ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [fanfic] หัวขโมยแห่งบารามอส เรื่องราว หลังจากนั้น

    ลำดับตอนที่ #67 : ฟิตสั้นสามตอนจบ(?) ตอนที่หนึ่ง สัญญากับท่านพ่อ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.85K
      3
      5 เม.ย. 53

    Short Fic TToB : Series = The Promise

    Title : 1. สัญญากับท่านพ่อ

    Time : เหตุการณ์ขณะกำลังจะผลัดบัลลังก์ของคาโล

    Note : อนึ่ง นี่เป็นฟิคสั้นซีรียส์สามตอน คู่ขนานกัยสองตอน และสรุปหนึ่งตอน รวมเป็นสาม ข้าพเจ้าเรียกสามตอนนี่ว่า บทอัลเฟรย์ บทฟาลัน แล้วก็บทสรุป เหตุก็เพราะตอนแรกจะเล่าด้วยอัลเฟรย์ ตอนสองจะเล่าด้วยฟาลัน และตอนสุดท้ายจึงจะเป็นบทสรุป ... หา ไม่รู้จักฟาลันกับอัลเฟรย์ งั้นรู้จักฟริงค์มั้ย ถ้ายังไม่รู้จักก็กลับไปอ่านชอร์ตฟิค ข้อสอบวิชาหน้ากากฟาโรห์ น่าจะพอช่วยได้บ้าง เอาเป็นว่า รู้ไว้ตรงนี้ว่า อัลเฟรย์เป็นน้องชาย และฟาลันเป็นพี่ชายก็พอ นี่เป็นฟิคที่บอกว่านึกพล็อตได้ขณะเขียนเรื่องที่แล้ว ถือเป็นโชค เพราะแค่ปิดเทอมเดียว ท่านก็ได้อ่านฟิคบารามอสแล้วสี่ตอน(ปกติไม่มีอย่างงี้นะขอบอก) และสำหรับสาวกคาโล ตอนนี้มีบทคาโลให้นิดหน่อย เชิญทัศนาฮะ

    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    “นั่นทำอะไรกันอยู่น่ะ” เสียงเล็กๆนั้นฟังดูคุ้นหูเหลือเกิน กลุ่มเด็กชายเบื้องหน้าเขาหยุดมือแล้วหันไปหาที่มาของเสียง แน่นอนว่า ตัวเขาก็เช่นกัน

    “อย่ามายุ่ง” ทันทีที่เจ้าเด็กชายหัวโจกเห็นว่าใครเป็นเจ้าของเสียง หมอนั่นก็พูดออกไปแบบนั้น เขาเหลือบมองไปยังคนที่เข้ามายุ่ง สบตากับดวงตาสีฟ้าคู่เดียวกับเขาชั่วครู่ แล้วอีกฝ่ายก็ขมวดคิ้วมุ่น

    “เพิ่งรู้ว่าว่าที่นักรบแห่งคาโนวาลชอบรังแกผู้อื่น” เด็กชายผมเงินผู้มาใหม่หยามหยันกลุ่มเด็กชายเบื้องหน้าเขาเสียงเย็นเยียบ จนพวกมันสะดุ้งโหยงไปตามๆกัน

    “คนอ่อนแอต่างหากล่ะที่ผิด” แต่เจ้าพวกนี้ยังไม่ยอมแพ้ เถียงกลับไป เขามองคนถูกเถียงที่ตาสีฟ้าคู่นั้นเริ่มขุ่นมัว เด็กชายกระตุกคิ้ว

    “ถ้างั้นพวกนายก็คงเป็นฝ่ายผิดสินะ” เมื่อถามกลับไปเช่นนั้น ทุกคนที่ยังเคลื่อนไหวได้ก็วิ่งหนีหายไปหมด เหลือเพียงเจ้าเด็กหัวโจกที่ถูกน้ำแข็งยึดข้อเท้าไว้เท่านั้น เด็กชายร่างใหญ่ผู้นั้นหน้าซีดเผือด แต่เด็กผมเงินไม่สนใจ เขาเดินผ่านคู่กรณีที่เพิ่งถูกเวทย์ของตนสั่งสอนเลยมาหาเขาที่นั่งนิ่งอยู่บนพื้น แล้วยื่นมือให้

    “ร่างกายอ่อนแอแบบนี้จะไปไหนก็หัดบอกพี่ก่อนได้ไหม ให้ตายสิ ทำให้คนอื่นเขาเป็นห่วงจะแย่อยู่แล้วรู้มั้ย” เขาฟังคำพูดนั้น มองมือของคนตรงหน้าที่ยื่นมาหาเขา... มือของพี่ชายของเขาแล้วยิ้มกว้างด้วยความยินดี แม้จะมีบาดแผลอยู่ทั้งตัว  ท่านพี่ถอนหายใจ ท่าทางเหนื่อยหน่าย “ไปมีเรื่องจนเจ็บตัวแล้วยังจะยิ้มอีกแหนะ เฟรย์” เขาจับมือกับท่านพี่ ที่ฉุดให้เขาลุกขึ้น

    “ผมรู้อยู่แล้ว ว่าท่านพี่ของผมยอดเยี่ยมที่สุด” เขาพูดแบบนั้น ด้วยความจริงใจ ท่านพี่ของเขานั้นทั้งฉลาด ทั้งเก่งกาจยิ่งกว่าใคร แถมยังคอยช่วยเขาเสมอ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์แบบไหน ดังนั้น แม้เพียงนิดเดียวก็ยังดี เขาก็อยากจะทำอะไรเพื่อท่านพี่บ้าง แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย อย่างการปกป้องไม่ให้ใครมาว่าร้ายท่านพี่ก็ตาม

    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

                เขาเดินไปตามท้องพระโรงด้วยความสงสัย ไม่ใช่สงสัยในความวิริศมาหราที่สร้างด้วยหินอ่อนสีขาวหรือประดับด้วยพรมแขวนอะไรของมันหรอก เพราะเขาเห็นมันมาตั้งแต่เด็กจนไม่นึกแปลกใจอะไรกับมันแล้ว เขาสงสัยว่าทำไมตัวเองถึงถูกเรียกต่างหาก ดวงตาสีฟ้าเหลือบมองไปยังบานประตูแกะสลักสีขาวเบื้องหน้า เป้าหมายของวันนี้ แต่ครั้นเอื้อมมือจะไปเคาะประตู แล้วก็ต้องชะงักมือไป เมื่อมีอีกมือยื่นเข้ามาจะเคาะประตูห้องพร้อมกัน เมื่อหันไปมองเขาก็เห็นเจ้าของมือ

    “พี่ฟาลันเองเหรอ ตกใจหมด” เขาเอ่ย ยิ้มให้พี่ชายคนโตของตน พี่ฟาลันตัวสูงก็จริง แต่ผอมบาง พี่มีผมสีเงินเหมือนท่านพ่อ ดวงตาสีฟ้าเหมือนท่านพ่อ ผิวขาวเหมือนท่านพ่อ เงียบเหมือนท่านพ่อ เก่งเวทย์เหมือนท่านพ่อ สรุปก็คือ พี่ฟาลันเหมือนท่านพ่ออย่างกับถอดพิมพ์ออกมานั่นแหละ ต่างกับเขาลิบลับ เขามีผมสีน้ำตาลเหมือนท่านแม่ ผิวสีทองแดงเหมือนท่านปู่ ร่างกายสูงกำยำเหมือนท่านปู่ สิ่งเดียวที่เขามีเหมือนท่านพ่อก็คือดวงตาสีฟ้าคู่นี้นั่นแหละ

                พี่ฟาลันเห็นเขาแล้วก็ยิ้มให้เล็กน้อย เหมือนปกติของคนยิ้มยากอย่างพี่ฟาลันนั่นแหละ แต่ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นอ่อนโยนเมื่อเห็นเขา คนไม่รู้จักพี่ฟาลันจะหาว่าพี่ฟาลันเย็นชาน่ากลัว แต่ความจริงพี่ลันใจดีและอ่อนโยนมาก แต่เพราะพี่ฟาลันเป็นคนเงียบๆ ไม่ชอบสุงสิงกับใคร คนอื่นเลยไม่ค่อยเห็นตัวตนตรงนี้ของพี่ฟาลัน

    “ท่านพ่อก็เรียกนายมานี่เหมือนกันเหรอ อัลเฟรย์” เขาพยักหน้า นึกสงสัยว่าท่านพ่อมีอะไรถึงต้องเรียกเขากับพี่ฟาลันมาพร้อมกันแบบนี้ ก่อนที่พี่ฟาลันจะผลักประตูเข้าไป

    “ท่านพ่อเรียกผมกับอัลเฟรย์เหรอครับ” ท่านพ่อนั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงานตัวใหญ่ ก้มหน้าก้มตาทำงานเหมือนอย่างทุกที ที่แปลกไปจากเดิมก็คือ มีท่านแม่มานั่งอยู่ปลายโต๊ะทำงานของท่านพ่อ แล้วหยิบเอกสารบนโต๊ะไปนั่งดูนั่นแหละ

                ท่านแม่เงยหน้าขึ้นมาก่อนท่านพ่อ ส่งสายตาเป็นสัญญาณให้ปิดประตู เขารีบเดินไปปิดประตูทันที ก่อนที่ท่านแม่จะส่งเอกสารให้ท่านพ่อ แล้วชี้ให้ดูจุดหนึ่งในเอกสาร ท่านพ่อรับมันไปดู แล้วใช้ปากกาวงไว้ ก่อนจะแยกไปไว้อีกกองหนึ่ง

                ท่านแม่กระโดดลงจากโต๊ะทำงานตัวใหญ่อันเต็มไปด้วยเอกสารของท่านพ่อ แล้วเดินไปยืนเคียงข้างท่านพ่อ ท่านพ่อเงยหน้าขึ้นมา แล้วใช้ดวงตาสีฟ้าคู่สวยคู่นั้นค่อยๆมองเขากับพี่ฟาลันทีละคน

    “พ่อ...” ท่านพ่อพยายามจะเริ่มประโยค พวกเขาตั้งใจฟัง ถ้าท่านพ่อถึงกับเรียกเขากับพี่ฟาลันมาพร้อมกันแบบนี้ คงต้องเป็นเรื่องใหญ่

    “พ่อคิดว่าจะสละบัลลังก์” เขาฟังคำนั้น จึงได้เข้าใจ ว่าทำไมท่านพ่อถึงได้เอ่ยออกมาอย่างยากเย็นนัก และทำไมท่านแม่จึงมานั่งอยู่ที่นี่ด้วย

                ท่านพ่อของเขา คาโล วาเนบลี กษัตริย์แห่งคาโนวาล ถ้าให้ท่านแม่บรรยายล่ะก็ ท่านแม่จะบอกว่า มันมีดีแค่หน้าตาเท่านั้นแหละ ที่เหลือก็เอาแต่นั่งปั้นท่าน้ำแข็งแล้วก็ทำงานไปวันๆไม่หัดสนใจสิ่งรอบข้าง แต่เขารู้มากกว่านั้น ท่านพ่อรักท่านแม่ ท่านพ่อรักพี่ฟาลัน รักเขา รักฟรีเซียน้องสาวของเขา ท่านพ่อรักครอบครัววาเนบลี ท่านพ่อรักคาโนวาล รักประเทศนี้ ท่านพ่อจึงทุ่มเททำงาน ไม่หยุดหย่อน ท่านพ่อใจอ่อน ถึงจะทำดุแค่ไหน แต่ก็ไม่เคยยอมขัดใจท่านแม่เสียที ท่านพ่อ เป็นพ่อที่ดี พอๆกับที่เป็นกษัตริย์ที่ดี เขาไม่แน่ใจ ว่าเขาจะทำได้ดีเท่าท่านพ่อหรือไม่

                กฎของคาโนวาลในการคัดเลือกพระราชา คือการให้เชื้อพระวงศ์ทุกคนที่อายุสิบห้าขึ้นไปมาสู้กับเอง ผู้ชนะ หรือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดคือผู้ที่จะเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป ส่วนผู้แพ้ จะต้องตกเป็นทาสของผู้ชนะ

    “ฉันอยากถาม” ท่านแม่เป็นคนทำลายความเงียบนั้น ด้วยน้ำเสียงเรียบและเย็น ที่เขาเคยได้ยินครั้งเดียว ตอนที่เขาจัดให้ฟรีเซียและเพื่อนๆไปทำหน้าที่อารักขากษัตริย์ตอนงานเลี้ยงในเอดินเบิร์ก

    “ว่าพวกแกคนไหนที่อยากเป็นอษัตริย์” เขามองหน้าพี่ฟาลัน ซึ่งพี่ฟาลันก็หันกลับมามองหน้าเขา ใบหน้าของพี่ฟาลันมีร่องรอยความวิตกจนสังเกตเห็นได้ พี่ฟาลันกำลังเกรงใจเขา เขายิ้ม

    “ผมไม่เอาด้วยหรอก” เขาประสานมือไว้ที่ท้ายทอย กล่าวด้วยน้ำเสียงรื่นเริง ท่านพ่อกับท่านแม่รวมถึงพี่ฟาลันหันมามองเขา

    “ยกบัลลังก์ให้พี่ฟาลันไปเถอะ บัลลังก์คาโนวาลไม่เหมาะกับผมหรอก” ท่านพ่อกับท่านแม่มองหน้ากัน ส่วนพี่ฟาลันจ้องหน้าเขาเขม็ง พี่คงหาว่าเขากำลังโกหก

    “แล้วต่อให้ผมจะเอาจริงๆ ถ้าผมต้องสู้กับพี่ฟาลัน ผมก็ไม่เอาหรอก ผมสู้พี่ฟาลันไม่ได้แน่” เขาไม่ได้โกหก เวทย์มนตร์ของพี่ฟาลันเป็นที่สองรองลงมาจากท่านพ่อเท่านั้น เขาไม่มีปัญญาจะไปสู้กับพี่ชายตัวเองหรอก

    “อัลเฟรย์” ท่านแม่เรียกชื่อเขา คงต้องการยืนยันจุดประสงค์ของเขา

    “ผมจะไม่สู้กับพี่ฟาลัน” เขาย้ำคำเสียงหนักแน่น ท่านพ่อจ้องหน้าเขา ราวกับกำลังหาข้อจับผิด แต่แล้วท่านพ่อก็หลุบตาลง

    “ถ้าอย่างนั้น อัลเฟรย์” ท่านพ่อเรียกชื่อเขา “พ่อจะปลดลูกออกจากการเป็นเจ้าชาย” คำพูดนั้นทำให้พี่ฟาลันเบิกตากว้าง

    “ทำไมล่ะครับ!” ท่านพี่ฟาลันร้องถามเสียงดัง ท่านพี่คงตกใจไม่น้อย ก็แน่ล่ะ ขนาดเขาเองยังตกใจเลย ปลดยศของเขาเนี่ยนะ

    “มีวิธีเดียวที่พวกแกจะไม่ต้องสู้กัน” ท่านแม่เป็นคนเฉลยคำตอบให้ ดวงตาสีน้ำตาลของท่านแม่นั้นนิ่งจนดูน่ากลัว “คือปลดยศคนใดคนหนึ่งซะ”

    “แต่... อัลเฟรย์ไม่ได้ทำอะไรผิด แล้วจะเอาข้อหาอะไร...” ท่านพี่ยังพยายามจะแย้ง ตัวเขาน่ะไม่เดือดร้อนหรอก ปลดยศเจ้าชายแล้วยังไง เขาก็ยังเป็นลูกท่านพ่อท่านแม่ เป็นน้องชายของพี่ฟาลัน เป็นพี่ชายของฟรีเซีอยู่ดี ไม่เห็นจะต้องเดือดร้อนอะไร

    “เราปลดเป็นการภายใน ให้รายชื่อผู้ที่มีสิทธิ์เป็นพระราชาไม่มีชื่ออัลเฟรย์อยู่เท่านั้น ถ้าลูกเป็นพระราชาแล้วอยากคืนยศให้อัลเฟรย์ก็ค่อยทำตอนนั้นก็ได้” ท่านพ่ออธิบายอย่างใจเย็น

    “แต่จะให้ดี ช่วงคัดเลือกกษัตริย์ แกออกไปไหนไกลๆซักพักจะดีกว่านะ อัลเฟรย์” ท่านแม่แนะนำ เขาพยักหน้ารับ พลางนึกทบทวนกฏในราชวงศ์ไปพลางๆ แต่ดูเหมือนพี่ฟาลันจะยังไม่พอใจ เขายิ้มกว้าง แล้วตบไหลพี่ฟาลันเสียงดัง

    “พี่จะกังวลไปทำไม ผมไม่ได้เดือดร้อนอะไรสักหน่อย เดี๋ยวผมก็แค่หายหน้าไปสักพัก ไว้พี่จะใช้ผมแล้วค่อยเรียกตัวกลับมาก็ได้” พี่ฟาลันเม้มปาก เขาถอนหายใจ

    “พี่อย่าคิดมากสิ เอาสมองไปคิดเรื่องทำยังไงถึงจะชนะ หรือพอได้เป็นคิงแล้วจะทำอะไรดีกว่าน่า” อัลเฟรย์ดันหลังพี่ชายตัวให้ออกไปจากห้องทรงพระอักษรของท่านพ่อตัวเอง พลางปลอบใจไปพลางๆ

    “เรื่องนี้เป็นความลับนะ ฟาลัน อัลเฟรย์ ห้าม...”

    “ครับท่านพ่อ” เขาสวนคำรับปากตั้งแต่ท่านพ่อยังพูดไม่จบประโยค “ผมจะรูดซิปปากให้สนิทเลย”

    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

                ตอนกลางวันก็พูดไปอย่างงั้น ชายหนุ่มถอนหายใจ ความจริงเขาก็กังวลเหมือนกัน ท่านพ่อกับท่านแม่ไม่อยากเห็นลูกชายของตัวเองสองคนสู้กันเอง เลยอยากหาทางทำให้ตัวเองสบายใจ แต่วิธีของท่านพ่อกับท่านแม่มัน...

    “อัลเฟรย์” เจ้าของเสียงทุ้มๆแบบนี้มีอยู่สองคนเท่านั้น อัลเฟรย์หันหลังไปหาเจ้าของเสียง แล้วก็ต้องเลิกคิ้ว ท่านพ่องั้นเหรอ

    “ครับท่านพ่อ” เขาเดินเข้าไปหาผู้เป็นพ่อ ท่านพ่อยังอยู่ในชุดทรงเต็มยศ คงเพิ่งเคลียร์งานเสร็จล่ะมั้ง

    “นอนไม่หลับเหรอ” ท่านพ่อเป็นคนเริ่มบทสนทนาก่อน ซึ่งถือเป็นเรื่องแปลกสำหรับกษัตริย์คาโล อัลเฟรย์ฟังแล้วก็ยิ้มแห้งๆ

    “นิดหน่อยน่ะครับ” ท่านพ่อค่อยๆเดินไปตามระเบียง โดยมีเขาเดินตามเยื้องไปด้านหลัง

    “เรา ไม่คุยกันแบบนี้มานานมากแล้วนะ” ใช่ ท่านพ่อยุ่งเกินกว่าที่มาคุยถามสารทุกข์สุขดิบของลูกๆทุกคนได้ คนที่ทำแบบนั้นมีแต่ท่านแม่ของเขาเท่านั้น บทสนทนาของพ่อลูกวาเนบลีเลยมักจจะเป็นบทสนทนาแบบทางการไปซะเกือบหมด มีอยู่ไม่กี่ครั้งที่เป็นการคุยแบบครอบครัว และไม่กี่ครั้งนั้นก็มักจะเป็นเรื่องของฟรีเซีย ไม่ใช่เรื่องของเขาหรือพี่ฟาลันโดยตรง

                ท่านพ่อเป็นคนพูดไม่เก่ง เขารู้ ก็เหมือนพี่ฟาลันนั่นแหละ อยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะสื่ออะไรก็ต้องจับสังเกตเอา ไม่เหมือนท่านแม่ มีอะไรก็พูดออกมาหมด

    “ลูกไม่สบายใจใช่มั้ย” ท่านพ่อยิงคำถามใหม่ เป็นคำถามที่ตรงเข้ากระแทกใจพอดี ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่

    “ผมห่วงท่านพี่” อัลเฟรย์สารภาพเสียงอ่อน ท่านพ่อยังคงสาวเท้าเดินหน้าต่อไปอย่างช้าๆ แต่ไม่หันหน้ากลับมามอง ไม่แม้แต่จะพูดอะไร เขาจึงต้องเอ่ยต่อไป

    “ท่านพี่ต้องคิดมากแน่ๆ ท่านพี่ต้องคิดว่า เป็นเพราะท่านพี่ เลยทำให้ผมต้องเสียสละยกตำแหน่งกษัตริย์ไปให้ท่านพี่ อะไรแบบนี้แหงๆเลย” เขาคิดว่าท่านพ่อยิ้ม แต่ก็ได้แค่คิด เขามองไม่เห็นเพราะเดินตามหลังท่านพ่ออยู่

    “ทำไมลูกถึงคิดแบบนั้น” ท่านพ่อถามกลับ น้ำเสียงนั้นฟังดูเหมือนอารมณ์ดีขึ้น เล็กน้อย

    “ก็เพราะท่านพี่เป็นท่านพี่น่ะสิ” เขาไม่กล้าพูดหรอกว่าเพราะพี่ฟาลันเหมือนท่านพ่อ เป็นพวกชอบคิดเล็กคิดน้อย เรื่องเสื่องตายแบบนี้ให้ท่านแม่พูดไปคนเดียวเถอะ

    “ท่านพี่ชอบห่วงความรู้สึกคนอื่น แต่ไม่ดูตัวเอง” เขาพูดต่อ เริ่มรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเผาพี่ชายตัวเองให้ท่านพ่อฟัง

    “แล้วลูกล่ะ” ท่านพ่อจู่ก็ถามสวนมาแบบไม่ทันตั้งตัว ชายหนุ่มเผลอสะดุ้งไปไม่ได้

    “ผม? ทำไมเหรอครับ” เขาถามกลับ ไม่เข้าใจความหมาย หรือบางทีอาจจะเข้าใจ แต่แกล้งทำเป็นไม่เข้าใจก็ได้

    “จริงๆแล้วลูกรู้สึกยังไงกันแน่ พ่อกำลังจะปลดลูกจากยศเจ้าชาย แม่กำลังจะไล่ลูกออกจากคาโนวาล ลูกรู้สึกยังไงกับเรื่องพวกนี้กันแน่ อัลเฟรย์” ใครกันที่บอกว่ามีแต่ลุงโรคนเดียวที่รู้ความคิดชาวบ้านไปทั่ว ท่านพ่อของเขาก็น้อยหน้าเสียเมื่อไร ชายหนุ่มมองแผ่นหลังของผู้เป็นพ่อ มองผมสีเงินของท่านพ่อ มองผ่านลงไปจนเห็นพี่ฟาลัน เห็นมือของพี่ฟาลันที่ยื่นมาให้เขา

    “ผมกลัว” เขาตอบ เสียงแผ่ว แต่ท่านพ่อก็ยังไม่หยุดฝีเท้า ท่านพ่อเดินต่อไป พร้อมกับรับฟังคำพูดของเขาไปด้วย เขากำหมัดแน่น ก้มหน้ามองพื้น แล้วหยุดฝีเท้าลง

    “ผมไม่เข้าใจ ทำไมท่านพ่อกับท่านแม่ถึงทำแบบนี้ ถ้าให้ผมสู้กับพี่ฟาลันไปเลย เรื่องมันอาจจะง่ายกว่า ท่านพ่อกับท่านแม่ทำแบบนี้เหมือนกับจะปกป้องผม ไม่สนใจพี่ฟาลัน ไม่สนใจความขัดแย้งที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อพี่ฟาลันขึ้นเป็นกษัตริย์ ถ้ามีคนคิดจะใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ของผม ปองร้ายพี่ฟาลันโดยใช้ชื่อของผม แล้วคาโนวาล... แล้วบัลลังก์... แล้วพี่ฟาลันล่ะ จะเป็นยังไง...”

                คาโลรู้สึกเหมือนลูกชายตัวเองกำลังตัดพ้อใส่เขาในตอนแรก ตะโกนใส่เขาในช่วงกลาง และร้องไห้ใส่เขาในช่วงท้าย เขาไม่ค่อยได้ใกล้ชิดลูกๆเหมือนอย่างที่เฟรินทำ เขาไม่ใช่ว่าเขาไม่ใส่ใจลูกๆ แต่เขาเห็นว่าลูกชายสองคนของเขาเข้มแข็ง และดูแลตัวเองได้ ไม่เหมือนกับฟรีเซีย เด็กคนนั้นเป็นเหมือนดอกไม้ ที่ต้องทนุถนอม เขามั่นใจว่าลูกชายทั้งสองคนก็มีความเห็นเช่นเดียวกับเขา จึงเอาใจใส่ฟรีเซียมากเป็นพิเศษ แต่พอเขารู้ตัวอีกที เขาก็แทบไม่เคยคุยกับลูกชายตัวเองตัวต่อตัวเลยหากไม่ใช่เวลางาน

                เขาไม่ได้โกรธ ที่ถูกลูกชายคนรองระเบิดอารมณ์ใส่ เขาเพียงคิด งั้นเหรอ งั้นหรอกเหรอ เท่านั้น เขาดีใจ ที่ลูกยอมคุยกับเขา ยอมพูดความจริง ยอมบอกว่าตัวเองรู้สึกยังไง

    “พ่อไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งฟาลัน” ท่านพ่อหันกลับมาหาเขาในที่สุด ท่านพ่อที่เคยตัวสูงมากตอนนี้ไม่ได้สูงไปกว่าเขาอีกแล้ว ท่านพ่อเดินเข้ามาใกล้เขา แล้ววางมือลงบนศีรษะ แผ่วเบา และอ่อนโยน ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นไปสบดวงตาสีฟ้าคู่สวย

    “ฟาลันเหมือนพ่อ ใจอ่อน ไม่เด็ดขาด ถ้าปล่อยไว้ก็คงจะลำบาก” อัลเฟรย์รู้สึกเหมือนคนเป็นพ่อกำลังยิ้มให้ ไม่ใช่ ไม่ใช่แค่ความรู้สึก แต่ท่านพ่อกำลังยิ้มให้เขาจริงๆ

    “สัญญากับพ่อข้อหนึ่งสิ อัลเฟรย์” สัญญางั้นหรือ เขามองหน้าท่านพ่อ กลืนน้ำลายอึกใหญ่ เงียบ และพยักหน้ารับฟัง

    “สัญญากับพ่อ ว่าลูกจะคอยค้ำจุนบัลลังก์ให้ฟาลัน” เขาจ้องหน้าท่านพ่อเหมือนไม่อยากเชื่อหูตัวเอง ดวงตาสีฟ้าของท่านพ่อนั้นจ้องมาทางเขา อย่างตั้งความหวัง และรอคอยคำตอบ เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังยิ้ม แล้วพยักหน้ารับ

    “ครับ” เขาให้คำมั่น หนักแน่น “ผมจะคอยค้ำจุนบัลลังก์ของพี่ฟาลัน ไม่ให้ทลายลงมาอย่างเด็ดขาด” ท่านพ่อพยักหน้า

    “ดี” ท่านพ่อยิ้ม อย่างยินดี เป็นที่สุด “เรื่องนี้เป็นความลับของเรานะ อัลเฟรย์”

    “เอ๋” เขาไม่อยากเชื่อหูตัวเองเท่าไร ท่านพ่อพูดอะไรแบบนี้เป็นด้วยงั้นหรือ

    “ห้ามเอาเรื่องสัญญาคืนนี้ไปบอกใคร ทั้งแม่ ทั้งฟาลัน หรือแม้กระทั่งฟรีเซีย เป็นความลับของเราสองคน” ถึงจะไม่เข้ากับท่านพ่อ แต่ไม่รู้ทำไม เขาฟังแล้วถึงรู้สึกว่าหัวใจมันพองโต ยินดีเหมือนเด็กๆ เขายิ้มกว้าง แล้วพยักหน้ารับด้วยความเต็มใจ

    “ครับ!

                สัญญาลับๆของเขากับท่านพ่อ น่าจะเป็นความลับแรก และความลับเดียว ที่เขากับท่านพ่อมีร่วมกัน

    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

                หลังจากที่สัญญากับท่านพ่อไว้เพียงหนึ่งสัปดาห์ คำสั่งปลดยศของอัลเฟรย์ก็ออกมา แน่นอนว่าออกมาเงียบๆ จนแทบไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำ แล้วหลังจากนั้นอีกหนึ่งสัปดาห์ ท่านแม่ก็โยนข้าวของของเขามาให้หนึ่งหอบสัมภาระ แล้วออกคำสั่งเสียงเฉียบขาดว่า “ไปที่ไหนก็ได้ที่ไกลจากที่นี่มากที่สุด” เขายังไม่ทันได้ตั้งตัว ท่านแม่ก็ผลักไสไล่ส่งเขาออกไปจากวัง เขายังไม่ทันได้ลาพี่ฟาลันด้วยซ้ำ แต่เมื่อท่านแม่บังเกิดเกล้าสั่งมาด้วยตัวเอง ลูกกตัญญูคนนี้ก็มีแต่ต้องทำตาม เขาปลอมตัวออกไปดูหลายพื้นที่ในคาโนวาล อยู่เดือนกว่าๆ เกือบสองเดือน กว่าที่ประกาศคัดเลือกชิงตำแหน่งคิงคนใหม่ของคาโนวาลจะออกมา และเมื่อนั้นแหละ ถือเป็นคำสั่งเด็ดขาดให้เขารีบออกจากคาโนวาลในทันที แม้จะอยากเห็นพี่ชายตัวเองเข้าร่วมประลองมากแค่ไหนก็ตาม

                ไม่มีคำตอบให้แก่ประชาชนว่าทำไมเจ้าชายอัลเฟรย์ วาเนบลี เจ้าชายองค์รองจึงไม่ร่วมเข้าประลองครั้งนี้ด้วย เขาไม่อาจทนฟังข้อครหาต่างๆนานาที่เริ่มจะใส่ร้ายพี่ฟาลัน ท่านพ่อ หรือท่านแม่ของเขาได้มากไปกว่านี้อีก เพราะหากทนฟังต่อไป ไม่แน่ว่าเขาอาจจะก่อเรื่องใหญ่จนการหลบฉากออกมาครั้งนี้อาจจะไร้ประโยชน์ก็เป็นได้

                เขาออกเดินทางไปจนเกือบทั่วเอเดน โดยที่มีความรู้สึกเหมือนตัวเองสวนกับท่านตามาดัสสองสามครั้ง แต่ก็ไม่เคยจับได้เสียที อาจจะเพราะเขาเป็นนักรบ ไม่ได้ถูกปลูกฝังวิชาขโมยแบบท่านแม่หรือฟรีเซีย

                ตอนที่คำประกาศว่าที่กษัตริย์แห่งคาโนวาลคนต่อไปคือพี่ฟาลันประกาศออกมา เขามีความคิดจะเดินทางเข้าไปเที่ยวเล่นในเดมอสต่อ แล้วพอเดินทางไปได้ครึ่งทาง คำประกาศสละราชบัลลังก์ของท่านพ่อก็ออกมา เขาอยากกลับไปหาท่านพ่อท่านแม่สักครั้ง แต่เพราะยังไม่มีหมายเรียกตัวกลับ จึงยังไม่กล้ากลับไป กลัวว่าหากกลับไปแล้ว อาจจะไปสร้างปัญหาให้พี่ฟาลัน จึงทำเพียงส่งจดหมายส่วนตัวไปถึงท่านแม่หนึ่งฉบับ แล้วเที่ยวเล่นอยู่ในเดมอสต่อไปอีกระยะ จนเมื่อเขาจะเข้าถึงนครจันทรา เมื่อนั้น ที่หมายเรียกตัวจากพี่ฟาลันส่งมาถึงมือของเขา เขาไม่มั่นใจว่าพี่ฟาลันรู้ได้อย่างไรว่าเขาอยู่ที่ไหน (บางทีพี่ฟาลันอาจจะขอให้ลุงโรช่วย) แต่เขาก็กลับ โดยที่ไม่ลืมเขียนจกหมายขอโทษถึงท่านตาเอวิเดสและท่านยายลูน่าว่าไปเยี่ยมไม่ทันแล้ว เพราะต้องรีบกลับ แล้วหาจับมังกรจากนครจันทรากลับมายังคาโนวาล

                คนแรกที่เขาเห็น หลังจากที่มาถึงคาโนวาล ก็คือพี่ฟาลัน พี่ฟาลันออกมายืนรับเขาด้วยตัวเองที่หน้าปราสาท เขาเห็นพี่ฟาลันยิ้มให้ แล้วยื่นมือมาให้เขา

    “ยินดีต้อนรับกลับบ้าน อัลเฟรย์” วินาทีนั้น เขาจึงรู้สึกว่าเขาถึงบ้านแล้วจริงๆ

                ท่านพี่เล่าว่าท่านพ่อกับท่านแม่ออกเดินทางทันทีหลังจากจัดการเรื่องวุ่นวายกับพวกตาแก่เสนาบดีจบ และจัดการงานทั้งหลายให้ลงตัวจนท่านพี่สามารถรับช่วงต่อได้ ท่านพี่รับช่วงงานต่อจากท่านพ่อมาแล้วหนึ่งเดือน บอกว่าเริ่มเหนื่อย อยากหาคนมาช่วย หลังจากนั้นท่านพี่ก็คืนยศเจ้าชายให้เขา แล้วแต่งตั้งเขาเป็นที่ปรึกษา มีอำนาจสูงสุด เป็นรองเพียงแค่องค์กษัตริย์ หรือก็คือตัวท่านพี่ฟาลันคนเดียวเท่านั้น บางครั้ง เขาก็คิด ว่าทั้งหมดนั่นเป็นเพียงข้ออ้าง เพราะดวงตาสีฟ้าของพี่ฟาลันนั้น ดูอ้างว้างเหลือเกิน

    “แล้วพี่ไม่หาราชินีสักคนล่ะ” เขาถามทีเล่นทีจริง ในวันหนึ่งขณะที่ช่วยพี่ฟาลันทำงานอยู่ พี่ฟาลันเลิกคิ้ว หันมามองเขา แล้วถอนหายใจ

    “ยุ่งจนไม่มีเวลาน่ะสิ” ท่านพี่ตอบเรียบๆ อัลเฟรย์เผยยิ้มเจ้าเล่ห์

    “นี่ถ้าแม่ยอดยุ่งอยู่ด้วยต้องโวยวายเสนอตัวช่วยเหลือพี่แล้วแหงๆ” พี่ฟาลันพอได้ยินสรรพนามเรียกฟรีเซียแล้วก็ส่ายหน้า ยิ้มเหนื่อยๆ

    “แล้วหลังจากนั้นก็จะมีผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้เรียงหน้าเข้ามาหาพี่วันละหลายๆคนสินะ” ท่านพี่เซ็นเอกสาร พลางเอ่ยเสียงระอายามนึกถึงน้องสาวสุดที่รักที่ต้องการช่วยเหลือตน “ไม่ดีกว่า”

    “ให้ผมช่วยเอามั้ย” พอเขาหยอดถามไปอย่างนั้น ท่านพี่ก็ทำหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อ คงไม่คิดว่าเขาจะช่วยอะไรไปได้ดีกว่าฟรีเซียสินะ

    “ว่าแต่นายล่ะ ร่อนไปทั่วเอเดนมาแล้ว ยังไม่มีสาวไหนถูกใจบ้างเลยรึไง” พอโดนถามคำถามกลับมาบ้าง เขาก็ถึงกับชะงักมือไป ไอ้มีน่ะก็มี แต่ไม่รู้เจ้าหล่อนจะยังรอเขาอยู่รึเปล่าเนี่ยน่ะสิ แต่ก็รีบยิ้มกว้างกลบเกลื่อน

    “ผมรอพี่ฟาลันแต่งก่อน แล้วค่อยว่ากัน” พี่ฟาลันฟังแล้วก็ระบายลมหายใจออก เหมือนกับเหนื่อยที่จะพูดกับเขาแล้ว

                พี่ฟาลันฉลองวันเกิดในปีแรกของการเป็นกษัตริย์ด้วยเหตุหิมะถล่มในเขตทางตอนเหนือของคาโนวาล ทั้งๆที่ทางปราสาทกำลังเตรียมจัดงานฉลองให้แก่ท่านพี่ แต่ท่านพี่กลับเอาแต่นั่งจ้องแผนที่ทั้งวันทั้งคืน พลางคิดหาวิธีช่วยประชาชนในเขตนั้นไปด้วย เขาเห็นแล้วก็ต้องถอนหายใจยาว ไปคว้าแผนที่ตรงหน้าพี่ฟาลัน พร้อมทั้งกระดาษร่างแผนต่างนานาของพี่ฟาลันมาไว้ในมือแล้วสั่งให้พี่ฟาลันไปพักผ่อนซะ

    “ผมจัดการเรื่องนี้เอง พี่ฟาลันไปพักผ่อนซะ แล้วดูแลเรื่องอื่นต่อดีกว่า” พี่ฟาลันทำท่าจะเถียง เขาเลยต้องรีบสอดปากขัดตาทัพ

    “รับรองว่าเสร็จเรียบร้อยทันวันกิดพี่ฟาลันแน่ๆ คอยดูเซอร์ไพรส์ไว้ได้เลย”

                เขาไม่รอให้พี่ฟาลันเถียง วันรุ่งขึ้นเขาก็รีบจับมังกรตัวโปรดที่ท่านตาเอวิเดสส่งมาให้เป็นของขวัญปีไหนสักปีแล้วบึ่งไปหาพื้นที่ประสบภัยในทันที

                แผนการแก้ปัญหาของพี่ฟาลันนั้นค่อนข้างดีอยู่แล้ว เขาเพียงแค่ช่วยเสริมบางส่วนให้มันใช้ได้ผลจริงก็เท่านั้น เขาไม่ได้มาช่วยประชาชนที่นี่ในนามของอัลเฟรย์ วาเนบลี เดอะปรินซ์ เขามาที่นี่ในนามของที่ปรึกษาส่วนพระองค์ของฟาลัน วาเนบลี เดอะคิง เขาย้ำเรื่องนี้เสมอ ทั้งกับตัวเอง กับผู้ที่ทำงานร่วมกับเขา และกับประชาชนด้วย เขาพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด เพื่อที่ประชาชนจะได้เชื่อมั่น ในตัวของพี่ฟาลัน ในการปกครองของพี่ฟาลัน สัญญากับท่านพ่อข้อนั้น เขายังจำได้เสมอ บัลลังก์ของพี่ฟาลันน่ะเขาจะคอยค้ำจุนให้เอง

                พอเห็นว่าแผนช่วยเหลือผู้ประสบภัยเริ่มเป็นรูปเป็นร่างจนเขาไม่ต้องอยู่คุมด้วยตัวเองอีกแล้ว อัลเฟรย์ก็ผละออกมาจากพื้นที่ เร่งมังกรไปยังวิชท์ เพื่อรับคนคนหนึ่ง และมุ่งไปยังอเมซอน เพื่อแวะรับอีกคนหนึ่ง โดยขอโทษขอโพยแขกร่วมเดินทางทั้งสองตลอดเวลา ที่เขาจำต้องเร่งมังกรให้บินด้วยความเร็วสูงทั้งที่ช่วงหน้าอากาศหนาว ไม่เช่นนั้นอาจจะกลับคาโนวาลไม่ทันวันเกิดของพี่ฟาลัน

                เขากลับมาถึงคาโนวาลก่อนวันเกิดของพี่ฟาลันหนึ่งวัน พลางคิดว่าพี่ฟาลันจะประหลาดใจแค่ไหนเมื่อเห็นแขกทั้งสองคนของเขา แต่พอบินผ่านเหนือปราสาท เขากลับเห็นบรรยากาศแปลกๆ การซ้อมพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ที่แปลกก็คือจำนวนทหารที่มีอาวุธครบมือนั่นต่างหาก เขาตัดสินใจร่อนมังกรลงให้ห่างจากบริเวณหน้าลานกว้างที่เคยคิดจะลงจอดในที่แรก เป็นบริเวณที่ลับตาข้างปราสาทแทน ก่อนจะสั่งแขกทั้งสองที่เขาไปรับมาด้วยตัวเองให้รอดูสถานการณ์ก่อนจนกว่าเขาจะกลับมา แล้วเดินเข้าไปหาพื้นที่ที่เป็นปัญหา

                พี่ฟาลันยืนอยู่ตรงนั้น ตรงที่เดียวกับที่เคยมายืนรอรับเขาในวันที่เขากลับมาถึงคาโนวาลหลังจากที่มีหมายเรียกตัวของพี่ฟาลัน ผิดจากที่ใบหน้าของพี่เคร่งเครียดไม่มีรอยยิ้มเหมือนวันนั้น และที่อยู่ตรงลานกว้างไม่ใช่เขากับมังกรจันทรา แต่เป็นกลุ่มทหารกลุ่มใหญ่ที่มีอาวุธครบมือ จนดูเหมือนการรัฐประหาร และความคิดนั้นเอง ทำให้เขาตัดสินใจปรากฏตัว

    “นี่มันเกิดอะไรกันขึ้น” อัลเฟรย์ส่งเสียงดุดัน ผ่านจากทางด้านหลังกลุ่มทหารที่กำลังล้อมฟาลัน ไปจนได้ยินกันถึงข้างหน้า คนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าของกองกำลังมองหาเจ้าของเสียงอย่างนึกขัดใจ แต่เมื่อเห็นว่าเจ้าของเสียงเป็นใคร กลับยิ้มกว้างประจบประแจง รีบเผ่นมาหาชายหนุ่มแทบไม่ทัน

    “ฝ่าบาทอัลเฟรย์นั่นเอง” เขาหรี่ตามอง เขาไม่รู้จักหมอนี่ ดูจากชุดแล้วน่าจะเป็นทหาร และคงเป็นทหารหนุ่มยศกลางๆ ไม่ต่ำไม่สูง แต่เขาไม่เข้าใจ หมอนี่จะมาทำอะไรแบบนี้ทำไม และทำไมต้องมาหาเขา

    “ฝ่าบาทฟาลัน ขอแนะนำให้รู้จัก ผู้นำคณะรัฐประหารของเรา เจ้าชายอัลเฟรย์ วาเนบลี พระอนุชาของฝ่าบาท” อัลเฟรย์รู้สึกเหมือนตัวเองถูกคำสาปให้กลายเป็นหินทันทีที่ได้ยินคำพูดพวกนั้น นี่มันอะไร ทำไมหมอนี่ถึงพูดจาแบบนี้ แล้วทหารพวกนี้ ทำไมถึงมาทำความเคารพเขาถึงขนาดนั้น ทำไมถึงไม่ไปนบนอบต่อพี่ฟาลัน...

                พอหันไปมองพี่ฟาลัน ท่านพี่ก็กำลังจ้องหน้าเขา ด้วยสีหน้าหลากหลาย ทั้งตกตะลึง ผิดหวัง เศร้าใจ และเสียใจ ปนเปจนไปหมด เขารู้สึกเหมือนโลกกำลังพังทะลาย

    “อัลเฟรย์ นี่น่ะเหรอ เซอร์ไพรส์ของนาย” ท่านพี่ถามเขา เสียงเบาหวิว ไม่แม้แต่จะสบตาเขา ทำไมถึงเป็นแบบนี้

                อัลเฟรย์แหวกทางพวกทหารและรีบเข้าถึงตัวพี่ฟาลัน

    “พี่ฟาลัน!” เขาร้องเรียกเสียงดัง ก่อนที่พี่ฟาลันจะหายเข้าตัวปราสาทไป พี่ฟาลันยอมหันมามองเขาตามเสียงเรียก เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ สายตาของพี่มันน่าอึดอัดยิ่งกว่าครั้งไหนๆที่เขาเคยเผชิญหน้ากับพี่ ยิ่งกว่าท่านพ่อ

    “พี่ เชื่อผมมั้ย” เขาถาม หลุบตาลงไม่กล้าสบดวงตาสีฟ้าของท่านพี่ ท่านพี่เงียบไป ครู่หนึ่ง ทว่าสำหรับเขามันยาวนานราวชั่วกัปกัลป์

    “พี่เชื่อนายเสมอ” เพียงเท่านั้นก็เพียงพอ เขาต้องการเพียงคำพูดนั้น เขาคุกเข่าลง ถวายความเคารพสูงสุดแก่กษัตริย์แห่งคาโนวาล แล้วชักดาบออกจากฝัก ดาบคู่กายที่ได้รับมาจากท่านตา ดาบที่เป็นคู่กับคทาของพี่ฟาลัน

                เขาหันไปหาเหล่าทหาร เบนปลายดาบไปชี้หน้าผู้นำของเหล่าทหาร

    “เจ้า!” เขาเรียก อีกฝ่ายรีบคุกเข่าลงตรงหน้าเขาแทบจะในทันที “เมื่อกี้เจ้าบอกว่า เราคือผู้นำของคณะรัฐประหารสินะ” ทหารหนุ่มผู้นั้นมีสีหน้าปลาบปลื้มยินดีเมื่อพูดกับตนเองโดยตรง

    “พะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” อีกฝ่ายตอบรับ อย่างนอบน้อม เขายิ้มเย็น

    “สัญญากับพ่อข้อหนึ่งสิ อัลเฟรย์”

    “ดี” อัลเฟรย์เบนปลายดาบออกจากทหารหนุ่มผู้นั้น “ถ้าเช่นนั้น...” แล้วหันปลายดาบนั้นเขาหาตัวเอง ดวงตาทุกคู่เบิกกว้าง

    “ผมจะคอยค้ำจุนบัลลังก์ของพี่ฟาลัน ไม่ให้ทลายลงมาเด็ดขาด”

    “ผู้นำคณะรัฐประหารเสียชีวิตลงแล้ว” เขาประกาศเสียงดัง แล้วแทงดาบเข้าหาตัวเอง

                ชายหนุ่มรู้สึกถึงความเจ็บปวดแสนสาหัส เขาค่อยๆล้มลง รู้สึกถึงความเย็นของหิมะ ได้ยินเสียงเหล็กกระทบพื้นหิมะ และกลิ่นคาวเลือด รู้สึกเหมือน ภาพตรงหน้า พร่าเลือนลงไปทีละขณะ

                เขาได้ยินเสียงกรีดร้อง บ้างก็เรียกฝ่าบาทเสียงดังไปหมด บ้างก็โกลาหลวุ่นวายสั่งตามหมอ พี่ฟาลันล่ะ พี่ฟาลันเป็นยังไงบ้าง เขามองไม่เห็น เพราะพี่ฟาลันอยู่ด้านหลัง แต่เขาคว่ำหน้าลงกับพื้นหิมะ

                วินาทีที่ความวุ่นวายกำลังเข้าครอบงำพื้นที่ เขากลับรู้สึกเหมือนเวลาหยุดลง รู้สึกถึงหิมะที่ค่อยๆโปรยปราย และเริ่มโหมกระหน่ำ รู้สึกเหมือน หลุดเข้ามาอยู่ในเขตอาคม

    “เฟรย์!!!!” อา... รู้สึกเหมือน ไม่ได้ยินชื่อนี้ มานานมากแล้ว

                และแล้ว สติทั้งหมด ก็ดับวูบลง

    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

     ตัดจบแบบน่าตบ ค้างดีมั้ยฮะ (ยิ้มกว้าง เอียงหัวหลบขวดน้ำ)

    ตอนหน้า(ที่จะลงเมื่อไรก็รอลุ้นเอาเอง) เป็นบทฟาลัน ซึ่งเขียนง่ายกว่าตาอัลเฟรย์นี่จมหูเลย

    พูดก็พูดเถอะนะ นี่เขียนแล้วก็ยังไม่รู้จะทำยังไงถึงจะสื่อความรู้สึกของอัลเฟรย์ออกมาครบ

    นี่พยายามจะแก้แล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ซะที ตอนนี้เราว่างๆ (เพราะอนิเมงดฉายหนึ่งอาทิตย์)เลยเอามาลงให้ก่อน

    ติชมตามสะดวก เราจะรอฟีดแบก

    ซีรียส์ของยัยหนูฟรีเซียนี่มีเรื่องใหเขียนเยอะดีแท้(แต่ไม่ใช่เรื่องหลัก) รอบที่แล้วก็เรื่องของรีเดล

    แล้วตอนนี้ก็มาเรื่องอขงสองศรีพี่น้องคู่นี้

    ความจริงแล้วอยากเขียนฟรีเซียนะ แต่ไม่รู้จะจับส่วนไหนของซีรียส์ของเธอมาเขียนดี เพราะเป็นเรื่องยาว

    เราไม่มีเวลามารับผิดชอบ เขียนเรื่องสั้นสบายใจกว่า

    ซีรียส์สามตอนนี้ไม่มีบทโรเลยซักกะผีก ซึ่งถือเป็นเรื่องแปลกสำหรับฟิคบารามอสของเรา

    และยิ่งแปลกหนักที่แทนที่จะใส่บทให้โรกลับมาใส่บทคาโลซะนี่

    แต่จะว่าไปแล้ว เขียนคาโลยังไม่เหนื่อยเท่าเขียนเฟรินนะ รายนั้นนี่...(ไม่สามารถอธิบายด้วยคำพูดได้)

    ความจริงแล้ว ฟาลันกับอัลเฟรย์นี่ถูกกำหนดขึ้นมาอย่างงั้นเองว่า ฟรีเซียต้องมีพี่ชายสองคน

    แต่อยู่ๆเราก็มาสำนึกได้ว่า ก็ถ้าเป็นลูกชายสองคนก็ต้องมาสู้กันเองสิวะ แล้วเฟรินจะยอมเรอะ

    เลยเอามาลองเขียนดู

    แต่เนื่องด้วยข้าพเจ้าอ่อนเรื่องเศรษฐกิจและการเมืองเป็นอย่างมาก

    บางทีจึงรู้สึกว่า นี่มันเรื่องอะไรวะเนี่ย เริ่มจะไม่ใช่แล้วนะเอ็ง

    จุดอ่อนส่วนตัว ข้าพเจ้าเบื่อการเมือง เลยพาลไม่ศึกษามันไปเสียฉิบ

    ตอนนี้เลยกลายเป็นประเด็นให้ต้องมานั่งปวดหัวอยู่นี่

    พยายามจะดัดนิสัยตัวเองอยู่ ด้วยการนั่งฟังข่าวแล้วเอาไปลองวิเคราะห์ดูว่า ถ้าเป็นแบบนี้แล้ว จะเป็นยังไง

    ก็ยังไม่ได้ช่วยมากนัก เพราะอคติยังอยู่ แต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลยล่ะนะ

    ทนๆไปก่อนฮะ เขียนเพราะอยากเขียน เขียนไม่ดีก็มานั่งปวดหัว แต่ก็อยากเอาลงอ่ะ

    อ่านไปแล้วช่วยฟีดแบกกลับมาทีแล้วกันนะฮะ เราจะรอ

    อนึ่ง เห็นคำผิดก็แจ้งที ข้าพเจ้าตรวจปรู๊ฟไปแล้วก็จริง แต่ก็อาจจะหลุดรอดสายตาไปเหมือนกัน

    อ่านให้สนุกนะฮะ เจอกันคราวหน้า

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×