กล่องของแม่ - กล่องของแม่ นิยาย กล่องของแม่ : Dek-D.com - Writer

    กล่องของแม่

    โดย FLasH

    ถ้าใครทุกข์ เพราะ แม่ไม่ให้มีแฟน ไม่สบายใจที่หนีไปดูหนังกับแฟนมา โกหกแม่สารพัดเพื่อให้ได้ไปเจอแฟน ไม่มีแฟนซะที เพราะแม่ เบื่อแม่จะแย่ อยากมีใครสักคน ลองอ่าน ดู

    ผู้เข้าชมรวม

    175

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    175

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  25 พ.ค. 49 / 20:58 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      กล่องของแม่

      แม่ก้าวเดินอย่างมั่นคงมาขึ้นรถ มั่นคงจนฉันใจหาย "หนักมั๊ยแม่ อิ๋วถือกล่องให้แล้วกัน"

      ฉันเอื้อมมือไปฉวยกล่องเก่าๆนั้น จากมือแม่แต่ไม่สำเร็จ
      แม่เม้มปากอย่างเด็ดเดี่ยว และตามองถนนอย่างระมัดระวัง ส่วนมือประคองกล่องที่ว่าไว้อย่างมั่นคง

      วันสุดท้ายแล้วที่แม่จะอยู่ในความดูแลของฉัน
      เมื่อตอนคุยกันกับแม่ ความโล่งอกทำให้ฉันมีความสุขมาก
      สุขที่แม่เข้าใจความจำเป็นของลูกที่ตัดสินใจส่งแม่ไปอยู่ที่อื่น

      แน่นอน ตรงนั้น ตรงที่ใหม่ที่แม่จะไปอยู่ ทุกคนจะมีความสุข เพราะเป็นสถานที่สำหรับคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน
      สถานที่ซึ่งรวมเอาคนที่มีความรู้สึก ความต้องการ ความคิดอ่าน
      และอะไรต่อมิอะไรหลายๆอย่าง ที่เหมือนกันมาไว้ใต้ชายคาเดียวกัน

      มันเป็นทฤษฎีที่ถูกต้อง! ทฤษฎีของการแยกประเภท แยกโลกออกจากกันให้ชัดเจนเพื่อลดความขัดแย้ง
      ในต่างประเทศ ที่พัฒนาแล้วสังคมล้วนเป็นเช่นนี้


      "ไปก็ไปซี ว่าแต่แกจะกินอยู่ยังไงล่ะ" แม่ตอบง่ายๆ หลังจากฟังลูกสาวคนเล็กพูดวกวนอยู่เป็นนาน สองนาน
      ใจวาบลึกเหมือนกันกับคำพูดของแม่ที่ห่วงฉัน จะอยู่จะกินยังไงต่อไป

      "แม่อย่าห่วงเลย อิ๋วโตแล้ว" ฉันตอบแม่อย่างเด็ดเดี่ยวบ้าง


      นับแต่วันที่คุยกันแล้ว แม่ก็ยังดำเนินชีวิตปกติ เพื่อรอวัน 'ย้ายบ้าน'
      แม่ไม่ได้ลุกขึ้นมาเก็บสมบัติของแม่อย่างที่ฉันคิดไว้
      แม่ไม่ได้มีอาการซึมเศร้าเหงาหงอยอย่างที่พวกเราพี่ๆ น้องๆ กลัวกัน
      และแม่ไม่ได้พูดจาโต้แย้งกับฉัน เหมือนเรื่องอื่นๆที่เคยเป็นมา
      พวกพี่ๆ และบรรดาสะใภ้กับเขยทั้งหลายเสียอีก ที่รุมถล่มฉันอยู่หลายวัน

      "แม่คนเดียว อยู่อีกไม่กีปี อิ๋วก็ไม่น่าจะต้องผลักไสแกไปอย่างนั้น" นี่พี่สาวคนโต
      "คนแก่ก็ยังงี้แหละ บ่นบ้างว่าบ้างจะอะไรกันนักหนาชั่วดีก็แม่เราจะส่งแกไปทำไมกัน
      แถมไอ้เนิร์สซิ่งโฮมที่ไปหามาก็ราคาแพงเป็นบ้า" ส่วนนี่ก็พี่เขยจอมตืด

      "แม่คงเสียใจพิลึก แกลองไปคิดดูใหม่ดีๆแล้วกันว่าจะส่งแม่ไปจริงเหรอ"
      "แกก็หัดใจเย็นๆ ลงมั่งซี ลูกผัวก็ไม่มีแม่คนเดียวก็ดูไม่ได้ แล้วจะไปอยู่กะใครเขาได้"

      เออ..เอาเข้าไปได้พวกดีแต่พูด พูดกันดีนักแต่ไม่เห็นมีใครมาดูดำดูดีแม่ซักคน
      นอกจากนั้น!ก็ไอ้ที่ไม่มีลูกมีผัวทุกวันนี้ ก็เพราะแม่นั่นแหละ

      วันๆเวลาที่เหลือจากการทำงานต้องอุทิศ ให้แม่ไปจนหมดแล้ว
      จะไปพักร้อนยาวๆ ก็ไม่ได้เพราะไม่มีใครยอมมาดูแม่ให้
      พวกปากดีที่ว่าตำหนิฉันนั้นแหละตัวดีนักละ
      วันหยุดยาวทีไรต่างก็เผ่นกันไปพักร้อนยังกะผึ้งแตกรัง

      "โอ๊ย! ไม่ได้หรอกฉันจองโรงแรมไว้แล้วแกไว้ไป
      คราวหน้าซี เอาเถอะน่าแล้วจะซื้อของมาฝาก"
      อ๊วกจะแตก ใครอยากได้ของฝากพรรค์นั้น

      ขนมหม้อแกง ปลาเค็ม กุ้งแห้ง ลูกหยี กล้วยฉาบ และของบ้าๆ บอๆอีกเป็นพะเรอ
      แม่ก็ไม่กิน ฉันก็ไม่กินเดือดร้อนต้องขนไปแจกต่ออีกต่างหาก ทุเรศ!
      แล้วฉันจะไปพึ่งใครได้ไม่มีคำว่าพักร้อน

      ไม่มีวันหยุดยาวอย่างใครๆ เขา ไม่มีงานเลี้ยงตอนค่ำไม่มีงานวันเกิดเพื่อน
      หรืองานสนุกอะไรทั้งนั้นสรุปแล้วฉันจะหาโอกาส ที่ไหนไปมีแฟนล่ะ
      เลยกลายเป็น 'ลูกเหลือขอ'อยู่คนเดียวในบ้าน นี่แหละ

      ลูกสาวสามคนในบ้านมีคนมา 'ขอ' ไปหมด ยกเว้นคนสุดท้องอย่างฉัน
      ใครจะมาซาบซึ้งกับความเป็น'ลูกเหลือขอ' ได้ดีเท่าฉัน
      ใช่ว่าฉันจะสวยน้อยกว่าพี่อ้อย พี่แอ๊ว และพี่อ๋อม และใช่ว่าความรู้จะด้อยกว่าพี่คนอื่นๆ
      เพียงแต่แม่พวกนั้นมันเกิดก่อน เลยได้โอกาสตัดช่องน้อยแต่งงานกันไปหมดแล้ว

      ฉันเลยกลายเป็นคนสุดท้ายที่พลาดเก้าอี้ดนตรีไปซะฉิบ
      ตกที่นั่ง ต้องมานั่งเลี้ยงแม่ ทนฟังแม่บ่นและคอยเถียงกับแม่ในทุกเรื่อง
      ตั้งแต่เรื่องเสื้อตัวใหม่ ผมทรงใหม่อาหารเย็นของแม่แต่ละวัน
      และวันที่แม่ต้องไปไหว้เจ้าตามวัดต่างๆ
      ก็ไม่รู้เป็นไงให้ตายเถอะ มันเหมือนแกล้ง แม่จำเพราะต้องไปไหว้พระไหว้เจ้า
      เอาวันที่ฉันอยากออกไปช็อปปิ้งหรือมีนัด กับใครต่อใครซะทุกทีซิน่า

      "แม่ไปวันอื่นไม่ได้เหรอ วันนี้อิ๋วจะไปดูหนังกับเพื่อน"
      แต่แม่ไม่เคยแยแสท่าทางกระฟัดกระเฟียดและเสียงสะบัดของฉันเลย
      "วันนี้เป็นวันดี วันเทวดาลงมาจากสวรรค์วันอื่นไปไม่ได้"
      หรือไม่ก็"วันนี้วันพระใหญ่ ปีนึงมีไม่กี่วันเองไม่ไปไหว้ได้ไง"

      โอ๊ย! จะบ้าว่ะอยากขว้างแก้วขว้างจานให้มันสาแก่ใจนัก
      ไอ้เรื่องไหว้พระไหว้เจ้าของแม่นี่ยังถือเป็นวาระจรนะ
      นอกเหนือจากพวกเจ้าประจำคือไปหาหมอทุกเดือนและซื้อยา

      ส่วนที่เป็นกรณีฉุกเฉินพิเศษก็ชักบ่อยจนกลายเป็นเจ้าจำนำกันไปคือ
      เดี๋ยวหวัดเล่นงาน เดี๋ยวท้องเสียวันดีคืนดีก็หกล้มหกลุกให้อารมณ์เสียระหว่างทำงาน
      ก็จะไม่อารมณ์จะไม่เสียได้ไง ฉันเป็นพนักงานคนเดียวในบริษัทที่ต้องขาดงาน
      หรือมีอันต้อง มีเหตุให้เผ่นกลับบ้านด่วนจี๋กลางคันบ่อยที่สุด

      จนแค่เดินเข้าไปหาเจ้านายโดยไม่ต้องอ้าปากพูด นายก็โบกมือไล่อนุญาตแล้ว
      ฉันเริ่มรู้ชะตากรรมตัวเองดีว่า คงไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องเลื่อนตำแหน่ง
      หรือเงินเดือนขึ้นแบบก้าวกระโดดอย่างคนอื่นๆหรอก จนกว่าแม่จะตาย!
      แล้วเมื่อไหร่ล่ะแม่ถึงจะตาย ฉันอาจจะตายก่อนแม่ก็ได้ใครจะรู้!!


      แม่ขึ้นรถเรียบร้อยพร้อมเอากล่องของแม่วางบนตัก โดยไม่ยอมให้ฉันเอาไปวางไว้เบาะหลัง
      พอพ้นซอยเท่านั้นแหละ รถติด เป็นแพเต็มถนน
      ฟ้าที่ดำทะมึนตั้งกะเช้าก็สำแดงอาการทันที กลายเป็นฝนตกลงมาห่าใหญ่ โดยไม่ต้องมีอารัมภบท
      มันดูน่าเบื่อเหลือเกินสำหรับอาการฝนตกรถติด

      "แม่หนาวมั๊ย จะได้หรี่แอร์" แต่แเม่สั่นหน้า ตั้งแต่ออกจากบ้านแม่ยังไม่ได้พูดอะไรเลย
      "แม่เอาของมาน้อยจัง"ในเมื่อแม่ไม่พูดฉันเลยต้องพูดไม่งั้นคงเครียดเป็นบ้า
      กับประโยคนี้ของฉันแม่เริ่มพูดขึ้นมาได้

      "ที่เอามานี่ก็ทั้งชีวิตแล้ว อย่างอื่นไม่รู้จะเอาไปทำไมมันไม่จำเป็น
      เสื้อสองชุด รองเท้าแตะคู่ก็พอเอาไปมากเดี๋ยวโดนขโมยน่ะซี"

      ฉันลอบถอนใจ
      ยังดีที่แม่คุยขึ้นมาบ้างแม้จะเป็นการพูด แบบมองโลกในแง่ลบไปหน่อยก็ตาม
      แม่ก็ยังงี้แหละกลัวของหายกลัวคนมาขโมยของของตัว
      บางทีโวยวายแทบตายปรากฎว่า ของที่ว่าหายนั้นอยู่ในลิ้นชักของตัวเองแท้ๆ

      รถบนถนนขยับได้ทีละนิดสลับกับอาการหยุดนิ่งอยู่กับที่ทีละนานๆ
      ฝนบนฟ้าก็เทลงมายังกะเทวดากำสรวล

      ฉันมองดูกล่องบนตักแม่ที่แม่ใช้ใส่ของไปบ้านใหม่
      มันเป็นกล่องกระดาษสีน้ำตาลเก่าแก่ด้วยกาลเวลา กล่องแบบนี้เดี๋ยวนี้เขาคงเลิกผลิตแล้ว
      และผงซักฟอกยี่ห้อนั้นก็เลิกผลิตไปนานหลายปีแล้ว
      ยิ่งดูจากวันเดือนปีที่ผลิตตรงข้างกล่องยิ่งเห็นว่ามันเก่าเชียว

      ลังผงซักฟอกของแม่จะว่าไปจริงๆขนาดกำลังพอดี
      เพราะพอวางบนตักแล้วขนาดพอดีกับตักแม่เลย
      มีรอยปะตามวิธีการของแม่อยู่หลายแห่ง รวมทั้งเชือกฟางสีชมพูหม่น
      ที่แม่ใช้รัดรอบกล่องหลายทบเพื่อเสริมความแข็งแรง

      ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมแม่ไม่เปลี่ยนกล่องใหม่ ทั้งที่เราก็มีกล่องแบบนี้หลายใบอยู่
      วันนี้แม่ประคองกล่องของแม่อย่างเบามือ มันดูน่าขันยังกะพวกบ้านนอกเวลาจะกลับบ้าน

      วันก่อนฉันเอากระเป๋าใบเก่งของฉันให้แม่ แต่แม่ไม่เอา
      "ไม่เอา ย้ายไม่ได้ ย้ายแล้วเดี๋ยวมันสับสนกันหมด เอาไว้ในกล่องน่ะดีแล้ว"
      ตั้งแต่จำความได้ก็เห็นแม่ลากเจ้ากล่องใบนี้เข้าๆ ออกๆอยู่หลายหน
      แต่ไม่มีใครเคยถามแม่ซักทีว่ามีอะไรในนั้น
      พวกเรามักเรียกว่า 'กล่องของแม่' ก็เท่านั้นและเป็นอันรู้กันว่าห้ามย้าย ห้ามรื้อกล่องของแม่เป็นอันขาด


      "มีอะไรในกล่องมั่งล่ะ" ไหนๆ แม่จะไม่อยู่แล้วฉันเลยถามขึ้น
      แม่มีอาการกระตือรือร้นเชียว เวลาพูดถึงกล่องของแม่
      รีบดึงเชือกฟางสีชมพูที่ผูกบนกล่องออกมาอย่างเบามือ แล้วเริ่มหยิบของในนั้นออกมาให้ดู

      "มีแต่ข้าวของเกี่ยวกับพวกแกทั้งนั้นแหละ
      บนๆนี่ก็รูปพวกหลานทั้งหลายล่างๆ ก็จะเป็นรูปพวกแก"

      แม่หยิบสมุดอัลบั้มใส่รูปขึ้นมาหนึ่งเล่ม แล้วเปิดดูทีละหน้าพร้อมกันยิ้มกว้าง
      "นี่ตาเอกตอนเกิดใหม่ๆ ตัวมันแดงเชียวหน้าเหมือนแม่มันยังกะแกะ
      พอโตแล้วซนเป็นบ้ายายมันเลี้ยงซะเสียคน" นี่ก็เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของแม่
      คือมีช่องว่างเป็นต้องจิกลูกสะใภ้ และครอบครัว

      แม่ยังหยิบโน่นหยิงนี่ออกมาอย่างช้าๆ พวกรูปทั้งนั้นแหละ
      มีทั้งรูปลูกชาย ลูกสาว หลานยาย หลานย่า รูปวันแต่งงาน รูปรับปริญญา รูปเด็กเกิดใหม่
      รูปที่พวกลูกๆหลานๆ ไปเที่ยวต่างจังหวัดกันแม่เก็บไว้ยังกะของมีค่า
      แล้วก็มาถึงบรรดากระดาษรุ่งริ่ง กระดาษพวกนั้นบางและเก่าจนแทบจะกระจาย
      เมื่อโดนลมจากเครื่องปรับอากาศหน้ารถ
      "อุ๊ย! อะไรน่ะ"ฉันรีบปัดหน้ากากเครื่องทำความเย็นให้พ้นหน้าตักแม่
      ่ก่อนที่กระดาษคร่ำคร่าพวกนั้นจะร่วงปลิวไปตามแรงลม

      "วันเกิดพวกแกกลับพวกหลานๆไงฉันเก็บไว้ทุกคนแหละ
      ไม่ยังงั้นเวลาไหว้พระจำไม่ได้ว่าเกิดกันเมื่อไหร่
      เรามันครอบครัวใหญ่จำไม่หมด นี่..นี่..แผ่นนี้วันเกิดตาอึ่ง
      ตอนมีลูกคนแรกมันสับสนวุ่นวายไปหมด ทีแรกไม่รู้จะจดวันเกิดลูกยังไงดี
      แต่ยายน่ะซีรีบฉีกปฏิทินออกมายัดใส่มือ บอกว่า เอ้า! วันเกิดลูกเก็บไว้ซะ

      ตั้งแต่นั้นมาพอใครเกิดฉันก็ฉีกวันที่เก็บไว้ทุกที
      ฉันมันคนไม่รู้หนังสือไม่เหมือนพวกแกหรอก มีคอมพิวเตอร์มีอะไรกัน
      แต่ไม่เห็นมีใครจำวันเกิดแม่ได้ซักคน
      วันตายพ่อยังไม่รู้เลย ฉันต้องนั่งไหว้อยู่คนเดียวทุกปี"

      น้ำเสียงของแม่ไม่มีอาการน้อยใจหรือเสียใจ อาจเพราะแม่กำลังชื่นชมของที่เก็บไว้ในกล่องอยู่ก็ได้
      ปฏิทินที่แม่ว่านั้นเป็นกระดาษสีนวลบางๆ ใบใหญ่บ้างเล็กบ้าง
      ตามแต่ว่าปีไหนเขาจะผลิตปฏิทินออกมาขนาดไหน
      ตอนเด็กๆอาเจ๊ร้านขายของชำแถวบ้านจะเอามาแจกให้ทุกปี
      พอเขาเลิกแจกแม่ต้องไปซื้อที่ตลาดเก่าเยาวราชนู่นแหละ

      ตอนหลัง พี่อึ่งเป็นคนเอามาให้ทุกปีเพราะที่บ้านเขามีคนเอามาให้
      แต่เขาไม่แขวนเพราะเชย มันเป็นปฏิทินทางจันทรคติ
      ที่แยกวันที่ออกเป็นวันละหนึ่งแผ่นตัวเลขวันที่พิมพ์ตัวโตสีดำเด่นอยู่กลางหน้ากระดาษ
      ถ้าเป็นวันหยุดตัวเลขจะเป็นสีแดงแทน พวกเราทุกคนคุ้นกับปฏิทินของแม่ดี
      เพราะแม่สอนพวกเราทุกคนหัดอ่าน หนึ่ง สอง สามจากปฏิทินพวกนี้แหละ
      พี่อั๋นนั้นโดนแม่ตีมือมากที่สุด เพราะอ่านไปฉีกเล่นไป

      "อย่าฉีก เดี๋ยวแม่ไหว้เจ้าไม่ถูก" แม่จะหวงปฏิทินมาก เพราะบนกระดาษแต่ละใบนั้น
      นอกจากวันที่ตัวมหึมาเห็นเด่นชัด โดยไม่ต้องใส่แว่นแล้ว
      ยังมีคำทำนายสั้นๆ อยู่ด้วย สำหรับคนเกิดในวันนั้น
      และมีฤกษ์ผานาทีกำกับไว้ว่าวันนั้นควรทำการมงคลหรือไม่ควรทำอะไร
      และที่สำคัญใบ้หวย...แม่น!

      "ลูกแปดคน ก็มีแต่แกนี่แหละที่เล่นเอาฉันไม่เป็นอันกินอันนอน"
      "อ้าว! ทำไมล่ะ" เออ นี่เป็นความรู้ใหม่ทีเดียวสำหรับฉัน

      "ตอนแกเกิดในปฏิทินเขาเขียนไว้ว่าชะตาไม่ดี เลี้ยงยาก
      ไอ้ฉันเลยร้องไห้ซะเป็นวรรคเป็นเวรพ่อแกเค้าหาว่าบ้า
      เฮ้อ!จริงไม่จริงคนเป็นแม่ก็ต้องเชื่อไว้ก่อนน่ะแหละ
      ของมันอยู่ในท้องมาตั้งเก้าเดือน ใครไม่รักไม่หวงก็บ้าแล้ว*
      ผู้ชายจะมารู้อะไรเค้าไม่ได้มาอุ้มท้องแบบเรานี่"

      พูดถึงพ่อแล้วแม่อดค้อนลมค้อนแล้งไม่ได้ ก่อนจะพูดต่อว่า
      "พอออกจากโรงพยาบาลอยู่เดือนยังไม่ครบดี ฉันก็รีบไปไหว้เจ้าเลย
      ย่าแกด่าซะไม่มีดีเค้าห่วงกลัวเราไม่สบายใจ

      ้ตอนนั้นเราก็ไม่รุ้เลยเสียอกเสียใจยกใหญ่
      พอไปไหว้เจ้าเสี่ยงเซียมซีก็พูดเหมือนกัน เค้าว่าแกเลี้ยงยากเพราะดวงมันมายังงั้น
      แต่จะมีความก้าวหน้าในชีวิต เฮ้อ!ไอ้ฉันน่ะเลี้ยงแกมาชนิดไม่ยอมให้ใครอุ้มเลย
      กลัวพี่เอาไปทำแข้งขาหัก ไปโรงเรียนก็จุดธูปทุกเช้าให้แคล้วคลาด
      เวลาไปไหนๆก็ต้องบนพระทุกที่ให้แกไปดีมาดี กว่าจะโตมาได้เฮ้อ! "

      แม่ถอนใจอยู่หลายครั้งกว่าจะพูดจบได้
      ความเงียบเกิดขึ้นพักใหญ่ นอกจากเสียงฝนและเสียงเครื่องปรับอากาศในรถแล้ว
      มันเงียบจนฉันรู้สึกเหมือนอยู่ที่ไหนซักแห่งในโลก
      ที่ไม่ใช่บนถนนมีรถติดเป็นแพอย่างนี้

      "แกจะเอาฉันย้ายไปอยู่ไอ้เนิร์สซิ่งโฮมของแก
      ฉันก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรหรอก คนแก่แล้วมีที่นอนมีข้าวกินสามมื้อก็พอ
      ห่วงก็แต่แกน่ะแหละอีกไม่กี่ปีจะสามสิบห้าอยู่แล้วต้องระวังตัวให้ดี
      อย่าลืมไปทำบุญไหว้พระซะจะได้อายุมั่น ขวัญยืน ถ้าฉันยังอยู่กะแกก็จะได้ไปจัดการให้
      แต่ต่อไปแกต้องทำเองแล้ว ค่ำมืดดึกดื่นเข้าบ้านออกบ้านต้องระวังหน่อย"

      แม่พูดพร้อมกับที่ค่อยๆเรียงกระดาษและรูปทั้งหมด ลงไปในกล่องของแม่อย่างเดิม

      "ไอ้กล่องนี่ไม่ได้เปลี่ยนเลยนะตั้งกะมีลูกคนแรก มีอะไรฉันก็เรียงลงไปเรื่อยๆ
      หลายสิบปีแล้วแต่มันยังกะคอมพิวเตอร์พวกแกเลยนะ แถมแม่นไม่มีอะไรเท่า
      พวกแกซะอีกหลงๆลืมๆ "

      ฉันไม่เคยรู้เลยว่ากล่องของแม่จะบันทึกชีวิตของครอบครัวเราไว้ได้มากขนาดนี้
      มิน่าแม่จะจำวันสำคัญของพวกเราได้แม่น อย่างไม่น่าเชื่อ จนพวกเราแอบเรียกแม่ว่า
      "สมองคอมพิวเตอร์" ที่แม้แม่มีทีเด็ดตรงกล่องนี่เอง
      เห็นแม่ลากออกมาดูบ่อยๆ แล้วเก็บไว้อย่างดีทุกที

      ฉันคงนั่งนิ่งไปนานถ้าแม่ไม่พูดขึ้นว่า
      "แกก็อย่าไปคิดอะไรมากเลยฉันรู้ว่าพวกพี่ๆ เค้าเอาภาระมาใส่แกมากเกี่ยวกับตัวฉัน
      แต่คนเดียวเดี๋ยวนี้มันก็ภาระแยะ ไหนจะส่งลูกไปโรงเรียน
      ไหนจะเอาลูกไปสอบไปวิ่งเต้นเรื่องนั้นเรื่องนี้
      ผัวมันยังต้องไปตีกอล์ฟอีกแม่พวกสะใภ้ก็ต้องวิ่งกลับไปดู พ่อแม่เค้า อะไรๆ ฉันก็ร
      ู้
      แต่ทำไงได้ล่ะคนมันยังไม่ถึงคราวตายมันก็ต้องอยู่ไปยังงี้แหละ
      ใช่ว่าอยากตายก็จะได้ตายซะที่ไหนแก่แล้วลำบาก
      ไปไหนต้องอาศัยคนอื่นทำอะไรก็ต้องออกปาก ไหว้วานคนนั้นคนนี้
      มันเหมือนต้องตากหน้าไปอ้อนวอนเค้าไอ้ที่เคยคล่องๆ ก็กลายมาเป็นภาระ
      ความจริงไอ้ที่แกไม่มีผัวฉันก็ห่วงอยู่เหมือนกัน บางที ถ้าไม่มีภาระเรื่องแม่
      แกอาจจะได้เป็นฝั่งเป็นฝาซักที"


      เงาดำในใจฉันเริ่มคลี่ขจายออกกลายเป็นเพียงหมอกบางๆ
      ฉันแหงนหน้าไปดูท้องฟ้านอกรถ ฝนเริ่มบางตาแสงสว่างสามารถส่องผ่านเมฆมาได้บ้าง

      "แกอย่าห่วงฉันเลย ห่วงตัวเองดีกว่า ไอ้ที่ฉันจะไปอยู่มันคงดีเพราะราคามันแพง
      จะมีคนแก่ซักกี่คนที่ได้ไปอยู่ที่แพงๆอย่างนั้น
      ห่วงตัวเองเถอะถ้าเจอคนดีพอใช้ได้ก็อย่าเลือกมากมาย
      รีบแต่งงานรีบมีลูก แก่แล้วจะได้ไม่ลำบาก ดูอย่างชั้นซิ
      อย่างน้อยถึงลูกไม่มีเวลาให้ก็ยังมีคนส่งเงินมาให้ใช้ ถ้าไม่มีลูกจะยิ่งลำบากมากกว่านี้"

      ฉันไม่รู้จะพูดอะไร เงียบกันไปพักหนึ่งฉันบอกแม่ว่า
      "อิ๋วจะไปหาแม่บ่อยๆ"

      "อย่าพูดยังงั้นเลย เดี๋ยวนี้การจราจรมันสาหัสเหลือเกินเวลาก็ไม่ค่อยมี
      เรื่องต้องทำก็มีแยะไปหมด  เอาเป็นว่าว่างก็มาแล้วกัน
      แต่ถึงพวกแกไม่มาฉันก็ไม่เดือดร้อนหรอก ชีวิตทั้งชีวิตของชั้นอยู่ในนี้หมดแล้ว
      อยากเห็นหน้าลูกก็ดูเอาในนี้อยากเห็นหน้าหลานก็ดูเอาในนี้
      ไม่ต้องมานั่งคอยให้เสียเวลาเปิดกล่องของแม่มาก็เห็น หน้าพวกแกได้ทันที"

      แม่ขยับตัวเล็กน้อย เพื่อกอดกล่องให้กระชับขึ้น
      รถบนถนนเริ่มเคลื่อนตัวช้าๆ พร้อมกันฝนที่ขาดเม็ด
      อีกไม่กี่เมตรจะถึงสี่แยกแล้ว และมีป้ายให้กลับรถได้
      ฉันพารถเบียดเข้าเลนขวาเพื่อกลับรถ แม้รถคันอื่นจะบีบแตรด่ากันเสียงขรม


      แต่ฉันไม่สนใจฉันกำลังนึกถึงตัวเองตอนแก่
      และมีกล่องอย่างแม่สักใบคงดีไม่น้อยที่จะได้อวดลูกๆ



      อ่านเต็มๆ ได้ที่  http://forums.dmc.tv/index.php?showtopic=2182&hl=กล่องของแม่
      ขอขอบคุณทางเว็บ DMC  ค่ะ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×