What up? - What up? นิยาย What up? : Dek-D.com - Writer

    What up?

    รวมบทความ+เรื่องราวที่นำเสนอ what up? ในหน้าไอดีของดาวบนดินในแต่ละครั้ง

    ผู้เข้าชมรวม

    864

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    864

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  29 ต.ค. 49 / 14:54 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ประจำวันที่  17  ตุลาคม  2549

      ประวัติความเป็นมาของกันตรึม    

                         เป็นการละเล่นพื้นเมืองของชาวไทยเชื้อสายเขมรในเขตอีสานใต้ ซึ่งเป็นชุมชนที่ใช้ภาษาเขมรเป็นภาษาถิ่น เช่น จังหวัดสุรินทร์ บุรีรัมย์ และศรีสะเกษ ตามประวัติแต่โบราณใช้สำหรับขับร้องประกอบการร่ายรำบวงสรวง รำคู่ และรำหมู่ ต่อมามีวิวัฒนาการของการเล่นคล้ายกับการเล่นเพลงปฏิพากย์ ในภาคกลาง มีกลองที่เรียกว่า "กลองกันตรึม" เป็นหลัก เมื่อตีเสียงจะออกเป็นเสียง กันตรึม โจ๊ะ ตรึม ตรึม การเล่นจะเริ่มด้วยบทไหว้ครู เพื่อระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า พระวิศวกรรม ครูบาอาจารย์ และเริ่มทักทายกัน เล่นได้ทุกโอกาสไม่กำหนดว่าเป็นงานมงคลหรืออวมงคล วงดนตรีประกอบด้วย กลอง ซอ ปี่อ้อ ขลุ่ย ฉิ่ง กรับ ฉาบ   กล่าวกันว่า ท่วงทำนองของเพลงกันตรึมมีกว่า ๑๐๐ ทำนอง บทเพลงจะเกี่ยวกับเรื่องเบ็ดเตล็ด ตั้งแต่เกี้ยวพาราสี โอ้โลม ชมธรรมชาติ แข่งขันปฏิภาณ สู่ขวัญ เล่าเรื่อง ฯลฯ การแต่งกาย แต่งตามประเพณีของท้องถิ่น ผู้หญิงนุ่งซิ่น เสื้อแขนกระบอก ผ้าสไบเฉียงห่มทับ ผู้ชายนุ่งโจงกระเบน เสื้อคอกลมแขนสั้น ผ้าไหมคาดเอวและพาดไหล่

      ๑. เพลงพื้นบ้านกันตรึม กันตรึม เป็นการละเล่นพื้นบ้านที่ได้รับความนิยมมาก ในเขตอีสานใต้ในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ ศรีสะเกษ และสุรินทร์ กันตรึมเป็ฯการละเล่นที่ใช้ภาษาในการขับร้องเป็นภาษาเขมร มีบทร้องทำนองสนุกสนาน ประวัติความเป็นมาของกันตรึม สงบ บุญคล้อย (๒๕๔๖ : ๑๖๒ ) กล่าวว่า กันตรึมหรือโจ๊ะกันตรึม เป็นการละเล่นอย่างหนึ่งของชาวอีสานใต้ เป็นการละเล่นที่มีดนตรีประกอบ และถือว่าดนตรีประกอบ และถือว่าดนตรีมีความสำคัญและมีบทบาทมากที่สุด ตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน ส่วนคำร้องเป็นของชาวเขมรสูงที่มีในสามจังหวัด คือ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และศรีสะเกษ การเล่นกันตรึมได้รับความนิยมมากในแถบจังหวัดสุรินทร์ บุรีรัมย์และศรีสะเกษ จากการสืบประวัติการเล่นกันตรึมไม่ค่อยได้รายละเอียดมากนัก ทราบแต่เพียงว่าการเล่นแบบนี้ได้รับการถ่ายทอดมาแต่ขอม แต่เดิมการเล่นใช้สำหรับประกอบการบวงสรวง เวลามีการทรงเจ้าเข้าผี หรืองานพิธีกรรมก็ใช้ดนตรีกันตรึม บรรเลงกันเป็นพื้นบ้าน ซึ่งต่างกันในจังหวะลีลาจะแตกต่างกันไปตามพิธีแต่ละงาน กล่าวคือ งานแต่งงานก็บรรเลงอย่างหนึ่ง งานศพอย่างหนึ่ง และเครื่องดนตรีที่นำมาบรรเลงก็ต้องให้เหมาะสมกับงาน แต่ถ้าเป็นงานศพก็มักจะใช้ปี่อ้อ (แป็ยออ) มาบรรเลง แต่ถ้าเป็นงานแต่งงานมักใช้ปี่เตรียงหรือ ปี่เญ็นแทนปี่อ้อ เป็นต้น
                        จุดมุ่งหมายของการเล่นกันตรึม สงบ บุญคล้อย (๒๕๒๒ : ๙๐ ) กล่าวว่า จุดมุ่งหมายการเล่นกันตรึม ว่า
      ๑. เล่นตามความเชื่อของคนในท้องถิ่น เช่น ความเชื่อทางไสยศาสตร์ ได้แก่ โจลมะม็วดบองบ็อด เป็นการทรงเจ้าเช้าผี
      ๒. เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองเกี่ยวกับงานมงคลต่าง ๆ เช่น ทำบุญบ้าน บวชนาค โกนจุก บุญฉลองอัฐิ และบุญกฐิน
      ๓.เล่นเพื่อเฉลิมฉลองในงานประจำปี เช่น ปีใหม่ สงกราต์ ลอยกระทง และเทศกาลรื่นเริง ประจำปีอื่น ๆ
      ๔.เล่นเพื่อเป็นการรักษาศิลปะ ประเพณีการละเล่นพื้นบ้านมิให้สูญหาย
      ๕.เล่นเพื่อเป็นการส่งเสริมหารแสดงด้านดนตรี เพราะถือว่ากันตรึมเป็นดนตรีที่มีความสำคัญมาแต่โบราณและเป็นดนตรี ถือว่ามีความไพเราะเข้าถึงจิตใจ ของผู้ฟังมากกว่าดนตรีประเภทอื่น ๆ ในชุมชนที่ใช้ภาษาเขมรในเขตอีสานใต้ ซึ่งได้แก่ จังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ และศรีสะเกษ ในสมัยโบราณ โดยเฉพาะงานแต่งงาน ถือว่าจะขาดดนตรีกันตรึม เจ้าสาวบางคนถึงกับวางเงื่อนไขว่าหากไม่เอากันตรึมมากล่อมหอ จะไม่ยอมร่วมหอลงโรงด้วยและถึงกับมีการเลิกร้างการแต่งงานกลางคันก็มี เพราะถือว่าไม่สมบูรณ์แบบ ทำให้เจ้าสาวเสียขวัญและกำลังใจ หรืออาจจะมีอันเป็นไปอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ ซึ่งหมายถึง ซึ่งหมายถึงการหย่าร้างหรือพลัดพรากจากกันจะเห็นว่ากันตรึมก็มีรูปแบบการเล่น เช่นเดียวกับการเล่นดนตรีของไทยภาคกลาง คือเมื่อก่อนจะเล่นต้องมีการไหว้ครู เพื่อให้เป็นศิริมงคลแก่ผู้เล่น หลังจากไหว้ครูเสร็จแล้วจึงเริ่มเล่น โดยนักแสดงจะต้องเริ่มต้นด้วยบทไหว้ครูก่อน เช่นกันหลังจากนั้นจึงร้องบทต่าง ๆ ไป เนื้อหาที่ร้องส่วนใหญ่เป็นการเกี้ยวพาราสีกัน และร้องโต้ตอบกันระหว่างฝ่ายขายและฝ่ายหญิง เช่นเดียวกับการเล่นพื้นเมืองของภาคกลาง เช่น รำตัด หรือเพลงสักวา สำหรับภาษาที่ใช้ร้องส่วนมากจะใช้ภาษาไทยเขมร กลอนที่ร้องส่วนมากจะใช้การท่องจำกลอนร้องที่ ตกทอดกันมา

                 
                                            ภาพการแสดงกันตรึมื้นบ้าน(เด็ก)
                                                   
      ชมและฟังเพลงพื้นบ้าน
                               
                                                        อดีตราชาเพลงกันตรึมพื้นบ้าน
                                                                 ทิ้งผลงานที่น่าฟังไว้

      เนื้อเพลงคนสุรินทร์เหลา 

      ประพันธ์เพลงโดย  นาย นิสิทธิ์   โกยสวัสดิ์

      ทำไมรู้เหลา   หยี  ว่าผมเป็นคนสุรินทร์   ข้าวปลาไม่กิน (เบาะ)  กินเหล้าเป็นอาหาร (ตั๊ว)   ไม่มีวันหยุด(นุเมาทุกเทศกาล(ไอ้ยะ)
      เมืองแห่งความสำราญเมืองสุรินทร์สุรา (หยีดีจน)     ทำไมรู้เหลา หยี  ว่าผมเป็นคนสุรินทร์    รูปหล่อลากดิน (จริงบ้อ) หยี ธรรมดาที่ไหน

      สาวกรุงมาเห็น (ฮ้อ) เธอต้องตกใจ (นุ) นึกว่าเผ่าซาไก  ตัวดำดำผมหยิกหยิก  สาวกรุงเทพ (อุ) ทำไมถึงสวยแท้เหลา (สวยแท้เหลา) ถึงพี่ขี้เมาเน้อแต่ก็มีหัวใจ (ก็มีหัวใจจะไปสู่ขอ  คิดค่าสิ้นสอดเท่าไร  ไม่ว่าจะแพงแค่ไหนพี่จะขี่ช้างไปขอแต่งงาน (เน้อ)
      Solo  ทำไมรู้เหลาหยีว่าผมเป็นคนสุรินทร์คงเคยได้ยินมาสุรินทร์ต้องกินสุรา (หยีกินหน่อยว้า)    หากมาสุรินทร์ (แน) แล้วไม่กินสุรา (หนอ)  เขาเรียกว่ากันว่า  เทวดาสุรินทร์ (หยีดีแท้)**

                  วิทยุชุมชนคนจอมพระจังหวัดสุรินทร์
                             
                                    
      ที่มาของบทความ   http://www.surinindex.com/kuntrum.htm


      ประจำวันที่  20  ตุลาคม  2549

      รับมืออย่างไรดีกับเพื่อนร่วมงานสารพัดนิสัย

             ตลอดชีวิตการทำงานของคนส่วนใหญ่เชื่อว่ามีไม่น้อยที่มักจะต้องเจอกับเพื่อนร่วมงาน เจ้าปัญหากันบ้างในบางครั้ง เพราะคนเรามาจากต่างที่ต่างทาง นิสัยใจคอจึงต้องมีมากมายหลากหลายสารพัดนิสัยกันไป บางคนก็ดีไม่มีปัญหาแต่บางคนก็ทำตัวมีปัญหา ยากที่จะทำใจยอมรับได้ ซึ่งแม้ว่างานจะมีความสุขลงตัวดี อย่างไรก็ตาม ซึ่งแม้ว่างานจะมีความสุขลงตัวดีอย่างไรก็ตาม แต่เมื่อเจอเพื่อนร่วมงานมีปัญหาขึ้นมาก็สร้างความเบื่อหน่ายเซ็งในจิตใจถึงขั้นอยากลาออกไปหางานใหม่ก็มีแต่ถ้างานที่เราทำอยู่นั้นก็แสนดีและมั่นคงจนยากที่จะเปลี่ยนใจไปทำงานที่บริษัทอื่นได้ดังนั้น ก็เป็นเรื่องที่ต้องทำใจและเตรียมรับมือกับเพื่อนร่วมงานเจ้าปัญหาสารพัดแบบให้ได้ เพื่อวิถีแห่งความสุข ในชีวิตการทำงานของเรา
             หรือในทางตรงกันข้ามลองตรวจสอบดูเสียหน่อยดีไหมว่า เรามีนิสัยเผลอๆ อะไรที่ทำให้เรากลายเป็นเพื่อนร่วมงานที่มีนิสัยไม่ดี โดยที่เราไม่รู้ตัวหรือเปล่า หากรู้เสียแต่เนิ่นๆ จะได้แก้ไขได้ทัน เพราะเชื่อว่าเป็นเรื่องที่น่าลำบากใจไม่น้อยที่เราจะต้องอยู่กับเพื่อนร่วมงานนิสัยแย่ๆ เพราะคนเราส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตอยู่ที่ทำงานมากกว่าอยู่ที่บ้านจากปัญหาเล็กๆ สะสมไปมาจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ไปได้ในที่สุด

             เรื่องแบบนี้ไม่เกิดขึ้นกับใครจะไม่รู้ซึ้งถึงความน่าเบื่อ ความกดดันที่ส่งผลต่องานและความสุขในองค์กรว่ามันสาหัสสากรรจ์แค่ไหนหากคุณไม่เจอปัญหาดังกล่าวถือว่าเป็นความโชคดีของคุณ แต่ถ้าเจอแล้วก็เตรียมรับมือด้วยสติที่ตั้งมั่น ด้วยวิธีการที่นุ่มนวลและมีเหตุผลจงอย่าใช้อารมณ์ พึงระลึกไว้เสมอว่า ควรแยกแยะเรื่องส่วนตัว และเรื่องงานเอาไว้ให้ได้ 
             ลองมาพิจารณาแยกแยะเป็นข้อๆ ก่อนดีกว่าว่าส่วนใหญ่เพื่อนร่วมงานที่มีปัญหาในองค์กรนั้นมีประเภทไหนบ้างที่พบกันบ่อยที่สุด เช่น

             1.เพื่อนร่วมงานประเภทปากร้ายใจดี เพื่อนร่วมงานนิสัยแบบนี้ก็ถือว่าพอมีข้อดีอยู่บ้างว่า แม้ว่าเธอจะดูปากร้ายไปบ้างแต่โดยพื้นนิสัยแล้วก็เป็นคนมีน้ำจิตน้ำใจอยู่บ้าง คนแบบนี้ส่วนใหญ่จะไม่มีการอาฆาต พูดไปแล้วก็แล้วกันเรียนกว่าอาจจะปากไว้ไปนิด แล้วมักจะเป็นเพื่อนร่วมงานที่ถือว่าเป็นปากเป็นเสียงแทนคนอื่นได้ด้วย ยิ่งเพื่อนคนไหนที่ไม่มีปากเสียง เธอจะช่วยเป็นกระบอกเสียงแทนให้เลย ถ้ารู้จักใช้ประโยชน์จากเพื่อนร่วมงานประเภทนี้ก็ดี ให้เธอเป็นทัพหน้าไปพูดไปเจรจาต่างๆ ในเรื่องการเรียกร้องสิทธิ การเรียกร้องเงินเดือน โบนัส ก็ดี เราจะได้ไม่เป็นที่จับตาของเพื่อนร่วมงานแผนกอื่น หรือแม้กระทั่งเจ้านายก็ตามที 
             2. เพื่อนร่วมงานที่ฐานดีและถือตัวว่าดีกว่าคนอื่นเสมอ เพื่อนร่วมงานแบบนี้จะบ้าเงิน บ้าวัตถุ ชอบอวดร่ำอวดรวย พอมีเงินก็คิดว่าตัวเองวิเศษ เลิศเลอ มักชอบใช้เงินซื้อทุกอย่างแม้แต่หัวใจของคนอื่น จริงแล้วถ้ารู้จักรักษาระยะห่างจากเพื่อนร่วมงานประเภทนี้ก็ไมได้มีผลต่องานเท่าไหร่แค่รำคาญใจบ้างเป็นธรรมดา แต่คนประเภทนี้หากเจอคนที่มีเงินมากกว่าก็มักจะอ่อนและยอมให้โดยง่าย และอาจจะชักจูงได้ง่ายถ้ามีผลประโยชน์ที่ดีกว่ามานำเสนอ และคนพวกนี้มักจะได้รับความหมั่นไส้เป็นเงาตามตัวไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ตาม หรือไม่ก็อาจจะเป็นที่ขบขันไปเลย ดังนั้น หากจะต้องติดต่อประสานงานกันละก็ควรทำทุกอย่างให้เคลียร์ โดยเฉพาะเรื่องผลประโยชน์และผลตอบแทนระหว่างกันและกันให้ชัดตั้งแต่ตอนต้น แล้วควรรักษาระยะให้พอดีๆ คือไม่ใกล้เกินไปและไม่ห่างเกินไป และไม่ควรยอมมากจะกลายว่าไปยอมเพราะเขารวย เดี๋ยวจะกลายเป็นลูกไล่แลดูประจบสอพลอไปโดยไม่รู้ตัวแล้วทำให้เขาประเมินค่าคุณต่ำเกินไปด้วย อาจเห็นว่าคุณเห็นแก่เงินของเขาไปเสียฉิบ 
             3.พวกเจ้าชู้พร่ำเพรื่อ เพื่อนร่วมงานประเภทนี้จะเป็นประเภทก้อร้อก้อติก หยิกแกมหยอก ถ้าไม่วางตัวให้ดีจะกลายเป็นเหยื่อ สร้างความวุ่นวายในหมู่เพื่อนร่วมงานสาวๆ อาจทำให้เกิดการแตกแยกกันได้ง่าย หากพลาดพลั้งติดกันแบบล้ำลึกจะทำให้ยุ่งยากเสียงานเสียการไปด้วย ทำตัวห่างๆ เพื่อนร่วมงานประเภทนี้ไว้เป็นดีที่สุด เนื่องจากมีโทษมากกว่ามีประโยชน์ที่จะไปสนิทสนมคบหาใกล้ชิดด้วย คบหากันเพียงผิวเผินก็เพียงพอแล้ว หากปะเหมาะเคราะห์ร้าย เพื่อนประเภทนี้มาปิ๊งปั๊งคุณเข้าแล้วละก็ อย่าไปยอมเออออห่อหมกได้โดยง่าย คนประเภทนี้ไม่ค่อยมีความอดทนเดี๋ยวก็เบื่อไปเอง แต่บังเอิญพิสูจน์ได้ว่าเขาเป็นคนดีจริงแล้วละก็ ควรใช้เวลาพิสูจน์นิสัยให้นานและแน่ใจมากที่สุด คุณควรทำตัวเป็นของมีค่าหายากสำหรับเขา ยิ่งทำตัวยากๆ มากเท่าไหร่จะดีสำหรับตัวคุณเองเท่านั้น เพราะคุณจะกลายเป็นของมีค่าสำหรับเขา และต้องใช้สมองในการคบหากับคนแบบนี้ให้มาก อย่าให้อารมณ์หรือหลงใหลคำพูดของเขาเท่านั้น 
             4. เพื่อนร่วมงานประเภททำน้อยแต่พูดมาก เพื่อนร่วมงานลักษณะนิสัยแบบนี้จะดีแต่พูดและชอบเอาเปรียบคนอื่น ไร้สาระมากกว่าจะทำงานจริงจัง จนทำให้บรรยากาศในที่ทำงานเต็มไปด้วยความวุ่นวายสับสนและมีแต่เรื่อง ไม่สร้างสรรค์ แถมเป็นคนที่มีประสิทธิภาพในการทำงานต่ำ หาข้อดีแทบไม่ได้เลย อาจจะช่วยให้สำนักงานไม่เงียบเหงาเท่านั้นแหละ แถมยังมีแนวโน้มเป็นพวกที่ชอบใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นในที่ทำงานเดียวกันด้วย ดังนั้น คุณต้องทำงานจริงจังในส่วนของคุณให้สำเร็จเรียบร้อย รักษาผลประโยชน์ของคุณเองเอาไว้ให้ได้ อย่าให้ถูกเอาเปรียบ อย่าตกเป็นเครื่องมือในการเอาเปรียบของเขาเด็ดขาด ที่สำคัญระวังโดนขโมยผลงานเอาได้ จงมุ่งมั่นและจริงจังในการทำงานแยกบทบาทเรื่องงานกันให้เด่นชัดว่าใครรับผิดชอบเรื่องอะไร อย่าให้เกิดการมั่วได้เป็นดีที่สุด 
             5. เพื่อนร่วมงานจอมงกไร้น้ำใจ เพื่อนร่วมงานแบบนี้มักเอาแต่ได้ในทุกเรื่องราวทั้งเรื่องงานและเรื่องราวส่วนตัว จะให้คนอื่นบ้างก็เป็นเรื่องจำเป็นจริงๆ เท่านั้น หรือคิดว่าต้องได้อะไรเป็นการตอบแทนถึงจะยอมลงมือทำเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนบ้างเท่านั้น หากอยู่ใกล้คนแบบนี้อาจจะสร้างความอึดอัดรำคาญใจได้พอสมควรทีเดียว เพราะคนพวกนี้จะเห็นแก่ผลประโยชน์เป็นสำคัญ ใครให้อะไรได้มากกว่าคนนั้นก็จะดี ใครทำให้เสียประโยชน์อาจกลายเป็นคนชั่วในสายตาเขาก็เป็นไปได้สูง ดังนั้น เขาจะทำอะไรกับใคร ทำอะไรให้ใครก็จะคิดถี่ถ้วนมากกว่าคุ้มหรือไม่คุ้ม และไม่ยอมเสียเวลา เสียประโยชน์ให้ใครได้ง่ายๆ เขามักจะไม่ยอมคนอื่นเพราะมีผลประโยชน์เป็นที่ตั้งมีความคิดและใจคอคับแคบ ชีวิตมักแห้งแล้งอับเฉา ไร้ความสุข อยู่ด้วยความหวาดระแวงว่าคนจะมาเอาเปรียบ นึกถึงประโยชน์เป็นเรื่องใหญ่ในชีวิต หากต้องร่วมงานกับคนแบบนี้ต้องแบ่งขอบข่ายความรับผิดชอบให้ชัดเจน ต่างคนต่างรับผิดชอบ 
             6.เพื่อนร่วมงานหัวอ่อนใจดี เพื่อนร่วมงานแบบนี้จะมีลักษณะใจดี แต่มีแนวโน้มเข้าข่ายหน่อมแน่ม เอ๊าะแอ๊ะไปมา ไม่ทันคน ไม่ทันเหตุการณ์ แต่ดูเป็นคนไม่มีพิษมีภัยอะไร แต่ก็สามารถสร้างความน่ารำคาญใจให้ได้ไม่น้อยทีเดียว ถ้าต้องทำงานกับคนประเภทนี้ต้องใจแข็ง มีความเป็นผู้นำมากกว่าเขา มีความเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะทนใจอ่อนกับความหน่อมแน้มของเขาและเธอไม่ได้ ทำให้คุณดูไม่พัฒนา เหมือนย่ำอยู่กับที่ตลอดเวลา ต้องหนักแน่น กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นขณะเดียวกันก็จงช่วยพัฒนาเพื่อนร่วมงานประเภทนี้ไปด้วย ด้วยการฉุดรั้งเธอให้ก้าวขึ้นมาข้างหน้าได้บ้าง ถ้าต้องทำงานกับเธอ ก็จงพยายามให้อภัยอย่างเคร่งเครียดกับเธอมากนัก อย่าคิดร้านกับเธอเพราะเธอไม่มีพิษมีภัยอะไร ก็แค่น่ารำคาญเท่านั้นเอง หยวนๆ กับเพื่อนร่วมงานประเภทนี้บ้างในบางครั้ง เพราะเธออาจต้องการที่พึ่งพิง 
             7.เพื่อนร่วมงานนิสัยเปิดเผยจริงใจตรงไปตรงมา เพื่อนร่วมงานประเภทนี้น่าจะมีข้อดีมากกว่าข้อเสีย เพราะเป็นประเภทปากกับใจตรงกัน อ่านง่าย ไม่ทำตัวซ้ำซ้อน บางครั้งอาจพูดมาก แต่ก็เป็นคนเอาการเอางานพอตัวทีเดียว แต่อาจจะพูดได้ตลอดเวลา ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ เรื่องสำคัญหรือไม่สำคัญ พูดได้หมด ไม่มีลับลมคมในกับใครทั้งสิ้น จะว่าไปก็ถือว่ามีมนุษยสัมพันธ์ดีเหมือนกัน เพราะเป็นคนคบกับคนง่ายแต่บางครั้งอาจจะดูง่ายๆ ไปสักนิด เป็นคนที่เวลาดีก็อาจจะดีใจหายแต่ถ้าร้ายขึ้นมาละก็ฮึ่ม แรงอยู่เหมือนกัน หากต้องทำงานกับเพื่อนร่วมงานประเภทนี้ละก็ต้องใช้ความจริงใจกับเธอเหมือนกัน เพราะเธอเป็นคนจริงใจ ตรงไปตรงมา เธอจึงไม่ชอบคนหลอกลวงปลิ้นปล้อนพยายามทำตัวกลางๆ แบบว่าไม่ต้องต่อต้านเธอ ขณะเดียวกันก็ไม่ต้องเออออห่อหมกกับเธอไปเสียทุกเรื่องราว 
             8.เพื่อนร่วมงานระเบียบจัด เพื่อนร่วมงานนิสัยแบบนี้ออกจะเข้าข่ายจู้จี้จุกจิกเล็กน้อย เรียกว่าเป็นคุณนายระเบียบไปเสียทุกเรื่องราวทำให้กลายเป็นคนขี้บ่นไปโดยไม่รู้ตัวอารมณ์คล้ายๆ คุณแม่เทือกๆ นั้นแต่ก็ไม่ได้อาฆามาดร้ายอะไรหรอกหากเราต้องทำงานกับเธอก็รักษาความเป็นระเบียบเอาไว้ อย่าทำงานมักง่ายกับเธอเข้าไว้ก็พอ แม้ว่าเธอจะขี้บ่นจนน่าเบื่อแต่ข้อดีทางอ้อมก็คือเธอจะฝึกให้เรากลายเป็นคนมีระเบียบไปด้วยเมื่ออยู่ใกล้เธอเพราะเราเบื่อที่จะฟังเธอบ่น ก็ต้องทำดีๆ เพื่อไม่ให้เธอบ่นเอาได้ เพราะฉะนั้น อย่าทำอะไรเลอะเทอะสกปรกรุงรัง ยิ่งนั่งใกล้กันด้วยแล้ว อย่านะ เดี๋ยวจะหูแฉะเอาได้ เมื่อเราทำงานกับคนที่เป็นระบบระเบียบ ก็จะช่วยทำให้เรากลายเป็นคนที่มีระเบียบวินัยตามไปด้วย ซึ่งก็ถือว่าเป็นข้อดีเหมือนกัน 
             9.เพื่อนร่วมงานปากดีแต่ใจร้าย เพื่อนร่วมงานแบบนี้สิน่ากลัวคนโบราณเขาเรียกว่าปากปราศรัยแต่น้ำใจเชือดคอ หรือทำนองเดียวกับปากหวานก้นเปรี้ยว คือปากพูดอย่างแต่ใจคิดอีกอย่าง คนแบบนี้มักจะเลือดเย็น ไม่หวังดีกับใครจริงๆ มีมารยาหลอกลวงก็ว่าได้ เพราะไม่มีความจริงใจ ซึ่งเพื่อนร่วมงานแบบนี้ถือว่าน่ากลัวเพราะจะเป็นคนปลิ้นปล้อน อ่านยาก ปากหวาน ฟังรื่นหูเวลาพูดจา แต่แท้จริงแล้วใจคิดร้ายอยู่เสมอ ชำนาญในการใส่หน้ากากพูดจาจ๊ะจ๋าไปเรื่อยเปื่อยแต่หาความจริงใจไม่ไดเลย คบยากอยู่ห่างๆ ไว้เป็นดีที่สุด ดังนั้น หากต้องร่วมงานกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้วละก็ ต้องกำหนดบทบาทอย่างชัดเจน หากเป็นไปได้ควรกำหนดขอบข่ายงานกันไว้เป็นลายลักษณ์อักษรเป็นดีที่สุด อย่ารับงานปากเปล่ากับคนแบบนี้อันตราย เวลาเจรจากับเธอก็อย่าไปหลงคำหวานหรือจริงจังกับคำพูดเธอจนเกินไป เพราะบอกแล้วว่าเธอเป็นคนปากหวานแต่ก้นเปรี้ยว 
             10.เพื่อนร่วมงานใจดีง่ายๆ สบายๆ เพื่อนร่วมงานนิสัยแบบนี้ โดยภาพรวมแล้วถือว่าน่าจะดีที่สุดในทุกประเภทที่กล่าวมา เพราะเธอจะง่ายๆ สบายๆ หยวนๆ เราจะทำงานกับเธอด้วยความสบายใจ ไม่มีความกดดัน เพราะเธอจะไม่ดุ ไม่เรียกร้องสูง แต่ข้อเสียคือจะทำให้งานไม่พัฒนาเท่าที่ควร เพราะหากทำงานกับคนใจดีมากๆ ก็จะเรื่อยๆ เปื่อยๆ ไม่มีเป้าหมายเด่นชัด

             แน่นอนว่าคนเราไม่มีใครดีเลิศสมบูรณ์พร้อมไปเสียทุกเรื่องราว พยายามมองคนอื่นด้วยความเข้าใจ อะไรก็แก้ไขได้ก็พยายามลองแก้ไขดุเสียก่อน หากแก้ไขไม่ได้จริงๆ ก็พยายามทำใจและพยายามมองข้าม แต่ถ้าสุดจะทนจริงๆ ก็พยายามออกห่างเขาให้มากที่สุด จะดีกว่าปะทะห้ำหั่นกันเพราะไม่เกิดผลดีต่อทั้งคุณและเขา เพียงใจงานเป็นเครื่องพิสูจน์ความสามารถคงดีที่สุด

      ที่มา   : 
      http://dnfe5.nfe.go.th/localdata/webimags/story84friend-habit.html

      ประจำวันที่   29  ตุลาคม   2549

      ชีวิต...คือการเรียนรู้

        
      มีคนกล่าวว่า ชีวิตคนเราไม่ต่างจากละคร และโลกนี้ก็เหมือนละครโรงใหญ่ ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าคงจะไม่ถูกต้องนัก เพราะว่าละคร คือ การ แสดงที่ผู้แสดงไม่ต้องสร้างสรรค์อะไรมากนัก เพราะตัวละครทุกตัวจะเล่นไปตามบทที่ถูกที่เขียนไว้ และแสดงกิริยา อาการตามแต่ที่ผู้กำกับจะ ต้องการให้เป็น แต่ในชีวิตจริงทุกคนต้องสร้างสรรค์บท กำกับ และแสดงด้วยตัวเอง ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่คนเราจะดำเนินชีวิตให้ประสบ ความสำเร็จและราบรื่น
                     สำหรับปัจจัยอย่างหนึ่งที่ช่วยให้คนเราสามารถดำเนินชีวิตได้ราบรื่นและประสบความสำเร็จก็คือ การเรียนรู้ทุกอย่างที่จำเป็นและเกี่ยว ข้องกับการดำเนินชีวิต โดยไม่เกี่ยวกับการเรียนเพื่อให้ได้มาซึ่งปริญญาหรือวุฒิบัตรต่างๆ
      แต่เป็นการเรียนรู้ในชีวิตจริงอาจซึ่งได้แก่ การเรียนรู้ ในสิ่งต่อไปนี้ 1)เรียนรู้ตนเอง 2)เรียนรู้ผู้อื่น 3)เรียนรู้สังคมและการเปลี่ยนแปลง 4)เรียนรู้จังหวะและโอกาส 5)เรียนรู้คุณธรรมและ จริยธรรม 6)เรียนรู้ความจริงแห่งชีวิต ผู้ที่เรียนรู้ในเรื่องเหล่านี้มากก็จะประสบปัญหาในชีวิตน้อย และมีโอกาสประสบความสำเร็จมาก
                     
      เรียนรู้ตนเอง อยากให้ทุกคนลองถามตัวเองว่า ท่านรู้จักตัวเองมากน้อยแค่ไหน เชื่อเลยว่าหลายท่านอาจไม่มีคำตอบให้กับตัวเอง ว่า รู้จักตัวเองแค่ไหน รวมถึงผู้เขียนด้วยตรงนี้จำเป็นอย่างยิ่งเพราะ ถ้าเราไม่รู้จักตนเองก็จะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เช่น ถ้าเรารู้ตัวเองว่า หงุดหงิดง่าย ก็จะต้องเตือนตัวเองให้ใจเย็น หรือถ้าเป็นคนปากร้าย ก็จะต้องระวังคำพูด เป็นต้น ลักษณะเช่นนี้ย่อมทำให้เรามีปัญหา กระทบกระทั่งกับผู้อื่นน้อยลง
                     
      เรียนรู้ผู้อื่น เราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก มีครอบครัว มีสังคมในที่ทำงานและสังคมอื่นๆ ดังนั้นเราต้องเรียนรู้คนที่อยู่รอบตัวเราโดย เฉพาะอย่างยิ่งคนที่เราจะต้องปฏิสังสรรค์ด้วยเสมอในชีวิตประจำวัน เราจำเป็นต้องรู้จักให้มาก เพราะการที่เรารู้จักคนเหล่านี้มากเท่าไรก็จะ ยิ่งทำให้เราสามารถควบคุมสถานการณ์ของการอยู่ร่วมกันได้มากเท่านั้น
                     
      เรียนรู้สังคมและการเปลี่ยนแปลง เราต้องตระหนักว่า สังคมและข้อมูลต่างๆ เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การที่เรามีข้อมูลที่ถูกต้อง เป็นปัจจุบันย่อมช่วยให้สามารถตัดสินใจในเรื่องราวต่างๆ ของการดำเนินชีวิตได้อย่างเหมาะสม ถูกต้องและเที่ยงตรง
                     
      เรียนรู้จังหวะและโอกาส เราต้องเรียนรู้จังหวะชีวิต เพราะในการดำเนินชีวิตของเราไม่สามารถควบคุมปัจจัยต่างๆ ได้ ดังนั้น การดำเนินชีวิตต้องอาศัยจังหวะและโอกาสที่เหมาะสม ต้องรู้จักรุกเมื่อโอกาสเอื้ออำนวย และรู้จักถอยเมื่อโอกาสไม่เอื้ออำนวย ไม่ใช่รุกตลอด เวลา การที่เราพยายามทำอะไร ในบรรยากาศหรือสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย นอกจากจะต้องใช้ทรัพยากรมากแล้ว บางครั้งอาจนำมาซึ่งความ ขัดแย้งและผลเสียหายกับตนเองและผู้อื่น
                     เรียนรู้คุณธรรมและจริยธรรม
      ธรรมะค้ำจุนโลก เป็นคำกล่าวที่เป็นจริง เพราะผู้ที่ขาดซึ่งคุณธรรมและจริยธรรมย่อมทำให้ตน เองและผู้อื่นเดือดร้อน ตัวอย่างย่อมมีให้พบเห็นเสมอ เช่น คนที่เป็นพ่อเป็นแม่ หากขาดคุณธรรมในเรื่องของความรับผิดชอบก็ไม่อาจสามารถ เลี้ยงดูบุตรให้เติบโตเป็นคนดีและมีคุณภาพ หรือหากใครที่ขาดคุณธรรมในเรื่องความเกรงกลัว และละอายต่อบาป ก็ย่อมจะไม่ยี่หระต่อการทำ ผิดศีลธรรม นั่นย่อมนำมาซึ่งความเดือดร้อนเสียหายแก่ตนเองหรือผู้อื่น
                     
      เรียนรู้ความจริงแห่งชีวิต ต้องรู้ว่าแห่งความเป็นจริงนั้นมีสองด้านเสมอ เช่น มีสุข - ทุกข์ มีสมหวัง - ผิดหวัง มีดีใจ - มีเสียใจ มีการให้ - มีการรับ มีสวย - มีขี้เหร่ มีรวย - มีจน เป็นต้น ดังนั้นเมื่อสิ่งที่ประสบไม่เป็นไปอย่างที่คิดหรือคาดหวังก็ให้เข้าใจว่า นั่นคือความ จริงแห่งชีวิต ที่ต้องรับให้ได้ เพื่อที่จะปรับและแก้ไขให้เหมาะสมกับสถานการณ์และชีวิตของเรา
                     สุดท้ายผู้เขียนอยากฝากบอกว่า ในกล้วยไม้หนึ่งช่อนั้น แต่ละดอกก็บานไม่พร้อมกัน ดังนั้นชีวิตคนเราเองก็คงไม่อาจ ประสบความสำเร็จได้พร้อมกันทั้งหมด ใครที่ถึงพร้อมด้วยเหตุและปัจจัยก่อน ย่อมประสบความสำเร็จไปก่อน เหมือน กล้วยไม้ดอกแรกของช่อที่สมบูรณ์พร้อมก่อนย่อมบานก่อน ดังนั้นการดำเนินชีวิตจะต้องอาศัยการเรียนรู้ดังที่กล่าวมา เพื่อสะสมเหตุและปัจจัยที่จะนำไปสู่ความสำเร็จให้เพียงพอ .
      http://dnfe5.nfe.go.th/localdata/webimags/lifeknowlage.html


      ประจำวันที่

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×