คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : ตอนที่ ๑๒ หยกปริศนา
ตอนที่ ๑๒ หยกปริศนา
“เจ้าเป็นหญิงตั้งแต่ต้นไยต้องปิดบังไว้ด้วยเล่า!”
“ข้าหาได้ปิดบังสิ่งใด พวกเจ้าเข้าใจกันไปเองทั้งสิ้น”
“ถึงอย่างนั้นเจ้ากลับไม่แก้ต่าง ทำพวกข้าเป็นเหมือนคนโง่มาสามปี!”
“แล้วพวกเจ้าเล่า เอาแต่ไล่ข้าไปอยู่หอนายโลม เช่นนี้ไม่เรียกว่าจิตใจข้าเองก็ถูกย่ำยีมาตลอดสามปีเช่นกันหรือไร”
ยี่สิบชะงัก จากที่ตั้งท่าจะตะโกนใส่ฉันก็เปลี่ยนเป็นกอดอก
“หาใช่ข้า ข้าไม่เคยไล่เจ้าสักที” พูดแก้ต่างให้ตัวเองอย่างดื้อดึง แต่พอเห็นฉันจ้องหน้ากลับก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ มองเมินไปทางอื่นเสียอย่างนั้น
ฉันถอนหายใจ หันมองไปทางหมายเลขหนึ่ง
“เขารู้แต่แรกว่าข้าเป็นหญิง
ข้าไม่เห็นต้องอธิบายสิ่งใด”
เจ้าสัตว์ประหลาดหันขวับตามไป
“เจ้ารู้อย่างนั้นรึ รู้แล้วไยเก็บเงียบเล่า!”
หมายเลขหนึ่งเหล่มอง
“มีความจำเป็นใดที่ข้าต้องป่าวประกาศ” เขาถามกลับ น้ำเสียงเรียบเฉยไร้อารมณ์
เจ้ายี่สิบคิ้วกระตุกแต่หมายเลขหนึ่งก็เพียงยกน้ำแกงขึ้นซดก่อนจะวางลงอย่างสง่างาม สง่างามจนฉันอดทอดถอนชื่นชมอยู่ในใจไม่ได้ ทั้งๆที่เติบโตมาในค่ายด้วยกันแท้ๆ เขาถึงได้พูดกันว่าผู้ที่โดดเด่นล้ำเลิศนั้น แม้จะอยู่ในสภาพแวดล้อมเลวร้ายเพียงใดก็ยังโดดเด่นล้ำเลิศกว่าชาวบ้านอยู่วันยังค่ำ
“เรื่องข้าเป็นหญิงหรือชายนั้นจำเป็นต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ด้วยรึ” ฉันถาม “หากข้าเป็นหญิงเจ้าจะไม่ปฏิบัติต่อข้าเช่นที่เคยทำหรือยี่สิบ จะไม่ช่วยเหลือข้า ไม่ฝึกให้ข้า ไม่พูดคุยกับข้าหรืออย่างไร”
“ไร้สาระ!” เจ้ายี่สิบหันกลับมากระชากเสียง “เจ้าจะเป็นหญิงหรือชายล้วนไม่แตกต่าง ยังคงเป็นเจ้าลูกหมาน่ารำคาญเหมือนเดิม”
สีหน้าหงุดหงิดเช่นนี้ของเขาทำเอาฉันอมยิ้ม
“เช่นนั้นจบเรื่องนี้แต่เพียงเท่านี้ดีหรือไม่”
“ตามใจเจ้า ข้าหาได้เดือดร้อนสิ่งใดไม่” ยี่สิบทำหน้าไม่ทุกข์ร้อน ไม่สนใจสีหน้าอ้ออย่างนั้นรึของฉัน หรือกระทั่งของหมายเลขหนึ่งที่เหล่มองด้วยสีหน้าอ้ออย่างนั้นรึเช่นกัน
ย้อนกลับไปเมื่อตอนสายๆ ฉันซึ่งหมดอารมณ์จะอธิบายบอกกับยี่สิบไปว่ากำลังรีบ หากตอนเย็นพวกเขาว่างให้มาเจอกันที่โรงอาหารจะได้พูดคุยกัน จากนั้นก็แล่นไปยกน้ำชากลับไปกราบคาราวะเป็นศิษย์ของท่านรองประมุขหานเจี้ยผู้นั้นอย่างถูกต้องตามธรรมเนียม เพียงแต่อาจารย์หมาดๆของฉันนั้นมีกิจธุระต้องเข้าพบประมุขหอจันทรา ฉันจึงยังไม่ได้เริ่มงานในวันนี้
ตกเย็นฉันเดินมานั่งกินอาหารรอพวกเขาที่โรงอาหาร สักพักหมายเลขหนึ่งก็มาถึง เขายกถาดข้าวมานั่งตรงข้ามฉันแล้วลงมือโดยไม่พูดสิ่งใด ฉันเองก็ไม่รู้จะพูดสิ่งใดเหมือนกันเลยได้แต่นั่งกินกันไปเงียบๆ จนกระทั่งเจ้ายี่สิบมาถึงได้เริ่มแก้ไขความเข้าใจผิดเรื่องปัญญานิ่มกว่าสามปีนั่น
“ก่อนหน้านี้เห็นพวกเจ้าอยู่ด้วยกัน ได้อยู่หน่วยเดียวกันรึ” ฉันถาม การที่ได้เห็นสองคนซึ่งแตกต่างกันสุดขั้วเดินมาด้วยกันได้นั้นออกจะสร้างความประหลาดใจอยู่
“ข้าอยู่หน่วย 3 ส่วนเขาอยู่หน่วย 6” เป็นหมายเลขหนึ่งที่ตอบ “แล้วเจ้า ได้ยินว่าอยู่กับรองประมุขขวา”
ฉันพยักหน้า หรือว่าก่อนหน้านี้ที่เขาไม่พูดไม่จาเป็นเพราะอยู่ระหว่างรับประทานอาหาร ช่างเป็นมารยาทที่ทำให้ผู้หญิงหนึ่งเดียวอย่างฉันละอายใจเสียจนไม่กล้ายกชามน้ำแกงขึ้นซดอีกเลย
“แต่เขาบอกว่าหากมีภารกิจและข้าเหมาะสม ก็จะส่งข้าเข้าร่วมกับคนอื่นๆเช่นกัน” ฉันตอบ ละสายตาจากชามน้ำแกงด้วยความเสียดาย เหลือตั้งครึ่ง
“ก่อนหน้านี้ข้ากับเขาถูกเรียกให้ไปพบที่เรือนทำการหลัก จริงสิ” เจ้ายี่สิบลดกระดูกในมือที่เพิ่งหยิบแทะลง “เจ้าได้นามแล้วหรือยัง ก่อนหน้านี้ไม่ได้เข้าพิธีต้อนรับ รองประมุขผู้นั้นได้ตั้งให้เจ้าหรือไม่”
“ได้แล้วๆ” ฉันรีบตอบ “ต่อไปนี้ให้พวกเจ้าเรียกข้าว่าหลิ่งเฟย” พูดแล้วก็อมยิ้มนิดๆ ก่อนหน้านี้ที่ลงบ่อน้ำไปฉันไม่เคยมีชื่อเป็นของตนเอง มาตอนนี้ได้ชื่อซึ่งตั้งมาเพื่อฉันโดยเฉพาะก็ให้รู้สึกปลาบปลื้มใจอยู่มาก
“เป็นชื่อที่ดี” หมายเลขหนึ่งพูดพลางพยักหน้า
“แล้วพวกเจ้าเล่า” ฉันถามกลับ
“ข้าชื่อจิ้นเหอ ส่วนเขาคือหยางชุน” ยี่สิบตอบ กิริยาเลียนิ้วตนเองที่มีเศษเนื้อติดอยู่อย่างเพลิดเพลินนั่นช่างขัดกับอีกคนที่นั่งหลังตรงหน้านิ่งอยู่ข้างๆเสียเหลือเกิน “รองประมุขซ้ายผู้นั้นเป็นผู้ตั้งชื่อให้เขา” เจ้ายี่สิบเอาศอกชี้คนข้างๆ “ตั้งแล้วยังพูดแปลกๆอย่างจงเป็นแสงแห่งการเริ่มต้นเฉกเช่นนามของเจ้าอีกด้วย อย่างเขาต้องเริ่มต้นสิ่งใดกัน”
ฉันมองหน้าหมายเลขหนึ่งซึ่งตอนนี้คงต้องเรียกว่าหยางชุน เขายังคงมีสีหน้าเรียบเฉย พูดตอบด้วยน้ำเสียงไม่แสดงอารมณ์ใด
“เมื่อแยกย้ายเข้าสู่สี่หอหลักแล้ว ต่างก็ต้องเริ่มต้นใหม่ด้วยกันทั้งสิ้น”
“เจ้านี่มันน่าเบื่อจริงๆ ดีแล้วที่ไม่ได้อยู่หน่วยเดียวกัน” ยี่สิบทำหน้าเบ้ก่อนจะยกกระดูกขึ้นมาแทะต่อ
ชื่อที่รองประมุขตั้งให้นี้ล้วนแล้วแต่หยิบเอาส่วนหนึ่งในตัวพวกเรามาตั้ง อย่างฉันนั้นเกี่ยวข้องกับสายลม ยี่สิบบ่งบอกถึงความซื่อสัตย์ หมายเลขหนึ่งที่หมายถึงแสงแห่งการเริ่มต้นจึงออกจะแปลกอยู่สักหน่อย ดวงตาสีดำสนิทของเขาเลื่อนมาสบสายตาฉันที่กำลังมองเขาอย่างพิจารณา ฉันสะดุ้งส่งยิ้มให้เขาเก้อๆ เขากลับมองเมินไปทางอื่นเสียอย่างนั้น
“สิบเก้ากับสิบสองอยู่วารี
สิบหกอยู่นภา หากเจ้าอยากรู้” จิ้นเหอพูดขึ้นมา
บัดนี้แทะกระดูกจนสะอาดเอี่ยมแล้วจึงจบมื้ออาหารด้วยประการนี้
“อย่างนั้นรึ เจ้าบ้าสิบหกนั่นสุดท้ายไปลงเอยที่หอนภานั่นเอง” ฉันพูดยิ้มๆ ได้เห็นพวกเขาส่วนใหญ่รอดตายก็รู้สึกยินดีระคนปวดใจ ในหมู่พวกเราที่พูดคุยกันบ่อยๆนี้กลับมีเพียงยี่สิบเจ็ดที่จำต้องฝังร่างไว้ในสนามทดสอบแห่งนั้น
“ชุดนี้ของเจ้า” ในตอนที่ฉันกำลังจะจมดิ่งสู่ห้วงคำนึงถึงยี่สิบเจ็ด
อยู่ๆหยางชุนกลับพูดโพล่งขึ้นมาอย่างผิดวิสัย
ฉันก้มหน้ามองชุดสีเขียวอ่อนของตัวเองก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเขา
“ชุดข้าทำไมรึ” ถามด้วยความงุนงง
หยางชุนชะงักอึ้ง ไม่ทราบอึ้งด้วยเหตุใด กระแอมทีหนึ่งแล้วพูดโดยไม่มองหน้าฉัน
“งดงามดี”
จิ้นเหอหันมองเขาส่วนฉันตกตะลึง อ้าปากพะงาบๆถามเขาตะกุกตะกัก
“เจ้า...เจ้าชอบชุดที่ข้าใส่อยู่นี่รึ อยาก...อยากได้อย่างนั้นรึ!”
จบคำฉันหยางชุนผู้ล้ำเลิศกลับหันขวับมาถลึงตาใส่
“ไม่ใช่!” ปฏิเสธเสียงลั่น อยู่กับจิ้นเหอเพียงไม่นานเขากลับพัฒนาถลึงตาใส่ผู้อื่นเป็นแล้ว
“เจ้าอยากใส่ชุดกระโปรงรึ!” จิ้นเหอถามแทบเป็นตะโกน ตื่นตกใจตามฉันมาติดๆ
“ไม่ใช่!” หยางชุนลุกขึ้นตวาด ตวาดแล้วกลับหันมาถลึงตาใส่ฉันอีกรอบก่อนจะยกถาดข้าวหนีหายไปในบัดดล
“จิ้นเหอ” ฉันเรียกเจ้าหมาบ้าที่ยังคงหันมองตามนายท่านผู้ล้ำเลิศด้วยสีหน้าตื่นตกใจไม่หาย “พวกเราไปหยิบยกรสนิยมส่วนตัวของเขามาพูดเช่นนี้เกรงว่าเขาคงจะอาย ทีหลังอย่าได้พูดเรื่องนี้กันอีกเลยแล้วกัน”
จิ้นเหอหันกลับมาอ้าปากค้างในขณะที่ฉันส่ายหน้า มีความชอบส่วนตัวเช่นนี้คงดำเนินชีวิตไม่ง่ายเลย รู้สึกสนิทสนมกึ่งเห็นใจเขาเพิ่มขึ้นมาอีกหลายส่วน
หนึ่งเดือนผ่านไป ทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง สิ่งที่ต้องปฏิบัติฉันก็ปฏิบัติได้อย่างเคยชินไม่ขาดตกบกพร่อง เช้ามายกสำรับไปให้อาจารย์ที่เรือนไผ่ ปัดกวาดเช็ดถูก ช่วยงานจิปาถะในห้องทำงานของเขา ตกเที่ยงยกสำรับ หากเขามีเวลาว่างจะสอนเรื่องต่างๆให้ฉัน เย็นมายกสำรับ ร่ำเรียนวิชายุทธ์หากเขาไม่ได้ออกไปทำธุระที่ไหน เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ต้องทำจนกลายเป็นกิจวัตรในแต่ละวัน
วิชายุทธ์ที่ฉันร่ำเรียนอยู่นี้มีสองวิชาใหญ่ๆ
หนึ่งคือวิชาประจำหอจันทราซึ่งแบ่งแยกตามสายอาวุธที่ถนัดหากแต่คงหลักการเดียวกัน
สำหรับฉันคือ ’กระบี่จันทรา’ ส่วนอีกหนึ่งนั้นคือวิชาประจำกายของรองประมุขขวาหานเจี้ยผู้นี้
’เก้าทลายภูผา’
กระบี่จันทราเป็นวิชามุ่งเน้นโจมตีเข้าจุดตาย กระบวนท่าบุกทะลวงต่อเนื่องจนให้คำนิยามได้ว่าลุยแหลก ส่วนเก้าทลายภูผาแม้ชื่อวิชาฟังดูฮึกเหิมบ้าบิ่นกลับเน้นตั้งรับรอจังหวะสวนกลับเสียมากกว่า ดังนั้นสองวิชานี้อาจารย์จึงบอกว่าเป็นประโยชน์อย่างมากหากฝึกสำเร็จ
“หลิ่งเฟย”
ฉันละมือจากหนังสือบนชั้นหันเดินไปหาบุรุษในชุดสีน้ำเงินเข้มที่โต๊ะทำงาน ค้อมตัวเล็กน้อยรอรับคำสั่ง
“พรุ่งนี้ตอนเช้าเจ้าจงไปที่เรือนทำการหลักเพื่อรับภารกิจแรก”
ฉันเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ
“ภารกิจนี้เรียกได้ว่าเป็นภารกิจต้อนรับผู้มาใหม่จึงไม่เกี่ยวข้องกับหน่วย ให้พวกเจ้าทั้งสามที่มาใหม่นี้ทำร่วมกัน มีชงจื้อหัวหน้าหน่วยหกเป็นผู้ดูแล”
“ท่านหมายถึง ข้าจะได้ออกไปข้างนอก อย่างนั้นใช่หรือไม่” ฉันถามตะกุกตะกัก ทั้งตกใจทั้งตื่นเต้นไปในเวลาเดียวกัน
“ถูกต้อง เจ้าจะได้ออกไปทำภารกิจนอกพรรค” อาจารย์ตอบ ได้ยินแล้วฉันก็แทบจะหลุดยิ้มหากไม่คิดบางสิ่งได้เสียก่อน จากตื่นเต้นจึงกลายเป็นนิ่วหน้าคิดกังวล
“ภารกิจนี้เป็นอย่างไรท่านพอรู้หรือไม่ ต้องฆ่าคนหรือไม่”
“ภารกิจแรกนี้ส่วนใหญ่มักไม่ต้องฆ่าผู้ใด แต่ระหว่างทำภารกิจนั้นต้องฆ่าหรือไม่ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของเจ้า” เขาตอบ
ฉันนิ่งเงียบ สภาพแวดล้อมที่ทำให้ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด ผ่านทั้งการถูกเข่นฆ่าและเข่นฆ่าผู้อื่นมาหลายปีนี้ แม้จะเคี่ยวกรำจิตใจให้จำเป็นต้องแข็งแกร่งขึ้นหากแต่ไม่ได้ถึงกับด้านชาต่อทุกสิ่ง ฉันยังคงรู้สึกยามที่ต้องต่อสู้เอาชีวิตผู้อื่น
“อาจารย์” ปากขยับพูดด้วยเสียงไม่ดังนัก ก้มหน้ามองมือตนเองที่จับประสานกันไว้ “ท่านเก่งกล้าสูงส่งไยต้องเป็นโจรเช่นนี้”
อาจารย์วางเอกสารในมือลง หากเขาหันไปคว้าแท่นหมึกมาโขกหัวฉันจนตายฉันก็คงไม่อาจโทษเขา เพียงแต่ด้วยบุคลิกลักษณะนิสัยของเขานั้น พอลองคิดว่าเป็นโจรทำแต่สิ่งชั่วร้ายแล้วกลับไม่เข้ากันอย่างยิ่ง
“เป็นโจรหรือไม่ใจเจ้าย่อมรู้ดีกว่าผู้ใด” เขาเอ่ย ไม่ได้คว้าแท่นหมึกมาทุบหัวฉัน เพียงแค่เอนตัวพิงเก้าอี้ไม้ที่นั่งอยู่เท่านั้น “โลกใบนี้นั้นหากมีเพียงขาวกับดำย่อมแตกต่างเกินไปจนก่อให้เกิดความขัดแย้ง ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องมีสีเทาเพื่อรักษาสมดุลของความต่างไว้ หลิ่งเฟย เจ้ารู้หรือไม่คนภายนอกเรียกขานเราว่าอย่างไร”
“ข้าไม่ทราบ” ฉันเงยหน้าขึ้นตอบ เคยชินเสียแล้วกับการปุบปับเปลี่ยนเรื่องเช่นนี้ของเขา
“บรรดาผู้ที่รู้ถึงการคงอยู่ของเราต่างเรียกขานว่าเราว่าพรรคไร้นาม
ไร้นามนั้นคือสีเทา”
ร่างสูงสง่าลุกขึ้น
ค่อยๆก้าวเดินไปที่หน้าต่างสองมือไพล่หลัง
“เจ็ดแคว้นนั้นแม้ภายนอกดูสงบสุขหากภายในกลับคุกรุ่น แต่ละแคว้นล้วนมีความเคลื่อนไหวอย่างลับๆเพื่อแสวงหาความเป็นใหญ่อยู่เสมอ ไร้นามคงอยู่ด้วยมีผู้ไม่ต้องการให้สงครามครั้งใหญ่ของเจ็ดแคว้นอุบัติขึ้น พวกเราคงอยู่เพื่อรักษาสมดุล”
คำว่าคงอยู่เพื่อรักษาสมดุล ไม่ทราบฉันคิดไปเองหรือไม่ว่าอาจารย์พูดด้วยน้ำเสียงที่แตกต่างจากประโยคก่อนหน้า
“การเคลื่อนไหวของแต่ละแคว้นนั้นอยู่ในจุดที่ควบคุมได้จนกระทั่งช่วงสิบปีมานี้” อาจารย์ยังคงพูดต่อ “เกิดข่าวลือต่างๆขึ้นมากมาย กระทั่งเหล่าจอมยุทธ์สำนักต่างๆที่เคยอยู่อย่างเงียบเชียบต่างก็เริ่มติดต่อกันอย่างลับๆ”
“เหตุใดพวกเขาถึงมาเคลื่อนไหวเอาในช่วงสิบปีนี้” ฉันถาม นานๆทีอาจารย์จะเล่าเรื่องภายในต่างๆให้ฟัง โอกาสเช่นนี้ไม่อาจปล่อยไปได้
เขาหันกลับมา
“เป็นเพราะบางอย่างที่ไม่ควรปรากฏกลับปรากฏ บางสิ่งที่ไม่ควรมีอยู่กลับมีอยู่ เฉกเช่นหยกขาวชิ้นนั้นของเจ้า”
ฉันนิ่งอึ้ง ยังไม่ทันได้พูดสิ่งใดอาจารย์ก็พูดต่อ
“หยกขาวชิ้นนั้นเป็นเพียงชิ้นส่วนหนึ่งเจ้ารู้หรือไม่ แม้ข้าไม่อาจรู้ว่าเหตุใดมันจึงกลายเป็นบิดเบี้ยวไม่เป็นรูปทรงเช่นนี้ หากแต่ที่มั่นใจคือยังคงมีชิ้นส่วนอีกครึ่งที่เป็นหยกชิ้นเดียวกัน มันส่องแสงเรียกหากัน เรียกหาอีกครึ่งที่ไม่รู้ว่าอยู่แห่งหนไหนในมือผู้ใด ด้วยเหตุนี้ข้าจึงต้องเก็บมันไว้ในกล่องซึ่งสามารถสกัดกั้นการเรียกหาของมันได้”
ฉันอ้าปากตั้งใจจะพูดกลับพูดไม่ออก อ้าๆหุบๆอยู่หลายรอบถึงได้ส่งเสียงถามออกมาได้ในที่สุด
“ท่านบอกว่าหยกธรรมดานั่นส่องแสงได้”
“นั่นเพราะมันหาใช่หยกธรรมดา ข้าตั้งใจจะค่อยๆบอกเจ้าไปพร้อมๆกับฝึกฝนเจ้า หากแต่วันนี้ถ้าไม่ได้อธิบายให้ฟังเจ้าคงไม่สามารถก้าวต่อไปอย่างมั่นคงได้กระมัง”
ดวงตาดั่งทะเลลึกคู่นั้นทอแววอ่อนลง
“หลิ่งเฟย ในโลกใบนี้มีเรื่องเล่าตำนานมากมาย หนึ่งในนั้นคือตำนานของเหล่าเทพเซียนที่แวะเวียนมาเยี่ยมเยือนดินแดนมนุษย์ เทพเซียนเหล่านั้นบางครั้งไม่ได้เพียงมาแล้วกลับไปหากแต่ทิ้งบางอย่างไว้ พึงเข้าใจว่าสิ่งของของเทพเซียนนั้นย่อมเป็นของวิเศษสูงค่าไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด หากตกอยู่ในมือผู้ที่คู่ควรย่อมไม่เกิดปัญหา ในทางกลับกันหากผู้ครอบครองนั้นไม่ได้มีจิตใจสูงส่งเฉกเช่นของที่ครอบครองอยู่นั่นย่อมก่อปัญหา”
ท...เทพเซียน ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองถูกจับเขย่าจนหัวหมุน ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อ เพียงแต่เทพเซียนเหล่านั้นไม่ใช่ว่ามีที่อยู่เฉพาะกันหรอกหรือ เช่นเทพบุตรในโลกวิญญาณนั่นอย่างไรเล่า
“แล้วพวกเขา พวกเขาทำของตกไว้แล้วไม่คิดจะกลับมาเอาคืนอย่างนั้นรึ” ฉันถามทั้งหัวหมุนๆ ไยเป็นเทพเซียนที่ไร้ความรับผิดชอบเช่นนั้นเล่า
“เทพเซียนนั้นหาได้ตัดขาดจากรักโลภโกรธหลงไม่ หากเขาพึงใจมอบให้เองย่อมไม่จำเป็นต้องกลับมาเอาคืน เพียงแต่เทพเซียนเองก็มีกฏของเทพเซียน เล่าขานกันมาว่าในช่วงเวลาหนึ่งพวกเขาออกกฏห้ามเหล่าเทพเซียนมอบสิ่งของใดให้แก่มนุษย์อีก เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความวุ่นวายที่ไม่อาจควบคุมได้ แต่นั่นก็เป็นเพียงเรื่องเล่าขานเท่านั้น”
“ท่านรู้เรื่องเทพเซียนดีเช่นนี้ไม่ใช่ว่าเป็นญาติกับพวกเขาหรอกนะ อาจารย์” ฉันถาม มองเขาอย่างไม่ไว้วางใจ
อาจารย์กลับอมยิ้ม
มุมปากที่โค้งขึ้นเล็กน้อยนั่นหากเป็นในภพเดิมของฉันคงต้องเรียกว่าพิฆาตสาวๆตายเรียบ
“ข้าเป็นมนุษย์ธรรมดาหาได้มีญาติเป็นเทพเซียน เพียงแค่มีวาสนาเคยได้พบเท่านั้นเอง”
ฉันเกือบหลุดอุทานออกมา คำพูดนี้ของอาจารย์ทำให้รู้สึกสนิทสนมกับเขาขึ้นอย่างมาก เขาเคยพบเทพเซียนฉันเองก็เคยแม้จะเป็นตอนตายแล้ว เช่นนี้จะไม่เรียกว่าเป็นคนกลุ่มเดียวกันหรอกหรือ อืม ชมรมคนเคยพบเทพเซียน ฟังดูดีไม่น้อย
“ไม่ว่าภพใดย่อมมีสมดุลให้ต้องคำนึง” น้ำเสียงทอดถอนของอาจารย์ทำให้ฉันหลุดออกจากห้วงความคิดกลับมาตั้งใจฟัง “หลิ่งเฟย เรื่องของหยกขาวนี้จำเป็นต้องพูดคุยหารือกันอีกยาว ทั้งเจ้ายังต้องให้ความร่วมมือเปิดเผยสิ่งเจ้ารู้กับข้าจึงจะทำให้เข้าใจสิ่งต่างๆได้อย่างกระจ่างแจ้ง”
ฉันพยักหน้าเข้าใจ กำลังอ้าปากจะเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟังเขากลับชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน
“เพียงแต่ตอนนี้เจ้าควรจดจ่ออยู่กับภารกิจซึ่งกำลังจะมาถึง แม้เป็นภารกิจแรกหากแต่ภารกิจของจันทรานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย หากไม่ตั้งใจให้ดีอาจผิดพลาด ควรรู้ว่าความผิดพลาดสำหรับจันทรานั้นไม่เคยปรานีผู้ใด”
ฉันเดินออกจากห้องทำงานของอาจารย์พร้อมด้วยข้อมูลข่าวสารมากมายในหัวที่ไม่อาจเรียบเรียงได้ทั้งหมด มาจนถึงห้องพักตนเองแล้วถึงได้นั่งคิดทบทวนสิ่งต่างๆดู จากคำพูดของเทพบุตรในโลกวิญญาณตอนที่ส่งฉันลงบ่อสุดท้ายนั่น ที่บอกว่านางรู้จักข้าดีนั่นไม่ได้หมายความหญิงชุดขาวผู้นั้นก็เป็นเทพเซียนด้วยหรอกหรือ เพราะหากไม่ใช่เทพเซียนผู้มีอำนาจแล้วนางจะข้ามภพไปปรากฏต่อหน้าฉันในชาติภพของเนตรนภาได้อย่างไร แต่หากนางเป็นเทพเซียนแล้วเหตุใดเทพบุตรถึงได้บอกให้ฉันตามหานาง ถ้าเกิดนางกลับภพกลับแดนตัวเองไปแล้วฉันจะไปตามหานางได้อย่างไร
“หยกชิ้นนี้แบ่งให้พวกเจ้าคนละครึ่ง”
อยู่ๆภาพในความฝันประหลาดก็ปรากฏขึ้นในความคิด ร่างเงาในม่านหมอกไม่ชัดเจนนั่นเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่ จากเสียงที่ได้ยินนั้นเขาเป็นคนละคนกับผู้ที่บอกว่าอยากเป็นจอมยุทธ์ผู้กล้าแกร่งและจะปกป้องเจ้าตลอดไป เขาทั้งคู่เป็นใครและภาพที่ฉันเห็นนี้เป็นเพียงความฝันเพ้อเจ้อหรือความทรงจำของผู้ใด ขณะกำลังคิดทบทวนภาพฝันหัวใจพลันบีบรัด ฉันตกใจจนลมหายใจสะดุดหายไปวูบหนึ่ง ทั่วร่างหนาวยะเยือกขึ้นมากะทันหัน ไม่ใช่ความหนาวเย็นจากภายนอกหากแต่เป็นความหนาวอยู่ภายใน หนาวลึกราวกับความหนาวนั้นปกคลุมอยู่ที่วิญญาณ ลุกขึ้นเดินซวนเซไปที่เตียงนอน ล้มตัวลงขดตัวในผ้าห่ม กัดฟันทนความหนาวที่ลากพาเอาความปวดร้าวทั่วทั้งร่างมาปกคลุมด้วย ความปวดร้าวที่ไม่ทราบสาเหตุ ไม่ทราบที่มา และทั้งๆที่ไม่ทราบที่มานั้นในหัวกลับมีเพียงภาพสีแดงฉานของเลือดที่ไหลนอง
-----------------------------------------------------
ตอนหน้าสามสหายกับภารกิจแรก ขโมยของบ้านเจ้าเมือง จะลุล่วงหรือรุ่งริ่งล่ะคราวนี้ มีชื่อกันแล้ว
ปล. ปกติแล้วเราอ่านโชเน็นซะส่วนใหญ่ ไม่รู้ว่าฝั่งโชโจก็สมบุกสมบันด้วย เคยอ่านแค่ฝากใจไปถึงเธอ เดี๋ยวต้องลองไปโฉบๆฝั่งโชโจบ้างแล้ว ส่วนเรื่องเลขที่นี่ไม่ทันคิดเลยจริงๆค่ะ พอมานั่งคิดดูตอนสมัยมัธยมตัวเองเลขที่ 38 อ้าว เป็นคนฆ่ายี่สิบเจ็ดซะงั้น เวรกรรม ฮ่าๆๆ
ความคิดเห็น