"หนูไม่อยากมี หนูไม่อยากเห็นมันอีกแล้ว หนูอยากใช้ชีวิตแบบปกติหมือนคนอื่นๆ"
"ก็เพราะว่าเอ็งทำงานที่โรงผี เอ็งจะไม่เจอผีได้ยังไง ปกติผีกับโรงผีมันเป็นของคู่กันอยู่แล้ว และไอ้สิ่งที่เอ็งมีอยู่
มันคือของที่ติดตัวเอ็งมาตั้งแต่อดีต"
หลวงปู่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดลพบุรีได้บอกเราไว้ ขณะนั้นหลวงปู่กำลังบริกรรมคาถาและเป่าลงบนแหวนวงหนึ่งในนิ้วของท่าน ก่อนที่จะถอดมันและหย่อนลงมาที่มือของเรา
"สวมมันไว้นะ อย่าถอดมันออกเด็ดขาด มันอาจจะพอช่วยให้เห็นได้น้อยลง จะได้ไม่เป็นบ้าไปซะก่อน ฮ่ะๆๆ"
หลวงปู่พูดพรางหัวเราะ
"ถ้าหนีมันไม่ได้ก็ทำใจยอมรับมันเถอะลูก อนาคตสิ่งที่เห็นมันจะชัดเจนขึ้นมากกว่านี้อีกหลายเท่า จนถึงวาระหนึ่งตาทิพย์นั้นจะปิดลงไปเอง ที่เค้าเรียกกันว่า"
"ปิดเนตร"
บทนำ
สวัสดีค่ะคุณนักอ่านทุกท่าน ก่อนอื่นต้องขอแนะนำตัวก่อน เราเป็นพยาบาลอยู่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งใน
ตัวเมืองลพบุรี ตั้งแต่เด็กๆ เราเติบโตมาในครอบครัวชนบท บรรพบุรุษนับถือผีปู่ย่าตายาย นับถือร่างทรง และเชื่อในเรื่องไสยศาสตร์ทั้งหลาย เอาจริงๆ ปัจจุบันนี้ก็แทบจะไม่เห็นมีพิธีกรรมอะไรในหมู่บ้านแล้ว เพราะคนเฒ่าคนแก่รุ่นหลังๆ ทะยอยเสียชีวิตดับขันธ์ตามอายุขัยกันไปหมด เด็กรุ่นใหม่ก็ใช้วิถีชีวิตแบบใหม่ต่อไป ปัจจุบันเราอายุ 32 ปี เรียนจบมัธยมที่โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งของอำเภอชัยบาดาล จุดเริ่มต้นการมองเห็นและการมีสัมผัสที่ 6 เกิดขึ้นราวๆ อายุ 13 ปี โดยจะเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้า บางครั้งก็เห็นล่วงหน้าหลายๆ วัน หรือไม่ก็เห็นแค่วันเดียวก่อนเกิดเหตุ หรือแม้แต่เห็นล่วงหน้าเพียงไม่กี่นาทีก่อนที่คนนั้นจะประสบอุบัติเหตุ บ้างก็เห็นเป็นเงาดำเดินตาม แต่ก็แปลกตรงที่ว่าไม่ว่าคนๆ นั้นจะเดินไปตรงไหน เงาดำทะมึนนั้นจะเดินตามไปตลอด ถามว่าตกใจไหม ก็ตกใจนะ แต่ด้วยไม่กล้าเล่าให้ใครฟังเพราะนานๆ เห็นทีไม่ได้บ่อยเหมือนกับปัจจุบันนั่นเอง
พอย้ายเข้ามาเรียนต่อ ม. ปลายที่โรงเรียนประจำจังหวัด ก็เพราะเป็นโรงเรียนใหญ่ สถานที่กว้าง เลยถูกใช้เป็นสถานที่จัดงานประจำปีที่รู้จักกันดีคือ "งานฤดูหนาว" ก็จะมีของหลากหลายประเภทจากแม่ค้าทั่วสารทิศมาขายในงาน ที่ขาดไม่ได้เลยก็คือจุดนวดแผนไทย ปีนั้นใช้สถานที่อาคารเรียนดนตรีไทยชั้นที่ 1 ซึ่งเป็นอาคารเก่าแก่สร้างมาตั้งแต่สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นสถานที่สำหรับวางเตียงนวด ด้วยความเป็นคนชอบนวดก็เลยเข้าไปใช้บริการ ครั้งนั้นเองก็เห็นฤาษีใส่ชุดน้ำตาลลายเสือ หนวดยาว มวยผมแล้วก็เดินไปเดินมา เจ้าของร้านนี้ลงทุนใส่ชุดฤาษีมาบริการลูกค้าเลยหรอเนี่ย ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก ก้มเล่นมือถือต่อ
ช่วงใกล้จบ ม.6 ช่วงนั้นสนใจเกี่ยวกับเรื่องสมาธิมาก จะรีบมาแต่เช้าเพื่อมานั่งสมาธิทุกวันที่หน้าพระพุทธรูปประจำโรงเรียน จนขอติดสอยห้อยตามเพื่อนๆ พี่ๆไปฝึกสมาธิที่วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี หลังจากนั้นก็เริ่มเห็นบ่อยขึ้น เริ่มจากเห็นเจ้าที่บ้านของตัวเอง เห็นญาติที่ตายไปแล้ว เห็นเปรต และหลังจากนั้นภาพก็ยิ่งชัดขึ้นเรื่อยๆ จนรู้สึกกลัวจนรนราน
เมื่อสอบติดพยาบาล อาชีพที่แม่ใฝ่ฝัน อาชีพที่แม่วาดหวังและขีดเส้นให้เราต้องเดิน เราต้องย้ายมาอยู่ที่วิทยาลัยพยาบาลแห่งหนึ่งจะกลับบ้านได้เฉพาะเสาร์-อาทิตย์เท่านั้น พยายามคิดในทางบวกว่าเราพักอยู่ใกล้วัด
ใกล้โรงพยาบาลก็คงมีบ้างที่จะเจอสิ่งลี้ลับเหล่านี้ ด้วยความที่ภาพมันชัดมากเสมือนเรายืนคุยกับคนด้วยกัน
จึงเกิดความกลัว กลัวจนผวา กลัวจนไม่กล้าไปไหนคนเดียว ตอนนั้นเข้าใจความหมายของคำว่า จะเป็นบ้าเลยล่ะ
ว่าเป็นยังไง ก็เลยอยากจะมาถ่ายทอดให้รู้ว่าชีวิตโลกที่สามนั้นมีจริงอย่างแน่นอน เพราะด้วยหลายเรื่องหลายเหตุการณ์มันสัมพันธ์กันอย่างไม่น่าเชื่อ และด้วยประโยคหนึ่งที่เพื่อนร่วมงานกล่าวหาว่าเราบ้า เราคิดไปเอง สมัยนี้เป็นยุควิทยาศาสตร์ ผีเผอไม่มีจริงหรอก ถามว่าเสียใจไหม ทุกข์ใจไหมที่พูดอะไรไปไม่มีใครเชื่อ ตอบเลยว่าทุกข์ใจมาก มากจนไม่อยากมองเห็นไม่อยากช่วยอะไรใครๆ อีก จึงได้แต่ภาวนาขอให้เขาผู้นั้นเจอเหมือนเราบ้างจะได้เข้าใจความรู้สึกของเรา และท้ายที่สุดนั้นเขาได้ประสบด้วยตนเองเรียบร้อยแล้ว เราได้แต่ยิ้มในใจ และขอบคุณเธอทั้งหลายที่ทำให้คนอื่นๆ เข้าใจในตัวเรา
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น