัญอย่างพวกเรา แบบนี้ถือว่าหยามเกียรติของสมองเขารู้หรือไม่” ฉันพูดสีหน้าจริงจัง ขยับเก้าอี้เข้าไปใกล้นายท่านผู้ล้ำเลิศอีกนิดหนึ่ง แสดงออกว่าเป็นพวกพ้องเขาเต็มที่
หยางชุนเหล่มองในขณะที่จิ้นเหอทำหน้างง
“ข้าไปหยามเกียรติหัวสมองเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่พูดไปนั่นยกย่องชมเชยเสียด้วยซ้ำ”
ฉันส่ายหน้าให้จิ้นเหอก่อนจะหันไปหานายท่านผู้เงียบขรึมข้างๆ
“อย่าใส่ใจเจ้าจิ้นเหอเลย เขาก็ปากพล่อยไปเช่นนั้นเอง สำหรับข้าแล้วเจ้าล้ำเลิศเหนือผู้ใดเสมอ”
หยางชุนเหล่มองฉันอีกรอบ
“จะไม่ให้ข้าสนใจเขากับเจ้าที่พากันเที่ยวเล่นไม่สนใจสิ่งใดจนหมดเวลาไปหนึ่งวันเต็มๆเช่นนี้ คงไม่ได้กระมัง” เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หากแต่ทั่วร่างกลับเหมือนมีรังสีโหดเหี้ยมบางอย่างแผ่ออกมา
ฉันกลืนน้ำลายเอื้อกขยับเก้าอี้หนีจากเขากลับไปทางจิ้นเหอ
ก้มลงหยิบห่อผ้าขึ้นมาแกะเอาหนังสือนิยายวางบนโต๊ะ
“เรื่องนี้คนขายบอกว่ากำลังเป็นที่นิยมในหมู่คุณชาย ข้าให้เจ้าดีหรือไม่” ส่งยิ้มพร้อมกับเลื่อนนิยายไปให้
“หากตัดวันนี้ที่ไม่ได้ประโยชน์ใดออกก็เหลืออีกเพียงหกวันเท่านั้น” หยางชุนพูด ไม่แลมองนิยายฉันแม้แต่น้อย
“อ้อ เจ้าคงไม่ชอบอ่านนิยาย” ฉันกลืนน้ำลายอีกเอื้อก เลื่อนนิยายกลับมาหาตัวเองก่อนจะเอาเก็บเข้าไปในห่อผ้าคืน เผลอลืมตัวช้อปปิ้งไปนิดไม่คิดว่าเขาจะเคืองมากขนาดนี้
“อีกหกวันก็ถมเถไป” จิ้นเหอพูดอย่างไม่ทุกข์ร้อน หยิบหมั่นโถอีกลูกมากัด ไม่ได้ดูตาม้าตาเรือดูรังสีที่แผ่มาจากตัวท่านหยางชุนผู้นี้แม้แต่น้อย ในขณะที่ฉันกำลังจะแยกเขี้ยวใส่ไอ้หมาบ้าสมองทื่อ กลางโรงเตี๊ยมกลับมีคนผู้หนึ่งลุกพรวดขึ้นจนเก้าอี้ล้มตึง
“จ้านฉ่าย! เจ้าพูดเช่นนี้หมายความเยี่ยงไร คิดจะหมิ่นเกียรติข้าอย่างนั้นรึ!” คนผู้นั้นชี้หน้าคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม ตะโกนอย่างเดือดดาล
ฉันหันมองด้วยความอึ้ง ภาพฉากเช่นนี้ไม่ใช่ว่าบรรดาผู้ที่เคยดูหนังจีนในภพก่อนนั้นออกจะคุ้นกันดีอยู่หรอกรึ
“อ้าวฉิน ที่ข้าพูดไปนั้นล้วนเป็นความจริงทั้งหมด ไหนเลยจะคาดว่าความจริงนั้นจะหมิ่นเกียรติเจ้าได้”
“เจ้า!” อ้าวฉินโกรธจนหน้าแดงก่ำ
เห็นดังนั้นฉันก็รีบลุกขึ้นหอบข้าวของที่ซื้อมาเตรียมเผ่นอย่างลนลาน
“เจ้าจะไปไหน” จิ้นเหอถามงงๆ
“ไปจากที่นี่น่ะสิเจ้าโง่
พวกเจ้าเองก็รีบลุกเร็วเข้า” ฉันหันไปสั่ง พอเห็นเจ้าหมาบ้าจิ้นเหอยังทำหน้างงอยู่ก็หันเอาห่อผ้าของตัวเองไปยัดใส่มือหยางชุน
ก้มหยิบข้าวของของจิ้นเหอที่ซื้อมาเอายัดใส่มือเขา จากนั้นก็คว้าแขนพวกเขาทั้งคู่ดึงให้ลุกขึ้น
“เร็วเข้า รีบไปจากที่นี่กัน!”
“เหตุใดต้องไป” จิ้นเหอยังคงไม่รู้อีโหน่อีเหน่
“จ้านฉ่าย หากวันนี้ข้าไม่ได้เอาเลือดออกจากปากเน่าๆของเจ้า
อย่ามาเรียกข้าว่าอ้าวฉินแดนบูรพา!”
นั่นไง ประกาศฉายากันแล้ว!
“อย่าถามมาก รีบไปเร็วเข้า!”
ฉันลากทั้งสองคนออกจากโรงเตี๊ยม ออกมายังไม่ทันจะพ้นประตูดีก็มีเก้าอี้ลอยแหวกอากาศข้ามหัวไปดังฟิ้วก่อนจะที่มันจะหล่นโครมลงกับพื้นหน้าร้าน ประหนึ่งสัญญาณเริ่มศึก หลังจากนั้นโรงเตี๊ยมแห่งนี้ก็บรรลัยไปในทันที
“นั่นมันเรื่องอะไรกัน อยู่ๆไยพวกเขาตีกันเช่นนั้นเล่า” จิ้นเหอยังคงงุนงงไม่เลิก ขยับขาหลบร่างผู้โดนลูกหลงที่ลอยฟิ้วมาตกใกล้ๆ
“พวกเจ้าสองคนฟังข้าให้ดี” ฉันหันมองพวกเขาทั้งสองที่ยืนหอบข้าวของขนาบข้าง “โรงเตี๊ยมกับจอมยุทธ์นั้นหากจับคู่กันเมื่อไหร่ จงรู้ไว้ว่าเจ็ดในสิบส่วนล้วนบรรลัยทั้งสิ้น”
“เหตุใดจึงบรรลัยเล่า”
“พวกจอมยุทธ์นั้นสมองผิดปกติอยู่อย่าง เมื่ออยู่ในโรงเตี๊ยมจะเหมือนถูกกระตุ้นให้ก่อเหตุวิวาทกันมากกว่าปกติ” ฉันขยับหลบโต๊ะที่ลอยออกมา “ยิ่งถ้าเป็นโรงเตี๊ยมที่มีจอมยุทธ์มาชุมนุมกันมากมายด้วยแล้ว เขามีอันต้องวิวาทกันเก้าในสิบส่วนเลยทีเดียว”
“เช่นนั้นเราก็ต้องหาที่พักใหม่” เป็นหยางชุนที่พูดสรุป หันกายเดินอุ้มห่อผ้าของฉันออกจากหน้าโรงเตี๊ยมไป
ฉันหันมองบรรยากาศเศษไม้ปลิวว่อนในโรงเตี๊ยมอีกครั้ง ส่ายหน้าให้เถ้าแก่ที่ยืนร้องไห้บอกบรรดาจอมยุทธ์ให้เบามือด้วยความเห็นใจ หากวันหน้ามีโอกาสได้เป็นเจ้าของกิจการจะไม่สร้างโรงเตี๊ยมเด็ดขาด
เพราะเหตุวิวาทนั้นพวกเราทั้งสามจึงต้องหาที่พักกันใหม่ ไปได้โรงเตี๊ยมขนาดเล็กที่ตั้งอยู่แอบๆในซอยหนึ่งแทน ถกเถียงเรื่องห้องพักกันจนอาซ้อเจ้าของโรงเตี๊ยมหาวไปสามสี่รอบ ในที่สุดก็ได้เข้าพักและเริ่มปรึกษาหารือเรื่องภารกิจเสียที
“จะเก็บของสำคัญคงไม่พ้นห้องนอนกับห้องทำงาน กระโดดข้ามรั้วไปหาดูจากสองห้องนั้นก็สิ้นเรื่อง” จิ้นเหอเริ่ม
“แล้วหากเจอทหารเข้าเล่า” ฉันถาม
“ก็ฆ่าทิ้งเสีย”
“หากเสียงการต่อสู้เจ้าเรียกทหารคนอื่นมาอีกเล่า” หยางชุนถามบ้าง
“ก็ฆ่าทิ้งเสีย”
ฉันกับหยางชุนมองหน้ากัน
“หากเขาตื่นกันหมด ขนกันมาทั้งคฤหาสถ์เล่า” ฉันหันกลับไปถามเจ้าจิ้นเหอด้วยสีหน้าเกือบปลงอยู่รอมร่อ
“ก็ฆ่า...” จิ้นเหอชะงัก “นั่นออกจะเยอะไปหน่อยไม่ใช่รึ” นับว่ายังไม่เกินเยียวยา
“ภารกิจคือขโมยของหาใช่บุกปล้น” หยางชุนสรุป แม้สีหน้าไม่เปลี่ยนแต่คาดว่าในใจเขาคงเกือบปลงกับเจ้าหมาบ้านี่ไม่ต่างกัน
“ข้าเห็นว่าเราควรเริ่มต้นที่พ่อค้านภาผู้นั้น” ฉันออกความเห็น “หากได้แผนผังคฤหาสถ์มาการวางแผนย่อมง่ายขึ้น”
“หากพวกเรามุ่งหาแต่พ่อค้านภาผู้นั้นเวลาที่เหลือหกวันนี้ไม่แน่ว่าอาจไม่ทันการ ควรแบ่งหน้าที่แยกย้ายกันทำจะดีกว่า” หยางชุนแย้ง
“ไหนเจ้าลองว่ามา” ฉันยกมือบอกให้หยางชุนเป็นคนพูด
“พวกเราสามคน หนึ่งรับผิดชอบเรื่องพ่อค้านภา ถอดความค้นหาเขานำแผนผังมา สองสอดแนมคฤหาสถ์ของเจ้าเมือง ขุนนางยศเจ้าเมืองนี้การป้องกันแน่นหนา แต่บรรดาทหารยามจะมีเวลาสับเปลี่ยนเวรยามตายตัวเช่นกัน หากลอบสังเกตจนได้เวลาสับเปลี่ยนเวรมาแล้วการลอบเข้าไปย่อมสะดวกขึ้นมาก อีกทั้งนอกจากสอดแนมเวลาสับเปลี่ยนเวรแล้วยังต้องดูความเคลื่อนไหวของผู้คนในคฤหาสถ์อีกด้วย”
“แล้วอีกคนที่เหลือเล่า” จิ้นเหอถาม
“อีกคนที่เหลือนั้นหาข่าวรอบๆเมือง เราจำเป็นต้องรู้ว่าช่วงนี้ในเมืองมีความเคลื่อนไหวใดบ้าง และการหาข่าวรอบๆเมืองอาจทำให้รู้ถึงลักษณะนิสัยของเจ้าเมืองผู้นี้ด้วย การรู้ลักษณะนิสัยย่อมทำให้คาดเดาได้ว่าเขาจะซ่อนของสำคัญไว้ที่ใด นอกจากนี้ยังรู้ถึงเรื่องราวทั่วๆไปเช่นในช่วงเวลานี้จะมีแขกมาเยือนเมืองนี้หรือไม่ เพราะหากมีแขกมาเยือนแล้วภารกิจของเราจะยิ่งยุ่งยากขึ้นไปอีก”
ฉันพยักหน้าตาม ใจนึกทึ่งที่เขาสามารถวางแผนการจัดแบ่งหน้าที่ได้อย่างละเอียดถี่ถ้วนภายในเวลาสั้นๆ ล้ำเลิศสมกับที่ทุกคนในรุ่นยกให้เขาไปหมายเลขหนึ่งในทุกด้าน นอกจากจะล้ำเลิศแล้วนิสัยของเขาเองก็ไม่ได้แย่นัก ก่อนหน้านี้นึกว่าเขาเป็นพวกหยิ่งทระนงถือตัวมองผู้อื่นต่ำกว่าจึงไม่คบค้าด้วย มาวันนี้ถึงได้ทราบว่าแท้จริงแล้วเขาเพียงไม่ค่อยถนัดพูดเล่นทั่วๆไปกับคนอื่นเท่านั้นเอง ดูถึงคราวเป็นการเป็นงานเช่นนี้เขาก็พูดได้ยาวเหยียดอยู่เหมือนกัน
“เรื่องถอดความหาพ่อค้านภาเป็นหน้าที่เจ้าได้หรือไม่ หลิ่งเฟย” หยางชุนถาม
ฉันพยักหน้า “ก็ได้อยู่”
“เจ้าเป็นพวกช่างสังเกต ละเอียดรอบคอบ เรื่องนี้คงไม่ยากเกินไปนัก ส่วนเจ้าไปเฝ้าสังเกตการณ์เวรยามของคฤหาสถ์”
“เฝ้าสังเกตการณ์ ข้าอย่างนั้นรึ” เจ้าจิ้นเหอทำหน้าราวกับอยากตาย
“เฝ้าสังเกตการณ์เข้าใจหรือไม่ หาใช่วิ่งทะเล่อทะล่าเข้าไปหาเรื่องเขา” ฉันหันไปย้ำ
“รู้แล้วน่า แล้วเจ้าเล่า ตัวเจ้าทำสิ่งใด” จิ้นเหอหันไปถามหยางชุนที่มีสีหน้าครุ่นคิด
“ข้าจะสืบหาข่าวรอบๆ หากข้าหายไปสักสองสามวันพวกเจ้าไม่ต้องแปลกใจ ข้าเพียงออกไปหาข่าวแล้วพักที่อื่นเท่านั้น” เขาตอบ
“ไยเจ้าต้องไปพักที่อื่นด้วย หากตอนที่เจ้าหายไปนี้ข้าได้แผนผังมาแล้วจะทำอย่างไร” ฉันถาม
“พักที่อื่นเพื่อสะดวกเวลาออกไปหาข่าวไกลๆเท่านั้น เช่นนั้นกำหนดว่าอีกสามวันเจอกันเป็นอย่างไร หากเจ้ายังหาแผนผังไม่ได้ค่อยว่ากัน”
“ก็ได้” ฉันตอบตกลง แม้จะยังแคลงใจในคำพูดของเขาอยู่เล็กน้อย
“เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้”
หลัวจากแบ่งหน้าที่กันเรียบร้อย เช้าวันต่อมาฉันจึงออกมาเดินตลาดเพียงลำพัง
เดียวดายไร้ราคา สูงค่าเคียงเส้นไหม
ประโยคนี้บ่งบอกถึงสิ่งใดกัน เส้นไหม หรือจะเป็นผ้า ฉันเดินเข้าร้านผ้าอย่างครุ่นคิด ร้านนี้มีผ้าหลากหลายแบบทั้งของแคว้นฉีเองและที่มาจากแคว้นฉู่ พ่อค้าเจ้าของร้านเข้ามาต้อนรับอย่างกระตือรือร้น เอาผ้าหลากหลายแบบมาให้ดู คิดว่าเป็นเพราะชุดใหม่ที่ใส่อยู่ตอนนี้ค่อนข้างแพงเลยทำให้ฉันดูเหมือนคุณชายน้อยไปจริงๆ ฉันแสร้งทำเป็นลูบผืนผ้าพับหนึ่งแล้วพึมพำออกมาพอให้ได้ยินเพียงพ่อค้าที่ยืนอยู่ข้างๆ
“เดียวดายไร้ราคา สูงค่าเคียงเส้นไหม”
“คุณชายน้อยต้องการผ้าไหมอย่างนั้นหรือ” พ่อค้าถาม
“ท่านมีหรือไม่” ฉันถามกลับ
“ผ้าไหมนั้นสูงค่า ร้านของข้าเป็นเพียงร้านเล็กๆเท่านั้นคงไม่อาจหามาให้คุณชายได้”
“ไม่เป็นไร ขอบใจเจ้ามากที่แนะนำผ้าดีๆให้หลายผืน คราวหน้าข้าจะแวะมาใหม่” ฉันพูดพลางส่งยิ้มนิดๆให้อย่างมีมาด เลียนแบบคุณชายในหนังจีนที่เคยดูมาทุกกระเบียดนิ้ว
ไม่ใช่ผ้าแล้วพ่อค้าผู้นั้นขายสิ่งใดกัน
แวะซื้อหมั่นโถลูกหนึ่งกินไปด้วยเดินไปด้วยอย่างครุ่นคิด
ทันใดนั้นที่ช่วงเอวก็รู้สึกถึงความเคลื่อนไหวแผ่วเบา ฉันตะปบหมับเข้าที่มือของปริศนา
ดึงเจ้าของมือให้หน้าทิ่มลงมาพร้อมๆกับหมุนตัวหันกลับไปเตะเข้าสีข้างอีกฝ่ายเต็มแรง
เจ้าโจรร้องอ้อก อ้อกแล้วไม่รอช้ารีบคลานหนีลุกวิ่งเผ่นแน่บไปอย่างรวดเร็ว
ฉันมองหลังไวๆนั่นไม่คิดติดตาม สำรวจถุงเงินที่เบากว่าตอนที่ได้รับมาจากบัดซบคิ้วบากมากข้างเอวเมื่อเห็นว่ายังอยู่ครบก็เดินต่อ
เมืองนี้จะว่าไปแล้วชาวบ้านก็ดูความเป็นอยู่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก
ถึงจะเป็นเมืองชายแดนหากแต่การค้าที่ครึกครื้นเช่นนี้ชาวบ้านก็ไม่น่าข้นแค้นได้ถึงเพียงนี้เลยจริงๆ
เดินคิดอยู่ทั้งวัน คิดจนกระทั่งออกนอกตลาดมาโผล่แถวถิ่นคนไร้บ้านโดยไม่รู้ตัว ยืนเอ๋ออยู่ท่ามกลางสายตาพวกเขาพักหนึ่งก็ได้แต่หัวเราะแหะๆแล้วเผ่นกลับเข้าเมืองคืน
วันนี้ทั้งวันสรุปว่าฉันไม่ได้อะไรเลย นอกจากหนังสือนิยายออกใหม่ที่เจ้าของร้านบอกว่ามาจากแคว้นฉู่
ตกดึกฉันไปเคาะประตูห้องของจิ้นเหอกับหยางชุนพบว่าพวกเขาทั้งสองไม่มีผู้ใดกลับมา จิ้นเหอนั้นคงยังเฝ้าดูความเคลื่อนไหวในคฤหาสถ์อยู่ ส่วนหยางชุนคงไปสืบข่าวอย่างที่เขาบอก ด้วยเหตุนี้ฉันจึงต้องกลับห้องตัวเอง หยิบหนังสือนิยายมานอนอ่าน มีคนบอกว่าปริศนานั้นหากจมอยู่กับมันมากมักแก้ไม่ได้ แต่หากหาเรื่องทำนู่นทำนี่ไปเรื่อยแล้วคำตอบจะผุดขึ้นมาเอง ดังนั้นการนอนอ่านนิยายของฉันตอนนี้จึงไม่ถือเป็นเรื่องอู้แต่อย่างใด
เช้าวันต่อมาฉันลองไปร้านภาพเขียนซึ่งมีอยู่หลายร้าน บางร้านเปิดโอกาสให้ผู้ที่เดินทางผ่านแวะเวียนเข้ามาแสดงฝีมือวาดฝากขายไว้ได้
“คุณชายน้อยท่านนี้ดูแล้วมีราศีของศิลปินอย่างยิ่ง
สนใจเผยแพร่ฝีมือของท่านไว้ที่ร้านของข้าหรือไม่ ร้านข้าร้านนี้มีภาพของศิลปินผู้ผ่านไปมามากมายทีเดียว”
พ่อค้าเข้ามาเชิญชวน
ฉันมองภาพเขียนหลายภาพที่แขวนอยู่ ทุกภาพล้วนแล้วแต่สื่ออารมณ์บ่งบอกถึงตัวตนของผู้วาดได้อย่างดี เห็นอย่างนั้นจึงพยักหน้าตอบตกลง พ่อค้านำอุปกรณ์มาให้ฉันที่นั่งรอ จำได้ว่าสมัยเป็นเสวียนกุ้ยถิงเคยวาดภาพหญิงชุดขาวให้นางกำนัลดูออกมาดูดีไม่ใช่น้อย ฉันจุ่มพู่กันลงหมึกอย่างมั่นใจ
“กรี๊ดดด”
เสียงกรีดร้องดังลั่นมาจากถนน ดวงอาทิตย์ถูกพู่กันป้ายพรืดกลายเป็นทรงเหลี่ยมไปเสียแล้วด้วยความตกใจ
“ช่วยด้วย ม้าพยศ ช่วยด้วย!” เสียงผู้ควบคุมม้าร้องลั่นก่อนจะกลิ้งตกตุ้บลงพื้นไป ม้าห้อตะบึงลากอย่างคลุ้มคลั่ง มีเสียงผู้หญิงกรีดร้องมาจากตัวรถที่โคลงเคลงไปมาอย่างน่าหวาดเสียว
นี่มัน...
ฉันยกพู่กันขึ้นมอง
นี่มันฉากในหนังจีนอีกฉากหนึ่งแล้ว ฉับพลันบนฟ้าก็ปรากฏร่างจอมยุทธ์ชุดขาวพุ่งทะยานเข้าหาม้าพยศ
ลงเหยียบขี่บนหลังมันกระชากสายบังเหียนควบคุมต่อสู้กับความพยศนั้นอย่างดุเดือด ม้าพยศสู้อยู่ไม่เท่าไหร่ในที่สุดก็สงบลง
พังร้านค้าไปแถบหนึ่ง
จอมยุทธ์ลงจากหลังม้าไปเปิดม่าน คุณหนูหน้าตางดงามผู้หนึ่งออกมา ฉันลุกขึ้นเดินไปหน้าร้านดูละครฉากนี้อย่างสนใจ คุณหนูเอียงอายกล่าวขอบคุณ เมื่อเห็นว่าคนขับรถม้าของตนวิ่งหน้าตาตื่นมาหาแล้ว คุณหนูก็ดึงปิ่นปักผมมอบให้จอมยุทธ์ผู้นั้นแล้วจากไป เบื้องหลังรถม้าที่ค่อยๆแล่นไกลออกไป ร่างสูงสง่าของจอมยุทธ์ชุดขาวยืนถือปิ่นปักผมมองตาม นับว่าจบฉากพบสาวงามสูงค่านี้ได้อย่างน่าประทับใจ
ฉันพยักหน้าซาบซึ้งกับฉากรักนี้ กำลังจะกลับไปนั่งวาดรูปต่อก็ต้องชะงักเมื่อนึกบางอย่างได้ สาวงามสูงค่า สูงค่าเคียงเส้นไหม เส้นผมสีดำละเอียดดุจแพรไหม เดียวดายไร้ราคา สูงค่าเคียงเส้นไหม สองตาเบิกกว้าง เช่นนี้นี่เอง!
“ข้ามีธุระสำคัญต้องรีบไปจัดการไม่อาจวาดต่อให้เสร็จได้ เจ้ารับเงินนี่ไปเป็นค่าอุปกรณ์ของเจ้าก็แล้วกัน” ฉันเอาเงินจำนวนหนึ่งยัดใส่มือพ่อค้าแล้วรีบเดินออกจากร้าน ทิ้งภาพดวงอาทิตย์มุมเหลี่ยมเหนือภูเขา ตรงกลางมีบ้านหลังหนึ่งพร้อมทุ่งนาไว้ในร้านแห่งนั้น
ที่แท้พ่อค้าจากหอนภาที่ว่านั่นเป็นพ่อค้าขายเครื่องประดับนี่เอง รีบก้าวเดินตรงดิ่งไปยังร้านขายเครื่องประดับร้านหนึ่งที่เน้นขายปิ่นปักผมกับเครื่องประดับอื่นๆที่ใช้ตกแต่งเส้นผมโดยเฉพาะ
“คุณชายน้อยท่านนี้ มีสิ่งใดให้ข้าช่วยหรือไม่” พ่อค้าเจ้าของร้านเป็นชายร่างท้วมหน้าตาเป็นมิตร ส่งยิ้มถามอย่างนอบน้อม
“ข้าอยากได้ปิ่นปักผมที่สูงค่าคู่ควรกับสตรีที่งดงาม”
ฉันตอบ
“อ้อ
เช่นนั้นปิ่นชุดนี้เป็นอย่างไร”
พ่อค้ายกแท่นที่มีปิ่นวางอยู่เรียงรายขึ้นมาแท่นหนึ่ง
“ปิ่นชุดนี้ลวดลายที่แกะสลักแต่ละอันมีเพียงหนึ่งเดียว ไม่มีการทำซ้ำ”
ฉันหยิบปิ่นที่แกะสลักเป็นลายดอกไม้ชนิดหนึ่งขึ้นมา
“ปิ่นปักผมเหล่านี้ยามถูกวางขายอย่างเดียวดายช่างดูธรรมดาเหมือนๆกันไปเสียหมด” มือพลิกปิ่นปักผมดูด้วยความสนใจ “แม้จะสวยงาม หากแต่เทียบไม่ได้เลยเมื่อได้ประดับอยู่บนเส้นผมของสตรีที่งดงาม ยิ่งสตรีผู้นั้นสูงค่ามากเท่าไหร่ คุณค่าของปิ่นนี้ยิ่งสูงค่าตามไปด้วย เดียวดายไร้ราคา สูงค่าเคียงเส้นไหมอย่างแท้จริง”
“คุณชายน้อย ถ้าเช่นนั้นขอเชิญท่านไปด้านในดีหรือไม่ ด้วยเพราะปิ่นที่สูงค่านั้นข้าไม่สามารถนำออกมาวางขายข้างนอกได้” พ่อค้าส่งยิ้มให้พร้อมกับผายมือเชิญ
“ดี เช่นนั้นก็เข้าไปกัน” ฉันพยักหน้าตอบรับ
“เสี่ยวอี้ ดูร้านให้ข้า
ข้าจะพาคุณชายน้อยไปเลือกปิ่นด้านใน” พ่อค้าบอกเด็กในร้านก่อนจะเดินนำพาฉันไปราวกับไม่มีสิ่งใดแอบแฝง
เมื่อเข้ามาด้านในปิดประตูมิดชิดแล้ว ท่าทางนอบน้อมดังเช่นผู้ขายที่มีต่อลูกค้าก็หายไป
“จากหอจันทราอย่างนั้นรึ” เขาหันมาถาม “ใช้ประโยคลับชุดนี้คงเป็นเด็กใหม่ที่เพิ่งผ่านเข้ามาปีนี้กระมัง”
“ถูกแล้ว” ฉันตอบไปตามตรง
“ต้องการสิ่งใด”
“ทราบมาว่าท่านมีแผนผังคฤหาสถ์เจ้าเมืองหลินเซียง หากไม่เป็นการรบกวนจนเกินไปขอแผนผังนั้นให้แก่ข้าได้หรือไม่”
“ผู้ใดส่งเจ้ามา”
“หัวหน้าหน่วยหกชงจื้อ”
“เช่นนั้นก็รอเดี๋ยว”
ร่างท้วมหายออกไปจากห้อง ครู่หนึ่งก็กลับเข้ามา มอบม้วนกระดาษให้ฉันม้วนหนึ่ง
“ข้ามีคัดลอกไว้แล้วไม่ต้องนำมาคืน ฝากบอกหัวหน้าหน่วยชงจื้อด้วยว่าถ้าว่างให้แวะมาดื่มกับข้าบ้าง”
“ทราบแล้ว ข้าจะบอกเขาให้ ขอบคุณท่านมาก”
ฉันเปิดม้วนกระดาษดู พอเห็นว่าเป็นแผนผังคฤหาสถ์จริงก็เก็บม้วนกระดาษเข้าเสื้อก่อนจะเดินออกมาพร้อมกับเขา
“ขอบคุณคุณชายน้อยที่อุดหนุน คราวหน้าโปรดแวะเวียนมาใหม่” เขาค้อมตัวส่งยิ้มให้อย่างนอบน้อม
“ของเจ้ามีคุณภาพเช่นนี้ ข้าต้องแวะมาแน่” ฉันตอบแล้วเดินออกจากร้านไปอย่างยินดีราวกับได้ปิ่นถูกใจ
กลับไปที่โรงเตี๊ยมได้พบกับจิ้นเหอที่ได้ข้อมูลเรื่องเวลาของทหารยามมาแล้ว
ซ้ำยังมาบ่นว่าลูกชายเจ้าเมืองหลินเซียงผู้นี้นิสัยเสียเป็นอย่างยิ่ง
ไปเฝ้าดูมาหนึ่งวันหนึ่งคืนเจ้าจิ้นเหอคราวนี้ได้เรื่องซุบซิบนินทาภายในมาเยอะพอดู
ล่วงเข้าวันที่สี่ของภารกิจ วันที่สามที่หยางชุนหายตัวไป ฉันกับจิ้นเหอได้แต่วางแผนกันไปพลางๆกับปีนต้นไม้แอบลอบสังเกตการณ์ความเคลื่อนไหวในคฤหาสถ์รอเขา ไม่กล้าคิดบุ่มบ่ามทำอะไร
“ไม่ใช่ว่าเขาหนีไปแล้วหรอกนะ!” จิ้นเหอโพล่งขึ้นมาตอนเราอยู่ในโรงเตี๊ยม
“บ้าน่า คนอย่างเขาไหนเลยจะหนีไปเช่นนี้ได้” ฉันแย้ง แม้ในใจจะยังคงคลางแคลงกับเหตุผลไปสืบข่าวรอบๆเมืองของหยางชุนอยู่
“แล้วเหตุใดเขาถึงเงียบหายไปเช่นนี้เล่า”
“หรือเขาจะประสพเหตุ เจอคนลอบทำร้าย”
“อย่างเขามีหรือจะถูกทำร้ายได้ง่ายๆ”
“จริงของเจ้า ทั้งฝีมือทั้งสมองเขาล้ำเลิศถึงเพียงนั้น หากถูกทำร้ายจริงต่อให้สู้ไม่ได้ก็ต้องหนีได้”
“หลินเซียงไม่ใช่เมืองใหญ่ วันนี้ข้าออกไปสำรวจรอบๆมากลับไม่พบเขาเลยแม้แต่เงา” จิ้นเหอเอาศอกเท้าโต๊ะค้ำคางพูดทั้งคิ้วขมวด
“ข้าเองเดินจนทั่วตลาดจนออกไปนอกเมืองก็ไม่เคยบังเอิญได้พบเขาเลย”
เราสองคนพากันนิ่งเงียบ เช่นนั้นแล้วเขาไปอยู่ที่ไหนกัน
“หลิ่งเฟยเจ้ารู้หรือไม่ ข้าเคยถามหัวหน้าว่าปล่อยไปทำภารกิจเช่นนี้ หากข้าหนีไปเขาจะทำอย่างไร”
ฉันหันมองจิ้นเหอที่มีสีหน้าจริงจังกว่าทุกครั้ง
“เขาบอกว่าถ้าเช่นนั้นที่นี่ก็ไม่มีที่ของเจ้าอีกต่อไป”
อยู่ๆคำพูดของผู้เฝ้าประตูค่ายเมื่อตอนที่ฉันถูกหิ้วมาใหม่ๆก็ดังสะท้อนขึ้นในหัว
“ไอ้ลูกหมา จากนี้ไปอย่าได้พูดว่าที่นี่ไม่มีที่ของข้าอีก เพราะหากที่นี่ไม่มีที่ของเจ้าแล้วก็ไม่จำเป็นต้องมีเจ้า คำพูดนั่นไม่ต่างอะไรจากการฆ่าตัวตาย จำไว้”
“นั่นไม่ใช่คำพูดที่หมายความว่าเขาจะปล่อยเราไป” ฉันพูด “มันหมายถึงเขาจะทำให้เราหายไป”
“เรื่องนี้ไม่มีทางที่เจ้านั่นจะไม่รู้”
“รอเขาอีกวันหนึ่ง หากพรุ่งนี้เขาไม่กลับมา พวกเราลอบเข้าคฤหาสถ์เจ้าเมืองกันเพียงสองคน”
-------------------------------------------------------------
ความคิดเห็น