คุณเคยเชื่อเรื่องคุณไสยหรือไม่
ฉันเป็นหญิงที่เกิดมาในครอบรครัวที่มีกินมีใช้ไม่เคยอดอยากเป็นลูกสาวคนเดียวที่พ่อตามใจมาโดยตลอดฉันไม่เคยไม่ได้ในสิ่งที่ฉันอยากได้ ฉันมีพี่ชายสามคน เกิดมาในครอบครัวใหญ่ พ่อแม่ฉันส่งให้พวกเราเรียนในโรงเรียนชื่อดังมาตั้งแต่เด็กทุกคนจบเมืองนอกเมืองนากันทั้งนั้น ฉันไม่เคยรู้ว่าทุกอย่าที่เกิดขึ้นในชีวิตฉันเป็นสิ่งที่น่าอิจฉาของคนคนนึงเสมอมา
วันนึงฉันตื่นมาด้วยความทรมารปวดร้าวไปทั้งร่างกาย ฉันไม่สามารถจะลืมตาลุกขึ้นมาทำอะไรได้เลย
“ตาลวันนี้ฉันลาไม่ไปทำงานนะ” ฉันโทรบอกเพื่อนร่วมงานให้ลางานให้
วันทั้งวันฉันผ่านไปอย่างเชื่อช้า สุดท้ายความปวดก็มากดทับที่กระดูกสันหลัง ฉันรวบรวมสติลุกขึ้นมาไปหาหมอ
ฉันได้ตรวจร่างกายทุกอย่างแต่คุณหมอกลับบอกฉันว่า ไม่มีอะไรผิดปกติ หมอสั่งยาคลายกล้ามเนื้อมาให้ ฉันงง และคิดว่ามันต้องมีอะไรผิดปกติอะไรในการตรวจรักษาแน่นอน
ฉันกลับมาบ้านในห้องสี่เหลี่ยมของฉัน ฉันเริ่มรู้สึกว่าร่างกายฉันมันรับไม่ไหวยกับการทรมารไปถึงกระดูกในครั้งนี้ ฉันล้มนอนตั้งแต่เที่ยงวันไปตื่นอีกทีในเช้าวันรุ่งขึ้นของอีกวัน
ฉันตื่นมาด้วยความมึนงง นี่ฉันนอนโดยไม่ทานอะไร สลบไสลไปเกือบสิบแปดชั่วโมงนี่เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึก
ไม่สบายเนื่อตัวยาที่หมอให้ไม่ได้ทำให้ฉันดีขึ้นเลย ฉันไปทำงานด้วยสภาพเหมือนคนไม่สมประกอบ
ฉันถึงที่ทำงานฉันรู้สึกหงุดหงิดใครทำอะไรก็ขวางหูขวางตาไปหมด ฉันรู้สึกว่าฉันสามารถระเบิดอารมณ์ได้ทุกเมื่อ ถึงตอนสายสายฉันรู้สึกร้อนไปทั้งตัวปวดหัว หลังฉันเริ่มล้ารู้สึกปวดไปถึงกระดูก ทุกข้อมันเริ่มร้อนขึ้นไปเรื่อยเรื่อย ฉันทนไม่ไหวยกับอาการที่เกิดขึ้นแล้วฉันก็รู้แล้วว่ามันต้องมีอะไรผิดปกติที่ฉันรู้สึกได้แต่ไม่สามารถมองเห็นมัน ฉันรีบคว้าโทรศัพท์โทรหาน้าสาวที่ต่างจังหวัด รีบบอกอาการที่เกิดขึ้นให้ฟังอย่างระเอียด
“น้าเอิงปวดหลังเมื่อวานแล้ววันนี้เอิงก็ร้อนไปทั้งตัวเลยน้าช่วยเอิงด้วย” เอิงพูดด้วยน้ำเสียงที่ร้อนรนและด้วยอาการน้ำตาคลอเบ้า น้ำเสียงขุ่นเครือ
“เดี๋ยวน้าเอาเสื้อหนู๋ไปทำพิธีให้” น้าสาวมึนงง กับเสียงในสายแล้วรับปากว่าจะช่วยเป็นธุระให้
ฉันขับรถออกจากที่ทำงานด้วยใจกระวนกระวาย ในใจยังไม่รู้ว่าฉันจะขับรถไปทิศทางใด ฉันเริ่มรู้สึกใจสั่นน้ำตาเริ่มซึมเศร้าหดหู่ไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหนนย ซักพักเสี่ยงโทรศัพท์ดังขึ้น เสียงในสายเป็นเสียงที่ฉันคุ้นเคย
“เอิงฟังนะลูก มีคนเค้าทำของใส่หนู๋ เค้าอยากให้หนู่ตาย เค้าใช้มนต์ดำหมอเขมร” น้าสาวพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
ฉันวางหู โทรศัพท์ แล้วคิดในใจว่า ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิตฉัน แล้วฉันยังไม่ได้ทำอะไร ฉันเริ่มไร้สติคิดไปต่างต่างนานาว่าฉันกำลังจะตาย ฉันร้อนไปทั้งตัวยิ่งคิดยิ่งว้าวุ้นความแค้นเริ่มขึ้นหน้า ฉันคิดว่าฉันจะเอาคืนให้สาสมมันต้องตายก่อนฉันแน่แน่
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง เสียงในสายเปลี่ยนไป
“เอิงนี่แม่นะลูก ลูกทำอะไรอยู่ แม่รู้เรื่องทุกอย่าแล้วหนู๋ไม่ต้องกลัวเราต้องหาวิธีแก้ให้ได้ ”แม่พูดมาในสาย
“แม่ลูกไม่เคยทำอะไรให้เขาเลยลูกไม่เคยยุ่งกับเค้ามาทำกับหนู๋ทำไม”เอิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าพร้อมน้ำตาฟูฟาย
“กลับมาบ้านเรานะลูกกลับมาเย็นนี้เลย” แม่พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
จบการสนทนา ฉันรีบจองตั๋วเครื่องบินกลับต่างจังหวัด เวลาหกโมงเย็นในวันนั้นเลย
ฉันรีบโทรหาเจ้านายโดยไม่รีรออะไรทั้งนั้น ฉันไม่สนใจอะไรแล้วตอนนั้นฉันคิดอย่างเดียวว่าฉันต้องกลับไปต่างจังหวัดก่อนพระอาทิตย์ตกดิน ชีวิตฉันเหมือนอยู่ใน บ่อน้ำที่ลึกจนเห็นทางออกที่ลิบหลี่ทุกอย่างดูเหมือนหนังผีที่เราเคยดู กัน ฉันไม่อยากจะเชื่อว่ามันยังมีเรื่องนี้ในโลกปี 2008
“พี่จอช เอิงโดนมาณต์ดำ เค้าต้องการให้หนู๋ตาย”ฉันร้องไห้ราวกับวันนี้เป็นวันสุดท้ายของฉัน
เจ้านายไฮโซของฉันกำลังมึนงงกับคำพูดของฉัน และคิดว่าฉันเพ้อเจ้ออะไรอยู่ อย่าว่าแต่เจ้านายฉันเลย ฉันเองยังไม่อยากจะเชื่อ ฉันต้องทำทุกอย่างเพื่อจะยื้อในการมีชีวิตของฉัน ชีวิตฉันไม่มีใครเอาไปได้ ฉันเชื่อแบบนั้น
“พี่จอชเอิงจะกลับเชียงรายวันนี้นะตอนเย็น”ฉันพูดด้วยน้ำเสียงตกใจอย่างสุดขีด
“แกรู้ได้งัยว่าเป็นเค้าแกไม่มีหลักฐานนะ” พี่จอชตระโกนเข้ามาในสาย
ฉันอึ้งเงียบตอบไม่ถูก แต่จิตใต้สำนึกของฉันผลักดันให้ฉันออกจากกรุงเทพ และให้ถึงเชียงรายก่อนตะวันตกดิน
ควารู้สึกตอนนั้นคืดฉันไม่อาจให้ใครมาเอาชีวิตฉันไปอย่างง่ายดายแบบนี้
ฉันรู้สึกเสียใจที่ต้องตกในสถานการแบบนี้ ในอีกด้านนึงพี่ฉันเพ่งแต่งงานใหม่อย่างมีความสุข แล้วดูฉันต้องมาโดนอะไรแบบที่ฉันไม่เคยเข้าใจและคุ้นเคยกับมันเลย
เวลาในตอนนั้นก็เกือบเย็น ฉันพกเสื้อผ้าไปแค่ไม่กี่ชุด ขึ้นเครื่องในเย็นวันนั้น เลย
ตอนที่ฉันอยู่ในเครื่องบิน ฉันมีอาการเหม่อลอย อย่างไร้จุดหมาย อาจเป็นเพราะฉันร้องไห้มากเกินไปในช่วงบ่าย มันทำให้ฉันเหนื่อล้า ฉันเผลอหลับไปด้วยความอ่อนล้า
ฉันเหมือนกลัวในจิตลึกลึกว่าเครื่องบินจะตกไหม หรือฉันจะเป็นอะไรไหม ฉันพยายามระวังตัวเองอยู่ตลอดเวลา
ระหว่างอยู่บนเครื่องฝนตกหนักมาก หนักจนเครื่องตกหลุมอากาศ อยู่ตลอด ฉันไม่กล้าลุกไปไหนยเลยแม้แต่น้อย ฉันไม่ทานไม่แต่ไม่จ้องตาใครในเครื่องเลย ฉัน เกิดอาการจิตวิตก ตลอดเวลา คนรอบตัวฉันมีแต่คนแก่ ที่หน้าตาไม่ค่อยเป็นมิตร เอาซะเลย พอเครื่องลงฉัน ฉันถอนหายใจด้วยให้คลายกังวลที่ฉันมี มาโดยตลอดหนึ่งชั่วโมง
ประตูเครื่องเปิดฉันรีบออกจากเครื่องบินทันที กระเป๋าฉันมีพร้อมอยู่กับตัว ความรู้สึกฉันอยากถึงบ้านอยากกอดแม่อยากนอนพักผ่อนเพื่อคลายกังวลให้หมดไป พี่ชายคนโตของฉันมารับที่สนามบิน ถามฉันว่า อะไรทำไห้ฉันกลับมาบ้านที่เชียงรายฉุกเฉินแบบนี้ ฉันได้แต่ตอบกลับไปว่า ฉันคิดถึงบ้าน
ความรู้สึกฉันเริ่มดีขึ้นเมื่อรถจอดนิ่งบริเวรโรงรถ คนรับใช้พร้อมกับคุณแม่โถมกอดฉันอย่างไม่ทันตั้งตัว
ฉันแทบจะร้องไห้แล้วรู้สึกขึ้นมาทันทีว่า อ้อมกอดแม่มันอุ่นและทำให้ฉันรู้สึกปลอดภัยขนาดไหน
“เอิงไม่เป็นไรนะลูก ครอบครัวเราไม่เคยทำร้ายใคร แล้วไม่มีใครทำร้ายอะไรเราได้หรอก”แม่พูดด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น พร้อมจ้องหน้ามามีฉัน
ฉันเดินขึ้นบ้านช้าช้า แล้วฉันก็รู้สึกว่าฉันรู้สึกว่าบ้านหลังนี้ทำให้ฉันรู้สึกปรอดภัยมาก มากจนไม่อยากละตัวไปไหนยเลย
ฉันวางทุกอย่างลงบนพื้นละตัวไปอาบน้ำ ในห้องมีอ่างน้ำที่เต็มไปด้วยฝักของส้มป่อย ใส่ไว้แล้วฉันก็คิดว่านี่น่าจะเป็นน้ำมนต์ แม่เดินเข้ามาบอกว่า ให้อาบน้ำด้วยส้มป่อย แต่วิธีการอาบมันไม่เหมือนกัน อย่าที่ฉันเคยอาบมาก่อนมันฟังดู น่าขยะแหยง อยู่เอาการ
“เอิงอาบน้ำโดยการเอากะละมังรองไว้ที่เท้า แล้วชำระร่างกายให้หมดทั้งตัว จากนั้น เอาน้ำที่รองไว้ราดจากหัวลงเท้าอีกที”แม่พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังมา
สิ่งที่วิ่งอยู่ในหัวสมองฉันคือ ฉันกำลังทำอะไรอยู่นะ ถ้าใครรู้คงตลกน่าดูเลยหนะ
ฉันถามแม่ด้วยความอยากรู้ว่า
คุณเคยเชื่อเรื่องคุณไสยหรือไม่
ฉันเป็นหญิงที่เกิดมาในครอบรครัวที่มีกินมีใช้ไม่เคยอดอยากเป็นลูกสาวคนเดียวที่พ่อตามใจมาโดยตลอดฉันไม่เคยไม่ได้ในสิ่งที่ฉันอยากได้ ฉันมีพี่ชายสามคน เกิดมาในครอบครัวใหญ่ พ่อแม่ฉันส่งให้พวกเราเรียนในโรงเรียนชื่อดังมาตั้งแต่เด็กทุกคนจบเมืองนอกเมืองนากันทั้งนั้น ฉันไม่เคยรู้ว่าทุกอย่าที่เกิดขึ้นในชีวิตฉันเป็นสิ่งที่น่าอิจฉาของคนคนนึงเสมอมา
วันนึงฉันตื่นมาด้วยความทรมารปวดร้าวไปทั้งร่างกาย ฉันไม่สามารถจะลืมตาลุกขึ้นมาทำอะไรได้เลย
“ตาลวันนี้ฉันลาไม่ไปทำงานนะ” ฉันโทรบอกเพื่อนร่วมงานให้ลางานให้
วันทั้งวันฉันผ่านไปอย่างเชื่อช้า สุดท้ายความปวดก็มากดทับที่กระดูกสันหลัง ฉันรวบรวมสติลุกขึ้นมาไปหาหมอ
ฉันได้ตรวจร่างกายทุกอย่างแต่คุณหมอกลับบอกฉันว่า ไม่มีอะไรผิดปกติ หมอสั่งยาคลายกล้ามเนื้อมาให้ ฉันงง และคิดว่ามันต้องมีอะไรผิดปกติอะไรในการตรวจรักษาแน่นอน
ฉันกลับมาบ้านในห้องสี่เหลี่ยมของฉัน ฉันเริ่มรู้สึกว่าร่างกายฉันมันรับไม่ไหวยกับการทรมารไปถึงกระดูกในครั้งนี้ ฉันล้มนอนตั้งแต่เที่ยงวันไปตื่นอีกทีในเช้าวันรุ่งขึ้นของอีกวัน
ฉันตื่นมาด้วยความมึนงง นี่ฉันนอนโดยไม่ทานอะไร สลบไสลไปเกือบสิบแปดชั่วโมงนี่เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึก
ไม่สบายเนื่อตัวยาที่หมอให้ไม่ได้ทำให้ฉันดีขึ้นเลย ฉันไปทำงานด้วยสภาพเหมือนคนไม่สมประกอบ
ฉันถึงที่ทำงานฉันรู้สึกหงุดหงิดใครทำอะไรก็ขวางหูขวางตาไปหมด ฉันรู้สึกว่าฉันสามารถระเบิดอารมณ์ได้ทุกเมื่อ ถึงตอนสายสายฉันรู้สึกร้อนไปทั้งตัวปวดหัว หลังฉันเริ่มล้ารู้สึกปวดไปถึงกระดูก ทุกข้อมันเริ่มร้อนขึ้นไปเรื่อยเรื่อย ฉันทนไม่ไหวยกับอาการที่เกิดขึ้นแล้วฉันก็รู้แล้วว่ามันต้องมีอะไรผิดปกติที่ฉันรู้สึกได้แต่ไม่สามารถมองเห็นมัน ฉันรีบคว้าโทรศัพท์โทรหาน้าสาวที่ต่างจังหวัด รีบบอกอาการที่เกิดขึ้นให้ฟังอย่างระเอียด
“น้าเอิงปวดหลังเมื่อวานแล้ววันนี้เอิงก็ร้อนไปทั้งตัวเลยน้าช่วยเอิงด้วย” เอิงพูดด้วยน้ำเสียงที่ร้อนรนและด้วยอาการน้ำตาคลอเบ้า น้ำเสียงขุ่นเครือ
“เดี๋ยวน้าเอาเสื้อหนู๋ไปทำพิธีให้” น้าสาวมึนงง กับเสียงในสายแล้วรับปากว่าจะช่วยเป็นธุระให้
ฉันขับรถออกจากที่ทำงานด้วยใจกระวนกระวาย ในใจยังไม่รู้ว่าฉันจะขับรถไปทิศทางใด ฉันเริ่มรู้สึกใจสั่นน้ำตาเริ่มซึมเศร้าหดหู่ไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหนนย ซักพักเสี่ยงโทรศัพท์ดังขึ้น เสียงในสายเป็นเสียงที่ฉันคุ้นเคย
“เอิงฟังนะลูก มีคนเค้าทำของใส่หนู๋ เค้าอยากให้หนู่ตาย เค้าใช้มนต์ดำหมอเขมร” น้าสาวพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
ฉันวางหู โทรศัพท์ แล้วคิดในใจว่า ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิตฉัน แล้วฉันยังไม่ได้ทำอะไร ฉันเริ่มไร้สติคิดไปต่างต่างนานาว่าฉันกำลังจะตาย ฉันร้อนไปทั้งตัวยิ่งคิดยิ่งว้าวุ้นความแค้นเริ่มขึ้นหน้า ฉันคิดว่าฉันจะเอาคืนให้สาสมมันต้องตายก่อนฉันแน่แน่
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง เสียงในสายเปลี่ยนไป
“เอิงนี่แม่นะลูก ลูกทำอะไรอยู่ แม่รู้เรื่องทุกอย่าแล้วหนู๋ไม่ต้องกลัวเราต้องหาวิธีแก้ให้ได้ ”แม่พูดมาในสาย
“แม่ลูกไม่เคยทำอะไรให้เขาเลยลูกไม่เคยยุ่งกับเค้ามาทำกับหนู๋ทำไม”เอิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าพร้อมน้ำตาฟูฟาย
“กลับมาบ้านเรานะลูกกลับมาเย็นนี้เลย” แม่พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
จบการสนทนา ฉันรีบจองตั๋วเครื่องบินกลับต่างจังหวัด เวลาหกโมงเย็นในวันนั้นเลย
ฉันรีบโทรหาเจ้านายโดยไม่รีรออะไรทั้งนั้น ฉันไม่สนใจอะไรแล้วตอนนั้นฉันคิดอย่างเดียวว่าฉันต้องกลับไปต่างจังหวัดก่อนพระอาทิตย์ตกดิน ชีวิตฉันเหมือนอยู่ใน บ่อน้ำที่ลึกจนเห็นทางออกที่ลิบหลี่ทุกอย่างดูเหมือนหนังผีที่เราเคยดู กัน ฉันไม่อยากจะเชื่อว่ามันยังมีเรื่องนี้ในโลกปี 2008
“พี่จอช เอิงโดนมาณต์ดำ เค้าต้องการให้หนู๋ตาย”ฉันร้องไห้ราวกับวันนี้เป็นวันสุดท้ายของฉัน
เจ้านายไฮโซของฉันกำลังมึนงงกับคำพูดของฉัน และคิดว่าฉันเพ้อเจ้ออะไรอยู่ อย่าว่าแต่เจ้านายฉันเลย ฉันเองยังไม่อยากจะเชื่อ ฉันต้องทำทุกอย่างเพื่อจะยื้อในการมีชีวิตของฉัน ชีวิตฉันไม่มีใครเอาไปได้ ฉันเชื่อแบบนั้น
“พี่จอชเอิงจะกลับเชียงรายวันนี้นะตอนเย็น”ฉันพูดด้วยน้ำเสียงตกใจอย่างสุดขีด
“แกรู้ได้งัยว่าเป็นเค้าแกไม่มีหลักฐานนะ” พี่จอชตระโกนเข้ามาในสาย
ฉันอึ้งเงียบตอบไม่ถูก แต่จิตใต้สำนึกของฉันผลักดันให้ฉันออกจากกรุงเทพ และให้ถึงเชียงรายก่อนตะวันตกดิน
ควารู้สึกตอนนั้นคืดฉันไม่อาจให้ใครมาเอาชีวิตฉันไปอย่างง่ายดายแบบนี้
ฉันรู้สึกเสียใจที่ต้องตกในสถานการแบบนี้ ในอีกด้านนึงพี่ฉันเพ่งแต่งงานใหม่อย่างมีความสุข แล้วดูฉันต้องมาโดนอะไรแบบที่ฉันไม่เคยเข้าใจและคุ้นเคยกับมันเลย
เวลาในตอนนั้นก็เกือบเย็น ฉันพกเสื้อผ้าไปแค่ไม่กี่ชุด ขึ้นเครื่องในเย็นวันนั้น เลย
ตอนที่ฉันอยู่ในเครื่องบิน ฉันมีอาการเหม่อลอย อย่างไร้จุดหมาย อาจเป็นเพราะฉันร้องไห้มากเกินไปในช่วงบ่าย มันทำให้ฉันเหนื่อล้า ฉันเผลอหลับไปด้วยความอ่อนล้า
ฉันเหมือนกลัวในจิตลึกลึกว่าเครื่องบินจะตกไหม หรือฉันจะเป็นอะไรไหม ฉันพยายามระวังตัวเองอยู่ตลอดเวลา
ระหว่างอยู่บนเครื่องฝนตกหนักมาก หนักจนเครื่องตกหลุมอากาศ อยู่ตลอด ฉันไม่กล้าลุกไปไหนยเลยแม้แต่น้อย ฉันไม่ทานไม่แต่ไม่จ้องตาใครในเครื่องเลย ฉัน เกิดอาการจิตวิตก ตลอดเวลา คนรอบตัวฉันมีแต่คนแก่ ที่หน้าตาไม่ค่อยเป็นมิตร เอาซะเลย พอเครื่องลงฉัน ฉันถอนหายใจด้วยให้คลายกังวลที่ฉันมี มาโดยตลอดหนึ่งชั่วโมง
ประตูเครื่องเปิดฉันรีบออกจากเครื่องบินทันที กระเป๋าฉันมีพร้อมอยู่กับตัว ความรู้สึกฉันอยากถึงบ้านอยากกอดแม่อยากนอนพักผ่อนเพื่อคลายกังวลให้หมดไป พี่ชายคนโตของฉันมารับที่สนามบิน ถามฉันว่า อะไรทำไห้ฉันกลับมาบ้านที่เชียงรายฉุกเฉินแบบนี้ ฉันได้แต่ตอบกลับไปว่า ฉันคิดถึงบ้าน
ความรู้สึกฉันเริ่มดีขึ้นเมื่อรถจอดนิ่งบริเวรโรงรถ คนรับใช้พร้อมกับคุณแม่โถมกอดฉันอย่างไม่ทันตั้งตัว
ฉันแทบจะร้องไห้แล้วรู้สึกขึ้นมาทันทีว่า อ้อมกอดแม่มันอุ่นและทำให้ฉันรู้สึกปลอดภัยขนาดไหน
“เอิงไม่เป็นไรนะลูก ครอบครัวเราไม่เคยทำร้ายใคร แล้วไม่มีใครทำร้ายอะไรเราได้หรอก”แม่พูดด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น พร้อมจ้องหน้ามามีฉัน
ฉันเดินขึ้นบ้านช้าช้า แล้วฉันก็รู้สึกว่าฉันรู้สึกว่าบ้านหลังนี้ทำให้ฉันรู้สึกปรอดภัยมาก มากจนไม่อยากละตัวไปไหนยเลย
ฉันวางทุกอย่างลงบนพื้นละตัวไปอาบน้ำ ในห้องมีอ่างน้ำที่เต็มไปด้วยฝักของส้มป่อย ใส่ไว้แล้วฉันก็คิดว่านี่น่าจะเป็นน้ำมนต์ แม่เดินเข้ามาบอกว่า ให้อาบน้ำด้วยส้มป่อย แต่วิธีการอาบมันไม่เหมือนกัน อย่าที่ฉันเคยอาบมาก่อนมันฟังดู น่าขยะแหยง อยู่เอาการ
“เอิงอาบน้ำโดยการเอากะละมังรองไว้ที่เท้า แล้วชำระร่างกายให้หมดทั้งตัว จากนั้น เอาน้ำที่รองไว้ราดจากหัวลงเท้าอีกที”แม่พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังมา
สิ่งที่วิ่งอยู่ในหัวสมองฉันคือ ฉันกำลังทำอะไรอยู่นะ ถ้าใครรู้คงตลกน่าดูเลยหนะ
ฉันถามแม่ด้วยความอยากรู้ว่า
คุณเคยเชื่อเรื่องคุณไสยหรือไม่
ฉันเป็นหญิงที่เกิดมาในครอบรครัวที่มีกินมีใช้ไม่เคยอดอยากเป็นลูกสาวคนเดียวที่พ่อตามใจมาโดยตลอดฉันไม่เคยไม่ได้ในสิ่งที่ฉันอยากได้ ฉันมีพี่ชายสามคน เกิดมาในครอบครัวใหญ่ พ่อแม่ฉันส่งให้พวกเราเรียนในโรงเรียนชื่อดังมาตั้งแต่เด็กทุกคนจบเมืองนอกเมืองนากันทั้งนั้น ฉันไม่เคยรู้ว่าทุกอย่าที่เกิดขึ้นในชีวิตฉันเป็นสิ่งที่น่าอิจฉาของคนคนนึงเสมอมา
วันนึงฉันตื่นมาด้วยความทรมารปวดร้าวไปทั้งร่างกาย ฉันไม่สามารถจะลืมตาลุกขึ้นมาทำอะไรได้เลย
“ตาลวันนี้ฉันลาไม่ไปทำงานนะ” ฉันโทรบอกเพื่อนร่วมงานให้ลางานให้
วันทั้งวันฉันผ่านไปอย่างเชื่อช้า สุดท้ายความปวดก็มากดทับที่กระดูกสันหลัง ฉันรวบรวมสติลุกขึ้นมาไปหาหมอ
ฉันได้ตรวจร่างกายทุกอย่างแต่คุณหมอกลับบอกฉันว่า ไม่มีอะไรผิดปกติ หมอสั่งยาคลายกล้ามเนื้อมาให้ ฉันงง และคิดว่ามันต้องมีอะไรผิดปกติอะไรในการตรวจรักษาแน่นอน
ฉันกลับมาบ้านในห้องสี่เหลี่ยมของฉัน ฉันเริ่มรู้สึกว่าร่างกายฉันมันรับไม่ไหวยกับการทรมารไปถึงกระดูกในครั้งนี้ ฉันล้มนอนตั้งแต่เที่ยงวันไปตื่นอีกทีในเช้าวันรุ่งขึ้นของอีกวัน
ฉันตื่นมาด้วยความมึนงง นี่ฉันนอนโดยไม่ทานอะไร สลบไสลไปเกือบสิบแปดชั่วโมงนี่เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึก
ไม่สบายเนื่อตัวยาที่หมอให้ไม่ได้ทำให้ฉันดีขึ้นเลย ฉันไปทำงานด้วยสภาพเหมือนคนไม่สมประกอบ
ฉันถึงที่ทำงานฉันรู้สึกหงุดหงิดใครทำอะไรก็ขวางหูขวางตาไปหมด ฉันรู้สึกว่าฉันสามารถระเบิดอารมณ์ได้ทุกเมื่อ ถึงตอนสายสายฉันรู้สึกร้อนไปทั้งตัวปวดหัว หลังฉันเริ่มล้ารู้สึกปวดไปถึงกระดูก ทุกข้อมันเริ่มร้อนขึ้นไปเรื่อยเรื่อย ฉันทนไม่ไหวยกับอาการที่เกิดขึ้นแล้วฉันก็รู้แล้วว่ามันต้องมีอะไรผิดปกติที่ฉันรู้สึกได้แต่ไม่สามารถมองเห็นมัน ฉันรีบคว้าโทรศัพท์โทรหาน้าสาวที่ต่างจังหวัด รีบบอกอาการที่เกิดขึ้นให้ฟังอย่างระเอียด
“น้าเอิงปวดหลังเมื่อวานแล้ววันนี้เอิงก็ร้อนไปทั้งตัวเลยน้าช่วยเอิงด้วย” เอิงพูดด้วยน้ำเสียงที่ร้อนรนและด้วยอาการน้ำตาคลอเบ้า น้ำเสียงขุ่นเครือ
“เดี๋ยวน้าเอาเสื้อหนู๋ไปทำพิธีให้” น้าสาวมึนงง กับเสียงในสายแล้วรับปากว่าจะช่วยเป็นธุระให้
ฉันขับรถออกจากที่ทำงานด้วยใจกระวนกระวาย ในใจยังไม่รู้ว่าฉันจะขับรถไปทิศทางใด ฉันเริ่มรู้สึกใจสั่นน้ำตาเริ่มซึมเศร้าหดหู่ไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหนนย ซักพักเสี่ยงโทรศัพท์ดังขึ้น เสียงในสายเป็นเสียงที่ฉันคุ้นเคย
“เอิงฟังนะลูก มีคนเค้าทำของใส่หนู๋ เค้าอยากให้หนู่ตาย เค้าใช้มนต์ดำหมอเขมร” น้าสาวพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
ฉันวางหู โทรศัพท์ แล้วคิดในใจว่า ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิตฉัน แล้วฉันยังไม่ได้ทำอะไร ฉันเริ่มไร้สติคิดไปต่างต่างนานาว่าฉันกำลังจะตาย ฉันร้อนไปทั้งตัวยิ่งคิดยิ่งว้าวุ้นความแค้นเริ่มขึ้นหน้า ฉันคิดว่าฉันจะเอาคืนให้สาสมมันต้องตายก่อนฉันแน่แน่
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง เสียงในสายเปลี่ยนไป
“เอิงนี่แม่นะลูก ลูกทำอะไรอยู่ แม่รู้เรื่องทุกอย่าแล้วหนู๋ไม่ต้องกลัวเราต้องหาวิธีแก้ให้ได้ ”แม่พูดมาในสาย
“แม่ลูกไม่เคยทำอะไรให้เขาเลยลูกไม่เคยยุ่งกับเค้ามาทำกับหนู๋ทำไม”เอิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าพร้อมน้ำตาฟูฟาย
“กลับมาบ้านเรานะลูกกลับมาเย็นนี้เลย” แม่พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
จบการสนทนา ฉันรีบจองตั๋วเครื่องบินกลับต่างจังหวัด เวลาหกโมงเย็นในวันนั้นเลย
ฉันรีบโทรหาเจ้านายโดยไม่รีรออะไรทั้งนั้น ฉันไม่สนใจอะไรแล้วตอนนั้นฉันคิดอย่างเดียวว่าฉันต้องกลับไปต่างจังหวัดก่อนพระอาทิตย์ตกดิน ชีวิตฉันเหมือนอยู่ใน บ่อน้ำที่ลึกจนเห็นทางออกที่ลิบหลี่ทุกอย่างดูเหมือนหนังผีที่เราเคยดู กัน ฉันไม่อยากจะเชื่อว่ามันยังมีเรื่องนี้ในโลกปี 2008
“พี่จอช เอิงโดนมาณต์ดำ เค้าต้องการให้หนู๋ตาย”ฉันร้องไห้ราวกับวันนี้เป็นวันสุดท้ายของฉัน
เจ้านายไฮโซของฉันกำลังมึนงงกับคำพูดของฉัน และคิดว่าฉันเพ้อเจ้ออะไรอยู่ อย่าว่าแต่เจ้านายฉันเลย ฉันเองยังไม่อยากจะเชื่อ ฉันต้องทำทุกอย่างเพื่อจะยื้อในการมีชีวิตของฉัน ชีวิตฉันไม่มีใครเอาไปได้ ฉันเชื่อแบบนั้น
“พี่จอชเอิงจะกลับเชียงรายวันนี้นะตอนเย็น”ฉันพูดด้วยน้ำเสียงตกใจอย่างสุดขีด
“แกรู้ได้งัยว่าเป็นเค้าแกไม่มีหลักฐานนะ” พี่จอชตระโกนเข้ามาในสาย
ฉันอึ้งเงียบตอบไม่ถูก แต่จิตใต้สำนึกของฉันผลักดันให้ฉันออกจากกรุงเทพ และให้ถึงเชียงรายก่อนตะวันตกดิน
ควารู้สึกตอนนั้นคืดฉันไม่อาจให้ใครมาเอาชีวิตฉันไปอย่างง่ายดายแบบนี้
ฉันรู้สึกเสียใจที่ต้องตกในสถานการแบบนี้ ในอีกด้านนึงพี่ฉันเพ่งแต่งงานใหม่อย่างมีความสุข แล้วดูฉันต้องมาโดนอะไรแบบที่ฉันไม่เคยเข้าใจและคุ้นเคยกับมันเลย
เวลาในตอนนั้นก็เกือบเย็น ฉันพกเสื้อผ้าไปแค่ไม่กี่ชุด ขึ้นเครื่องในเย็นวันนั้น เลย
ตอนที่ฉันอยู่ในเครื่องบิน ฉันมีอาการเหม่อลอย อย่างไร้จุดหมาย อาจเป็นเพราะฉันร้องไห้มากเกินไปในช่วงบ่าย มันทำให้ฉันเหนื่อล้า ฉันเผลอหลับไปด้วยความอ่อนล้า
ฉันเหมือนกลัวในจิตลึกลึกว่าเครื่องบินจะตกไหม หรือฉันจะเป็นอะไรไหม ฉันพยายามระวังตัวเองอยู่ตลอดเวลา
ระหว่างอยู่บนเครื่องฝนตกหนักมาก หนักจนเครื่องตกหลุมอากาศ อยู่ตลอด ฉันไม่กล้าลุกไปไหนยเลยแม้แต่น้อย ฉันไม่ทานไม่แต่ไม่จ้องตาใครในเครื่องเลย ฉัน เกิดอาการจิตวิตก ตลอดเวลา คนรอบตัวฉันมีแต่คนแก่ ที่หน้าตาไม่ค่อยเป็นมิตร เอาซะเลย พอเครื่องลงฉัน ฉันถอนหายใจด้วยให้คลายกังวลที่ฉันมี มาโดยตลอดหนึ่งชั่วโมง
ประตูเครื่องเปิดฉันรีบออกจากเครื่องบินทันที กระเป๋าฉันมีพร้อมอยู่กับตัว ความรู้สึกฉันอยากถึงบ้านอยากกอดแม่อยากนอนพักผ่อนเพื่อคลายกังวลให้หมดไป พี่ชายคนโตของฉันมารับที่สนามบิน ถามฉันว่า อะไรทำไห้ฉันกลับมาบ้านที่เชียงรายฉุกเฉินแบบนี้ ฉันได้แต่ตอบกลับไปว่า ฉันคิดถึงบ้าน
ความรู้สึกฉันเริ่มดีขึ้นเมื่อรถจอดนิ่งบริเวรโรงรถ คนรับใช้พร้อมกับคุณแม่โถมกอดฉันอย่างไม่ทันตั้งตัว
ฉันแทบจะร้องไห้แล้วรู้สึกขึ้นมาทันทีว่า อ้อมกอดแม่มันอุ่นและทำให้ฉันรู้สึกปลอดภัยขนาดไหน
“เอิงไม่เป็นไรนะลูก ครอบครัวเราไม่เคยทำร้ายใคร แล้วไม่มีใครทำร้ายอะไรเราได้หรอก”แม่พูดด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น พร้อมจ้องหน้ามามีฉัน
ฉันเดินขึ้นบ้านช้าช้า แล้วฉันก็รู้สึกว่าฉันรู้สึกว่าบ้านหลังนี้ทำให้ฉันรู้สึกปรอดภัยมาก มากจนไม่อยากละตัวไปไหนยเลย
ฉันวางทุกอย่างลงบนพื้นละตัวไปอาบน้ำ ในห้องมีอ่างน้ำที่เต็มไปด้วยฝักของส้มป่อย ใส่ไว้แล้วฉันก็คิดว่านี่น่าจะเป็นน้ำมนต์ แม่เดินเข้ามาบอกว่า ให้อาบน้ำด้วยส้มป่อย แต่วิธีการอาบมันไม่เหมือนกัน อย่าที่ฉันเคยอาบมาก่อนมันฟังดู น่าขยะแหยง อยู่เอาการ
“เอิงอาบน้ำโดยการเอากะละมังรองไว้ที่เท้า แล้วชำระร่างกายให้หมดทั้งตัว จากนั้น เอาน้ำที่รองไว้ราดจากหัวลงเท้าอีกที”แม่พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังมา
สิ่งที่วิ่งอยู่ในหัวสมองฉันคือ ฉันกำลังทำอะไรอยู่นะ ถ้าใครรู้คงตลกน่าดูเลยหนะ
ฉันถามแม่ด้วยความอยากรู้ว่า
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น