ท่ามกลางความมืดมิดยังคงมีแสงดาวส่องระยิบระยับอยู่บนท้องฟ้าที่แสนจะกว้างใหญ่ไพศาลในยามค่ำคืน หมู่บ้านเวเรียเป็นเพียงหมู่บ้านชนบทเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากท่ามกลางธรรมชาติมีหุบเขาล้อมรอบมากมายอีกทั้งบริเวณรอบหมู่บ้านแห่งนี้ยังมีแม่น้ำลำธารที่ไหล่ผ่านตลอดลมอ่อนพัดโชยไปมาต้นไม้น้อยใหญ่ต่างพากันส่ายไปมาท่ามกลางความสวยงาม
ภายในบ้านหลังหนึ่งในหมู่บ้านเวเรียมีแสงไฟสีทองแกว่งสว่างไสวไปมาจากตะเกียงขนาดใหญ่ที่วางอยู่บ้นโต๊ะไม้พุพังในท่ามกลางความมืด ยังคงมีเด็กชายคนหนึ่งนั่งใจจดใจจ่อเสมือนกับกำลังคงรออะไรบ้างอย่างเขามองด้วยแววตาสดใส่ออกไปยังนอกหน้าต่างที่มีดาวมากมายอยู่เป็นล้านดวง มือของเขาเท้าค้างไว้ทั้งสองข้างส่วนขาของเขาก็แกว่งไปมาเด็กชายที่ไม่ยอมลุกออกไปไหนเสียที จนผู้เป็นแม่ได้เดินเข้ามาโอบกอดจากด้านหลังของเขา "ยังไม่นอนอีกเหรออัลเคลลูกแม่ ?" เสียงของผู้เป็นแม่พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเหมือนดั่งเสียงที่บรรเลงลื่นไหลไปตามทำนองอย่างกลมกลืนคล้ายกับใบหน้าของเธอที่ยิ้มให้กับลูกชายของเธอเอง
"ไม่ครับตอนนี้ผมยังไม่ง่วง" เด็กชายนามว่าอังเคลรีบตอบกลับแม่ของเขาทันที
"ถ้างั้นแม่จะเล่านิทานให้ฟังเอามั้ย?" ผู้เป็นแม่พูดก่อนที่จะลุกขึ้นไปหยิบหนังสือจากหัวเตียงของอัลเคลมาและค่อย ก้มตัวนั่งลงข้างเขาอย่างช้า ๆ หนังสือเล่มหนาปกน้ำเงินด้านหน้าปกสลักชื่อหนังสือด้วยตัวอักษรสีทองเข้มราวกับมันเป็นทองคำบริสุทธิ์และถูกสลักลงอย่างพิธีพิถันเสมือนกับว่าหนังสือปกแข็งสีน้ำเงินเล่มนี้มันมีราคา "นี้จ๊ะแม่จะอ่านให้ฟังนะ"
อัลเคลได้เหลือบตามามองที่หนังสือเล็กน้อย "เล่มนี้แม่เคยอ่านไปแล้วไม่ใช่เหรอ?"
"ลูกไม่ชอบมันเหรอ แม่นึกภว่าลูกชอบมันเสียอีกไม่เป็นไรแม่มีเล่มอื่นอีก"
"ผมคิดถึงพ่อจัง" สิ้นสุดที่อัลเคลพูดภายในบ้านก็เงียบสงบเหมือนกภับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน ไม่เคยมีแม้แต่เสียงลมและเสียงพูดคุยของทั้งสองแม่ลูกเสียงที่เงียบและว่างเปล่าคล้ายกับหลุดลึกลงไปหุบเขาที่ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงของลม เสียงที่ได้ยินมีเพียงแค่เสียงลมหายจากตัวเองเท่านั้น
ผู้เป็นแม่ได้แต่นั่งเงียบอยู่อย่างนั้นและค่อยปิดหนังสือปกแข็งสีน้ำเงินลงอย่างช้า ๆ ก่อนจะวางมันไว้บนโต๊ะไม้ที่พุพังและนำมือไปโผลกอดลูกของเธอเองและหยดน้ำตาก็ค่อยไหล่ลงมาที่ละหยด สองหยดอยู่แบบนั้น "พ่อของลูกเคยเป็นถึงสเลเยอร์เลยละ แม่เคยเตือนพ่อหลายครั้งแล้วว่าการเป็นสเลเยอร์มันอันตรายขนาดไหนชาวบ้านแถวนี้เขารู้กันดีถ้าวันนั้นแม่ห้ามพ่อไว้ละก็เรื่องคงไม่เป็นแบบนี้หรอก" เธอพูดพล่างร้องไห้ออกมาที่ละเล็กน้อยทำลายความเงียบสงบลงในชั่วพริบตาโดยที่มือสองข้างโอบกอดลูกชายตัวน้อยของเธอไว้
"สเลเยอร์?" อัลเคลถามด้วยความสงสัยเกี่ยวกับอาชีพที่พ่อของเขาเป็นอยู่
เธอเริ่มอธิบายและเช็ดน้ำตาออกนิดหน่อยทำให้เธอเหมือนกลับมาดูร่าเริงอีกครั้งแต่ดวงตายังคงดูเศร้าหมอง "สเลเยอร์คืออาชีพที่มีเกียรติและชื่อเสียง เสเลเยอร์ก็เปรียบเสมือนนายพรานต่างกันแค่สิ่งที่พวกเขาล่าอยู่แค่นั้นแหละจ๊ะ" เธอยิ้มให้กับลูกของเธอเองหลังจากที่พูดจบ "สงสัยอะไรอีกมั้ยเอ่ย?"
"พวกเขาล่าอะไรเหรอครับ" อัลเคลยังคงถามต่อไปอีกแม่ของเขาก็ไม่ได้ว่าอะไรและยังคงตอบคำถามต่ออีก
"เป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก ๆ เลยละพวกมันมาบุกโลกนี้เมื่อนานมาแล้วพวกมันชอบกินคนที่สุดเลยและยังจับมนุษย์อย่างเรา เราไปเป็นทาสหรือบำเรอความสุขให้พวกมันอีกด้วย"
"พวกมันนี้รูปร่างยังไงเหรอครับ.."
"ขี้สงสัยจังนะ.. ตัวมันจะมีหลายรูปลักษณะแต่ละตัวไม่เหมือนกันแต่ที่รู้เลยคือมันแบ่งแยกชนชันไว้อย่างชัดเจนในบันทึกของพ่อของลูกน่ะ ได้บอกไว้ว่าจะมีตัวที่มีสติสัมปชัญญะกับตัวไร้สติ ตัวที่มีสติพวกมันสามารถแปลงกลายคล้ายมนุษย๋ได้และยังต่อสู้เก่งกว่าตัวไร้สติอีกด้วยพวกมันถูกเรียกตำแหน่งว่า ลอร์ด และส่วนตัวไร้สติจะถูกเรียกว่า วัสแซลแต่ถึงอย่างนั้นพวกมันก็ไม่ได้น่ากลัวเสมอไปมากกว่าทหารหรอกจ๊ะ"
"หมู่บ้านเราจะปลอดภัยใช่ไหมครับ"
"แน่นอนจ๊ะเอาหล่ะ นอนได้แล้วพรุ่งนี้ได้ตื่นมาแล้วเข้าเมืองหลวงกัน" ผู้เป็นแม่พูดก่อนจะพาลูกชายของเธอเดินไปนอนที่เตียง เธอนั่งลงข้างเตียงและลูบหัวอัลเคลอย่างอ่อนโยน "ฝันดีนะจ๊ะ" เธอพูดลาก่อนจะจุมพิตลงหน้าผากของลูกชายตัวเอง หนังสือเล่มน้ำเงินปกแข็งถูกนำกลับมาเก็บไว้หัวเตียงตามเดิมโดยตัวเธอเองก่อนที่ดับไฟจากตะเกียงลงจนค่อยดับริบหรี่ลงอย่างช้า ๆ พร้อมกับเดินจากออกไปจากห้องนั้นแต่ว่าเด็กน้อยที่ได้นอนมองแม่เขาเดินออกไปท่ามกลางห้องที่เงียบสงบและมืดนั้นมันรู้สึกแปลกอย่างบอกภไม่ถูกเหมือนว่าพรุ่งนี้จะไม่มีอีกแล้ว..
ความคิดเห็น