[ FIC : Laflora ] [Tiwa x Giyul] MISS RIGHT ♥ - [ FIC : Laflora ] [Tiwa x Giyul] MISS RIGHT ♥ นิยาย [ FIC : Laflora ] [Tiwa x Giyul] MISS RIGHT ♥ : Dek-D.com - Writer

    [ FIC : Laflora ] [Tiwa x Giyul] MISS RIGHT ♥

    โดย KusuI ;6

    คุณคือคนที่ใช่สำหรับผม ถ้าไม่ใช่คุณ ผมก็คงพลาดใช่ไหม? อัพ 29-03-64

    ผู้เข้าชมรวม

    3,758

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    11

    ผู้เข้าชมรวม


    3.75K

    ความคิดเห็น


    64

    คนติดตาม


    81
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  18 เม.ย. 62 / 22:28 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
                                                            



                                        




    “โห! คนบ้าอะไร เตี้ยก็เตี้ย แถมยังอ้วนอีกต่างหาก”


    I told you many qualifications 'bout my MISS RIGHT


    “แต่ทำไมฉันถึง ชอบ วะ!?


    But why you're my MISS RIGHT is.. you are..


    open : 20 - 04 - 17

    close : 00 - 00 - 00


    ชี้แจง

    เนื่องจากตอนนี้ไรท์กำลังจะขึ้นม.ปลายแล้ว ทำให้มีเวลามาเขียนน้อย

    จึงทำให้อาจจะมาอัพช้ามากๆ ขอโทษสำหรับลีดเดอร์ทุกคนด้วยนะคะ

    ไรท์จะหาเวลามาอัพให้ได้เร็วที่สุดค่ะ ช่วยรอกันก่อนนะคะ

    ขอบคุณมากๆ ค่า ^^

    16 - 03 -20


    CREDIT    





    Talkiiii2208

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      

        

        Qualifications about my MISS RIGHT

       

                1.มีสุขภาพแข็งแรง สมส่วน

                2.เรียนดี กีฬาเด่น

                3.ชอบใส่รองเท้าคอนเวิร์สสีแดง

                4.ตาสองชั้น

                5.ทำอาหารเก่ง

                6.มีลุคหวานๆ ชอบใส่กระโปรง

                7.สูง 157-165 เซนติเมตร

                8.นิสัยดี ไม่เรื่องมาก

                9.ตั้งใจเรียนเป็นอันดับหนึ่ง

                10.ผิวสีขาวอมชมพู

       

      -       kim Giyul -

       

                “เฮ้กียุล วันนี้ฉันมีสาวคนใหม่มาแนะนำเว้ย!

       

                เสียงตะโกนดังลั่นของชายหนุ่มที่กำลังเดินเข้ามาในศาลาสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง พร้อมรูปถ่ายหลายใบในมือ

       

                “ใครอีกละ คณะอักษร เศรษฐศาสตร์ หรือบริหาร?” คิม กียุล วางโทรศัพท์ลง แล้วหันมาสนใจคนตรงหน้า

       

                “โหยครั้งนี้ฉันบอกเลยว่าไอ้คริสหาคนได้สุดยอดมาก” ลีโอนาร์โด ดันเต้พูดปนขำ ก่อนที่คริสโตเฟอร์ ริชาร์ดจะวางภาพหลากหลายใบลงบนโต๊ะหิน

       

                “!!

       

                กียุลตาโตพร้อมสบถออกมาเบาๆ ก่อนจะหันไปมองเพื่อนตัวดี ก็พอจะเข้าใจนะ ว่าที่ผ่านมาพวกมันไม่เคยหาผู้หญิงมาได้ตรงสเป็คที่เขาต้องการสักคน

       

                แต่นี่มัน...

       

                ไม่มีส่วนไหนที่ตรงเลยสักอย่าง!

       

                “น่านๆ ถึงกับอึ้งพูดไม่ถูกเลยนะครับ บอกเลยไม่ต้องตามหาให้เหนื่อย รุ่นน้องวิศวะของพวกเรานี่แหละ ฉันเก่งใช่ไหมล่ะ” คริสโตเฟอร์พูดยอตนเอง

       

                “เก่งบ้านนายดิ โหคนบ้าอะไรเตี้ยก็เตี้ย แถมยังอ้วนอีกต่างหาก ถามจริงมีตรงไหนที่ตรงสเป็คฉันบ้าง”

       

                “ข้อที่หนึ่งแข็งแรง สมส่วน”

       

                “ติ๊ก!” ดันเต้พูดพร้อมทำท่าติ๊กลงบนมือ

       

                “สมส่วนบ้านนายดิ นี่มันเกินแล้ว”

       

                “สูง 157 หนัก 57 ยังไม่เกินโว้ย!

       

                “ถ้าอีกกิโลหนึ่งก็เกินและ”

       

                “ข้อที่สองเรียนดีได้เอทุกตัว ได้แชมป์หมากรุกระดับประเทศสามสมัยติดกัน”

       

                “ติ๊ก!

       

                “ฉันหมายถึงพวกกีฬาแบบวอลเล่ย์บอลต่างหาก”

       

                “ก็นายไม่ได้เขียนเอาไว้นี่” คริสโตเฟอร์แย้ง

       

                “ข้อสี่ตาสองชั้น”

                

                “ตาสองชั้นธรรมชาติด้วยนะคนนี้ ไม่เหมือนคนก่อนแน่นอน” ดันเต้จ้องที่ตาของกียุลอย่างมั่นใจ

       

                “ข้อสิบผิวขาวอมชมพู--” “เฮ้ยๆ ทำไมข้ามไปข้อสิบเฉยเลยอ่ะ” กียุลแย้งขึ้นแทรก

       

                “เฮ้ยคริสน้องเขามาแถวนี้อ่ะ ไปกียุล สู้ๆ เพื่อน” ดันเต้และคริสโตเฟอร์ผลักกียุลออกไปนอกศาลา แล้วรีบวิ่งหนี

       

      “พี่คือคนที่นัดหนูใช่ไหมคะ?”

       

       “ฮะ!?

       

                “กะ..กะ..ก็มีพี่ผมสีบลอนด์กับผมสีแดงมาบอกว่าให้หนูมาเจอพี่ที่ชื่อกียุลตรงนี้อ่ะค่ะ” 

       ไอ้เพื่อนชั่ว!!


       

                “โทษทีนะน้อง พอดีเพื่อนพี่มันแกล้งพี่น่ะ ขอโทษที่ทำให้เสียเวลานะ”

       

                “อ๋อค่ะ” หญิงสาวตั้งท่ากำลังจะเดินกลับ แต่กลับถูกมือของคู่สนทนาเมื่อกี้รั้งเอาไว้

       

                “เอ่อ..เธอชื่อทิวาใช่ไหม?”

       

                “ใช่ค่ะ แล้วก็...ปล่อยมือออกได้แล้ว”

       

                “โทษทีๆ” พูดจบกียุลก็ปล่อยมือหนาของตนเองแล้วรีบเดินออกจากสวน เหลือเพียงทิวาที่พยายามดึงสติของตัวเองกลับมาก่อน


       เกือบไปแล้วเชียว

       

                เพราะตนเองนั่นเรียนหญิงล้วนมาตั้งแต่เด็ก จึงทำให้ไม่ชินกับการที่ถูกผู้ชายเข้ามาจับมืออย่างไม่ทันตั้งตัวแบบเมื่อกี้


       และการที่อยู่ดีๆ หัวใจก็เต้นเร็วขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล

       

                “เฮ้อ!” ทิวาถอนหายใจออกเบาๆ แล้วเดินออกไปจากสวนนั้นอย่างเงียบๆ

       

                “แฮร่!

       

                “เฮ้ย!” ร่าง(ไม่)บางสะดุ้งตกใจ โอ๊ยหัวใจจะวาย

       

                “ย่าห์ลื้อนี่ยังปอดแหกเหมือนเดิมเลยนะ” เหมยฮัว เพื่อนสาวที่กำลังจะเป็นว่าที่ดาวคณะเศรษฐศาสตร์โอบไหล่ทิวาเบาๆ

       

                “ปอดแหกอะไร พูดซะ แล้วนี่กินอะไรหรือยังเนี่ย”

       

                “ก็รอมากินพร้อมลื้อนั่นแหละ” พูดจบก็เปลี่ยนจากโอบไหล่มาเป็นจับมือ แล้วเดินไปโรงอาหาร

       

      ...................................

       

                “เออนี่ แล้วรุ่นพี่ที่คณะเป็นไงบ้างล่ะ” ทิวารวบช้อนส้อมหลังจากกินเสร็จ

       

                “คิดถึงลา ฟลอร่าเลยน่อ ผู้หญิงน่ะโอเค แต่ผู้ชายน่ากลัวมากกกก”

       

                “เอาน่า เพราะพวกเราเรียนหญิงล้วนมาตั้งหลายปี เดี๋ยวก็ชินเองแหละ”

       

                “เอาเข้าจริงของอั๊วน่ะ ไม่น่ากลัวเท่าของลื้อหรอกเพราะยังมีผู้หญิงบ้าง แต่ลื้อนี่เป็นผู้หญิงคนเดียวในคณะเลยนะ”

       

                “ฉันก็สงสัยนะ รุ่นพี่ก่อนเราเห็นอยากเข้าวิศวะตั้งเยอะแยะ ทำไมถึงมีฉันโผล่มาอยู่คนเดียวก็ไม่รู้”

       

                เหมยฮัวเท้าคาง แล้วมองหน้าทิวาตรงๆ ก่อนจะเอ่ยออกมา

       

                “ส่วนใหญ่รุ่นพี่เราน่ะพลาดรอบสัมภาษณ์เพราะคนที่สัมภาษณ์น่ะเข้าเป็นเพศที่สามกันน่ะสิ แต่ที่ลื้อเข้ามาได้อาจเพราะตัวลื้อดู ไม่น่าจะมีผู้ชายชอบ ล่ะมั้ง”

       

                “หมายความว่าไงฮะ!?” หญิงสาวถกแขนเสื้อขึ้น

       

                “ใจเย็นก่อนๆ เอาเข้าจริงๆ ลื้อก็ไม่ใช่ไม่สวยนะ ถ้าลองลดน้ำหนักแต่งหน้าทาปากบ้าง อ๊วว่าท่าจะเวิร์คนะ”

       

                “แหมทีงี้น่ะ รีบพูดเชียว ไปกันเถอะ เดี๋ยวเข้าเรียนสาย” ทิวารีบเก็บลงกระเป๋าโดยไม่ทันสังเกตเพื่อนซี้ของตนเองมากำลังพูดอะไรอยู่


       "แต่ยังไงลื้อก็เป็นคนที่สวยที่สุดสำหรับอั๊วอยู่แล้ว"


      ...

       

                “อะ..อะ..อะไรนะครับ รุ่นพี่!?

       

                “ทำไมต้องช็อกขนาดนั้น ฉันก็แค่เห็นว่านายเคยเป็นเดือนคณะ แถมปีนี้ก็เป็นปีแรกด้วยที่มีผู้หญิงมาอยู่ในคณะของเรา ฉันก็แค่อยากให้คณะอื่นเห็นว่าคณะเราผู้หญิงก็สวยไม่แพ้กัน น่า..กียุลนะ ฉันบอกไปแล้วอ่ะว่าปีนี้คณะเราจะลงประกวดดาวด้วย ช่วยหน่อยนะ” รุ่นพี่ปีสามพูดกับอดีตเดือนคณะอย่างคิม กียุล ซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่ได้โง่ถึงจะไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นคือใคร

       

                “งั้น..ก็ได้ครับ”


       ทิวา พุดพิชญา

       

                “แหมอย่างนี้เขาเรียกว่าอะไรนะดันเต้”

       

                “ฉันว่าน่าจะพรหมลิขิตนะคริส”

       

                เพื่อนสนิทสองคนหยอกล้อคนตรงหน้าอย่างสนุกสนานกันอยู่หน้าห้องเรียนรวม ซึ่งอีกไม่กี่นาทีรุ่นน้องปีหนึ่งที่เขากำลังรออยู่นั้น น่าจะกำลังออกมา

       

                “นี่พวกนายช่วยเงียบๆ กันหน่อยได้ไหมเนี่ย ฉันอายจะตายอยู่แล้ว”

       

                “อายอะไร ไม่เห็นต้องอาย”

       

                “เออใช่ ถ้านายบ่นอีกคำเดียว พวกฉันจะทิ้งให้นายอยู่คนเดียว” คนถือไพ่เหนือกว่าพูดอย่างมีชัย ก็อย่างว่าแหละนะ เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ยังใส่ผ้าอ้อมเดินที่ห้องเรียน ทำไมจะไม่รู้ว่าเพื่อนคนนี้ ขี้อาย ขนาดไหน ถึงแม้ว่ามันจะกล้าประกวดดาวเดือน แต่กว่ามันจะหายตื่นคน นี่ทำเอาเสียเหงื่อไปหลายลิตรเลยนะครับ

       

                ความจริงแล้ว ถึงแม้มันจะหายขี้อาย แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือความ ซึน หรือปากแข็งถึงขนาดเอาอะไรมาทุบก็ไม่แตก -___-

       

                “เฮ้ยกียุลน้องเขาออกมาแล้วเว้ย รีบเดินไปเรียกเร็ว” คริสโตเฟอร์สะกิดเข้าที่ไหล่กียุลอย่างรุนแรง จนเจ้าตัวถึงกับร้องออกมาเบาๆ แต่ก็ต้องรีบเดินไปคุยกับรุ่นน้องก่อน

       

                “น้องทิวา น้องทิวาครับ!” ไม่ใช่แค่ทิวาที่หยุดเดินตามเสียงเรียก คนอื่นๆ เองก็หยุดมองเช่นเดียวกัน


       จะมองกันทำไมเนี่ย!?

       

                โชคยังดีที่ตรงนั้นมีแต่ผู้ชาย จึงทำให้แค่หยุดมองแต่ไม่ได้สนใจอะไรขนาดนั้น ถ้าลองเปลี่ยนจากผู้ชายเป็นผู้หญิงล่ะก็ ป่านนี้คงมีคนเอาไปพูดจนกลายเป็นข่าวในทางชู้สาวก็เป็นได้

       

                “อ๊ะมะ..มะ..มีอะไรกับหนูเหรอคะ?” ทิวาพูดติดอ่าง 


      เอาอีกแล้ว รุ่นพี่คนนี้อีกแล้ว

       

                “พี่ขอคุยด้วยหน่อยสิ” กียุลถือวิสาสะเข้าไปจับถือมือของรุ่นน้องคณะ โดยไม่สนใจว่าตอนนี้หัวใจของเด็กสาวกำลังเต้นเร็วยิ่งกว่ารัวกลองเสียงอีก


       ไม่ดีแน่ ถ้าอยู่กับรุ่นพี่คนนี้


      คิม กียุล


                “เอ่อ..รุ่นพี่คะ หนูมีเรียนต่อนะคะ”

       

                “โกหก!


       ระ..ระ..รู้ได้ไงเนี่ย


                “ฉันน่ะดูตารางเรียนเธอหมดแล้ว อย่าคิดว่าคนอย่างฉันจะยอมให้หลอกง่ายๆ นะ” ทำไมน้ำเสียงถึงเปลี่ยนเป็นคนละคนอย่างนี้ล่ะ เมื่อกี้ยังดูใจดีอยู่เลย

       

      AT GARDEN

       

                “ฉันว่ามันอาจจะดูน่าเหลือเชื่อไปหน่อย แต่มันคือเรื่องจริงเพราะฉะนั้นเธอตั้งใจฟังดีๆ นะ”

       

                “เธอน่ะ..” ยืดทำไมเนี่ย มีอะไรก็รีบๆ พูดสิค่ะ รุ่นพี่

       

                “ต้องลงประกวดดาวเป็นตัวแทนคณะเรา” ก็แค่เป็นดาวคณะ.. ฮะ!

       

                “ตะ..ตะ..แต่ว่าวิศวะปกติไม่มีประกวดดาวไม่ใช่เหรอคะ?”

       

                ตอนนี้เหงื่อเริ่มไหลมากขึ้นกว่าเดิม ไม่จริงน่ะ หน้าอย่างเรา หุ่นอย่างเราเนี่ยนะ จะให้ลงประกวดดาว ไม่มีทาง

       

                “เมื่อก่อนน่ะไม่มี เพราะไม่มีผู้หญิง แต่ปีนี้น่ะดันมีผู้หญิง ซึ่งก็เป็นเธอคนเดียว เพราะฉะนั้นเธอก็ต้องประกวดดาวเข้าใจไหม?”

       

                “แต่ว่าหนูไม่สวยเลยนะคะ”

       

                “ก็ใช่ไง!!” ชายหนุ่มพูดเสียงดังทำเอาเด็กสาวตรงหน้าถึงกับสะดุ้งพร้อมกับเพื่อนชายอีกสองคนที่หลบอยู่หลังพุ่มไม้

       

                “กียุลนี่ พอหายขี้อายนี่เปลี่ยนเป็นคนละคนเลยแหะ” คริสโตเฟอร์พูดเบาๆ

       

                “นั่นสิ ไม่น่าแก้นิสัยนี้เลยแหะ รู้สึกผิดเลยอ่ะ”

       

                “ความจริงนะ ตั้งแต่เธอเข้ามาเรียนคณะวิศวะ เธอก็เป็นดาวคณะนี้แล้วล่ะ เธออาจจะไม่สนใจว่าคนอื่นจะคิดยังไง แต่ฉันที่เป็นอดีตเดือนคณะจะไม่ยอมให้มีใครมาดูถูกว่ามีดาวคณะที่อ้วน เตี้ย แบบนี้หรอกนะ”

       

                “แล้วจะให้ทำยังไงล่ะคะ” ทิวากลืนน้ำลายเล็กน้อย สายตาของเธอจ้องมองที่พื้น ไม่กล้าสบตาชายหนุ่ม

       

                “ที่อยู่”

       

                “คะ?”

       

                “บอกที่อยู่มา..” เขายื่นกระดาษพร้อมกับปากกาให้เธอ

       

                “พี่จะเอาไปทำอะไรคะ?”


       "เย็นนี้ฉันจะไปบ้านเธอ"


       

                “ไป..ไปทำไมคะ?” นั่นดิ ไปทำไม บ้านหนูไม่มีของให้ขโมยหรอกนะ

       

                “เอาที่อยู่มาก่อนดิ เดี๋ยวบอก” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างมีเลศนัย เฮ้ยนี่หนูโตแล้วนะ คิดว่ามุกอย่างนี้จะทำให้บอกที่อยู่ง่ายๆ เหรอ ไม่มีทาง!!

       

                “ถ้าพี่ไม่ยอมบอกว่าจะเอาไปทำอะไร หนูก็ไม่ให้ค่ะ อ๊ะ!” ชายหนุ่มเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากระโปรงของเด็กสาวอย่างอุกอาจ ก่อนจะออกมาพร้อมกับโทรศัพท์คนตรงหน้า

       

                “เอาคืนมานะ” ทิวาพยายามเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์จากคนตัวสูง แต่ก็นะ เธอสูงแค่ร้อยห้าสิบเจ็ดจะไปสู้อะไรกับคนที่สูงตั้งร้อยแปดสิบกว่าอย่างเขาล่ะ

       

      แถมไอ้รุ่นพี่คนนี้ยังชูโทรศัพท์ขึ้นอีกต่างหาก

       

                “บอกที่อยู่มา ไม่งั้นฉันไม่คืนให้”

       

                “เฮ้ยเอาคืนมานะ” เด็กสาวกระโดดขึ้นไปเอาโทรศัพท์ของตนเองคืน แต่ไม่เป็นผลเลยแม้แต่น้อย เพราะต่อให้เธอกระโดดก็ยังสูงไม่ถึงมือของเขาสักที

       

                “นี่แค่ที่อยู่ เธอจะอะไรมากมายฮะ” กียุลเริ่มมีน้ำโห เมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กไม่ยอมให้ที่อยู่กับเขาเสียที

       

                “ก็บอกว่าไม่ให้ไง พี่ก็บอกก่อนดิ ว่าจะเอาไปทำอะไร” ทิวายังไม่ละความพยายามยังคงกระโดด เขย่ง เพื่อเอาโทรศัพท์คืน

       

                “ก็เดี๋ยวบอก เอาที่อยู่มา”

       

                “ก็บอกว่า--” “ถ้าเธอยังไม่ยอมให้ที่อยู่ฉันดีๆ ล่ะก็ ฉันจะบอกอาจารย์ว่าเธอไม่มีสัมมาคารวะ ไม่มีกาลเทศะ ไม่เคารพรุ่นพี่ และ--” ทิวายัดกระดาษเข้าปากคนเป็นรุ่นพี่ ก่อนจะกระโดดเอาโทรศัพท์กลับโดยอาศัยขณะที่กียุลกำลังยืนอึ้ง แล้ววิ่งหนีไป

       

                กียุลหยิบกระดาษออกมาจากปาก แล้วมองข้อความที่เขียนลวกๆ อย่างตั้งใจ แหงสิ ถ้าเกิดไม่อ่านอย่างตั้งใจก็ไม่รู้หรอกว่าเด็กนี้มันเขียนอะไร เขียนซะอย่างกับใช้เท้าเขียน ให้อ่านอักษรภาพยังง่ายกว่าลายมือเด็กปีหนึ่งคนนี้อีกครับ


       15/1 ซอย 4 หมู่บ้านวีนัส ถนนพิชิตมะขวิด


                “เป็นไงบ้างคะ สุดหล่อ” เสียงแหลมที่มาจากการดัดของคนที่แอบหลบอยู่หลังพุ่มไม้นานสองนานดังขึ้น

       

                “โอ๊ย ขนลุก หยุดทำเสียงอย่างนั้นเลยนะ คริส” กียุลเอ่ยเสียงแข็ง แล้วกดเสริชหาถนนที่ชื่อพิชิตมะขวิด เอาจริงๆ นะ ผมไม่ค่อยเชื่อหรอกว่าจะมีถนนชื่อนี้จริงๆ ซึ่งพอเสริชแล้ว


       นั่นแหละครับ ไม่มีจริงๆ

       

                “แล้วได้ที่อยู่มาป่ะ?” ดันเต้ถาม

       

                “ได้บ้าอะไรล่ะ เด็กนี่โคตรกวนตีน” กียุลพูดปลดปล่อยพร้อมสาปแช่งตัวการอย่างไม่หยุดยั้ง

       

                “ใจเย็นน่ะ เป็นใคร ใครก็ตกใจ นายเล่นไปถามตรงๆ ซะขนาดนั้น ใครเขาจะให้วะ เคยเจอกันแป๊บเดียวอย่างกับขี้นก เป็นฉัน ฉันก็ไม่ให้” คริสโตเฟอร์เข้าที่บ่าเพื่อนรักเบาๆ

       

                “ก็จริงแหะ” กียุลคิดตาม เขายีหัวตัวเองอย่างรุนแรงจนเพื่อนทั้งสองคนถึงกับตกใจ ห้ามแทบไม่ทัน

       

                “เป็นไรของนายวะ ใจเย็นเว้ย” ดันเต้จับแขนทั้งสองข้างของกียุล

       

                “เครียดน่ะสิ ฉันมีเวลาเตรียมตัวน้องแค่สองอาทิตย์ แค่วันแรกดูท่าน้องเขาคงเกลียดฉันแล้วว่ะ”

       

                “ไม่เอาน่า อย่าเครียดดิ น้องเขาไม่เกลียดนายหรอก ก็แค่โมโหเท่านั้นเอง เดี๋ยวก็หาย ผู้หญิงก็อย่างนี้แหละ เดี๋ยวพวกเราช่วยอีกแรงแล้วกัน” ดันเต้พูดปลอบใจ เขาจ้องมองคู่หูของตนเองอย่างคริสโตเฟอร์ แล้วส่งกระแสจิตผ่านทางสายตา

       

                พวกเขาคุยกันผ่านทางกระแสจิตสักพักหนึ่ง ทั้งคู่พยักหน้าพร้อมกันเป็นอันเข้าใจ

       

                “กียุลพวกฉันมีแผนแล้ว นายแค่อยู่นิ่งๆ ปล่อยให้พวกฉันจัดการเอง” คริสโตเฟอร์พูด

       

                “แต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนสักหน่อยนะ” กียุลยิ้มหัวเราะเล็กน้อย หลังจบประโยค

       

                “ว่ามา”

       

                “นายต้อง จีบ น้องทิวาเข้าใจไหม”

       

                “ฮะ!? เกี่ยวไรอ่ะ” ชายหนุ่มกระวนกระวายเล็กน้อย

       

                “เพื่อความสนุกและเพื่อที่พวกเราอาจจะไม่ต้องไปหาผู้หญิงมาหานายอีก” กียุลนั่งพิจารณาอยู่สักพัก ก่อนจะตอบ

       

                “ก็ได้ เอางั้นก็ได้”

       

                “ดี งั้นพวกเราจะเริ่มแผนพรุ่งนี้ แยกย้าย”

       

      ...

       

                “นี่ ฉันไปสืบมาแล้วว่าน้องทิวาเขารู้จักอเล็กเซ” คริสโตเฟอร์นั่งที่โต๊ะหินแล้วเท้าคาง

       

                “อเล็กเซ? เพื่อนเราตอนมัธยมอ่ะนะ” กียุลเอ่ยถาม

       

                “ใช่ และที่สำคัญมีคนบอกว่าอเล็กเซชอบส่งน้องทิวากลับบ้านบ่อยๆ รวมถึงเมื่อวานนี้ด้วย” คริสโตเฟอร์มองตาเพื่อนแต่ละคน แล้วยกยิ้ม

       

                “นายจะให้ฉันไปถามที่อยู่เด็กนั้นจากอเล็กเซ”

       

                “นายนี่นอกจากเรียนเก่ง เรื่องอื่นนายนี่ก็ไม่ได้เรื่องเลยแหะ” ดันเต้ด่าพร้อมตบหัวเพื่อนข้างๆ

       

                “หมายความว่าไง?”


      "มันหมายความว่าอเล็กเซจีบน้องทิวาอยู๋น่ะสิ" 


                “อเล็กเซเนี่ยนะ!?” กียุลขมวดคิ้วอย่างสงสัย ถ้าจำไม่ผิดเพื่อนคนนี้...

       

      6 years ago

       

              “เอาของเราคืนมานะ”                                 

       

                อเล็กเซ คอนสแตนติน เอ่ยเสียงใส เขาเป็นเด็กผู้ชายที่มีปัญหาทางด้านร่างกาย ทั้งที่เขาเกิดมาเป็นเพศชาย แต่เขากลับมีความผิดปกติทางด้านรูปลักษณ์และเสียง  ทั้งหน้าตา รูปร่าง สัดส่วนตัวของเขา ใครๆ ที่มองต่างก็คิดว่าเป็นผู้หญิง นัยน์ตาของเขาเป็นสีเขียวมรกต เข้ากันได้ดีกับเรือนผมสีชมพูอ่อนและผิวสีขาวอมชมพูของเขา และน้ำเสียงที่นุ่มนวลราวกับสตรีเพศ อีกทั้งรูปร่างของเขายังผอมมากต่างจากผู้ชายในรุ่นเดียวกัน เรียกได้ว่ามีอย่างเดียวที่เหมือนผู้ชายคือจิตใจของเขานั่นแหละ

       

              “แน่จริงก็หยิบให้ได้สิ :p” กลุ่มเด็กผู้ชาย 3-4 คนกำลังแกล้งเด็กชายตัวเล็กอย่างสนุกสนาน พวกเขาใช้ข้อเสียของเพื่อนตัวเล็ก คือความสูง มาล้อเลียน โดยการหยิบของเขาแล้วชูขึ้นสุดแขน ให้อเล็กเซเอาคืนไม่ได้

       

              “พวกนายอย่าเล่นกับเราอย่างนี้สิ พวกนายก็รู้เรามันไม่สูง” เขาพยายามเขย่งตนเอง พร้อมทั้งกระโดดให้สูงที่สุด เพื่อจะเอาของคืน แต่ไม่ได้ผล ยังไงเขาก็ไม่สามารถเอามันคืนได้อยู่ดี

       

              “เฮ้ยพวกนายทำอะไรกันน่ะ!?” เสียงตะโกนของครูฝ่ายปกครองดังขึ้น ทำให้กลุ่มเด็กผู้ชายโยนของออกจากมือไปโดนที่หัวของอเล็กเซอย่างไม่ตั้งใจ แล้ววิ่งหนีไป

       

              “โอ๊ย!” เด็กชายกุมศีรษะของตนเอง ด้วยความเจ็บปวด

       

              “นายไม่เป็นอะไรใช่ไหม” คิม กียุล พร้อมทั้งเพื่อนสนิทอีกสองคนเดินมาดูเพื่อนร่วมชั้น ใช่..พวกเขาเป็นคนไปฟ้องคุณครูให้มาจัดการกับพวกเด็กเกเรพวกนั้น เขาก้มตัวลงมองเพื่อนตัวเล็กตรงหน้า ก่อนจะสังเกตเห็นเลือดไหลบริเวณศีรษะของอเล็กเซ

       

              “คุณครูครับ อเล็กเซหัวแตกครับ” คริสโตเฟอร์ ตะโกนบอกครูเสียงดังแล้วรีบพยุงตัวอเล็กเซไปห้องพยาบาลกับเพื่อนอีกสองคน

       

              นับตั้งแต่เหตุการณ์ในวันนั้น จึงทำให้พวกเขาทั้งสี่คนสนิทกันมาตลอด ซึ่งพวกเขานั้นรู้จักกันเมื่อตอนมัธยมต้นจนถึงมัธยมปลาย ก่อนจะแยกจากกันไป อเล็กเซเลือกที่จะไปคณะบริหารธุรกิจ เพื่อที่จะสืบทอดธุรกิจที่บ้านต่อ ส่วนพวกเขาสามคนก็กอดคอกันมาที่วิศวะ

       

      .......................

       

                “ก็อเล็กเซเพื่อนตัวเล็กของเราเนี่ยแหละคร้าบ เฮ้ออดเห็นเพื่อนเราเป็นแฟนกับน้องทิวาเลย” ดันเต้ตีหน้าเศร้าต่างจากกียุลที่มีใบหน้ายิ้มแย้มอย่างมีความสุข

       

                “สงสัยฉันจะต้องไปขอบคุณกับอเล็กเซแล้วล่ะมั้งเนี่ย” เจ้าตัวพูดออกไปด้วยความสุข


       แต่ทำไมรู้สึกหน่วงแปลกๆ แหะ

       

                ฝ่ายคู่ซี้ CD(?) เหมือนเห็นเพื่อนสุดหล่อของพวกเขานิ่งไปก็ยกยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะสบสายตา แล้วคิดอกุศลขึ้นมา ทั้งสองคนเข้าไปนั่งขนาบข้างกียุลพร้อมตบบ่าเบาๆ แต่ก็ทำให้คนถูกกระทำสะดุ้งตกใจขึ้นมาได้

       

                “เป็นไรอ่ะ หน้าบึ้งเป็นตูดหมาเลย” คริสโตเฟอร์พูดอย่างมีเลศนัย “หมาหงอยๆ” ดันเต้ตบมุก

               

                “หมาอะไรของนาย ถ้าฉันหมาพวกนายก็ควายวะ” กียุลลุกขึ้นโต้เถียง

       

                พวกเขาสองคนได้แต่หัวเราะภูมิใจกับแผนการสดๆ จากสมองอันฉลาดล้ำ(?)ของตนเอง เอาเข้าจริง แค่จะแหย่ให้เพื่อนจอมซึนมันโมโหเล่นก่อนเท่านั้นเอง ของจริงมันต่อจากนี้ต่างหาก :P

       

                “โห ด่าซะ แล้วทำไมต้องนั่งหน้าเศร้าอย่างนั้นด้วย” คริสโตเฟอร์เป็นคนเริ่มโต้

       

                “เอ๊ะๆ หรือว่าจะผิดหวังที่อเล็กเซเข้ามาจีบแซงหน้า” ดันเต้เสริม

       

                “พูดบ้าอะไรของพวกนายฮะ ผิดหวังอะไร ดีใจซะอีกที่ไม่ต้องเป็นแฟนกับยัยอ้วนนั่น” กียุลเริ่มลุกลี้ลุกล้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ เหงื่อของเขาท่วมตัวทั้งๆ ที่อากาศไม่ร้อน ลมพัดเย็นสบายเลยล่ะ

       

                เพื่อนทั้งสองที่ได้เห็นพฤติกรรมของคนตรงหน้าก็หัวเราะร่า พอใจกับแผนการด้นสด แหมๆ อยู่ด้วยกันมาเกือบจะทั้งชีวิตขนาดนี้ ดูไม่ออกก็บ้าแล้ว


      ว่าเพื่อนคนนี้กำลังหึง 


                “หึงเขาก็บอกเถอะ” คนผมแดงแหย่

       

                “หึงเหิงบ้าอะไร โอ๊ยไปและ” หนุ่มหน้าหล่อ(?) กระชากกระเป๋าเป้ขึ้นหลัง แล้วรับวิ่งออกจากศาลา พร้อมกับเสียงตะโกนจากเพื่อนตัวดีสองคน

       

                “ระวังจะตกหลุมรักว่าที่ดาวคณะนะคร้าบ”

       

                .

                .

                .

       

                “ขอบคุณที่มาส่งนะคะ รุ่นพี่” เสียงใสของคนตัวเล็กอย่างทิวาเอ่ยขอบคุณรุ่นพี่หน้าหวาน ‘อเล็กเซ’ ที่ขับรถมาส่งถึงที่บ้าน เธอปลดเข็มขัดเตรียมตัวลงจากรถแต่ถูเสียงหวานของคนข้างๆ ขัดไว้ก่อน

       

                “เอ่อ...” ใบหน้าหวานของเด็กหนุ่มขึ้นสีแดงระเรื่อ

       

                “คะ?”

       

                “คือว่า...ทีหลังน่ะเรียกพี่อเล็กเซก็พอนะ ไม่ต้องเรียกรุ่นพี่หรอก” ให้ตายสิ เสียงหัวใจของเขาตอนนี้ดังจนแทบจะระเบิดอยู่แล้ว

       

                “อ๋อค่ะ พี่อเล็กเซ” ทิวายิ้มตามนิสัยของตนเอง แล้วเดินออกจากรถโดยหารู้ไม่ว่ารอยยิ้มของเธอนั้นดาเมจหัวใจของอเล็กเซคนนี้เป็นอย่างมาก

       

                หลังจากที่รถยนต์ของคนเป็นรุ่นพี่ออกไป ทิวาก็เดินกลับเข้าบ้านไปด้วยใบหน้าที่ค่อยๆ แดงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ


       ก็ต้องแดงอยู่แล้วล่ะ คนบ้าอะไรน่ารักจนอยากจับทำเมีย (?)

       

                ทุกคนค่ะ เรื่องนี้นางเอกสายรุกนะคะ อย่าคิดว่าทิวาเป็นผู้หญิงแล้วจะเป็นแต่รับนะ กับรุ่นพี่คนนี้ถ้าไม่ได้เป็นเมียของทิวา ใครที่ไหนก็อย่าหวัง ว่ะฮ่ะฮ่า!!

       

                “เป็นอะไร ยืนยิ้มอยู่คนเดียว?” เอ๊ะเสียงใครคุ้นๆ (0-0 )( 0-0)

       

                “รุ่นพี่ฮอรัส!?” ฉันหันหลังไปตามตนเสียงคนที่หาว่าฉันเป็นบ้า ก่อนจะเจอรุ่นพี่ฮอรัสที่นิสัยดีมากกกกกกกกกกก ให้เขียนเรียงความความดีของเขาสามวันก็ไม่จบ

       

                “นี่ พี่เอาขนมเค้กมาฝากเห็นบ่นอยากกินไม่ใช่เหรอ” เขายื่นขนมเค้กมาให้ฉันสามถุง แต่เอ...ปกติเวลาฝากของพี่เขาให้ฉันแค่สองนี่นา แล้วทำไมวันนี้

       

                “อ๋อ สองถุงทิวาเอาไว้กินที่บ้านนะ ส่วนอีกถุงนึงเอาแบ่ง เพื่อน ที่มหาลัยแล้วกัน พอดีครั้งนี้พี่ซื้อมาเยอะเกินน่ะ” พี่ฮอรัสอธิบายข้อสงสัยของฉัน

       

                “ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ ทิวาจะกินให้อิ่มเลย^^” ฉันรับขนมจากพี่เขาแล้วพุ่งทะยานเข้าสู้บ้านหลังเล็ก โดยไม่ทันฟังประโยคที่เขาจะพูดถัดไป


       "อย่าลืมแบ่งเหมยฮัวด้วยนะ"


                “กลับมาแล้วนะค่า” ฉันถอดรองเท้าวางบนชั้น แล้วรีบวิ่งไปยังห้องครัวตามกลิ่นหอมอันน่าโอชะ ทำแกงเขียวหวานแน่เลย กลิ่นนี้

       

                ทิวารีบวิ่งเข้าไปกอดคนในห้องครัวที่ยืนหันหลังทำข้าวเย็นให้กับเธอทุกวัน เด็กสาวสูดดมกลิ่นหอมจากคนตรงหน้าก่อนจะพบกลิ่นที่แตกต่างไปจากวันอื่นๆ


       กลิ่นนี้มัน!


                “รุ่นพี่กียุล!?” ทิวารีบคลายกอดออกจากคนตรงหน้าด้วยสีหน้าตกใจไม่ต่างจากกียุลที่ถูกสวมกอดเมื่อกี้ ใบหน้าของหญิงสาวเริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย ส่วนกียุลที่เห็นใบหน้าแดงของทิวาก็อดไม่ได้ที่จะเขยิบหน้าของตนเองเข้าไปใกล้เพื่อแกล้งคนตรงหน้า


       "หน้าแดงเชียวนะ"


                “ออกไปไกลๆ เลย!!” ทิวาผลักตัวกียุลออกไปเต็มแรง แต่คนถูกผลักกลับยืนอยู่นิ่งเหมือนแรงของทิวาเป็นดั่งสายลมที่ผ่านมาเท่านั้น

       

                “อ้าว!? ทิวากลับมาแล้วเหรอลูก” ไอริณเดินลงมาจากบันไดพร้อมกับกะละมังใส่น้ำและผ้าขนหนูผืนเล็ก

       

                “ค่ะ...แต่ว่าแม่เอากะละมังกับผ้าขนหนูมาทำอะไรเหรอคะ?” ทิวาชี้ไปที่กะละมังด้วยสีหน้างุนงง

       

                “ก็พ่อน่ะสิ อยู่ดีๆ ก็ไข้ขึ้นแต่ตอนนี้ลดลงแล้วล่ะ เออนี่..ทักทายพี่กียุลเขาหรือยังลูก”

       

                “แม่รู้จักกับรุ่นพี่กียุลด้วยเหรอคะ?” ทิวาเขยิบตัวเข้าไปใกล้ๆ แม่ของตนเอง เพื่อป้องกันตัวเองจากรุ่นพี่คนนี้

       

                “ก็เห็นเขาบอกว่าจะมาเทรนหนูออกกำลังกายนี่จ๊ะ” ทิวากำลังจะเอ่ยปากถาม แต่แม่ก็ดึงตัวเธอเข้าไปกระซิบข้างๆ หู “อีกอย่างนะเด็กนี่ดูท่าจะดี ทิวาต้องรีบเก็บไว้นะลูก”

       

                ทิวาอยากจะบอกว่ารู้หน้าไม่รู้ใจนะแม่ เห็นหน้าตาพี่เขาดีราวกับเทพบุตรลงมาเกิดอย่างนี้แต่นิสัยและคำพูดของเขานี่คนละเรื่องเลยนะ โดยเฉพาะที่ชอบมาทำให้เธอใจเต้นแรงอยู่บ่อยๆ อีกด้วย


       พี่กียุลนี่นิสัยแย่ที่สุดเลย >^<!


                แต่พอเห็นแววตาแพรวพราวของผู้เป็นแม่ของตนเองต่อรุ่นพี่อดีตเดือนคณะคนนี้แล้ว คำพูดเหล่านั้นก็หายกลืนลงท้องไปหมด ใช่สิ พี่เขาทั้งเรียนดี กีฬาเด่น แถมยังหน้าตาดี(มากกกกก)อีกต่างหาก แม่คงเป็นปลื้มมาก ดูสิ ชอบเขาออกนอกหน้าไปแล้วนะ      

       

                รีดเดอร์ทุกคนดูสิคะ ตอนนี้แม่ของฉันกำลังตักแกงเขียวหวานใส่ชามพร้อมคุยกับพี่กียุลด้วยสีหน้ายิ้มแย้มยิ่งกว่าตอนคุยกับพ่อเสียอีก ไอ้พี่กียุลก็ขยันโปรยเสน่ห์เสียจริงนะยิ้มตอบกลับอยู่นั่นแหละ


       อย่าให้พ่อหายป่วยนะ จะฟ้องพ่อให้ดู!

       

                “ทิวาลูกพาพี่เขาไปนั่งที่โต๊ะซิลูก เอาแกงเขียวหวานไปวางด้วยนะ” แม่ยื่นแกงเขียวหวานให้ฉันไปวางบนโต๊ะกินข้าว โดยที่มีพี่กียุลเดินตามหลังมา ประทานโทษนะคะ ทำไมต้องพามันไปโต๊ะกินข้าวด้วย ตาก็ไม่ได้บอดยังไงก็มองเห็นโต๊ะกินข้าวอยู่แล้ว

       

                ทิวาทำจมูกฟุดฟิดพร้อมด้วยสีหน้าบูดบึ้งบ่งบอกชัดเจนว่าเจ้าตัวกำลังไม่พอใจอย่างรุนแรง แน่นอนว่าการกระทำทั้งหมดนี้ก็อยู่ในสายตาของกียุลทั้งหมดนั้นแหละ ไม่รู้ทำไมเวลาเห็นเด็กคนนี้แล้วอยากแกล้งตลอดเวลา 


      โรคจิตเหรอ ก็ไม่นะ

       

                “หึงเหรอ?”

       

                “พูดอะไรบ้าๆ แล้วนี่พี่รู้ได้ไงว่าหนูอยู่ที่นี่” ทิวาวางชามแกงเขียวหวานลงบนโต๊ะ ก่อนจะถามรุ่นพี่ตัวดี

       

                “เอาเป็นว่ารู้แล้วกัน” ความจริงคือพอเขารู้ว่าทิวาจะกลับพร้อมอเล็กเซ ด้วยความที่เป็นคนความจำแม่นมีครั้งหนึ่งเหมือนเขาเคยเห็นอเล็กเซชอบจอดรถอยู่หน้าคณะ จึงรีบขับรถไปที่คณะบริหารเมื่อพอเห็นทิวาขึ้นรถแล้วก็ขับตามไปเรื่อยๆ จนถึงบ้านของเธอ

       

                “กวนประสาท” ทิวาขมุบขมิบปากเบาๆ แต่นั้นแหละนะถึงจะมีเสียงเบากียุลก็ได้ยินมันชัดเจนอยู่ดี

       

                “น้อยกว่าเธอก็แล้วกัน” ทำมาเป็นว่าเขา เจ้าตัวเองก็กวนประสาทเขาไม่ใช่ย่อยตั้งแต่ถนนพิชิตมะขวิดอะไรนั่นแล้ว

       

                         “เอ๊ะนี่ว่าหนูนี่” คนตัวเล็กหันมากล่าวสวนกลับคิม กียุลด้วยสีหน้าไม่พอใจ อะไรกัน นี่มันแอบหลอกด่านี่นา

       

                         “ฉันยังไม่ได้พูดนะ ร้อนตัวทำไม” คนเป็นพี่ถือวิสาสะโยกหัวรุ่นน้องไปมาอย่างหมันเขี้ยว ทำให้ทิวาดันตัวของเขาออกไปแล้วเดินไปนั่งตรงเก้าอี้ที่โต๊ะกินข้าวสี่เหลี่ยมตามด้วยรุ่นพี่ที่มานั่งข้างๆ

       

                         “มานั่งข้างๆ ทำไมเนี่ย” เจ้าตัวโวยวาย

       

                         “ทำไม ฉันจะนั่งตรงนี้มันผิดด้วยเหรอ” กียุลตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงยียวน แล้วมองท่าทางที่แสดงความไม่พอใจของรุ่นน้องตัวเล็กคนนี้ เขาค่อยๆ ไล่มองพิจารณารูปร่างหน้าตาของเด็กสาวตรงหน้า ตั้งแต่ผิวสีขาวอมชมพูจนแก้มใสที่ป่องออกมาทำเอาเขาอยากจะลองสัมผัสมันสักครั้ง กียุลสะขัดหัวไล่ความคิดพวกนั้นออกไป


      บ้าไปแล้วเหรอวะคิม กียุลจะมาพิศวาสอะไรเด็กนี่เนี่ย

       

                         ทิวาที่ได้เห็นการกระทำประหลาดๆ ของรุ่นพี่ก็อดนินทาในใจไม่ได้ เป็นไรของพี่เขาวะ เจ้าเข้าหรือไง คุณแม่ไอริณเดินลงมาจากบันไดพร้อมกะละมังที่น้ำลดลงพอสมควรก่อนจะเดินไปเก็บกะละมังแล้วเดินมานั่งตรงข้ามทิวา

       

                        “อ้าว!? กินข้าวสิ กินข้าว แม่ลงมาแล้วเนี่ย” คนเป็นแม่ตักข้าวตามด้วยแกงเขียวหวานให้กับเด็กหนุ่มแล้วตักส่วนของตนเอง ส่วนลูกแท้ๆ น่ะเหรอ มีมือก็ตักเองสิลูก ใช่ซี้พอเจอเด็กหนุ่มเข้าหน่อยก็ลืมลูกตัวเองเลยนะ ว่าแล้วก็ตักข้าวทัพพีใหญ่ใส่จานตัวเองทำเอากียุลอดตีมือไม่ได้

       

                         “นี่กินเยอะอย่างนี้ไงถึงได้อ้วนเป็นหมูน่ะ”

       

                         “แล้วพี่ยุ่งอะไรด้วยล่ะ หนูก็เป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว”

       

                         “ก็เปลี่ยนซะสิ คนเขาถึงว่าว่าอ้วนเนี่ย”

       

                         “ก็เรื่องของเขาไม่ใช่เรื่องของหนู”

       

                         หนุ่มสาวสองคนโต้เถียงกันไปมาบนโต๊ะกินข้าวจนผู้อาวุโสอย่างไอริณเริ่มมีน้ำโหเล็กน้อย


      "ทิวาหยุดเถียงพี่เขาได้แล้ว!!"

                 

           

                          “ฮะ?” ฉันอุทานออกมาเบาๆ แล้วมองหน้ามารดาของตนเอง ให้เราหยุดเถียงพี่เขา นี่แสดงว่าหนูผิดเหรอ โอ๊ยยยยยยจะลำเอียงไปไหนคะ เห็นเราเป็นแม่การะเกดหรือยังไงคะ ทำอะไรก็ไม่ดีสักอย่าง ไปกินหมูกระทะดีกว่า(?)

                                                                                             

                         หลังจากที่แม่ตะโกนให้พวกเราหยุดเถียงกัน ก็ไม่มีเสียงใครเล็ดลอดออกมาอีก มีแค่เสียงกระทบกันของช้อนส้อมและเสียงเคี้ยวเบาๆของแต่ละคน บรรยากาศตอนนี้โคตรมาคุ -__-

       

                         “เออนี่” หลังจากที่เงียบไปนานคุณแม่ก็เอ่ยขึ้นมา

       

                         “แล้วจะพาทิวาไปทำอะไรที่ไหนเหรอ?”            

       

                         “กะว่าจะออกกำลังกายเบาๆ ที่บ้าน คุณแม่ ก่อนน่ะครับ” คุณแม่ไอริณที่ได้ยินคำว่าคุณแม่ออกจากปากชายผู้หมายปอง(?)ก็ยิ้มกรุ้มกริ่มเล็กน้อย เหอะขอโทษเถอะ ไอ้รุ่นพี่คนนี้นี่ขยันโปรยเสน่ห์จริงจริ๊ง-^-

       

                         “ได้เลยๆ มาทุกวันเลยก็ได้นะ แม่ยินดีต้อนรับ^^” แม่ยินดีต้อนรับ แต่หนูไม่ยินดีต้อนรับมัน ทิวาทำหน้ามุ่ยจึงทำให้รุ่นพี่ตัวดีข้างๆแกล้งหยอกเย้าเข้าอีก


      "แล้วทิวาล่ะ ยินดีต้อนรับพี่หรือเปล่าครับ?"


       

                      เหอะคิดว่าทำเสียงอย่างนี้ ทำหน้าอย่างนี้แล้วจะใจอ่อนเหรอ มีขงมีครับแหมคิดว่าดูดีตายล่ะ หนูไม่ง่ายหรอกนะจะบอกให้ ทิวานิ่งเงียบไม่ตอบอะไรก่อนจะลุกขึ้นเอาจานไปเก็บในอ่างล้างจาน

       

                         “ช่างทิวาเถอะ รายนั้นเล่นตัวไปงั้นและความจริงก็อยากจะให้หนูกียุลมาเทรนให้อยู่แล้วล่ะ”

       

                         “แม่!” อะไรเนี่ย อยากให้เขามาเองก็บอกเถอะ พูดอย่างนี้หนูเสียหายนะ(?)   

       

                         “แล้วจะเริ่มตั้งแต่เมื่อไรล่ะ”

       

                         “เป็นพรุ่งนี้เลยจะสะดวกไหมครับคุณแม่” ไอ้สะดวกไหมมันต้องถามฉันสิ ฉันเป็นนักศึกษายังต้องมีเรียนมีทำกิจกรรมนะเว้ย(//ความจริงพรุ่งนี้ไม่มีทำอะไรทั้งนั้นแหละ)

       

                         “โอยยย แม่น่ะสะดวกทุกวัน แล้วแต่หนูกียุลเลยลูก” จ้า~ เอาที่คุณแม่สบายใจเลยจ้า

       

                         “งั้นก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ” ว่าแล้วก็โค้งตัวเก้าสิบองศาอย่างสวยงาม ก่อนจะทำการล่ำลาแล้วเดินจากไป

       

                         “ทิวาลูกมาดูนี่สิ” แม่เรียกให้ฉันเข้าไปดูของอะไรบางอย่างที่มาจากไหนก็ไม่รู้ ฉันเข้าไปใกล้ๆ แม่แล้วเปิดถุงพลาสติกดู


      เฮ้ย! นี่มันตารางเทรนกับตารางอาหารนี่

       

                         “นี่ใครเอามาให้คะ?”

       

                         “จะใครซะอีกล่ะลูก ก็พ่อหนุ่มกียุลแสนหล่อเหลานั่นไง” ขออนุญาตเกลียดคำว่าหล่อเหลาได้ไหมคะ

       

                         “โหย~ ให้ตายสิ นี่หนูต้องกินอย่างนี้จริงๆ หรือคะ?” ฉันนั่งอ่านอาหารแต่ละวัน ผักลวก ข้าวกล้องกับอกไก่ ผัดผักไม่ใส่น้ำมัน ไข่ต้มเอาแดงออก โอ๊ยยยยย อะไรกันนักหนา(วะ)เนี่ย นี่ยิ่งกว่าตอนไปค่ายอีกนะ ชีวิตของฉันจบสิ้นแล้ววววววว T^T

       

                         “อย่างนี้และ เอาน่า...ทนแป๊บเดียวเดี๋ยวก็สวยแล้วลูก” คุณแม่ไอริณพูดให้กำลังใจ

       

                         “หนูต้องลงแดงตายก่อนแน่เลย ดูสิ ไม่มีขนมไม่พอแถมเนื้อก็มีแค่ไก่กับปลาอีก แล้วพวกแป้งก็ให้งดตั้งสองวันแน่ะ โอยตายแน่คราวนี้” ฉันนึกภาพตัวเองกำลังถูกไอ้รุ่นพี่กียุลถือแส้ฟาดหลังฉันให้กินกับข้าวพวกนี้กับออกกำลังกายออกเลยอ่ะ เลือดเอย น้ำตาเอย เหงื่อเอย แนพีตัมนุนมุล~ ไม่ใช่และ

       

                         “น่า..ทนนิดทนหน่อยจะเป็นไรไป พี่เขาหวังดีกับลูกนะ” หวังร้ายน่ะสิไม่ว่า เขาคงสะใจที่ได้เห็นฉันทุกข์ทรมาน คอยดูนะ ฉันจะขอสาปแช่งให้พี่กียุลต้องพบแต่ความทุกข์เป็นโสดตลอดชาติขอให้ผู้หญิงที่พี่เขาชอบไม่ชอบเขา ขอให้ผู้หญิงคนนั้นไม่ต้องกับสเป็คเขาสักอย่าง สาธุ

       

                         “ค่ะ งั้นหนูไปอาบน้ำก่อนนะคะ” ว่าจบทิวาก็เดินขึ้นไปอาบน้ำ

       

      AT CONDOMINIUM (GIYUL)

       

                         “กียุลแล้วเป็นไงบ้างวะน้องทิวาคนนั้นอ่ะ” ดันเต้ถามพร้อมกดจอยเกมอย่างเมามันกับคริสโตเฟอร์เล่นที่นั่งอยู่ข้างๆ

       

                         “ก็..ไม่ยากอย่างที่คิด เข้าทางแม่ดีสุด” กียุลที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำเช็ดผมของตนเองแล้วทำความสะอาดพื้นที่เพิ่งเป็นโต๊ะกินข้าวของบุคคลสามคนเมื่อเวลาก่อน

       

                         คอนโดนี้มีคนพักอยู่สามคนคือเขา ดันเต้ คริสโตเฟอร์ ซึ่งสองตัวนี้ก็ไม่ค่อยทำอะไรนอกจากช่วยกันหารค่าเช่าคอนโด ที่เหลือพวกทำความสะอาดจัดห้องก็ตกเป็นหน้าที่ของคิมกียุลแต่เพียงผู้เดียว(?)

       

                         “โหร้ายไม่เบานะเนี่ย เข้าทางแม่เลยเหรอ” ดันเต้กล่าว

       

                         “นั่นดิ ทำไมเป็นคนแบบนี้วะ” คริสโตเฟอร์สมทบ

       

                         “ถ้าไม่ทำแบบนี้ นายคิดเหรอว่าเด็กนั่นจะยอมมาเทรนกับฉันง่ายๆ น่ะ” พูดไปก็ล้างจานไป

       

                         “ก็จริง แต่แบบ...มันไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้เหรอ อันนี้ดูบังคับมากเกินไปนะ” ดันเต้ละความสนใจจากเกมแล้วมาคุยกับกียุล

       

                         “ฉันไม่เห็นว่ามันจะแย่ตรงไหน แค่ให้แม่เขาช่วยเท่านั้นเอง อีกอย่างถ้าเด็กนี่ลดความอ้วนสำเร็จคนที่จะได้ผลดีก็มีแต่ตัวเด็กนั่นเองเท่านั้นแหละ”

       

                         “อ๋อ จะว่าไปนายก็ไม่เห็นต้องเทรนน้องเขาขนาดนั้นเลยนี่นา” คริสโตเฟอร์กล่าวด้วยน้ำเสียงยียวน

       

                         “หมายความว่าไง?” กียุลขมวดคิ้ว

       

                         “ความจริงนะ ถ้าน้องทิวาลดความอ้วนไม่สำเร็จมันก็ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่”

       

                         “ถ้าเด็กนั่นลดความอ้วนไม่สำเร็จรุ่นพี่เขาก็เอาฉันตายดิ แล้วก็นะมันไม่ใช่แค่ลดความอ้วน ไหนจะต้องฝึกตอบคำถาม แสดงความสามารถพิเศษอีก ถ้าทำไม่ได้สักอย่างฉันคงต้องจองวัดแล้วล่ะ”

       

                         “ก็บอกพี่เขาไปก็ได้นี่ว่าน้องเขาทำไม่ได้ ทุกปีคณะเราก็ไม่เคยประกวดดาวแถมน้องเขาก็ไม่ได้โดดเด่นถึงขนาดใครๆ เขาต้องรู้จักสักหน่อย” ดันเต้เริ่มโต้กลับ

       

                         “ก็รุ่นพี่เขาบอกว่าอยากให้คณะอื่นเห็นว่าคณะเราก็มีผู้หญิงที่สวยแล้วก็เก่งไม่แพ้คณะใด พวกนายเข้าใจไหมเนี่ย”

       

                         “นายอ่ะเข้าใจผิดหรือเปล่า ที่พี่เขาให้เวลาน้อยอ่ะเพราะว่าไม่ได้คาดหวังอะไรกับน้องทิวามากได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนายอ่ะจริงจังไปหรือเปล่า” กียุลชะงักเล็กน้อย แต่ก็อย่างที่เพื่อนของเขาพูด เขาเองก็รู้ว่ารุ่นพี่เองก็คิดอย่างนั้นแต่ไม่รู้ทำไมเจขาต้องพยายามเทรนเด็กคนนี้ด้วย

       

                         “หรืออีกอย่างนะ...” คริสโตเฟอร์เว้นช่วง


      "นายอยากให้น้องเขาลดความอ้วน เพื่อที่จะได้ตรงสเป็คนายใช่ไหมล่ะ?"

       

              “จะบ้าเหรอ =__=;;” กียุลโยนหมวกที่วางบนโต๊ะหนังสือไปที่คริสโตเฟอร์ แต่เหมือนจะเล็งผิดเป้าไปหน่อยทำให้คนที่โดนหมวกนั่นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากดันเต้

       

              “เจ็บนะเว้ยไอ้กียุล!!” ดันเต้กุมหัวตนเองเล็กน้อย แล้วไล่ตีกียุลไปทั่วห้องซึ่งบอกได้เลยว่าภาพที่เห็นตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับเด็กน้อยสามคนกำลังวิ่งเล่นไล่ตีกันไปรอบๆ ห้องสี่เหลี่ยม

       

              ไม่นานนักกียุลก็ถูกดันเต้และคริสโตเฟอร์จับตัวเอาไว้อย่างแน่นหนาที่โซฟาตัวใหญ่ รอยยิ้มชั่วร้ายค่อยๆ ปรากฏบนริมฝีปากของทั้งสองคน แววตาพวกเขาเหมือนดั่งยมทูตที่กำลังจับวิญญาณมาลงสู่นรกเปรียบได้กับสิ่งที่ชายหนุ่มกำลังจะได้รับต่อไปนี้

       

              กียุลถูกเพื่อนตัวดีสองคนรุมตัวของเขาราวกับสัตว์ป่ากำลังขย้ำเหยื่อให้ตายเป็นอาหารอันโอชะ มือหนาของดันเต้ค่อยๆ เลื่อนเข้าไปปลดกระดุมชุดนอนของคนตรงหน้าอย่างช้าๆ(//เดี๋ยวนะ!) คริสโตเฟอร์เองก็ให้ความร่วมมือกับเพื่อนรักอย่างดีโดยการพยายามดึงกางเกงของอดีตเดือนคณะออก

       

              “ไอ้%^$#@*&^%(//เซ็นเซอร์คำหยาบ)” ไม่ทันที่คริสโตเฟอร์จะได้ดึงกางเกง กียุลก็ถีบเจ้าตัวออกไปอย่างเต็มแรงพร้อมผลักดันเต้ออกไปจนเกือบชนกำแพง      

       

              “โอ๊ยถีบมาได้ แค่หยอกนิดหน่อยเอง”

       

              “นี่เรียกว่านิด ขนลุกชะมัด -*-” กียุลจัดการสวมใส่เสื้อผ้าตนเองให้เรียบร้อยแล้วมองเพื่อนตัวดีสองคนก่อนจะรีบสาวเท้าเข้าห้องตนเองไป

       

              ดันเต้กับคริสโตเฟอร์ค่อยๆ เดินอย่างทุลักทุเลเข้าหากัน มือเรียวของหนุ่มผมบลอนด์หยิบสมาร์ทโฟนมาไล่หาประวัติของว่าที่ดาวคณะ ไม่ต้องตกใจว่าเขามีประวัติเธอคนนี้ได้อย่างไร แทบจะสาวทั้งมหาลัยเขามีประวัติหมดตั้งแต่บรรพบรุษยันลูกหลานไม่มีอะไรที่เขาไม่รู้ หากถามว่าทำไมต้องมีเยอะขนาดนี้น่ะเหรอ? จะเพราะใครซะอีกล่ะ ไอ้กียุลพ่อรูปหล่อนั่นน่ะแหละแม้ความจริงบางคนเขาจะแอบเหล่เองบ้างก็ตามเถอะ -^- แต่ส่วนใหญ่ก็ให้เพื่อนรักนี่แหละครับ

       

              เหตุผลที่ต้องพยายามหาแฟนเพื่อนคนนี้เหรอครับ? คือว่าคุณแม่สุดที่รักของมันเนี่ยสงสัยว่า พวกเรา ใช่ครับอ่านไม่ผิดหรอกพวกเราทั้งสามคนจะเป็นไม้ป่าเดียวกันหรือเปล่า ง่ายๆ ก็เกย์และครับ เราจึงต้องพยายามหาแฟนให้มันความจริงกียุลน่ะเฉยๆ กับความคิดของแม่มันจะครับ แต่ผมกับคริสโตเฟอร์นี่ไม่โอเคอย่างแรง-*-ถ้าไอ้กียุลมันโดนคนเดียวพวกผมไม่ยุ่งเดียวหรอกแต่ประเด็นคือโดนกันหมดไง เลยต้องมานั่งดูประวัติน้องทิวาคนนี้เนี่ย

       

              “เอาจริงๆ นะ ฉันว่าน้องทิวาก็ไม่ได้แย่อะไรนะ” คริสโตเฟอร์เอ่ยขึ้น

       

              “ไม่แย่เลย ดีมากซะด้วยซ้ำความจริงน้องก็ไม่ได้อ้วนขนาดนั้นน่ะ ฉันว่าพอมีน้ำมีนวลอ่ะ” ผมเสริมเข้าไปแล้วมองภาพหลากหลายอิริยาบถของรุ่นน้อง พอเห็นแก้มยุ้ยๆ ของผู้หญิงคนนี้แล้วเริ่มรู้สึกหน้ามันร้อนผ่าวแปลกๆ แหะ -///-

       

              "แหมหน้าแดงเชียวนะดันเต้ จะว่าไปดูดีๆ เด็กนี่สเป็คนายเลยนี่” คริสโตเฟอร์เขยิบตัวเข้ามาใกล้แล้วเอามือจิ้มแก้มผมพร้อมหัวเราะร่า ก็จริงที่มันพูดและน้องทิวาตรงสเป็คผมจริงครับ แต่ก็นะยังไงซะเพื่อนก็ต้องสำคัญกว่าอยู่แล้วอีกอย่างผมก็ไม่มีอะไรไปสู้กียุลได้เพราะฉะนั้นขอแค่เห็นเขามีความสุขก็ดีใจแล้วครับ พูดแบบนี้แล้วรู้สึกตัวเองหล่อขึ้นมาทันทีเลย^^

              “แต่ช่างเถอะ เรามาคิดกันดีกว่าว่าจะทำยังไงให้กียุลมันชอบน้องคนนี้ดี” ดันเต้ตัดจบ พวกเขาทั้งสองคนนั่งใช้ความคิดไม่มีเสียงอะไรเล็ดลอดออกมาจากปากของเขาทั้งสองทำให้บรรยากาศตอนนี้มีเพียงแค่เสียงเข็มนาฬิกาที่เดินไปเรื่อยๆ

       

              “ฉันว่านะ...” คริสโตเฟอร์เอ่ยขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ “ไม่ต้องทำอะไรหรอก เดี๋ยวเอาไว้ตอนเทรนเสร็จแล้วพวกเราค่อยมานั่งคิดอีกทีดีกว่า เพราะตอนนี้ฉันง่วงและไปนอนกัน” ว่าจบก็หาวสักหนึ่งรอบก่อนจะตบบ่าเพื่อนสนิทเข้าห้องไปนอนพร้อมกัน

       

      DAY 1

       

      ก๊อก ก๊อก ก๊อก

       

              ใครมาแต่เช้าวะเนี่ย? ฉันสะลึมสะลือลุกออกจากเตียงด้วยสภาพที่...อย่าให้อธิบายเลยดีกว่าหมาข้างถนนยังดูดีกว่าฉันตอนนี้อ่ะ เนื่องจากวันนี้พ่อกับแม่มีธุระเร่งด่วนต้องไปต่างจังหวัดฉันจึงต้องถูกทิ้งให้อยู่บ้านคนเดียว ให้ตายสิ กะว่าจะนอนตื่นสายสักหน่อย กลับต้องแหกขี้ตาตื่นแต่เช้าเพราะไอ้บ้าที่ไหนก็ไม่รู้ -*-                                                  

       

      แอ๊ด~

       

              ประตูเปิดออกอย่างช้าๆ ก่อนจะพบกับบุคคลที่ฉันไม่อยากเจอมากที่สุด


       รุ่นพี่กียุล

       

              เขาดูตกใจนิดหน่อยกับสภาพของฉันที่ไม่ต่างอะไรกับซอมบี้ดีๆ นี่เอง สงสัยชีวิตนี้เขาคงเจอแต่ผู้หญิงสวยๆ แต่งหน้าทาปากเป๊ะทุกคนสินะ ถึงได้ดูตกใจกับสิ่งที่ธรรมชาติให้กับฉันน่ะ แต่ฉันไม่สนใจหรอกว่าพี่เขาจะคิดยังไงที่แน่ๆ ตอนนี้ฉันปิดประตูต่อหน้าเขาดังปังแล้วล็อกอย่างแน่นหนาเรียบร้อยแล้ว เอาล่ะ กลับไปนอนได้

       

      หมับ!

       

              ฉันสะดุ้งเฮือกเมื่อมีบางอย่างมาสัมผัสที่ไหล่บางของฉัน ฉันกลืนน้ำลายเล็กน้อยแล้วค่อยๆ หันหลังไปเผชิญหน้ากับสิ่งนั้น ปรากฏว่าเป็นพี่กียุลนั่นเองแต่เดี๋ยวนะฉันจำได้ว่าปิดประตูต่อหน้าพี่เขานี่นาแล้วเขาเข้ามาได้ยังไง ฉันหลับตาลงแล้วนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านั้น ฉันเปิดประตูแล้วพี่เขาก็เข้ามาแล้วฉันก็ปิด เอ๊ะพี่เขาเข้ามาก่อนที่ฉันจะปิดประตูล็อกนี่นา นี่ฉันเมาขี้ตาใช่ไหมเนี่ย

       

      ปึก!

       

              หน้าผากฉันรับรู้ได้ถึงสิ่งที่เข้ามาเมื่อกี้ โอ๊ยไอ้พี่บ้านี่ดีดมาได้หน้าผากฉันเป็นหลุมแล้วมั้งเนี่ย (//นี่ก็เว่อร์ไป) กียุลเขยิบใบหน้าเขาเข้ามาใกล้ประจวบเหมาะพอดีกับที่ทิวาลืมตาขึ้น ทั้งสองคนรีบผละออกจากกันด้วยความตกใจ

       

      ตึกตัก ตึกตัก

       

              เสียงของหัวใจทั้งสองคนเต้นรัวไม่เป็นจังหวะกลบเสียงจากภายนอกออกไปหมด กียุลที่เริ่มตั้งสติได้ก็ควบคุมตนเองให้กลับมาเป็นปกติมีเพียงแค่หูของเขาที่ยังมีสีแดงระเรื่ออยู่เล็กน้อย เขามองไปที่รุ่นน้องตัวเล็กที่ดูไม่ออกว่ากำลังเขินเขาหรือกำลังจะหลับกันแน่เพราะใบหน้าของเธอนั้นทั้งแดงแต่ดวงตาก็คลับคล้ายคลับคลาจะปิดเต็มทน กียุลถอนหายใจพร้อมกับกุมขมับแล้วตัดสินใจอุ้มเด็กน้อยไปนอนต่อบนโซฟา ทิวาเองก็ไม่ได้มีท่าทีตกใจอะไรเหมือนสมองของเธอสั่งการให้เธอต้องหลับต่อไป ไม่นานนักทิวาก็หลับสนิทไม่รู้สึกอะไร นั่นแหละ ไม่รู้สึกอะไรเลย คนเป็นพี่จัดแจงท่าทางการนอนให้เธอแล้วหยิบผ้าห่มที่อยู่แถวนั้นมาคลุมให้เธอได้นอนสบายยิ่งขึ้นก่อนที่เขาจะไปนั่งเป็นหมอนหนุนหัวให้ทิวา

       

              เขาเองก็รู้สึกเหมือนกันว่าตนเองมาเช้าเกินไปเพราะนี่เพิ่งจะหกโมงกว่าเอง ไม่เข้าใจตัวเองอยู่เหมือนกันว่าทำไมถึงได้รู้สึก ตื่นเต้น ที่จะต้องมาเทรนรุ่นน้องตัวดีนี่ด้วย ทั้งๆ ที่ผู้หญิงสวยกว่านี้เขาก็เคยเจอมาแล้วแต่เธอคนนี้ทำให้เจ้าตัวกลับรู้สึกแปลกๆ เหมือนดีใจที่จะได้เจอเธอ


       อะไรนะ ดีใจงั้นเหรอ?

       

              กียุลสะบัดหัวตนเองเล็กน้อย มือหนารีบหยิบโทรศัพท์มาเล่นฆ่าเวลารอเด็กขี้เซาเขาเลื่อนดูหน้าผู้หญิงคนก่อนๆ ที่เขาเคยถูกเพื่อนสองคนบังคับให้คุยด้วยซึ่งตอนนี้ก็ไปมีแฟนกันหมดแล้ว ไม่สิ พวกเธอมีแฟนอยู่แล้วแต่มาคุยกับเขาเรียกได้ว่าเขาก็ไม่ต่างอะไรกับ กิ๊ก ดีๆ นี่เอง

       

              ทิวาขยับตัวเล็กน้อยโดยหารู้ไม่ว่าการที่เธอขยับตัวนั้นทำให้เธอไปปลุกบางอย่างในตัวชายหนุ่มให้ตื่นขึ้น


       บ้าเอ๊ย!


              เด็กหนุ่มค่อยๆ เลื่อนหัวของคนตัวเล็กตรงหน้าลงออกจากตักของเขา แล้วหยิบหมอนแถวนั้นมาหนุนหัวเจ้าตัว ก่อนที่เขาจะเดินไปที่ตู้กับข้าว

       

              กียุลได้รับอนุญาตจากคุณแม่ของรุ่นน้องตัวดีหรือคุณน้าไอรีนให้สามารถหยิบจับ ใช้สิ่งข้าวของต่างๆ ในบ้านได้เหมือนบ้านตัวเอง แต่เอาจริงๆ เขาแค่จะขอใช้เครื่องครัวเท่านั้นแหละ พวกวัตถุดิบอาหารที่จะใช้เขาก็หามาเอง เพราะไม่อยากรบกวนคุณน้ามากนัก แค่ต้องไปทำงานหามรุ่งหามค่ำหาเงินให้ลูกเขาก็น่าจะเหนื่อยพอแล้ว ตัวเขาเองก็อยากจะช่วยแบ่งเบาภาระบ้างเล็กน้อย ไหนๆ ก็มาเทรนลูกสาวเธออยู่แล้วนี่

       

              มือหนาลงมือทำอาหารเมนูสุขภาพอย่างชำนาญ ความจริงเขาไม่ได้จะให้สาวเจ้ากินอกไก่กับสลัดอย่างในรายการอาหารที่เขาให้เธอไปดูหรอก เพราะขนาดตัวเขาเองยังไม่ชอบเลย อาหารที่ไร้รสชาติ มีแต่ผักอย่างนั้นน่ะ ดังนั้นกียุลจึงทำต้มยำกุ้งน้ำใสกับผัดผักเต้าหู้ อ้อ! น้ำมันที่เขาใช้น่ะ คือน้ำมันมะกอกนะ เป็นไขมันดีไม่ต้องห่วงว่ามันจะไม่คลีน แถมเขายังใส่แค่นิดเดียว(//เพราะมันแพง) ฉะนั้นดีต่อร่างกายแน่นอน ช่วงนี้เห็นมีเทรนลดน้ำหนักแบบคีโตเจนิกไดเอ็ทที่เขาบอกว่ากินไขมันลดความอ้วนนั่นก็น่าสนใจนะ แต่ว่าถ้าเผลอกินไขมันแบบผิดๆ ไปแทนที่มันจะลดน้ำหนัก น่าจะเพิ่มน้ำหนักแถมโรคมากกว่านะ แบบที่เขาทำเนี่ยแหละดีสุดแล้ว

       

              กียุลจัดเตรียมอาหารใส่จานเรียบร้อย ระหว่างที่กำลังรอให้ข้าวกล้องที่หุงสุกนั้น ทิวาก็สะลึมสะลือตื่นขึ้นมาจากความฝัน เนื่องจากได้กลิ่นอาหาร -__-;; สมองสั่งการให้เท้าทำงานเดินไปยังโต๊ะอาหาร

       

              “นี่ไปอาบน้ำแปรงฟันให้สะอาดก่อนแล้วค่อยมากิน” กียุลใช้ตะหลิวตีที่หัวทุยของทิวาเบาๆ

       

              “ค่า เข้าใจค่ะพ่อ -*-” หลังจากพูดจบทิวาก็รีบวิ่งไปก่อนที่กียุลจะได้บ่นกลับ

      .

      .

      .

              “ไม่ต้องกินอกไก่กับสลัดผักเหรอคะ?” ฉันเอ่ยถามอย่างสงสัย เพราะอาหารพวกนี้ไม่มีในรายการ

       

              “อยากกินก็ไม่บอกจะได้ทำให้กิน” รุ่นพี่กียุลทำท่าทีจะยกจานอาหารออกจากโต๊ะ ฉันจึงรีบใช้มือตะครุบจานเข้าไว้

       

              “ไม่อยากค่ะ ต้มยำกุ้งดีกว่าเยอะ^^” ฉันรีบตักกับข้าวมาราดบนข้าวกล้องร้อนๆ โอ๊ย! น้ำลายจะไหล ฉันค่อยๆ ตักอาหารเข้าปาก แล้วเคี้ยวมันอย่างช้าๆ ลิ้มรสสัมผัสของกุ้งสด ฟินมาก *๐*

       

              “อร่อยขนาดนั้นเชียว?” กียุลที่เห็นหน้าเคลิ้มฟินหลังจากรับประทานอาหารของรุ่นน้องก็เอ่ยถาม

       

              “โห! พี่มันสุดยอด พี่ไม่ได้กินอาหารที่พี่ทำเหรอ?” ไวกว่าความคิด มือบางตักผัดผักเต้าหู้มาจ่อที่ปากของคนเป็นรุ่นพี่  ทำเอากียุลชะงักเล็กน้อย

       

              “จะป้อนเหรอ?”


              “ป้อนก็บ้าและ พี่มีมือก็หยิบช้อนจากมือหนูไปกินเองสิ” เด็กหนุ่มเมื่อได้ฟังอย่างนั้นก็ถอนหายใจเล็กน้อย แต่แทนที่เขาจะหยิบช้อนจากมือของคนตัวเล็ก เขากลับจับมือของเธอแล้วรีบชิมอาหารบนช้อน ถ้าจะให้เห็นภาพก็เหมือนทิวาป้อนเขานั่นแหละ

       

              “ทำอะไรของพี่เนี่ย!?” ทิวาถามเสียงดังด้วยความตกใจ ในขณะที่กียุลก็เคี้ยวกับข้าวแก้มตุ่ยด้วยท่าทีที่ไม่รู้ร้อนอะไร เด็กสาวค่อยๆ มองแก้มป่องๆ ของคนตรงหน้าด้วยท่าทีสนใจ ทำให้กียุลที่เคี้ยวอาหารเสร็จแล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย

       

              “มองอะไรของเธอ?”


       "เวลาพี่กินแล้วเหมือนกระต่ายเลยอ่ะ"


              กียุลชะงักเล็กน้อย เขาเคยได้ยินอยู่บ้างว่าเวลากินอาหารเขาจะเคี้ยวจนแก้มตุ่ยเหมือนกับกระต่าย คือมันก็ดีอยู่หรอกนะที่มีคนชม แต่ตัวเขาเองนี่สิที่รู่สึกว่าตนเองไม่เห็นจะเหมือนเจ้าตัวขนฟูเลยสักนิด เจ้านั่นดูน่ารักน่าชังน่าทะนุถนอม(?) แถมยังดูอ่อนแอ ตื่นตูมอีกต่างหากไม่เห็นเหมือนเขาเลยสักนิด!!

       

              “พูดอะไรบ้าๆ รีบกินเลย เดี๋ยวฉันจะพาไปข้างนอก” กียุลบอกไปอย่างปัดๆ ที่ใบหน้าของเขาขึ้นริ้วสีแดงจางๆ ทำให้ทิวาแอบอมยิ้มเล็กน้อยแล้วตั้งใจลงมือกินตามคำสั่งของรุ่นพี่

       

              ไม่นานนักจานอาหารทุกจานก็ถูกจัดการเกลี้ยงจนหมดด้วยฝีมือของนางเอกสุดน่ารัก(?) ชายหนุ่มเก็บจานแล้วรีบล้างทำความสะอาดอย่างเรียบร้อย ก่อนจะเดินไปฉุดเด็กสาวให้ลุกออกจากเก้าอี้

       

              “โอ๊ยยย พี่ใจเย็น พูดดีๆ ก็ได้ไม่เห็นต้องฉุดเลย” ทิวาลุกขึ้นตามแรงฉุดของกียุล คนเป็นพี่ปรายตามองเล็กน้อยแต่ไม่ได้พูดอะไร เขาเปลี่ยนตำแหน่งจากจับแขนมาเป็นจับมือของเด็กสาว แล้วเดินออกไปนอกบ้านพร้อมกันโดยไม่ลืมล็อกประตูบ้านก่อนออก

      .

      .

      .

      AT PARK

       

              “เอาล่ะ ตอนนี้ฉันจะเริ่มเทรนให้เธออย่างจริงจังแล้วนะ” ทิวาพยักหน้าตามคำพูดของกียุล ตอนนี้พวกเธอทั้งคู่อยู่ที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่งที่กว่าจะมาถึงนั้นต้องใช้เวลาในการเดินมานานมากกกกก ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ทั้งที่สวนนี้อยู่ในทางรถไฟฟ้า นั่งจากสถานีใกล้บ้านเธอมาไม่กี่นาทีก็ถึงแล้วนี่เล่นให้เดินมาล่อไปซะเกือบจะชั่วโมงหนึ่ง ให้ตายเถอะ นี่พี่ใช้อะไรคิดคะ!? ใจจริงอยากพูดออกไปแบบนี้นะ แต่เหนื่อยจนไม่มีแรงพูดอ่ะ เออออตามพี่เขาไปเงียบๆ ล่ะกัน

       

              “ที่ฉันให้เธอเดินมาเพราะอยากให้วอร์มอัพไปในตัวจะได้ไม่ต้องเสียเวลาตรงส่วนนี้เยอะ” อ๋อ! เข้าใจและว่าทำไม ขอบคุณในความหวังดีนะคะ(//กัดฟัน)

       

              “งั้นเดี๋ยววอร์มอัพอีกนิดนะ แล้วจะเริ่มวิ่งและ” พี่กียุลให้ฉันวอร์มอัพท่าเบสิคทั่วไปเหมือนก่อนเรียนวิชาพละตอนมัธยม สะบัดแข้งสะบัดขาสะบัดแขนเล็กน้อย บิดตัวไปมา ก่อนที่พี่เขาจะเริ่มให้ฉันวิ่งช้าๆ

       

              ระหว่างทางฉันมองไปรอบๆ ที่เต็มไปด้วยต้นไม้นานาชนิด ผู้คนหลากหลายช่วงอายุ ตั้งแต่เด็กเล็กยันผู้สูงอายุเองก็มาออกกำลัง เท่าที่สังเกตเด็กเล็กจะมาวิ่งเล่นกันกับเพื่อนๆ เพราะว่าเป็นช่วงปิดเทอมของโรงเรียน (แต่มหาลัยยังไม่ปิด//ปาดน้ำตาTT) โตขึ้นมาหน่อยประมาณมัธยมก็เริ่มรักสวยรักงามมาวิ่งเป็นจริงเป็นจังมากขึ้น วัยประมาณฉันจนถึงทำงานก็มีบ้างประปราย เพราะตอนนี้น่าจะใกล้เวลาทำงานแล้ว ต่อมาถึงรุ่นวัยเก๋าที่สุดอย่างอากงอาม่านี่จริงจังสุด เนื่องจากพวกท่านทุกคนเต้นแอโรบิกตามพี่คนสอนได้อย่างเป๊ะทุกกระบวนท่า สุดยอดดดดด *0*

       

              “เหนื่อยแล้วเหรอ?” กียุลเอ่ยถามรุ่นน้องจากอาการหอบของเธอ

       

              ทิวาส่ายหน้า วิ่งได้ไม่เท่าไร ร่างกายของฉันก็เริ่มหอบต่างจากรุ่นพี่กียุลที่ดูเหมือนว่าหลายนาทีที่ผ่านมาไม่เคยวิ่งซะอย่างไรอย่างนั้น แต่ฉันก็ไม่ยอมแพ้หรอกน่า ฉันจะไม่ยอมให้พี่เขามาดูถูกว่าวิ่งไม่เท่าไรก็เหนื่อยต่างจากคุณลุงคุณป้าที่วิ่งอยู่ข้างๆ หรอกนะ

       

              เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมงหนึ่งทั้งคู่วิ่งติดต่อกันอย่างไม่หยุดพัก ร่างกายของทิวาเริ่มหอบมากขึ้น สายตาของเธอเริ่มพร่ามัว แต่เพราะจิตใจที่มั่นคง ทำให้เธอวิ่งต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่ปริปากบ่นสักคำ กียุลคอยเหลือบมองปฎิกิริยาของคนตัวเล็กเป็นระยะ พร้อมกับแปลกใจเล็กน้อยที่เธอไม่ขอหยุดพักเลย ทั้งที่ควรจะหยุดพักได้แล้ว เพราะเท่าที่ดูเจ้าตัวน่าจะไม่เคยวิ่งติดต่อกันเวลานานขนาดนี้มาก่อน มันถึงเวลาที่เธอควรพักได้แล้ว

       

              เพื่อขจัดความเหนื่อยที่เริ่มเข้ามาถาโถมในตัวของเธอ ทิวาเลือกที่จะมองไปรอบๆ ชมความสวยงามของธรรมชาติ เมื่อเม็ดเหงื่อเริ่มไหลมากระทบที่ดวงตา วิสัยทัศน์ในการมองในตัวก็น้อยลงไปบวกกับสายตาที่พร่าจะความเหนื่อยล้าด้วยแล้ว...

       

              ฟึบ!!

       

              สองเท้าสะดุดกับรากไม้ที่เลื้อยออกมา ทำให้เด็กสาวล่มลงไปพร้อมสลบไปด้วยความเหนื่อยที่สะสมมา กียุลเบิกตาด้วยความตกใจ เขารีบวิ่งไปอุ้มเธอด้วยสองมือแล้วนำไปวางที่ม้านั่งตัวที่ใกล้ที่สุด มือหนารีบควักยาดมออกมาจากกระเป๋ากางเกงส่วนมืออีกข้างก็พัดไปเรื่อยๆ ให้เธอได้รับอากาศมากที่สุด

       

      ตอนนี้เขารู้สึกจุกไปหมดเหมือนกับมีอะไรมาทับไว้ มือที่ถือยาดมให้ทิวาเองก็สั่นไปหมด ดวงตาสีครามมองไปที่ใบหน้าของเด็กสาวที่เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อแล้วนึกเจ็บใจตนเองที่ไม่ให้เธอพัก ไม่รู้ว่ากลัวดอกพิกุลร่วงออกจากปากหรือไง ถึงไม่ยอมบอกให้เธอพักทั้งๆ ที่ก็รู้ว่ามันถึงเวลาแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ทำไมของถึงรู้สึกเครียดได้ถึงขนาดนี้ เป็นห่วงเด็กนี้หรือยังไง


      ใช่...เขาเป็นห่วงเธอ 

       

             “อือ...” กียุลถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อเห็นรุ่นน้องตัวดีเริ่มรู้สึกตัวขึ้นแล้ว ริมฝีปากแอบยกยิ้มเล็กน้อย แต่พอเด็กสาวลืมตาขึ้นมาก็เก๊กหน้าเคร่งขรึมอีกครั้ง

       

              “นี่ทีหลังเหนื่อยแล้วก็บอกสิ”

       

              “ก็หนูไม่รู้นี่คะ..” คนตัวเล็กเอ่ยเสียงเบา พร้อมก้มหน้าหลบสายตาคนเป็นพี่

       

              “ไม่รู้อะไร?”

       

              “ไม่รู้ว่าตัวเองจะเหนื่อยขนาดนี้...(. .)” ทิวาก้มหน้างุด ความจริงเพราะความทะนงตนของเธอเองนั้นแหละ ก็แหม! เห็นคนอื่นเขาวิ่งได้ไม่เห็นเหนื่อย ไอ้เราเองก็ไม่ได้ประเมินสภาพตัวเองเลย ลำบากพี่เขาจนได้สินะ

       

              “ฮะ? ไม่รู้ว่าตัวเองเหนื่อยเนี่ยนะ” กียุลเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่คล้ายตะคอกหน่อยๆ แต่นั้นก็ทำให้ทิวารู้สึกผิดมากยิ่งขึ้น แถมยังกลัวรุ่นพี่คนนี้มากขึ้นอีกด้วย เด็กหนุ่มเห็นท่าทีของรุ่นน้องที่ดูหวาดกลัวเขาเพราะน้ำเสียงที่ดูเหมือนตะคอกเมื่อกี้ เจ้าตัวเลยถอนหายใจให้ใจเย็นลง แล้วลูบหัวทุยของรุ่นน้องตัวเล็กอย่างอ่อนโยน


      "กลัวใช่ไหม? พี่ขอโทษนะ"

       

              ฉ่า 0////0

       

              ให้ตายสิ นี่เธอจะมาหน้าแดงตอนนี้ไม่ได้นะทิวา หัวใจบ้านี่ก็ด้วยทำไมต้องเต้นรัวดังขนาดนี้ ดังจนเธอกลัวว่าคนตรงหน้าจะได้ยินเสียงของมัน ทิวาทุบที่หน้าอกตัวเองอย่างแรงจนกียุลตกใจว่าเธอจะเป็นอะไรหรือเปล่า บวกกับการที่เธอหน้าแดงจัดตอนนี้ด้วยยิ่งทำให้เขากังวลหนักขึ้นไปอีก

       

              “เป็นอะไรหรือเปล่า ไม่สบายตรงไหนบอก  พี่ นะ” เอาอีกแล้ว แทนตัวเองว่าพี่อีกแล้ว นี่หนูจะหัวใจวายเพราะพี่เนี่ยแหละ เลิกแทนสรรพนามแบบนี้สักทีเถอะ -///-

       

              “หนูไม่เป็นไรหรอกค่ะ”

       

              “แน่ใจนะ หน้าแดงมากเลย ไหวป่ะเนี่ย?” กียุลยังกังวลกับคนตัวเล็กที่หน้ายังแดงจัด มือหนาเองก็พยายามพัดให้อากาศถ่ายเทมากที่สุด

       

              “หนูโอเค--อ๊ะ! 

       

              หน้าผากของคนตรงหน้าเข้ามาประกบที่หน้าผากเนียนอย่างรวดเร็วจนทำให้คำพูดของเธอหยุดชะงักไป รวมทั้งลมหายใจอุ่นๆ ที่รินรดมาอยู่บริเวณใบหน้าทำเอาตัวเธอแทบจะหยุดหายใจไปชั่วขณะ เพียงเสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้นที่ดวงตาสีทับทิมเผลอสบตาเข้ากับดวงตาสีคราม ความรู้สึกหนึ่งที่สื่อออกมาจากแววตานั้นคือ ความเป็นห่วง

       

              ฝ่ายเด็กหนุ่มที่พยายามมองไปเข้าไปในแววตาของเด็กสาวเผื่อว่ามันจะแสดงถึงอาการเหนื่อยล้าบ้าง หรือเบื่อบ้าง หรืออะไรก็ตามแต่ที่เกี่ยวกับอาการของรุ่นน้อง แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือ ความเขิน ไม่ใช่แค่เธอที่เขิน เขาเองก็เขินเหมือนกันที่ได้มองหน้าของผู้หญิงคนนี้


       ผู้หญิงที่ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้ใจเขาเต้นรัวได้ถึงขนาดนี้


              “ตัวเธอรุมๆ นะ งั้นกลับก่อนแล้วกัน” กียุลผละตัวออกจากเธอก่อน แล้วลุกขึ้นยืนพร้อมยื่นมือไปทิวา

             

              “คะ?” ทิวามองที่มือหนาอย่างมึนงง

       

              “จับสิ เดี๋ยวฉันพาไปหาอะไรกิน” ไม่ทันสิ้นสุดคำพูด มือป้อมรีบจับมือรุ่นพี่แต่โดยเร็วเมื่อได้ยินคำว่า กิน

       

              “แหม เร็วเชียวนะ ยัยหมูอ้วนเอ๊ย” กียุลถือวิสาสะบีบจมูกคนตัวเล็กอย่างหมันเขี้ยว ฝ่ายทิวาเองที่ได้ยินดังนั้นอยากจะโวยกลับไปแต่ก็ไม่กล้าเพราะมันคือเรื่องจริง TT ทั้งสองเดินออกจากสวนสาธารณะไปพร้อมกัน โดยที่กียุลเองก็วายลงไปกระซิบที่ข้างหูทิวา ทำเอาสาวเจ้าหน้าแดงอีกรอบ


       "ฉันรู้นะว่าเธอหน้าแดงเพราะเขินฉันน่ะ"

       

      AT RESTAURANT

       

              ทั้งคู่เดินเข้ามาในร้านอาหารแห่งหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นร้านอาหารสายรักสุขภาพ เพราะมองไปทางไหนก็เห็นแต่สีเขียวเต็มไปหมด ดูไปดูมาชักมึนแหะ @0@ ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ได้สังเกตสายตาของลูกค้าที่อยู่ในร้านก็ตามเถอะนะ แต่ด้วยสัญชาตญาณแล้วล่ะก็ รู้สึกได้หลายคู่กำลังจับจ้องมาที่ผู้ชายตนข้างๆ ฉันน่ะ

       

             นี่เธอ ดูผู้ชายคนนั้นสิ หน้าตาดีจังเลยอ่ะ >///<’

       

             ฉันไม่เคยเห็นใครหล่อเท่าเขามาก่อนในชีวิตนี้เลย เอาใจพี่ไปเถอะค่ะ

       

             เด็กนั่นหล่อซะผมกลัวว่าคุณจะบอกเลิกผมตอนนี้เลยนะเนี่ย

       

             ทำไมลูกเราไม่หน้าตาดีแบบเขาบ้างนะ

       

             พี่คะ ถ้ามาเป็นแฟนหนู สัญญาว่าจะเลิกบ้าผู้ชายตลอดชีวิตเลยค่ะ

       

             ‘โห ถ้าเป็นแฟนเรานะ อยากได้อะไรเดี๋ยวเราหามาให้หมดเลย

       

              และบลาบลาบลา ล้วนแต่พูดถึงพ่อเทพบุตรสุดหล่อจากนรก (?) ตั้งแต่เดินเปิดประตูเข้าร้านมาอย่างคุณชายจนมานั่งที่โต๊ะตอนนี้ ถามจริง นี่พี่เขาหล่อขนาดที่ทุกคนต้องหันมามองเป็นตาเดียวขนาดนี้เลยจริงๆ เหรอ บอกตรง หน้าตาพ่อฉันหล่อกว่าตั้งเยอะ เหอะ!! ทิวาพ่นลมหายใจออกมาอย่างไม่พอใจ จนคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาพิจารณาเมนูตั้งแต่รูปโฆษณายันราคาอาหารเงยหน้ามาสนใจกับเด็กอ้วนตรงหน้า

       

              “เป็นไรอ่ะ โมโหหิวอ่อ?” เขาพูดอย่างไม่ใส่ใจอะไร ข้อความเหล่านั้นที่พูดออกมาเจ้าตัวไม่ได้สนใจอะไรอยู่แล้ว เพราะปกติก็ได้ยินอย่างนี้เป็นประจำ (//เกลียดความคนหล่อ)

       

              “นิดนึงค่ะ...แล้วนี่สั่งได้ยังอ่ะ พี่เขามารอนานแล้วนะ” พูดจบทิวาก็หันไปเหลือบมองพนักงานสาวสวยที่รอรับออเดอร์ตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าร้านยันมานั่งที่โต๊ะ แต่ดูท่าพี่แกคงอยากจะบอกกับฉันว่า ยัยอ้วน หุบปากไปเดี๋ยวนี้เลยนะยะ เธอกำลังทำฉันเสียเหยื่อ(?)

       

              “ได้และๆ ป้า ครับเอาชุดแกงส้มชะอมไข่กับข้าวกะเพราไข่ดาวจานนึงครับ” ฉันแอบหลุดขำเล็กน้อยที่พี่กียุลเขาเรียกพี่พนักงานสาวว่าป้าทำเอาเธอหน้าเหวอเล็กน้อยแต่ก็ยังคีพลุคยิ้มอย่างไม่เต็มใจให้กับหนุ่มหล่อก่อนจะเดินกลับไปยังห้องครัว

       

              แม่ฮะ ถ้าผมจะมีแฟน ผู้หญิงคนนั้นจะเป็นแบบพี่สาวคนนี้นะครับ ฉันได้ยินเสียงคนเด็กผู้ชายหน้าตาจิ้มลิ้มโต๊ะข้างๆ ที่กำลังพูดถึงฉันอยู่

       

              ทำไมล่ะลูก ฉันว่าแม่น้องเขาคงคิดว่าลูกต้องมีรสนิยมชอบของแปลก หายากอะไรประมาณนั้น

       

              ผมว่าคงไม่มีใครอยากได้พี่เขาเป็นแฟน ดังนั้นผมจะได้ไม่ต้องกังวลว่ามีใครจะมาแย่งพี่เขายังไงล่ะครับ พูดจบน้องเขาก็ยิ้มโชว์ฟันหลอให้แม่ตัวเอง คือ...ประโยคน้องเขาเหมือนจะดีนะ แต่มันก็เหมึอนจะแอบหลอกด่าหน่อยๆ แหะ ส่วนแม่น้องเขาก็ยิ้มเจื่อนๆ ให้ความคิดแสนน่ารักของลูกชายตนเอง

       

              น้องเขาต้องทำบุญด้วยอะไรนะ ถึงได้แฟนดีขนาดนี้ ทำไมทุกคนถึงต้องพูดเกี่ยวกับพี่กียุลหรือไม่ก็ฉันด้วยนะ ไม่มีอะไรให้พูดแล้วหรือไง อีกอย่างหนูไม่ใช่แฟนพี่เขาโว้ยยยยยยย

       

              อาจจะเพื่อนเขาก็ได้

       

             หรือแม่เขา?เดี๋ยวนะพี่ หน้าหนูแก่ขนาดนั้นเลยเหรอ ในเวลาเดียวกันนั้นเอง อาหารก็ถูกยกมาเสิร์ฟ โดยข้าวกะเพราไข่ดาวถูกวางให้พี่เขาอย่างนุ่มนวล ส่วนชุดแกงส้มชะอมไข่กับข้าวกล้องถูกวางมาที่ฉันอย่างแรงราวกับคับแค้นฉันมาร้อยชาติจนทำให้น้ำแกงกระเด็นโดนเสื้อฉันเล็กน้อย แม้ว่ามันจะเล็กน้อยแต่นี่คือเสื้อที่ฉันรักที่สุดเลยนะ ถ้าไม่ติดว่ามากับรุ่นพี่ที่ไม่สนิทล่ะก็ ฉันคงด่าว่าไปแล้ว

       

              “นี่ป้าครับ วางให้มันดีๆ หน่อยสิครับ เธอเป็นลูกค้านะ หรืออยากให้ผมเรียกผู้จัดการมาคุย” ฉันชะงักจากการเช็ดน้ำแกงเล็กน้อย พี่กียุลเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างซึ่งน่ากลัวกว่าเสียงที่ฉันเคยได้ยินตอนที่พบพี่เขาครั้งแรกๆ

       

              “พี่ใจเย็นก่อนนะ” ฉันเอ่ยเสียงเบาให้พี่เขาเปลี่ยนน้ำเสียงตัวเอง ดูท่าพี่พนักงานเขาดูจะกลัวมากเลยทำให้พี่เขาโค้งคำนับขอโทษฉันแล้วรีบออกไป ฉันกลับมาสนใจเช็ดคราบน้ำแกงที่กระเด็นมาต่อ เมื่อรอยเริ่มจางลงแล้วฉันจึงเริ่มจัดการอาหารตรงหน้าจนหมดเรียบร้อย พี่กียุลเขาให้ฉันกินอาหารดีกว่าที่คิดนะ

       

              “นี่ทิวา เสื้อเธอยังเปื้อนอยู่นะ” พี่เขาเอ่ยทักขึ้น

       

              “ตรงไหนคะ” ทิวาก้มลงมองที่เสื้อตนเอง ก็สะอาดดีแล้วนะ

       

              “ปกเสื้ออ่ะ” เพราะเหนียงฉันเยอะ (?) จึงทำให้ฉันไม่สามารถก้มลงมองตรงคอเสื้อได้บวกกับผ้าฉันไม่ใช่ผ้ายืดเลยดึงออกห่างไม่ได้

       

              “เฮ้อ! อ้วนเอ๊ย” กียุลถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นโน้มตัวข้ามโต๊ะหยิบกระดาษทิชชู่มาเช็ดให้รุ่นน้องหมูน้อย ทำเอาทิวาสะดุ้งตกใจถอยหลังทันที

       

              “จะขยับออกทำไม แค่นี้ก็เช็ดยากจะตายแล้ว เขยิบมาใกล้ๆ ดิ” ทิวาค่อยๆ ขยับตามคำสั่งคนเป็นพี่ทีละนิด กียุลจึงดึงคอเสื้อเด็กสาวเข้ามาโดยไม่บอกกล่าว

       

              “พี่คะ คือ...หนูว่าช่างมันเถอะ คิดตังค์เถอะนะคะ” ฝ่ามือเล็กดันอกแกร่งออกไปเล็กน้อย เนื่องจากตอนนี้เธออยู่ใกล้เขามากเกินไปซึ่งไม่ใช่เรื่องดีเลย


       ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับหัวใจเธอเลยสักนิด


              ลมหายใจของคนตรงหน้ารินรดมาที่บริเวณลำคอของเธอ ไหนจะกลิ่นน้ำหอมจากตัวพี่เขาที่ทำให้เธอแทบจะยากหยุดหายใจซะตรงนี้ ความจริงเธอไม่ชอบกลิ่นน้ำหอมนะ แต่พอเป็นกลิ่นนี้มันกลับดึงดูดไม่อยากให้เธอออกห่างเลยล่ะ ซึ่งมันไม่ดีกับความรู้สึกผู้หญิงคนนี้เลยสักนิด


       พี่ทำหนูหวั่นไหวอ่ะ รับผิดชอบเลยนะ >///<


              “เสร็จและๆ คิดเงินครับ” หลังจากเสร็จภารกิจกียุลก็ถอยหลังกลับพร้อมยกมือเรียกพนักงานคิดเงิน แน่นอนว่าไม่ใช่พนักงานคนเดิมแล้วนะ

       

              พนักงานหนุ่มเดินมาพร้อมใบเสร็จค่าอาหาร ไม่ทันที่ฉันจะหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา พี่กียุลก็วางธนบัตรห้าร้อยลงบนถาด รอสักพักก็ได้รับเงินทอน เดี๋ยวนะ นี่พี่เขาเลี้ยงฉันใช่ป่ะ พี่เขาลุกออกจากร้านอาหารไวมากจนฉันเกือบเดินตามไม่ทัน พี่คะ ช่วยเห็นใจขาสั้นๆ ของหนูหน่อย จะรีบไปไหนคะ

       

              “พี่ ช้าๆ หน่อยหนูเดินตามไม่ทัน” พี่เขาชะลอความเร็วลงให้ฉันเดินตามทัน โดยฉันเพิ่งสังเกตว่าฉันสูงอยู่ประมาณไหล่ของพี่เขาเองแหะ เตี้ยจัง -__-;;

       

              “ขาสั้นจริงๆ เลยนะเธอเนี่ย”

       

              “รู้แล้วน่า ย้ำทำไม” เดี๋ยวตบหน้าแหกเลยนี่ คิดว่าหล่อแล้วทำอะไรก็ได้งั้นเหรอ

       

              “ไปเดินเล่นกันก่อนแล้วค่อยกลับบ้านล่ะกันนะ” เด็กหนุ่มว่าแล้วก็สาวเท้าเร็วขึ้นอีกครั้ง ในความเป็นจริงแล้ว บางทีนี่อาจจะเป็นความเร็วปกติที่เขาเดินแต่ทิวาดันขาสั้นเองก็เป็นได้

       

              เมื่อมาถึงสวนสาธารณะอีกแห่งหนึ่ง กียุลก็ถือวิสาสะเอื้อมมือไปจับมือของคนข้างๆ พร้อมลดสปีดความเร็วตนเอง ให้รุ่นน้องตุ้ยนุ้ยได้เดินไปพร้อมกัน

       

              “จับมือหนูทำไมเนี่ย หนูเดินเองได้นะ”

       

              “เดี๋ยวเดินไปสะดุดล้มเป็นลมที่ไหนอีก ยิ่งอ้วนๆ อยู่ คนอื่นเห็นแล้วเขาจะแบกไม่ไหว” ทิวาย่นจมูกโมโหใส่รุ่นพี่ตัวดีที่ชอบจิกกัดกันอยู่เรื่อยๆ แต่บางครั้งก็เปลี่ยนอารมณ์ไปมาจนเธอตามแทบไม่ทัน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย บางทีก็แทนตัวว่าพี่ บางครั้งก็ฉัน ไอ้เราก็งงๆ กับพี่เขาซะเหลือเกิน

       

              “พี่ๆ หนูอยากปั่นเป็ดอ่ะ” นิ้วป้อมชี้ไปยังเรือเป็ดน้อยที่กำลังร้องเรียกให้เธอไปขี่

       

              “โห แค่เธอนั่งคนเดียวก็จมแล้ว ไปเหอะ”  ชายหนุ่มกระตุกมือให้ทิวาเดินออกจากบริเวณนั้น

       

              “พี่อ่ะ งั้น...ให้อาหารปลาก็ได้ เดี๋ยวหนูซื้อเอง” ไม่รอให้อีกคนตอบรับแต่อย่างใด เด็กสาวปล่อยมือออกจากกียุลทันที แล้วรีบวิ่งไปซื้ออาหารปลาอย่างรวดเร็ว

       

              ทิวาเดินไปใกล้ๆ กับบ่อน้ำ ก่อนจะเทอาหารปลาลงมือแล้วค่อยๆ เทลงไปในน้ำ มองดูฝูงปลาที่ขึ้นมากินอาหารบริเวณผิวน้ำ ส่งผลให้น้ำกระเด็นมาที่เสื้อของเธออีกครั้ง แต่ช่างมันเถอะ ยังไงน้ำพวกนี้มันก็ล้างออกง่ายกว่าแกงส้มแหละนะ

       

              “พี่เอามือมาดิ” ทิวาเทอาหารปลาลงบนมือหนา แล้วนั่งมองพี่เขาค่อยๆ ละเมียดเทอาหารลงบนน้ำทีละนิดๆ เธอละสายตาจากรุ่นพี่แล้วมองไปรอบๆ ที่มีแต่คู่รักหลายคู่นั่งให้อาหารปลาอยู่ริมน้ำ เหม็นความรักชะมัด

       

              “จะว่าไป...” อยู่ดีๆ พี่เขาก็เอ่ยขึ้นมาหลังจากที่เงียบไปสักพัก


       "พวกเราทำตัวเหมือนคู่รักกันเลยเนอะ"

       

              “อ่า...” ฉันนิ่งไปพักหนึ่ง เมื่ออยู่ดีๆ รุ่นพี่อารมณ์แปรปรวนก็เอ่ยโพล่งประโยคที่ไม่น่าจะออกจากปากเขาออกมา นี่พี่กียุลเขากินกะเพราจนเพี้ยนหรือเปล่าเนี่ยหรือว่าโดนพนักงานสาวคนนี้เล่นของใส่ ถ้าเป็นงั้นนี่เครียดเลยนะ พ่อหนูเป็นหมอก็จริง แต่รักษาอาการพวกนี้ไม่ได้หรอกนะ

       

              “แค่นี้ก็ไปไม่ถูกแล้วนะ เธอนี่” กียุลพูดทั้งๆ ที่ตนเองยังจ้องมองฝูงปลากำลังผุดขึ้นมากินอาหารของเขา

       

              “ยุ่งอะไรด้วยเล่า” ทิวาบ่นพึมพำเบาๆ ทำให้ชายหนุ่มไม่ได้ยินสิ่งที่เธอเอ่ย

       

              “นี่ทิวา เธอเคยมีแฟนป่ะ?”

       

              “ฮะ!?” ฉันอุทานออกมาอย่างตกใจ แต่ละประโยคที่พี่เขาพูดนี่คาดไม่ถึงเลยสักอย่าง พี่เขาใช้อะไรคิดวะเนี่ย สภาพแบบนี้น่าจะได้แต่งงานกับหมูในเล้ามากกว่า-*-

       

              “ทำไมต้องตกใจขนาดนั้น” กียุลเลิกสนใจฝูงปลาพวกนั้น ก่อนจะหันหน้ามาสนใจเด็กสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ แทน

       

              “ตกใจดิ! พี่ดูสภาพหนู ถึงแม้เมื่อก่อนจะไม่ได้อ้วนขนาดนี้ก็เถอะ แต่ว่ามันก็ไม่ได้ดูดีกว่าตอนนี้สักเท่าไรหรอก” ฉันรัวคำพูดออกไปเร็วยิ่งกว่าประกวดเดอะแร็ปเปอร์ ไม่อยากบอกตอนนี้ฉันกำลังซุ่มแต่งไรม์อยู่ เดี๋ยวกะว่าจะไป- - พอๆ ออกนอกเรื่องไปไกลและ

       

              “แล้วเคยแอบชอบใครป่ะ?” อะไรของพี่เขาวะ ให้อาหารปลาจนเพี้ยนหรือไง

       

              “ถามอย่างนี้ไปแอบชอบใครเขาที่ไหนล่ะพี่”

       

              “เปล่าสักหน่อย แค่ถามเฉยๆ” ว่าจบพี่กียุลก็กลับไปให้อาหารปลาดังเดิม

       

              “แล้วเธอคิดยังไงกับอเล็กเซล่ะ” กียุลเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งผิดปกติ อยู่ดีๆ เขาก็นึกถึงเรื่องพวกนี้ขึ้นมาซะอย่างนั้น แต่ที่งงคือความรู้สึกเขาตอนนี้แหละ

       

              “รุ่นพี่อเล็กเซน่ะเหรอคะ อืม...ก็น่ารักดีนะ ทำไมอ่อ?” เด็กหนุ่มพ่นลมหายใจออกมาอย่างไม่สบอารมณ์


       ทำไมต้องหงุดหงิดด้วยวะ กียุล

                                                                      

             “ไม่มีอะไรหรอก ช่างมันเถอะ” อยู่ดีๆ รุ่นพี่กียุลก็ลุกขึ้นเต็มความสูงพร้อมยื่นมือมาทางฉันให้ลุกขึ้นตาม ฉันแอบสบตารุ่นพี่เขาแวบหนึ่งทำแทบจะยืนแข็งทื่อด้วยความหวาดกลัว ดวงตาสีฟ้าครามตอนนี้ดูขุ่นมัวต่างจากปกติที่ดวงตาตู่นี้มักทำให้เธอเขินอยู่บ่อยๆ เอาแล้ว กะเพราทำพิษแล้วมั้งเนี่ย สงสัยคงต้องบอกพ่อให้ทำวิจัยเรื่องนี้อย่างเคร่งครัดซะแล้วสิ ไม่งั้นพี่กียุลคงไม่หน้าบึ้งเป็นตูดหมาแบบนี้หรอก มีเหตุผลอื่นอีกไหมนะ คิดสิ คิด

       

              “หรือว่า...พี่กียุลแอบชอบพี่อเล็กเซ” ฉันรีบเอามือปิดปากตัวเองอย่างรวดเร็ว แย่ล่ะสิทิวา เผลอคิดดังไปหน่อย พี่กียุลเขาหันควับมาทันทีพร้อมด้วยสายตามาคุ แม่จ๋า ช่วยด้วย หนูยังไม่อยากตายตอนนี้ TT

       

              “เมื่อกี้เธอพูดว่าอะไรนะ” คราวนี้สายตาที่มองมาเปลี่ยนเป็นแววตาคาดคั้นเอาคำตอบ

       

              “เปล่า...ไม่ได้พูดอะไรสักหน่อย” ทิวาเบี่ยงสายตาหลีกเลี่ยงสายตาที่กำลังมองจ้องมาที่เธอ

       

              “เหรอ งั้นเธอว่าผู้ชายคนนั้นโอป่ะ?” นิ้วเรียวชี้ไปที่ชายหนุ่มวัยกลางคนที่ใส่เสื้อออกกำลังกายแขนกุดเผยกล้ามแขนเป็นมัดสวยงาม ทำเอาคนแถวนี้หันไปมองเป็นตาเดียว แล้วยิ่งเวลาที่เขาเช็ดเหงื่อตามกรอบหน้าพร้อมเสยผมเล็กน้อย โอ๊ยยยยย ตายแล้ว หนูจะเป็นลม -.,- แต่เดี๋ยวก่อนนะ เมื่อกี้พี่กียุลพูดถึงพี่ชายหุ่นแซบคนนี้ อย่าบอกนะว่า...

       

                “นี่พี่เป็น- - โอ๊ย” กียุลตบกบาลรุ่นน้องตัวดีไปหนึ่งที คิดได้ไงว่าเขาจะชอบเพศเดียวกัน โดยเฉพาะผู้ชายแบบนั้นยิ่งแล้วใหญ่ แต่อเล็กเซก็ไม่เลวนะ (//เดี๋ยวนะกียุล)

       

                “อย่าแม้แต่จะคิดว่าฉันเป็นแบบนั้นเด็ดขาด เข้าใจไหม”

       

                “เข้าใจแล้วค่า พูดแค่นี้เอง ทำไมต้องโกรธด้วย” รุ่นพี่คนนี้นี่ แซวนิดแซวหน่อยไม่ได้เลยนะ หน้าตาดีซะเปล่า แต่นิสัยโคตรแย่เลยชาตินี้ไม่แฟนหรอก เชื่อฉันสิ

       

              รุ่นพี่กียุลเมินคำถามของรุ่นน้องตัวดี เขากระชับมือเล็กให้เร่งเดินตามตนเองพลางมองนาฬิกาที่ใส่บอกเวลาควรพาเจ้าตัวอ้วน (?)   กลับบ้านเข้าสู่อ้อมอกพ่อแม่ ตอนนี้สมองเขากำลังข่มอารมณ์หงุดหงิดทั้งเรื่องอเล็กเซและเรื่องถูกตีหน้าว่าเป็นเกย์จากน้องทิวาคนนี้ จะว่าไป...พรุ่งนี้จะเทรนอะไรน้องเขาดีนะ ขืนให้วิ่งทุกวันน่าเบื่อตายเลย จับไปเต้นซุมบ้าดีไหมนะ หรือแอโรบิคดี? อืม...แต่ว่าเขาอยากเต้นบีบอยอ่ะ จริงสิ วันประกวดต้องมีแสดงความสามารถด้วยนี่นา ทิวามันมีความสามารถอะไรบ้างนะ

       

              “ทิวาๆ” ผมกระตุกมือเธอเบาๆ

       

              “คะ?” ทิวามองกลับมาพร้อมกะพริบตาปริบอย่างสงสัย

       

              “คิดไว้หรือยังว่าจะแสดงความสามารถอะไร” ว่าแล้วน้องเขาก็ขมวดคิ้ว อย่าบอกนะ ว่านี่ไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับการประกวดเลย เออ แต่จะโมโหทำไมวะ เพราะเราเป็นคนต้องบอกเธอเองนี่หว่า สติกียุล สติ

       

              “ความสามารถอะไรคะ หนูแข่งกินจุได้นะ”

       

              “เอาที่มันสร้างสรรค์กว่านี้หน่อยได้ไหม แบบร้องเพลง เต้นอะไรพวกนั้นน่ะ” จะแข่งกินจุแล้วเราจะไปเอาอาหารที่ไหนให้เธอแข่งล่ะวะ เอาจริงมันก็ดูแปลกดีนะ แต่มันต้องเสียงบส่วนตัวของผมนี่สิ ไม่เอาด้วยนะ

       

              “ไม่เห็นจะสร้างสรรค์ตรงไหนเลย เต้นยังพอว่า แต่ร้องเพลงนี่ทุกงานอ่ะ” น่าเบื่อจะตาย งานโรงเรียนก็ร้อง คืนสู่เหย้าก็ร้อง อกหักก็ร้อง มีความสุขก็ร้อง ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ แต่ฉันก็ชอบนักร้องนะ >///<

       

              “ใช่ไหม เต้นเนาะ *0*” งงกับพี่เขาจริงๆ เลย เดี๋ยวก็หงุดหงิด เดี๋ยวก็ใจดี คราวนี้ยังจะมาทำหน้าดีใจเกินเบอร์อีก

       

              “อ่า...เต้นค่ะ เต้น” เหมือนพี่เขาดูจะอยากเต้นเกินเหตุ คือหนูไม่ได้ชอบเต้นนะ แต่พอพี่เขาทำหน้าอย่างนี้หนูก็ปฎิเสธไม่ลงอ่ะ


       น่ารักอย่างกับเด็กแน่ะ

       

              “งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะพาเธอไปฝึกเต้นพื้นฐานนะ” ตกหลุมพรางฉันแล้วสิทิวา ฉันจะจับเธอไปซ้อมเต้นบีบอยให้ร่างหลุดไปเลย

       

              ความจริงที่กียุลอยากเต้นบีบอย เนื่องมาจากสาเหตุเมื่อครั้งเขาประกวดดาวเดือนตอนปีที่ผ่านมา เขาอุตส่าห์เตรียมแสดงความสามารถเต้นโคฟเวอร์เพลงบอยแบนด์ปิดท้ายด้วยการเต้นบีบอย แต่โชคไม่เข้าข้างสักเท่าไร เพราะดันเกิดอุบัติเหตุระหว่างซ้อมทำให้ข้อเท้าพลิกก่อนการแสดงหนึ่งสัปดาห์ จึงต้องเปลี่ยนไปเป็นการร้องเพลงอย่างกะทันหัน ดีนะ ที่ปีนั้นเขาได้ที่หนึ่ง ไม่งั้นคงต้องกลับบ้านมานอนร้องไห้ขี้มูกโป่งแน่ๆ

       

              “อีอๆ อยากทำไรทำเหอะ หนูขัดพี่ไม่ได้อยู่แล้วนี่” ประโยคหลังทิวาพูดเบาลงจนกียุลจับใจความไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร เจ้าตัวฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีก่อนจะหยุดลงเมื่อได้ยินเสียงตะโกนที่คุ้นเคยดังขึ้น


       "ฮันนี่!?"

       

      ทั้งคู่หันไปมองตามเสียงที่ดังมาจากด้านหลัง ปรากฏภาพหญิงสาวใบหน้าแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอาง ลิปสติกสีแดงสดบ่งบอกถึงความมั่นใจไม่เพียงแค่ริมฝีปากเท่านั้นที่เป็นสีแดง ทั้งเรือนผมยาวรวมถึงเสื้อครอปแขนกุดสีแดง บอกได้เลยว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน


       แถมยังเรียกพี่กียุลว่าฮันนี่อีกต่างหาก ไม่ธรรมดาจริงๆ

       

              กียุลกระตุกข้อมือเด็กผู้หญิงคนข้างๆ ให้รีบเดินออกจากบริเวณนี้ จะบอกยังไงดีนะ สถาะระหว่างเขากับผู้หญิงคนนั้นน่ะ ไม่ต่างอะไรกับคนแปลกหน้าหรอก ไม่ใช่คนแปลกหน้าสิ


      คนเหม็นขี้หน้ามากกว่า 

       

            “ฮันนี่หยุดเดินเดี๋ยวนี้นะ!!” เสียงแผดของเธอส่งผลให้คนบริเวณนั้นหันมามองเป็นตาเดียว แต่ก็ไม่ได้เรียกความสนใจจากชายหนุ่มที่เธอต้องการได้ เมื่อเห็นดังนั้นเจ้าตัวจึงจัดการถอดรองเท้าส้นสูงปรี้ดของตนเองออกแล้วขว้างตรงไปที่หลังกียุลอย่างแรง

       

            คิม กียุลหันกลับไปมองเจ้าของรองเท้าที่ปามา ถ้าไม่ติดว่าเป็นผู้หญิงล่ะก็เขาคงจะโยนกลับไปแล้ว หญิงสาวปริศนาสาวเท้ามาอย่างว่องไวพริบตาเดียวเท่านั้น เธอก็ยืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว

       

      คิม มุนอา

       

            น้องสาวข้างบ้านที่เคยแอบชอบเขาตอนเด็กๆ ไม่ผิดหรอกแค่ เคย  เท่านั้นแหละ ด้วยความที่เคยแอบชอบตอนเด็กๆ เลยเล่นพ่อแม่ลูก จึงสวมบทบาทเป็นพ่อแล้วให้น้องเขาเป็นแม่  แต่พอขึ้นมัธยมน้องเขาก็บินไปเรียนที่อเมริกาจนจบไฮสคูลที่นั้น หลังจากเรียนจบมุนอาก็กลับมาพร้อมลุคใหม่ที่เห็นอยู่ตอนนี้กับหนุ่มหล่ออีกเป็นขบวน ใช่เป็นขบวน!! แล้วยังน้องตัวแสบคนนี้ก็หลอกชาวบ้านไปทั่วว่าผมเป็นแฟนเธอ ทั้งที่ความจริงผมเลิกชอบเธอตั้งนานแล้วบวกกับคืนหนึ่งที่ได้ยินเสียงครวญครางมาจากบ้านข้างๆ มันยิ่งทำให้ผมไม่ชอบเธอเข้าไปใหญ่ ไหนจะมาตามตื๊อให้ผมเป็นแฟนเธออีก แต่คนที่ซวยมันคือผมไง ตอนนั้นผมต้องโดนทำรุมทำร้ายอยู่หลายครั้ง โชคดีที่ไม่ได้นักหนาสาหัสอะไรเลยอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้


       แต่มันก็ทำให้จิตใจผมสาหัสอยู่เหมือนกันนะ

       

            “เลิกเรียกอย่างนั้นสักที จะเอาอะไรกับพี่นักหนาห้ะ!!” ผมพูดเสียงดุเผื่อคนตรงหน้าจะหวาดกลัวบ้าง แต่ไม่เลย...เธอยิ้มเยาะเย้ยกลับมาด้วยซ้ำ บอกแล้วผู้หญิงคนนี้มันน่ารำคาญ

       

            “จะเอาพี่เป็นแฟน”

       

            “น่ารำคาญ....” ผมตอบกลับไปด้วยใบหน้าเอือมระอา ผมสะกิดทิวาให้รีบเดินออกจากที่ตรงนี้ เพราะความอดทนของผมก็เริ่มจะเหลือน้อยลงเต็มทน

       

            “ถ้าพี่เดินหนีฉัน ฉันจะบอกคุณน้าว่าพี่แอบมีอะไรกับฉัน” หน้าไม่อายแหะเด็กนี่ กล้าพูดเรื่องแบบนี้ต่อหน้าผู้คนพลุกพล่านได้ยังไงกันนะ หน้าด้านเกินไปแล้วมั้ง

       

            “บอกสิ” มุนอาหน้าเหวอเล็กน้อยเมื่อผมพูดอย่างนั้น

       

            “คิดว่าแม่ฉันจะโง่เหมือนในละครหรือไง” แน่นอนว่าแม่ผมรู้นิสัยใจคอของเธอดีตั้งแต่กลับมาจากอเมริกาก็ไม่มีวันไหนเลยที่บ้านผมจะนอนอย่างสงบสุข ถ้าถามว่าทำไมพ่อแม่ของเธอถึงไม่ว่าน่ะเหรอ? เพราะคุณลุงคุณน้ายังทำงานอยู่ที่อเมริกาน่ะสิ แต่ส่งมุนอากลับมาเรียนมหาวิทยาลัยที่เมืองไทย เพราะอยากให้เธอได้เจอเพื่อนใหม่ๆ สงสารคุณลุงคุณน้าที่ส่งเธอมาเรียน แต่เธอดันมาเดินตามผู้ชายต้อยๆ ทุกวันแทน

       

            ผมรีบคว้าข้อมือทิวาให้รีบเดินออกอย่างรวดเร็วอาศัยช่วงเวลาที่ยัยนั่นเผลอเนี่ยแหละดีแล้ว ไม่งั้นก็คงตามรังควานไม่เลิก ดีที่ช่วงนี้นอนหอทำให้ไม่ต้องเจอกัน แต่ดันมาบังเอิญเจอเสียได้ เวรกรรมอะไรของผมครับเนี่ย

       

            “พี่กียุลๆ” คนตัวเล็กกระตุกมือผมจึงทำให้ผมเดินช้าลง

       

            “อะไร?”

       

            “ผู้หญิงคนนั้นใครอ่อ?” จะถามหายัยนั่นทำไมกัน น่าเบื่อชะมัด

       

            “ผู้หญิงน่ารำคาญคนหนึ่งน่ะ ห้ามพูดถึงยัยนั่นให้ได้ยินอีกเข้าใจไหม?” กียุลเอ่ยเสียงแข็งแสดงถึงอารมณ์ขุ่นมัวอย่างเห็นได้ชัด

       

      “กะ...กะ...ก็ได้” ฉันพูดติดอ่างเมื่อพี่กียุลตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงแบบนั้น ไม่เข้าใจเลยว่าผู้หญิงคนนั้นกล้ายิ้มเยาะหลังจากที่รุ่นพี่พูดอย่างนั้นได้ยังไง

       

      เป็นฉันคงช็อกตายไปแล้วTT

       

      “ทิวา...”

       

      “คะ?”

       

      “ถ้าเห็นยัยนั่นต้องรีบหนีทันทีเลยเข้าใจไหม หรือถ้าถูกยัยนั่นทำร้ายรีบบอกพี่เลยนะ” แทนตัวเองว่าพี่อีกแล้ว -///-

       

      “แล้ว...หนูจะบอกพี่ยังไงอ่ะ” เบอร์ก็ไม่มี ไลน์ก็ไม่มี จะให้โทรจิตหากันหรือไง พี่กียุลเงียบไปแป๊บหนึ่งพร้อมทำท่าใช้ความคิด

       

      “จะว่าไปยังไม่มีเบอร์กันเลยนี่นา” พี่กียุลเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แปลกไป จะว่ายังไงดีล่ะ เหมือนขี้เล่นขึ้นละมั้ง

       

      “งั้น....” ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองคนตัวสูง ก่อนที่พี่กียุลจะย่อตัวลงมาให้ระดับใบหน้าอยู่ระดับเดียวกัน


       "พี่ขอเบอร์หน่อยได้ไหมครับ"

       

      0///0

       

      แงงงงง อย่ามาทำเสียงแบบนี้สิ อย่ามาทำหน้าน่ารักอย่างนี้ด้วย! ถ้าสมมติหนูไม่ให้นี่หนูจะกลายเป็นคนผิดทันทีเลยสิ ไม่ได้สิทิวา เธอต้องอย่าใจอ่อน เล่นตัวหน่อยดิ ให้พี่เขารู้ว่าเบอร์เราเป็นสิ่งล้ำค่า (?) แทบไม่มีใครรู้เบอร์โทรฉันเลยนะ ไม่ใช่อะไรหรอก เพราะฉันก็จำเบอร์ตัวเองไม่ค่อยได้เหมือนกัน 55555

       

      “แล้ว....ถ้าไม่ให้ได้ไหมอ่ะคะ?” ดูกวนตีนพี่เขาเปล่าวะ ไม่หรอกมั้ง พี่กียุลนิ่งไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะเขยิบใบหน้าเข้ามาใกล้ฉันมากขึ้น

       

      “จริงเหรอ...”

       

      “จะไม่ให้พี่จริงๆ เหรอครับ?” เขามองจ้องเข้ามาในดวงตาสีทับทิมพร้อมกับยกยิ้มเล็กน้อยทำเอาใจฉันกระตุกวูบ ฉันรู้สึกได้เลยว่าอุณหภูมิรอบตัวเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะตรงหน้าฉันนี่แหละ ไม่ทิวา ข่มใจตัวเองเข้าไว้ เราจะไม่ใจอ่อนให้พี่เขา หยุดหน้าแดงได้แล้ว ไอ้หัวใจนี่ด้วยหยุดเต้นแรงได้แล้ว


       เต้นแรงซะกลัวคนตรงหน้าจะได้ยิน

       

      “คะ..คะ..คิดว่าทำอย่างนี้แล้วหนูจะให้เหรอ” เสียงอ่ะ อย่าสั่นสิโว้ย

       

      “แล้วได้ไหมอ่ะครับ” กียุลยังไม่ยอมแพ้ เมื่อเห็นแก้มสีอมชมพูที่ตอนนี้ขึ้นสีแดงอย่างเห็นได้ชัด มันกระตุ้มต้อมขี้แกล้งของเขาขึ้นมาอย่างหยุดไม่อยู่

       

      อ่า....เด็กนี่ใจแข็งกว่าที่คิดแหะ ปกติถ้าเป็นคนอื่นนะ แค่พูดว่าขอเบอร์หน่อยก็ให้แล้ว นี่อะไรเนี่ย พูดขนาดนี้ยังทำเก่งไม่ยอมบอกเบอร์อีกเหรอ เอาจริง ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นเขาไม่ตื๊อขนาดนี้หรอก


      เก่งจริงๆ เลยนะ ทิวา พุดพิชญา 

       

      ผมเขยิบเข้าไปใกล้ๆ ใบหูของคนตัว (ไม่) เล็ก ก่อนจะพูดประโยคหนึ่งออกมา

       

      “ถ้ายอมบอกเบอร์พี่จะพากินชาบูนะ”

       

      “เลี้ยงไม่อั้นเลยด้วย :)

       

      สิ้นเสียงประโยคนั้น ฉันตาลุกวาวขึ้นมาทันที มือป้อมหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาจากกระเป๋ากางเกงอย่างรวดเร็ว

       

      “เอาจริงๆ หนูจำเบอร์ตัวเองไม่ได้อ่ะ งั้นพี่บอกเบอร์มาแล้วเดี๋ยวหนูโทรเข้าเครื่องพี่เองนะ” อ่าว งั้นแสดงว่าที่ผ่านมาหลอกให้ผมอ้อนมาตั้งนานนี่คือตัวเองจำเบอร์ไม่ได้

       

      “ร้ายนักนะเรา” กียุลหัวเราะเล็กน้อยก่อนหยิบสมาร์ทโฟนของทิวาขึ้นมาพิมพ์เบอร์ตัวเองแล้วกดโทรออก ยิงเข้าเครื่องตัวเอง

       

      “แล้วพี่จะพาหนูไปกินชาบูเมื่อไรอ่ะ?” ฉันเอ่ยถามหลังจากที่พี่เขายื่นโทรศัพท์กลับมาให้ฉัน

       

      “หลังจากประกวดดาวเสร็จ^^

       

      “หา!?” ไอ้พี่กียุล หรอกเรานี่หว่า

       

      “ฉันไม่ได้บอกสักหน่อยว่าจะเลี้ยงตอนไหนหนิ จริงไหม” เป็นไงล่ะ ข้อหาที่ทำให้ฉันต้องเสียเวลาขอเบอร์เธอมาตั้งนาน หน้าเป็นหมาหงอยเลย 555555

       

      ป้าบ!!

       

      ด้วยความหมันไส้ฉันเลยตีเข้าไปที่หลังพี่กียุลเข้าอย่างแรง เล่นกับใครไม่เล่น มาเล่นกับทิวาก็ต้องโดนอย่างนี้แหละ นี่ยังดีนะ ถ้าเป็นฉันใช้วิชากังฟูหมูน้อย (?) ไปแล้ว ฉันรีบสาวเท้าเดินอย่างเร็วที่สุดในชีวิตก่อนที่พี่กียุลเขาจะไหวตัวทัน ก็น่าจะเจ็บอยู่หรอก เพราะมือฉันนี่แชมป์มวยไทยระดับจังหวัดมาแล้วนะ จะบอกให้ ฉันที่รีบเดินไม่สนใจรอบข้างอยู่ดีๆ ก็นึกหันกลับไปมองด้านหลังอยู่แว้บหนึ่ง

       

      พี่กียุลจะไหวไหมนะ?

       

      ไม่ๆ ทิวา เธอจะไปเป็นห่วงพี่เขาไม่ได้นะ ก็พี่เขาแกล้งเราก็ต้องโดนอย่างนี้แหละ ถูกต้องแล้ว พอมองกลับไปก็ไม่เห็นพี่เขาแล้ว เพราะฉันเดินมาไกลอยู่พอสมควร รอดแล้วมั้ง ไม่ใช่คืนนี้เขามาโผล่ในฝันเป็นผีมาหาฉันนะ หนูกลัวแล้ว แงงงงงง

       

      ปั๊ก!

       

      เพราะมัวแต่เดินคิดเรื่อยเปื่อย จึงทำให้ทิวาเดินชนกับใครบางคนเข้าอย่างจัง

       

      “ขอโทษค่ะ” ฉันเด้งตัวออกแล้วโค้งตัวขอโทษทันที

       

      “ไม่เป็นไรๆ เอ๊ะ!” คนตรงหน้าอุทานขึ้นจึงทำให้ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองตาม

       

      “น้องทิวานี่นา” ผู้ชายอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ คนที่ถูกชนพูดขึ้น


       ไอ้พี่สองคนนั้นที่เคยแกล้งฉันให้ไปเจอพี่กียุลนี่!!

       

      “ทำไมมาเดินคนเดียวอ่ะ ไม่อยู่กับกียุลเหรอ” พี่คนผมสีบลอนด์พูดขึ้น ไม่ๆ ฉันไม่อยากได้ยินชื่อพี่กียุลตอนนี้

       

      “พอดีหนูกำลังรีบน่ะค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ” ฉันรีบตัดบทเดินผ่านพี่สองคนนั้น ด้วยสัญชาตญาณบางอย่างมันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนมีอะไรอันตรายกำลังเข้ามาหาฉัน


       "มาให้ฉันลงโทษซะ ยัยตัวดี!!"


      หมับ!!

       

      ชิบหายและ

       

      ลาก่อนนะ เจ้าเพื่อนรักบิงซูและหมูกรอบ TT

       

      ฉันถูกรุ่นพี่สุดแสนหน้าตาหล่อเหลา (//กัดฟัน) ลากอย่างรุนแรงราวกับฉันหนักแค่สามสิบกว่าโลมายังลานกว้างส่วนหนึ่งของสวนสาธารณะที่เราอยู่ ทิวากวาดสายตาพิจารณามองไปรอบๆ บริเวณนี้แทบไม่มีใครเลยนอกจากเจ้าตูบสามสี่ตัวแกว่งหางดุ๊กดิ๊กไปมา

       

      ไม่ทันที่ฉันจะได้เอ่ยปากว่าอะไรกับพี่กียุล เขาก็จับร่างตุ้ยนุ้ยนอนลงบนพื้นหญ้าพร้อมกับเจ้าตูบทั้งหลายรีบวิ่งมาจ้องมองที่ฉันราวกับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ (?) อย่างหนึ่ง พี่กียุลเลื่อนมือมาจับบริเวณข้อเท้าของฉัน ทุกคนคงเดาได้ใช่ไหมคะ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้

       

      “ซิทอัพ”

       

      นั่นไง ฉันว่าและ

       

      คิดสภาพผู้หญิงตัวอวบน่ารัก (?) มีพุงกะทิเล็กน้อยพยายามลุก-นั่งเหมือนตอนทดสอบสมรรถภาพก่อนเริ่มคาบพละสิคะ นั่นแหละ กว่าจะลุกขึ้นได้ทีหนึ่งนี่เหนื่อยอย่างกับเอาของหนักๆ มาทับบนตัว ฉันพยายามยกร่างแตะเข่าอย่างยากลำบาก รู้สึกได้เลยว่าท้องของฉันเบิร์นมากๆๆๆๆ ปวดท้องสุดๆ ไปเลย

       

      “เร็วกว่านี้” นี่ก็ดุจังโว้ยยยย

       

                ทิวาพยายามเร่งสปีดตัวเองมากขึ้น เพื่อประชดคนตรงหน้าที่มองมาด้วยสายตามาคุไม่หยุดไม่หย่อน ชิ! ตีแค่เบาๆ ทำเป็นสำออย อะไรมันจะเจ็บขนาดนั้น เป็นผู้ชายซะเปล่าไม่ได้เรื่องเลย ต่อให้หน้าตาดีขนาดไหน แต่ไอ้นิสัยแบบนี้ บอกเลยชาตินี้ก็หาแฟนไม่ได้หรอกเว้ย ทิวาคนนี้ฟันธง

       

                “เหนื่อยแล้วอ่ะ” ตอนนี้สภาพฉันไม่ต่างอะไรจากลูกหมูตกน้ำ เหงื่อนี่เต็มไปหมดจนฉันรู้สึกเหนียวตัวเหนอะหนะ ปล่อยหนูไปได้แล้ว อยากกลับบ้านนนนนน

       

                “ฟังนะ เดี๋ยวฉันจะจับเวลาสามสิบวิ ถ้าเธอซิทอัพไม่ได้ถึงยี่สิบสี่ครั้งก็ห้ามกลับบ้าน”

       

                ไอ้รุ่นพี่บ้า ปกติฉันทดสอบที่โรงเรียนได้แค่สิบครั้งนี้ก็บุญแล้วนะเว้ย ยี่สิบสี่ครั้งนี่ไม่ตายเลยเหรอ เห็นใจพุงหนูบ้าง เลี้ยงมาเป็นสิบกว่าปีจะมาถูกพี่พรากไปแบบนี้ไม่ได้นะ หนูไม่ยอม >^<

       

                “สิบครั้งได้ไหมอ่ะคะ”

       

                “ก็แย่และ ไปเริ่มได้!!” ห้ะ! อยู่ดีก็เริ่มแบบไม่บอกไม่กล่าว ไอ้พี่นี่หนิ เป็นใครถึงมาสั่งหนูห้ะ พ่อก็ไม่ใช่ เมียก็ไม่ใช่ (?) คอยดูเถอะ ถ้าฉันทำได้นะ จะจับถ่วงน้ำเลยนี่

       

                แต่ก็นั่นแหละนะ อย่างที่บอกไปว่าปกติฉันทำได้สิบครั้งก็บุญแล้ว แถมไอ้พี่บ้านี่อยู่ดีๆ ก็จับเวลาใครมันจะไปทำถึงยี่สิบสี่ครั้งกันล่ะห้ะ หนูเหมือนคนออกกำลังกายเยอะมากหรือไงห้ะ

       

                “เอาใหม่” กียุลยังคงคอนเซปต์หน้าดุไว้เหมือนเดิม ทั้งที่ในใจของเขาอยากจะหัวเราะออกมาแทบบ้า เพราะสารรูปของรุ่นน้องตอนนี้นี่ดูไม่ได้เลย

       

                เขาเริ่มจับเวลาใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีส้มปนชมพูเล็กน้อย เด็กสาวก็ยังคงซิทอัพอยู่เหมือนเดิมไม่มีเวลาพักแม้แต่วิเดียว หน้าของทิวาเริ่มแดงก่ำจนในที่สุด กียุลก็ยกมือออกจากข้อเท้าของเธอ แล้วปล่อยให้เจ้าตัวนอนหอบเป็นหมูขาดสารอาหารไป รุ่นพี่ละสายตาจากคนตรงหน้าไปเล่นกับน้องหมาสามสี่ตัวที่เขาคุ่นเคยไปอย่างดี

       

                กียุลลูบหัวแต่ละตัวด้วยความความเอ็นดู น่าเสียดายที่วันนี้เขาลืมซื้อหมูปิ้งมาฝากเจ้าพวกนี้ แต่พอเห็นพวกมันมีแรงเล่นกับเขาขนาดนี้ก็อดห่วงแล้วล่ะ ทิวาที่นอนพักเหนื่อยอยู่ก็แอบลอบมองรุ่นพี่ตัวดีอยู่เป็นระยะๆ

       

                พอเล่นกับหมานี่ยิ้มไม่หยุดเลยนะ ที่เมื่อกี้ทำอย่างกับหนูไปแย่งขนมพี่กินอย่างไรอย่างนั้นแหนะ -*- ดวงตาสีทับทิมจดจ่อไปที่เด็กหนุ่มด้วยความรู้สึกหนึ่งที่ผุดขึ้นมาใหม่


       เอ็นดูล่ะมั้งนะ

       

                เอาจริงๆ พอพี่กียุลไม่ทำตัวโหดๆ ก็ดูเป็นผู้เป็นคนกับเขาเหมือนกับแหะ แต่ก็นั่นแหละ ถึงเขาจะดูดี แต่ดูท่าแล้วคงเป็นมิตรเฉพาะกับหมา กับคนคงจะทำหน้าดุไปทั่วล่ะมั้ง ทิวายังยืนยันเขาเดียวว่าอย่างนี้ไม่มีแฟนแน่นอน

       

      แผล็บ!?

       

      อยู่ดีไม่ว่าดี เจ้าตูบตัวหนึ่งก็มาลูบหน้าฉันเฉยเลย แถมยังยิ้มให้ด้วยอีกต่างหาก แงงงง น้องน่ารักมากเลยอ่ะ ฉันจึงเผลอยกเจ้าตัวน้อยมานั่งบนตัวฉันพร้อมลูบหัวให้มันเล็กน้อย มันจึงตอบแทนด้วยการลูบหน้าฉันอีกรอบ

       

      “ทิวากลับบ้านได้แล้ว” ทำไมชอบขัดขวางเวลาความสุขจังวะ

       

      “ขอเล่นกับน้องอีกแป๊บนึงนะคะ” ฉันไม่สนใจคำพูดของพี่กียุลแล้วเล่นกับน้องหมาต่อ

       

      “กลับได้แล้วทิวา” กียุลเริ่มเอ่ยเสียงแข็งเพราะตอนนี้ท้องฟ้าได้เปลี่ยนไปสีมืดสนิทแล้ว ถ้าขืนอยู่นานกว่านี้แถวนี้คงเปลี่ยวมากแน่ๆ ง่ายๆ คือเขาก็แอบเป็นห่วงรุ่นน้องคนนี้นั่นแหละ แต่ดูแล้วเด็กนี้คงไม่เข้าใจแน่ๆ อีกอย่างพรุ่งนี้เป็นวันเกิดของแม่เขา เขาต้องรีบเตรียมแผนหนีกับผู้หญิงที่แม่ของเขาเตรียมมาเป็นขบวนเพื่อให้ลูกชายคนนี้ดูใจ

       

      “กลับก็ได้” ฉันลุกขึ้นพร้อมยกน้องหมาออกจากตัว

       

      แหมะ!

       

      หยดน้ำฝนเม็ดใหญ่ตกลงมาบนหัวของฉัน ทำให้เงยหน้ามองท้องฟ้าทันที พวกเราทั้งคู่รีบสาวเท้าออกจากสวนสาธารณะเพื่อไปยังสถานีรถไฟฟ้า ไม่ทันที่จะถึงจุดมุ่งหมายฝนก็ตกลงมาหนักขึ้น

       

      ฟึบ!

       

      กียุลถอดเสื้อคลุมตนเองออกก่อนจะนำไปคลุมหัวให้คนตัวเล็ก แล้วรีบเร่งความเร็วมากยิ่งขึ้น สักพักหนึ่งก็ถึงสถานี

       

      “ขอบคุณนะคะ” ทิวาคืนเสื้อคลุมให้กียุลพร้อมมองคนตรงหน้าอย่างรู้สึกผิด ตอนนี้พี่กียุลเปียกโชกไปทั้งตัวจนฉันเริ่มไปห่วงว่าพี่เขาจะเป็นหวัดหรือเปล่า พี่กียุลรับเสื้อคลุมคืนแล้วหันหน้าไปทางอื่นพร้อมกับยกโทรศัพท์ขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง ส่วนฉันก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูอะไรเรื่อยเปื่อยจนถึงสถานีบ้านตนเอง

       

      พวกเราเดินมาทั้งคู่โดยไร้ซึ่งบทสนทนาใดๆ จนกระทั่งถึงหน้าบ้านของฉัน พี่เขากวักมือให้ฉันรีบเข้าบ้านก่อนจะหันหลังไปขึ้นมอเตอร์ไซด์ที่จอดเอาไว้หน้าบ้าน

       

      “พี่กียุลเข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้าในบ้านหนูก่อนก็ได้นะคะ” ฉันรีบพูดก่อนที่พี่เขาจะสตาร์ทเครื่องยนต์

       

      “ไม่เป็นไรๆ เธอรีบเข้าบ้านไปได้แล้ว” กียุลพูดอย่างไม่ใส่พร้อมกับสวมหมวกกันน็อค

       

      “แต่พี่ตัวเปียกมากเลยนะคะ ถ้าไม่รีบเปลี่ยนเสื้อจะป่วยเอานะ” ทิวาสาวเท้าไปหากียุลแล้วเอื้อมมือถอดหมวกกันน็อคออกจากหัวเขา

       

      “ฉันไม่เป็นไรหรอกน่า”

       

      “ไม่ได้! ลงมานี่เลยนะคะ ไปเปลี่ยนเสื้อ” ฉันฉุดพี่เขาลงมาจากรถ แล้วลากเข้าบ้านทันที เวลานี้น่ะพ่อกับแม่ยังไม่กลับบ้านหรอก เพราะคลีนิกก็ตั้งอยู่จากตรงที่ฝนตกไม่ไกล ดังนั้นฉันจึงพอเดาได้ว่าคลีนิกพ่อฉันก็คงฝนตกเหมือนกัน พ่อกับแม่ต้องรอให้ฝนซาก่อนถึงจะกลับบ้านได้ ซึ่งจากที่คาดคะเนแล้วคงประมาณอีกชั่วโมงหนึ่งได้

       

      ฉันผลักพี่เขานั่งลงบนโซฟา ก่อนจะรีบวิ่งไปหาเสื้อผ้าและผ้าเช็ดตัวมาให้พี่กียุล

       

      “นี่ค่ะ” เขาพยักหน้าเป็นการขอบคุณ แล้วถอดเสื้อผ้าออกต่อหน้าต่อตาฉัน

       

      “เฮ้ยพี่!” พี่กียุลชะงักเล็กน้อยแล้วหันมามองที่ฉัน

       

      “ไปเปลี่ยนในห้องน้ำดิ เปลี่ยนไรตรงนี้”

       

      “ขี้เกียจอ่ะ เธอก็หันหลังไปซิ” ไอ้นี่หนิ ทิวาหันหลังขวับไม่นานนักพี่กียุลก็เปลี่ยนชุดเสร็จพร้อมกับใช้ผ้าเช็ดตัวเช็ดผมตนเอง

       

      “พี่มา เดี๋ยวหนูเช็ดผมให้” ฉันรีบคว้าผ้าเช็ดตัวออกก่อนที่พี่เขาจะพูดอะไร

       

      “ทิวา”

       

      “คะ?” อยู่ดีๆ พี่เขาก็เรียกชื่อฉันขึ้น


       "นอกจากแม่ฉันแล้ว คนที่เช็ดผมให้ฉันคนแรกคือเธอเลยนะ"


      มือทั้งสองข้างของทิวาหยุดเช็ดผมให้คนตรงหน้า พร้อมกับความคิดหนึ่งที่ผุดมาจากหัว

       

      ทำไมอารมณ์แปรปรวนจังวะ

       

      ก็มันจริงไหมล่ะ เมื่อกี้ยังพูดติดตลก ตอนนี้พูดแบบ เข้าเรียกว่าไรนะ พูดเหมือนเพ้อๆ เสียงก็ดูอ่อนโยนลง พี่กียุลมีเมนส์ป่ะเนี่ย หลังจากสิ้นคำพูดของกียุล บรรยากาศในห้องก็เงียบสงบ ไม่มีเสียงทั้งสองพูดคุยอะไรทั้งนั้น มีเพียงเสียงผ้าขนหนูเสียดสีกับผมสีน้ำตาลของชายหนุ่มเท่านั้น

       

      “แค่ก แค่ก”

       

      “แค่ก แค่ก แค่ก” เสียงไอของกียุลดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ทิวาต้องรีบวิ่งไปหยิบน้ำมาให้คนเป็นรุ่นพี่ดื่ม

       

                พี่กียุลรับขวดน้ำจากฉันไปพร้อมพยักหน้าขอบคุณเล็กน้อย ระหว่างที่พี่เขาดื่มน้ำฉันก็สังเกตเห็นว่าหน้าพี่กียุลตอนนี้แดงขึ้นเรื่อยๆ จมูกของพี่เขาก็แดงก่ำ ทำให้ฉันรู้ทันทีว่าพี่กียุลคงเป็นหวัดเข้าแล้วล่ะ

       

                “พี่กียุล หนูว่าพี่โดนหวัดกินเข้าแล้วล่ะ เดี๋ยวหนูไปหยิบยา เตรียมผ้าขนหนูกับกะละมังมาเช็ดตัวให้นะ” ในขณะที่ทิวากำลังจะเดินไปหยิบนั้น เจ้าตัวก็มิวายหันกลับมาพูดคำพูดดักไว้ก่อน

       

                “ห้ามหนีกลับบ้านก่อนเด็ดขาดนะ!!” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทำเอาคนเป้นรุ่นพี่ถึงกับสะดุ้งตกใจเล็กน้อย เพราะจริงๆ เจ้าตัวก็อยากจะรีบกลับจะแย่แล้ว เขาไม่อยากให้รุ่นน้องเห็นว่าเวลาป่วยเขาเป็นยังไง

       

                อยากรู้เหรอว่าเวลาป่วยผมเป็นยังไง?

       

                อืม....เป็นยังไงน่ะเหรอ

       

                ไม่บอกหรอกนะ :)

       

                แต่ถึงไม่บอกไรท์ก็จะเขียนให้รีดเดอร์รู้จนได้สินะ -__-;;

       

                “มาแล้วๆ แต่ว่าผมพี่ยังไม่แห้งดีเลย หนูก็เลยหยิบไดรฟ์เป่าผมมาด้วย ถ้าจะให้นอนทั้งๆ ที่ผมเปียกก็คงจะแย่ลงกว่าเดิมเนาะ” ทิวาเสียบปลั๊กเปิดไดรฟ์เป่าผมลมเย็นสุดเพราะดูจากผมของกียุลแล้วค่อนข้างบาง ถ้าใช้ลมร้อนอาจจะผมเสียได้

       

                ผมพี่กียุลหอมจังแหะ -///-

       

                นี่ขนาดว่าโดนฝนตกใส่แล้วผมยังหอมขนาดนี้ได้ยังไงนะ ทั้งหอม ทั้งนุ่มอีกต่างหาก คนเรามันจะเพอร์เฟ็คยันผมเลยอ่อ น่าอิจฉาจริงๆ -3-

       

                ทิวาเผลอตัวก้มลงไปดมกลิ่นผมของกียุลอย่างไม่รู้ตัว แต่คนถูกดมอย่างกียุลรู้สึกได้ทันที ทำเอาหน้าที่แดงเพราะพิษไข้อยู่แล้ว แดงขึ้นมาอีก

       

                “นี่ทิวาหยุดดมผมฉันได้แล้ว” เท่านั้นแหละ ทิวาถึงกับกระเด้งตัวขึ้นมาทันทีทันใด ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเผลอไปดมตอนไหน รู้ตัวอีกทีก็ตอนพี่เขาทักเนี่ยแหละ น่าอายจริงๆ เลย >///<

               

                .

                .

                .

       

                “เสร็จแล้วค่า” ทิวายกไดรฟ์ออกจากผมกียุลแล้วม้วนเก็บเรียบร้อย ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นยาที่วางอยู่ข้างๆ กะละมัง เวรและ ลืมให้ยาพี่เขากิน

       

                “พี่ๆ กินยาก่อน หืม?” หญิงสาวอุทานเล็กน้อยเมื่อรู้สึกได้ถึงบางอย่างมากระทบที่ไหล่ของตนเอง

       

                พี่กียุลหลับแล้ว?

       

                ศีรษะของกียุลเอนมากระทบกับไหล่ของทิวา อาจจะเพราะพิษไข้ทำให้ชายหนุ่มหลับไปโดยไม่รู้ตัว แต่ที่แน่ๆ คือตอนนี้ตัวของเขาร้อนมากจนหญิงสาวรู้สึกได้ถึงไอความร้อนที่ส่งผ่านมาที่ไหล่ของเธอ

       

                ตัวร้อนจี๊เลยแหะ ยังไงก็ต้องปลุกมากินยาก่อนให้นอน

       

                ทิวายกศีรษะกียุลออกจากไหล่ แล้วจะท่าทางให้รุ่นพี่นั่งพิงพนักโซฟาดีๆ ก่อนจะสะกิดให้คนตรงหน้าตื่น

       

                “พี่กียุลตื่นๆ”

       

                ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่ท่านเรียก กรุณาสะกิดใหม่อีกครั้งค่ะ

       

                “พี่กียุลๆๆๆๆ”

       

                ทิวาเริ่มเขย่าคนตรงหน้าแรงขึ้น ทำไมตื่นยากตื่นเย็นจัง เพิ่งหลับแค่แป๊บเดียวเองนะ หรือความจริงพี่เขาตายแล้ววะ -*-

       

                “พี่กียุลตื่นมากินยาก่อน” หญิงสาวโยกคนตรงหน้าไปมาเหมือนตุ๊กตาล้มลุก จนในที่สุดชายหนุ่มก็ลืมตาขึ้นมา

       

                “โหพี่กว่าจะตื่น นึกว่าจะตายไปแล้วซะอีก” ทิวาหันหลังไปหยิบพาราเซตามอลมาหนึ่งเม็ดแล้วยื่นให้กียุล

       

                “กินก่อนแล้วค่อยนอน” แต่คนตตรงหน้ากลับส่ายหัวเหมือนเด็กๆ

       

                “ไม่เอา ไม่กินนน” พร้อมทั้งทำหน้าบึ้ง ทำเอาทิวาถึงกับงงเลยทีเดียว

       

                “เป็นอะไรเนี่ยพี่ ต้องกินยาดิเดี๋ยวไม่หายนะ” กียุลยังคงส่ายหน้าเหมือนเดิมพร้อมกับเม้มปากแน่นเพื่อป้องกันไม่ให้ทิวาจับยายัดเข้าปาก

       

                “อะไรของพี่เนี่ย อยู่ดีๆ ก็ทำตัวอย่างกับเด็ก ไม่ได้ยังไงก็ต้องกินยานะ!” อาจเป็นเพราะมีพ่อเป็นหมอทำให้ทิวาถึงเข้มงวดเรื่องกินยาลดไข้ ถ้าเป็นเรื่องอื่นเธออาจจะปล่อยไป แต่เรื่องโรคภัยไข้เจ็บยังไงเธอก็ยอมไม่ได้เด็ดขาด

       

                “ไม่! กียุลไม่กิน กียุลไม่ชอบกินยา”

       

                ห้ะ?

       

                นี่เราหูฝาดไปรึเปล่า อยู่ดีๆ พี่คนนี้ก็แทนตัวเองเป็นกียุลเฉย

       

                “แต่ถ้าไม่กินยาก็ไม่หายนะ” เอาและ เธอเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเหมือนแม่ไอริณที่โน้มน้าวเวลาที่ตัวเธอไม่ยอมกินยา

       

                “ไม่กิน ยามันขมกียุลไม่ชอบ” ว่าแล้วก็ทำหน้างอนแก้มป่อง

       

                “เราก็ไม่ชอบเหมือนกัน แต่ถ้าไม่กินเดี๋ยวจะไม่หายเอานะ” ทิวาเองก็เปลี่ยนสรรพนามตัวเองให้ดูเป็นกันเองมากขึ้น ยังไงคนตรงหน้าก็ดูเหมือนป่วยจนเพ้อคงไม่สนใจอะไรหรอก

       

                เผลอๆ ลืมไปแล้วว่ากำลังคุยกับคนที่เป็นรุ่นน้องตนเอง

       

                “งื้ออออ กียุลปวดหัวจัง” กียุลว่าพลางกุมหัวตนเอง

       

                “ก็บอกแล้วไงว่าให้กินยา”

       

                “แต่ว่า...กียุลยังไม่ได้กินข้าวเลยนะ” ดูเหมือนว่าเจ้าตัวเริ่มจะยอมกินยาแล้ว แต่สิ่งสำคัญก่อนหน้าที่จะกินยาก็คือกินข้าว

       

                “จริงด้วยสิ เราลืมไปสนิทเลย”

       

                แล้วจะทำยังไงดีเนี่ยทิวาเอ๊ย ทำกับข้าวก็ไม่เป็น แต่พี่นี่ก็ต้องกินยา ทำไงดีวะเนี่ย เอาเถอะเดี๋ยวลองไปดูในตู้เย็นเผื่อมีข้าวเหลือจากเมื่อวานก็ให้กินไปก่อน อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่มีอะไรกินแหละนะ

       

                ยังไม่ทันที่ทิวาจะเดินออกไปจากห้องนั่งเล่น ผู้ป่วยอย่างคิม กียุลก็พูดโพล่งขึ้นมา

       

                “ทิวาจะไปไหนน่ะ กียุลไปด้วย อย่าทิ้งกียุลไว้คนเดียว” ชายหนุ่มที่ตอนนี้เหมือนเด็กน้อยเด้งตัวขึ้นอย่างรวดเร็วแล้ววิ่งไปหาทิวา

       

                “ปะ...ปะ...ไปทำกับข้าวให้พี่กียุลกินไง ก็พี่กียุลยังไม่ได้กินอะไรนี่นา” อยู่ดีๆ มาเรียกชื่อด้วยเสียงแบบนี้หนูก็เขินเป็นนะ นึกว่าจำกันไม่ได้แล้วซะอีก -///-

       

                “อ๋อ ทิวา น่ารักจังเลย เดี๋ยวกียุลไปช่วยนะ” ว่าแล้วพี่กียุล (ที่เหมือนน้องกียุล) ก็เข้ามาจับมือของฉันแล้วเดินไปที่ห้องครัวด้วยกัน

       

      AT KITCHEN

       

                “เอ่อ....คือเราจะบอกว่า” พอเข้ามาถึงห้องครัวแล้วฉันก็ค้นของนู้นนี้พอเห็นว่ามีแต่เนื้อสัตว์ ผัก ที่ต้องปรุงก่อนถึงจะรับประทานได้ ฉันถึงกับเครียด ยิ่งพอมองกลับเห็นพี่กียุลมองตาแป๊วด้วยแววตามุ่งมั่นว่าฉันจะทำอาหารให้เขากิน ฉันถึงกับอยากเป็นลม

       

                “เราทำอาหารไม่เป็นอ่ะ แหะๆ” หัวเราะแห้งๆ นิดหน่อยเผื่อพี่เขาจะได้ไม่โกรธ

       

                “อ่า...ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวกียุลทำเองก็ได้ งั้นทิวาก็ช่วยกียุลหั่นผักหน่อยนะ เห็นมีปลากับข้าวเหลือ เดี๋ยวทำข้าวต้มปลาก็แล้วกัน”

       

                และแล้วก็กลายเป็นว่า พี่กียุลที่กำลังไข้ขึ้นกลับต้องเป็นคนที่มาทำกับข้าวซะเอง เหตุเกิดจากทิวาสุดสวยคนนี้ทำอาหารไม่เป็น ดีจริงๆ เลยทิวา555555

       

                กึก กึก!

       

                “หืม?” เหมือนว่าเสียงการหั่นผักของทิวาจะแปลกๆ ทำให้คนที่กำลังต้มข้าวกับหมูอยู่ข้างๆ หันมามอง

       

                “ทำไมทิวาหั่นอย่างนั้นล่ะ แบบนั้นมันอันตรายนะ เดี๋ยวก็โดนบาดหรอก” แน่นอนคนอย่างทิวาที่ไม่เคยจับมืดเลยจะมาหั่นถูกวิธีก็คงจะแปลกๆ การจับมีดของเธอเลยค่อนข้างจะอันตรายต่อการถูกบาดมากๆ

       

                “ขอโทษ เราหั่นไม่เป็น อ๊ะ!” อยู่ดีๆ พี่กียุลก็เดินเข้ามาซ้อนทับด้านหลังฉันพร้อมทั้งเอามือทับมือของฉันให้จับมีดให้ถูกวิธีก่อนจะค่อยๆบรรจงหั่นลงไป

       

                “ไม่เห็นต้องขอโทษเลย หั่นไม่เป็นกียุลก็สอนให้ได้ เป็นไงหั่นได้ไหม” ชายหนุ่มก้มตัวลงมาพูดใกล้ๆ บริเวณหูของหญิงสาว ทำเอาใบหน้าของเธอเริ่มขึ้นสีเล็กน้อย

       

                “อะ..อะ..อื้ม!!” เหมือนกว่าจะค้นหาเสียงตัวเองเจอ สายตาของกียุลก็ลอบพิจารณาใบหน้าทิวาที่แดงขึ้นเรื่อยๆ

       

                “ทิวาไข้ขึ้นหรือเปล่า” 


                ไข้ขึ้น? ก็ไม่นี่นา ฉันสบายดี ว่าแล้วฉันก็ส่ายหัวเป็นการตอบไป

       

                “แล้ว....”

      “ทำไมหน้าแดงล่ะครับ?”

        

      ปุ้งงงงง!!

       

      พี่กียุลคนบ้า -///-

       

                ทำไมชอบทำฉันเขินอยู่เรื่อยเลย ตอนปกติก็ทำเสียอาการไปหลายรอบแล้วนะ แต่พอตอนป่วยนี่ยิ่งกว่าอีก แทนตัวเองมากียุล ยิ้มเก่ง แถมยังพูดจาน่ารักๆ อีก บ้าเอ๊ยยยย เขินนะโว้ยยยยย ปกติตัวก็พองอยู่แล้ว พอได้ยินอย่างนี้แทบอยากจะระเบิดออกมาให้รู้แล้วรู้รอด แงงงงงงง

       

                “เพราะใครล่ะ”

       

                คนตัวเล็กแต่ร่างไม่เล็กพูดมุบมิบในลำคอ ทำเอาคนตัวสูงอดเอ็นดูไม่ได้ ทั้งความน่ารัก ความช่างเป็นห่วงของทิวาที่เธอมอบให้เขาด้วยความจริงใจ ไม่เสแสร้งเหมือนกับผู้หญิงหลายคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ทำให้เจ้าตัวไม่รู้เลยว่า

       

      หัวใจของเขาเริ่มถูกเติมเต็มด้วยทิวาทีละนิดๆ

       

                “ไม่แกล้งแล้วก็ได้ เดี๋ยวทิวาตกใจแล้วจะเอามีดมาแทงกียุล”

       

                ความจริงที่เขาพูดไปเมื่อกี้ก็เพราะเผลอตัวไปจริงๆ แหละ เวลาคนเราถือของมีคม มันอันตราย เราก็ไม่ควรแกล้งอยู่แล้ว ถูกไหมล่ะ แต่พอเห็นเด็กคนนี้ไม่ว่าจะเป็นตอนเขาปกติหรือตอนป่วยก็ยังอดเอ็นดูไม่ได้จริงๆ

       

                ทิวา พุดพิชญานี่ไม่ธรรมดาจริงๆ แหะ :)

       

                “พี่กียุล พี่กียุล พี่กียุล!!

       

                “ฮะ?”

       

                กียุลได้หลุดออกจากภวังค์ความคิดเพราะเสียงเรียกแล้วกลับมาโฟกัสกับคนตรงหน้า

       

                “เราหั่นเสร็จแล้วนะ ให้ทำอะไรต่อไหม”

       

                “เดี๋ยวที่เหลือกียุลทำต่อเอง ทิวาไปนั่งพักเถอะ”

       

                ทำไมบทสนทนามันช่างแปลกๆ ราวกับว่าทิวาเป็นคนป่วย ส่วนกียุลเป็นคนมาเฝ้าไข้อย่างไรอย่างนั้น

       

                “เอ่อ...พี่กียุลลืมไปแล้วรึเปล่าว่าตัวเองป่วยอยู่”

       

                “แต่ถึงทิวาอยู่ทิวาก็ช่วยอะไรไม่ได้นิ”

       

                ฉึก!!

       

                เหมือนกับมีมีดหนึ่งพันล้านเล่มเข้ามาแทงทะลุใจของทิวาเข้าอย่างจัง ซึ่งมันเป็นความจริงที่เจ้าตัวเองก็ปฎิเสธไม่ได้เพราะเธอเองก็ทำอาหารไม่เป็น อยู่ต่อไปก็ไม่ได้ช่วยอยู่ดีแหละ แต่ว่าๆๆๆ พี่เขาป่วยอยู่นะ ฉันก็ควรที่จะอยู่แถวนี้เผื่อพี่เขาวูบคาหม้อข้าวต้มไปจะทำยังไงล่ะ

       

                “จริงอยู่ที่ช่วยอะไรไม่ได้ แต่ถ้าอยู่ดีๆ พี่กียุลวูบไปเราจะทำยังไง ยังไงเราก็จะอยู่แถวนี้แหละ” ว่าแล้วฉันก็เดินไปนั่งอยู่ตรงเคาท์เตอร์รอจนกว่าพี่เขาจะทำอาหารเสร็จ

       

      “รู้ไหมว่าทิวาทำให้กียุลรู้สึกเหมือนมีแฟนเข้าไปทุกวัน”

       

                -///-

       

                โอ๊ยยยยยย หายป่วยเร็วๆ เถอะ พ่อคู้ณณณณณ เหนื่อยกาย เหนื่อยใจไปหมด ทีตอนปกตินะ พูดจาขวานผ่าซากเหมือนจะไปเผาบ้านเขาอยู่ทุกวัน พอป่วยทีหนึ่งทำตัวบอยเฟรนด์มาก ขอโทษนะคะ ทิวาคนนี้ปรับอารมณ์ไม่ทัน พูดแต่ละคำ แต่ละประโยคชวนให้คิดตลอด แต่ฉันก็ไม่ถอนคำพูดที่ว่าชาตินี้หาแฟนไม่ได้หรอกนะ เพราะว่าพฤติกรรมแบบนี้น่ะ มันเกิดเฉพาะตอนที่พี่กียุลป่วยเท่านั้น พอหายก็ดุเป็นหมาแล้ว

       

                “เสร็จยังอ่ะคะ” ฉันเลือกเมินกับคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบของเขา สายตาของฉันจดจ่อที่แผ่นหลังกว้างของพี่กียุล พอมองจากมุมนี้แล้วก็เริ่มรู้สึกนิดๆ และ ว่าเราทำตัวเหมือนแฟนกันจริงๆ

       

      แต่ว่านะทิวา ไอ้ความคิดเป็นแฟนกับหนุ่มฮอตอดีตเดือนคณะนี่ไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไรนะ ไม่ใช่ไม่เข้าท่าสิ ไม่มีทางเกิดขึ้นได้อยู่แล้ว ต่อให้ประเทศไทยมีหิมะตก ช้างพูดภาษาคนได้ ตดมีกลิ่นหอม ฉันก็ไม่มีทางได้เป็นแฟนกับพี่กียุลอยู่แล้ว

       

      ไม่มีทางแน่นอน

       

                “เสร็จแล้วครับๆ นี่เลยข้าวต้มปลาฝีมือคิม กียุล”

       

                ว่าพลางวางชามข้าวต้มทั้งสองชามลงบนโต๊ะ ทิวามองชามข้าวต้มของตนเองสลับกับหน้าคนทำ แล้วก็ได้แต่สงสัยว่าคนเราสามารถทำให้ข้าวต้มปลาดูน่ากินได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ

       

                “ว้าววววว น่ากินจังเลย” ฉันไม่ได้พูดเล่นนะ พี่กียุลทำยังไงให้ผักเหี่ยวๆ ปลาชืดๆ ดูหงอยๆ กลับมาน่าทานอย่างนี้ได้ไง พี่เขาเป็นกุ๊กเวทมนตร์อย่างโปเม่เหรอ ไม่เห็นต้องใช้ช้อนแปลงร่างเลย

       

                “ทิวาอย่าลืมเป่าก่อนนะ มันร้อน”

                ฉันที่กำลังจะตักข้าวต้มปลาเข้าปากถึงกับชะงักทันที ไม่ใช่เพราะที่พี่เขาเตือนนะ แต่เป็นเพราะว่าพี่กียุลควรกินก่อนต่างหากล่ะ ฉันกะว่าจะให้เขากินให้หมดก่อน เพื่อไม่มีขอแก้ตัวหากว่าเขาจะพยายามกินช้าเพื่อที่จะไม่ต้องกินยา อย่าลืมสิว่า ตอนแรกพี่เขาบอกไม่ชอบทานยา ถ้าเป็นเด็กๆ ละก็ อีกหนึ่งวิธีก็คือพยายามทานข้าวให้ช้าที่สุด

       

                “พี่กียุลทานก่อนดีกว่าค่ะ บ้านหนูถือให้คนอาวุโสกินก่อน”

       

                กียุลขมวดคิ้วสงสัยเล็กน้อย ถ้าจำไม่ผิดตอนเที่ยงที่พาไปกินข้าว พวกเราทั้งคู่ก็กินพร้อมกันไม่ใช่เหรอ

       

                “แต่ตอนเที่ยงก็กินพร้อมกันนี้ ไม่เห็นทิวาจะพูดอย่างนี้”

       

                “หรือว่า....”

       

      “ทิวาไม่ไว้ใจกียุลหรือครับ”

       

                ดวงตาสีไพลินเริ่มมีน้ำตาเอ่อขึ้นมา เมื่อเริ่มคิดว่าคนตรงหน้าไม่ไว้วางใจเขา ด้วยความที่ตอนนี้เขายังป่วยอยู่ ความคิดหรือพฤติกรรมหลายๆ อย่างตอนนี้ก็ยังเป็นเด็กอยู่

       

                ซวยแล้ว

       

                คือความคิดแรกที่โพล่เข้ามาในหัวทิวาตอนนี้ ไม่นึกว่ากียุลจะคิดมากถึงขนาดที่จะร้องไห้ออกมา เอาแล้วสิทิวา ทำไงดีวะเนี่ย

       

                “ไม่ๆ คือเราไว้ใจพี่กียุลนะ แต่ความจริงที่อยากให้กินทานก่อนเพราะจะรีบทานยาไง ไม่ใช่เราไม่ไว้ใจนะ” ฉันรีบบอกความจริงออกไป เกรงว่าถ้ายังไม่พูดความจริงเขาจะร้องไห้ออกมาน่ะสิ ไอ้เราก็ลืมคิดไปว่าเมื่อตอนเที่ยง พออาหารมาก็รีบสวาปามเข้าปากเลย ไม่ได้มีพิธีรีตองรอให้ผู้ใหญ่กินก่อน

       

                “หือ? ทิวาพูดจริงนะ” กียุลเริ่มหยุดสะอื้น เมื่อได้ยินดังนั้น

       

                “จริงๆ เราขอโทษที่โกหกเมื่อกี้นะ”

       

                “กียุลไม่ยกโทษให้หรอก”

       

                “อ้าว”

       

                ทิวาอุทานตกใจ เมื่อกียุลเอ่ยออกมาเช่นนั้น แงงงงงง อย่าโกรธทิวาเลยนะ ทิวาขอโทษ TT เด็กสาวได้แต่ปิดตาอ้อนวอนอย่างติดตลกโดยไม่ทันสังเกตเห็นรอยยิ้มของเด็กหนุ่มที่ผุดขึ้นมา

       

      “ทิวาต้องจุ๊บๆ กียุลก่อนถึงจะหายโกรธ”


         […Miss Right Loading…]


      เอาแล้ววววว ทิวาต้องจุ๊บๆ ผมก่อนนะคับ555555

      ชอบกียุลเวอร์ชั่นนี้มากเลยอ่ะ เขินแทนไม่ไหว >///<

      พ่อหนุ่มกียุลของเราได้ทีเอาใหญ่เลยน้าาาาา5555555

      ไรท์ยังอ้อนวอนขอให้มีรีดเดอร์ผ่านมาอ่านบ้างเถอะนะ สาธุ

      คอมเมนต์เป็นกำลังใจให้เราหน่อยนะทุกคน ไรท์ขอร้อง;-; 


      29-03-2021


       

       

      (//ถ้าไม่ยอมจุ๊บๆ จะงอนแย้วนะ)

       

      คอมเมนต์ให้กำลังใจเราด้วยนะ จุ๊บๆ^^

       


      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×