ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [fanfic] หัวขโมยแห่งบารามอส เรื่องราว หลังจากนั้น

    ลำดับตอนที่ #53 : ฟิคพิเศษ ฉลองวันคริสต์มาสฮะ (ความจริง ก็แค่คนแต่งขี้เกียจ)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.32K
      8
      25 ธ.ค. 48

    ฟิคตามเทศกาลครับผม



    ต้อนรับเทศกาลคริสต์มาส



    บอกไว้ก่อนว่านี่จะสปอยของตอนเฟรินปีสี่นะ



    ปีสี่ของเฟรินที่เราไม่มั่นใจว่าจะแต่ง



    ยังไงก็ตาม อ่านไปแล้วกันฮะ



    เนื่องด้วยมันจะสปอยเล็กน้อย (มั้งนะฮะ)



    จะดีมาก ถ้าคุณรอให้เรื่องนี้จบก่อนแล้วกลับมาอ่าน



    แต่ถ้าคุณชอบสปอย ก็อ่านไปเถอะฮะ



    Merry Christmas and Happy New Year



    ขอให้มีความสุขมากๆในคริสต์มาสและปีใหม่นี้ฮะ



    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



        

        ป้อมอัศวิน ป้อมแห่งความวุ่นวาย ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีแล้วก็ตามที แม้ว่าตัวป่วนประจำป้อมจะมีวุฒิภาวะขึ้นอีกปี แต่ตัวป่วนก็ยังเป็นตัวป่วน ยังหาเรื่องป่วนได้ทุกครั้งที่มีโอกาส ถึงจะยอมดูว่า มันเหมาะสมแก่เวลาหรือไม่ก็ตามที รึเปล่านะ



    “หายไปไหนแล้วนะ หมอนั่น” เสียงหวานดังขึ้นอย่างหงุดหงิด เมื่อเธอวิ่งมาถึงตรงมุมตึก เงาของคนที่เธอกำลังตามตัวอยู่ก็หายไปแล้ว



    “เจอมั้ย” เสียงดังถามขึ้นมาจากข้างหลัง



    “ไม่เจอ พอวิ่งมาถึงตรงนี้แล้วก็หายไปเลย” เธอตอบ



    “จะตามหาต่อมั้ย” เสียงนั้นถามต่อ



    “คงจะยากถ้าหมอนั่นไม่อยากให้ใครเจอ แต่ปัญหาก็คือ แล้วงานของหมอนั่นล่ะ ใครจะทำต่อ” เธอปฏิเสธ พร้อมพูดถึงปัญหา



    “อ๋อ เรื่องนั้น หมอนั่นจัดการให้แล้วล่ะ”



    “แล้วใครล่ะ ที่จะเป็นคนจัดการงานทั้งหลายของหมอนั่นให้”



    “ก็คนเดิมไง แองจี้ มือขวาของเฟริน โร เซวาเรส เฟรินทิ้งจดหมายเอาไว้แล้ว”



    “เอาอีกแล้ว ไม่รู้โรมันไปทำอะไรให้เฟริน” แองเจลีน่าว่าพลางส่ายหัวอย่างปลงๆ



    “ก็คงจะพอสมควร” ตอบพลางนึกไปถึงเหตุการณ์ปีที่แล้ว ที่สาวเจ้าถึงกับกระชากคอเสื้อของเจ้าชายขอทานนั่นขึ้นมา



    “คงจะไม่พอสมควรล่ะ มาทิลด้า คงจะหนักเอาการเลยล่ะ” แองเจลีน่าแก้คำให้กับเพื่อนสาว ก่อนจะพากันกลับไปสางงานของตัวเองบ้าง



    “ช่างเถอะ โรคงจะรู้ตัวอยู่แล้วล่ะ” มาทิลด้าว่าบ้าง ก่อนจะเดินตามเพื่อนสาวไป



        ใช่แล้วครับ ตัวป่วนก็ยังคงเป็นตัวป่วน เธอก็ยังคงเป็นเธอ ดูเหมือนว่าเธอคงจะโกรธผมน่าดู ถึงได้ทิ้งงานไว้ให้ผมเคลียร์ได้ทุกครั้งที่มีโอกาส



        ผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันครับว่าทำไมเธอถึงต้องโกรธ ปีที่แล้วผมแค่เสนอความคิดเห็นไปตามความจริงเท่านั้นเอง แล้วอีกอย่าง ปีก่อนถึงผมจะไม่พูด โรเวนก็คงยกตำแหน่งให้เธออยู่ดี



        พูดมาถึงตรงนี้ พวกคุณบางคนคงพอจะเดาได้แล้วใช่มั้ยครับ ว่าผมคือใคร ใช่แล้วครับ ผมโร เซวาเรสครับ หรือคุณจะเรียก ชาเบรียน โบแด็งก็ได้ครับ แต่ผมไม่ค่อยชินเท่าไร ผมชอบให้คนเรียกผมว่าโรมากกว่า ส่วนเธอที่ผมพูดถึงก็คือ เฟลิโอน่า เกรเดลเวลครับ แต่ไม่มีใครเรียกชื่อนั้นหรอกครับ ถ้าไม่ใช่พวกผู้ใหญ่ คนอย่างพวกเราๆ ท่านๆ จะเรียกเธอว่าเฟรินครับ เพราะเธอชอบแบบนั้นมากกว่า



    “เฮ้ย โร แกซวยอีกแล้วว่ะ งานนี้” นั่นคิลครับ เพื่อนสนิทของเธอ เอ่อ จะเรียกว่าเป็นเพื่อนสนิทของผมก็ได้นะครับ ตอนนี้ เพราะตั้งแต่ผมและเขาได้ตำแหน่งเดียวกันนี่รู้สึกว่าผมกับเขาจะได้เดินเวรด้วยกันบ่อยมาก แล้วอีกอย่างถ้าคุณยังไม่รู้ ผม คิล เฟริน และ คาโล เราสี่คนถูกเรียกเป็นสี่อัศวิน (ง่า เราเอามาใช้อีกแล้วนะฮะ ขออภัยจริงๆฮะ) แห่งเอดินเบิร์กไปแล้วครับ เพราะปีที่แล้ว พ่อของผม จักรพรรดิวิลเลี่ยม โบแด็งที่สามแห่งเวนอลมาพูดเอาไว้ ตอนบุกงานประชุมคัดเลือกไฮคิง จนหลายๆคนก็เลยเริ่มจะเรียกตาม แล้วพอพวกโรเวนจบออกไป มันก็เลยกลายเป็นฉายาของพวกผมไปโดยสมบูรณ์แล้วครับ



    “ชินซะแล้วล่ะคิล แล้วคาโลรู้เรื่องนี้รึยัง” ผมตอบกลับ โดยที่ไม่มองหน้าเขา ไม่ใช่ว่าผมเป็นคนไม่มีมารยาทนะครับ แต่เอกสารกองโตที่กองตรงหน้าผมต่างหากครับ ทำให้ผมไม่สามารถมองหน้าเขาได้



    “ยังเลย ว่าจะลองไปถามมันอยู่เหมือนกันว่าไอ้เฟรินไปหามันบ้างมั้ย” คิลว่า



    “อืม ลองไปดูให้หน่อยแล้วกันคิล แต่ถ้าไม่เห็นเฟริน ก็อย่าไปบอกคาโลเลยว่าเฟรินหายไป เดี๋ยวจากอากาศกำลังเย็นๆจะกลายเป็นน้ำแข็งเกาะไปซะก่อน” ผมตอบกลับ คิลพยักหน้ารับก่อนจะเดินออกไป ใช่ครับ ถ้าคุณยังไม่รู้อีก คาโลประกาศขอหมั้นกับเฟรินหลังจากจบปีสามครับ ความจริงมันเป็นความลับ แต่เผอิญว่าพวกผมไปเที่ยวคาโนวาล แล้วไปต่อที่เดมอส ผมกับคิลก็เลยรู้เรื่องนี้ครับ เพราะคนที่ไปขอหมั้นมีแค่คาโล กับคิงบาโรสองคนเท่านั้น และก็มีพวกผมสองคนติดสอยห้อยตามไปด้วย รวมแล้วเป็นประมาณหกเจ็ดคนครับที่รู้เรื่องนี้ ทั่วทั้งป้อมยังไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลยซักคน



        เฮ้อ ความจริงท่านพ่อก็บอกว่าจะลองทาบทามเธอให้ผมหรอกนะครับ แต่ผมรู้ว่าไม่มีหวังก็เลยต้องบอกปฏิเสธไป ครับ ผมรู้สึกอิจฉาคาโลครับ ที่เธอรักเขา ถ้าเปลี่ยนคาโลเป็นผมก็คงจะดีไม่น้อย ทั้งๆที่ถ้าเทียบกันตามยศผมก็ไม่มีอะไรจะด้อยไปกว่าคาโลสักเท่าไร แต่จะทำไงได้ล่ะครับ เธอไม่ได้รักผมนี่ครับ แล้วผมก็ไม่ได้อยากจะบังคับใจใคร แต่เมื่อไรที่เขาไม่ต้องการเธอ ผมนี่แหละที่จะไปเอาตัวเธอมาจากเขาเอง



        แต่พูดกันตามจริง ถือว่าเธอสนิทกับผมมากว่าใครๆทั้งหมดในกลุ่มของพวกเรานะครับ เพราะผมเป็นมือขวาของเธอ ผมก็เลยต้องอยู่คอยปรึกษากับเธอตลอด แต่แน่นอนครับ ตำแหน่งของผมก็ยังเป็นสี่ผู้คุมกฎไม่เปลี่ยน ถึงจะยกระดับขึ้นมานิดหน่อยก็ตามที เพราะเธอบอกว่า ผมเป็นต้นเหตุของการที่เธอได้รับหน้าที่อันสาหัสนี่ ผมก็ต้องช่วยเธอแก้ไขปัญหาด้วย ผมก็เลยต้องกลายเป็นมือขวาของเธอทั้งๆที่เหตุไม่ใช่ แต่ก็นั่นแหละครับ ใช่ว่าผมไม่ชอบซะหน่อย



    “โร เหนื่อยนายหน่อยนะ ชั้นตามหาเฟรินไม่เจอ พยายามเข้าล่ะ” นั่นแองเจลีน่าครับ เจ้าหล่อนน่ารัก เป็นคู่กัดกับเฟรินครับ เมื่อก่อน ตอนที่ใครๆยังไม่รู้ว่าเฟรินเป็นผู้หญิงก็มีคนเก็งไว้เหมือนกันว่า สองคนนี่จะได้คู่กัน แล้วดูเหมือนเจ้าหล่อนจะมีใจให้เธอจริงๆ แต่พอความแตกปุ๊บ แองเจลีน่าก็อกหักดังเป๊าะครับ ผมว่าบางทีก็น่าสงสารเธอมากว่าผมนะครับ เพราะเธอดันไปรักคนที่ไม่มีโอกาสเลย แต่ผมนี่ยังมีโอกาสคอยเสียบแทนคาโล ถ้าเขาดูแลเธอไม่ดี



    “ขอบใจ แองจี้ ไม่เป็นไรหรอก ชั้นชินซะแล้วล่ะ” ผมตอบเธอกลับ



    “อ้อ เอกสารพวกนั้นวางไว้ตรงนั้นเลย เดี๋ยวฉันจัดการเอง” ผมชี้ไปยังที่ว่างมุมห้อง แองเจลีน่าพยักหน้ารับ ก่อนจะทำตาม



    “ลำบากหน่อยนะ ทั้งๆที่วันนี้เป็นวันหยุดแท้ๆ” เธอว่า ผมก็ได้แต่ยิ้มรับ



    “เพราะว่าเป็นวันหยุด เฟรินถึงได้ออกไปไง ไม่เป็นไรหรอกแองจี้ สบายอยู่แล้วล่ะ เฟรินเคลียร์ไปเยอะแล้ว นี่เหลือแค่ส่วนสุดท้ายของงานเท่านั้นแหละ” ใช่ครับ เธอไม่ได้หนีไปโดยที่ไม่ทำอะไรครับ เธอเคลียร์งานไปห้าในหกแล้วครับ เธอเคลียร์งานจนหามรุ่งหามค่ำเลยครับ จนผมสงสารเธอ เธอเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบงานเอกสารเท่าไร แต่เธอก็ยังทำมันครับ แล้วพอผมตื่นมา ผมก็พบว่า เธอไม่ได้กลับห้องครับ เธอทำงานอยู่ในห้องทำงานจนถึงเช้า ผมกะจะเอาอาหารเช้ามาให้เธอครับ แต่คาโลก็ตัดหน้าผมไปอีกครั้ง จะให้ผมทำยังไงได้ เขาเป็นคนรักกันครับ ผมก็เข้าใจ ผมก็ได้แต่หลบฉากออกไป แต่พอผมกลับมาที่ห้องอีกครั้งผมก็พบแต่โน้ตสั้นๆของเธอที่แปะไว้บนสุดของกองเอกสารเพื่อทิ้งไว้ให้ผมครับ



            ‘โทษทีโร ฝากทำต่อด้วย’



        แล้วก็ตามมาด้วยเสียงโวยวายของแองเจลีน่าข้างล่าง นั่นแหละครับ เหตุผลที่ผมต้องมานั่งอยู่ในห้องทำงานแบบนี้ แต่ผมก็เต็มใจทำงานครับ ผมอยากจะช่วยเธอบ้าง แม้จะเล็กน้อยก็ยังดี แล้วอีกอย่าง เธอก็ขอโทษผมไว้แล้วด้วย ผมไม่ถือหรอกครับ



    “ไปเถอะแองจี้ เธอเองก็มีงานเหมือนกันใช่มั้ยล่ะ” ผมเอ่ยอย่างรู้ทัน ไม่ใช่ว่าผมอ่านใจคนได้นะครับ แต่คนพวกนี้มักจะแสดงความรู้สึกออกมาทางสีหน้าต่างหาก นอกเสียจากว่าส่วนน้อยอย่างคาโล แต่คาโลก็ยังอ่านง่ายเหมือนกัน แม้สีหน้าจะเรียบเฉยๆ แต่เขาจะแสดงความรู้สึกทั้งหมดออกมาทางดวงตากับท่าทางครับ



        แองเจลีน่าพยักหน้ารับ แล้วจึงปิดประตูออกไป ผมยืดตัวบิดขี้เกียจ ก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่าง เธอคงจะไปหาคาโลหรือไม่ก็ออกไปเดินเล่นนอกโรงเรียน หรือบางทีอาจจะทั้งคู่เลยก็ได้ ผมก็ได้แต่หวังจะให้เธอกลับมาอย่างปลอดภัย ก่อนจะลงมือจัดการกับงานส่วนสุดท้ายของเธอให้เสร็จโดยไว เพราะงานล็อตใหม่ แองจี้ได้เอามาวางไว้ต่อแล้ว



    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



    “คาโล โทษที ขอหลบภัยก่อน” เสียงหวานดังขึ้นมาจากหน้าต่างห้องทำงานของเขา คิ้วเรียวมุ่นลงเล็กน้อย นี่เธอขึ้นมาได้ยังไงล่ะเนี่ย



        เธอหลบอยู่ข้างหน้าต่าง เสียงของแองเจลีน่ากับมาทิลด้าดังอยู่ล่างหน้าต่างห้องทำงานของเขา ทำให้เขารู้ว่า เธอหนีงานออกมานั่นเอง



    “นายหนีงานมางั้นเหรอ เฟริน” เขาเอ่ยถามเสียงดุ แต่ดูเธอจะไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อนเท่าไร ตั้งแต่หมั้นกันนี่ดูเธอจะกลัวเขาน้อยลงไปทุกที



    “ไม่ได้หนี แต่วันนี้วันหยุดนะ ฉันไม่อยากทำงานในวันหยุดหรอกนะ” เธอบ่นกระปอดกระแปด ก่อนจะเอ่ยขัดเมื่อเขาอ้าปากจะพูด



    “แล้วก็ไม่ต้องมาบอกว่าคนในสภาสูงไม่มีวันหยุดหรอกนะ พวกปราสาทขุนางยังได้หยุดเลย”



    “นั่นมันฝั่งของเขา ไม่เกี่ยวกับของนาย” เขาแย้ง



    “ฉันเคลียร์ไปจนเกือบหมดแล้วน่า เหลืออีกนิดเดียวเอง ที่ทิ้งไว้ให้โรทำ” เธอตอบตามความจริง



    “ไม่เกี่ยวว่านายเคลียร์ไปมากแค่ไหน แต่นายไม่ควรจะไปโยนงานให้คนอื่นทำแบบนี้” เขาแย้งตามความจริง



    “ตามใจ ว่าจะมาชวนนายไปเดินเล่นด้วยกัน แต่คนบ้างานอย่างนายคงไม่อยากไป ไม่รบกวนแล้ว” เธอว่าพลางไหวไหล่ ก่อนจะกระโดดออกจากห้าต่างห้องทำงานของเขาไปอย่างไม่คิดจะต่อคำซักนิดไม่สมกับเป็นเธอเลย และเขาจะไม่ห่วงเลยถ้าห้องทำงานของเขาไม่ได้อยู่ชั้นบนสุดของป้อมอัศวิน!! นัยน์ตาสีฟ้าเบิกกว้างเมื่อเธอกระโดดออกไป สาวเท้าเข้าไปที่ริมหน้าต่างทันที ก่อนจะเห็นร่างเล็กของเธอวิ่งอยู่ไวๆแล้วกระโดดขึ้นไปบนกำแพงโรงเรียนอย่างชำนาญ ราวกับแมว เพื่อที่จะออกไปเดินเล่นนอกโรงเรียน โดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัวเลยว่า ชุดที่ใส่อยู่นั้นมันล่อแหลมแค่ไหน



        กระโปรงเครื่องแบบของโรงเรียนที่เลยเข่าลงมาเพียงเล็กน้อย เสื้อยืดรัดรูปที่เผยให้เห็นรูปร่างซ่อนรูปของเธอ แบบที่เธอชอบบ่นว่าอึดอัดแต่ก็ต้องใส่เพราะพ่อของเธอจัดมาให้แบบนี้ ยังดีที่มีแจ็กเก็ตตัวนอกคลุมไว้อีกชั้น แต่ก็ยังอันตรายอยู่ดี แล้วแบบนี้จะไม่ให้เขาออกไปตามได้ยังไง แต่ความคิดของเขาก็ต้องสะดุดลงเมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้น



    “คาโล เฟรินอยู่ในห้องนายรึเปล่า” เสียงคิลดังขึ้นมาจากหน้าประตู ก่อนจะเปิดประตูเข้ามา



    “อ้าวไม่อยู่เหรอ งั้นก็ไม่เป็นไร ชั้นไม่รบกวนแล้ว นายทำงานไปเถอะ” คิลพูดอย่างรวดเร็ว อย่างไม่คิดจะพูดอะไรกับเขาซักคำ เปิดประตูเข้ามา แล้วก็ปิดประตูออกไป ท่าทางอันน่าฉงนแต่เขาไม่มีเวลาสนใจ เพราะแม่ตัวดีของเขาหนีออกไปนอกโรงเรียนเป็นที่เรียบร้อย มือคว้างเสื้อคลุมแล้วเดินออกไปจากห้องทำงานทันที เป้าหมายคือตลาดเอดินเบิร์ก



    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



        เวรกรรม ไม่อยู่ในห้องทำงานไอ้คาโล ลองไปดูห้องมันก่อน ถ้าไม่เจอแสดงว่าออกไปข้างนอกแหง ถ้ามันออกไปข้างนอกคงต้องไปถามไอ้โรแล้วล่ะว่าจะทำไงดี



        เขาสาวเท้าไปตามทางเดิน ทางเดินในป้อมอัศวินที่เขาจำได้ขึ้นใจ เพราะต้องเดินเวรบ่อย แถมยังเดินในความมืดอีกด้วย ป้อมผจญภัย สมชื่อจริงๆนั่นแหละ เพราะขนาดเขาอยู่มาสี่ปี เขาก็เพิ่งรู้ว่าป้อมอัศวินมันมีทางลับเยอะแยะขนาดนี้ มิน่า ลูคัสถึงได้โผล่ไปนู่นมานี่เป็นแมลงสาบได้



        เขาตัดสินใจเลี้ยงขวาไปยังที่ตั้งรูปภาพใหญ่บนชั้นแปด เพื่อไปเข้าทางลับลงไปชั้นห้า ปกติเวลาเขาเดินเวรเขาก็ใช้วิธีนี้ ใช้ทางลับ เพื่อไปโผล่ยังอีกชั้นได้อย่างรวดเร็ว แล้วเมื่อเดินเสร็จ ก็ใช้ทางลับอีกครั้งเพื่อมายังชั้นของห้องนอนตัวเอง



        คิลสาวเท้าออกมาจากหลังรูปปั้นตัวหนึ่งบนชั้นสี่ แล้วเดินมุ่งหน้าไปยังห้องพักของเฟริน เพื่อตามหาเพื่อนที่หนีงานไป ทิ้งงานไว้ให้เพื่อนอีกคนกองย่อมๆ



        เขาเคาะประตูห้องของเพื่อนสาวเบาๆเป็นเชิงขออนุญาต หลังจากเคาะประตูอยู่สักครู่ ก็ตัดสินใจถือวิสาสะเปิดเข้าไป แต่สิ่งที่พบก็คือความว่างเปล่า ซวย มันออกไปข้างนอกแล้ว ทำไงดีล่ะทีนี้



        คิลวิ่งไปยังทางลับไปยังชั้นเจ็ดทันที เพื่อไปหาเพื่อนเจ้าชายขอทาน แล้วรายงานว่า ไอ้เพื่อนรักเจ้าหญิงหัวขโมยมันได้หนีออกไปข้างนอกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว



        ถ้าเขาโดนใครเล่นงานมาล่ะก็ เขาจะมาเล่นงานมันให้หนักเป็นสองเท่าเลยคอยดู ความคิดที่ดูจะเป็นได้แค่ความคิด เพราะถ้าเขาคิดจะทำอะไรแม่เจ้าหญิงคู่หมั้นของไอ้คาโล มีหวังเขาได้กลายเป็นน้ำแข็งประดับป้อมไปเสียก่อน แต่งานนี้มันไม่เหมือนกัน เขาคิดวิธีที่จะเล่นงานมันแบบไม่ให้กลายเป็นน้ำแข็งได้แล้ว



    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



        ผมบิดขี้เกียจยืดเส้นยืดสายเป็นครั้งที่สองของวันแล้วครับวันนี้ ผมเพิ่งเคลียร์งานเอกสารที่เธอทิ้งไว้ให้ผมเสร็จครับ อากาศหนาวขึ้นอีกแล้ว เสื้อคลุมตัวเดียวชักจะเอาไม่อยู่ซะแล้วกับสภาพอากาศใกล้หิมะตกแบบนี้ แต่วันนี้ผมไม่เห็นเธอใส่เสื้อคลุมซักตัว เธอจะเป็นอะไรมั้ย ยิ่งคิดก็ยิ่งเป็นห่วงครับ เธอไม่ค่อยจะถูกกับอากาศหนาว จนบางทีผมยังไม่เข้าใจเลยครับว่าทำไมเธอถึงยอมหมั้นกับคาโลที่เธอตั้งฉายาให้เขาว่าก้อนน้ำแข็งเดินได้ แต่นั่นมันก็คงไม่เกี่ยวกันเท่าไร ผมเป็นห่วงเธอครับ จนผมคิดจะออกไปตามหาเธออยู่เหมือนกันตอนที่คิลมาบอกผมว่าเธอไม่ได้อยู่ที่ห้องของคาโล และคาโลก็ยังอยู่ที่ห้อง แต่เมื่อคิดได้ว่า คาโลคงรู้แล้วก็ออกไปแล้วก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำงานให้เธอต่อครับ ตอนนี้ก็สี่โมงกว่าแล้วครับ เธอออกไปตั้งแต่สิบโมงกว่าๆ หกชั่วโมงแล้วเธอก็ยังไม่กลับ ยิ่งคิดก็ยิ่งฟุ้งซ่านครับ ผมก็ได้แต่ทำงานไปเพื่อดับความคิดฟุ้งซ่าน เพราะปล่อยให้สมองว่าง ความคิดฟุ้งซ่านเกี่ยวกับเธอจะเข้ามาทุกครั้ง



        ผมลุกจากโต๊ะทำงานไปหยิบกองเอกสารที่แองเจลีน่ามาวางไว้ให้ตอนเช้ามาทำต่อ กะไว้ว่าประมาณหกโมงจะน่าจะเสร็จไปครึ่งนึงแล้ว ผมจะได้ลงไปกินข้าวได้ซะที



        เสียงเคาะประตูดังขึ้น คราวนี้เป็นมาทิลด้าครับ เธอถือแก้วกาแฟกับคุกกี้มาด้วยครับ



    “เอ้า พักซะหน่อยมั้ยโร นายทำมากว่าครึ่งวันแล้ว” เธอเรียกให้ผมพัก ผมส่ายหน้าช้าๆครับ



    “ไม่ล่ะมาทิลด้า เพิ่งพักไปเมื่อตะกี้เอง”



    “งั้นก็ตามใจแล้วกัน ทานรองท้องไปหน่อยแล้วกัน เผื่อนายจะหิว ข้าวเที่ยงนายก็ยังไม่ได้ทานนี่” เธอวางถาดคุกกี้กับกาแฟไว้บนเก้าอี้ว่างๆตัวหนึ่ง แล้วก็เดินออกไป



    “ยังไงก็ขอบใจแล้วกันมาทิลด้า” ผมพูดไล่หลังเธอไป ก่อนจะมองไปยังคุกกี้กับกาแฟที่มาทิลด้าเอามาให้ คงจะเป็นของที่เรนอนทำ ผมประเมิน เพราะเรนอนชอบทำขนม แล้วผมเองก็เคยมีโอกาสได้ชิมมาเหมือนกัน รูปร่างของคุกกี้อันนี้คล้ายกันกับคุกกี้ตอนนั้นเหมือนกัน นี่ถ้าเธอทำมาให้ผมบ้างก็คงดี ผมยกกาแฟขึ้นมาจิบก่อนที่จะลงมือทำงานต่อ เพราะผมเริ่มความคิดไร้สาระเกี่ยวกับเธออีกแล้ว



    “เอาล่ะ รีบๆทำงานต่อดีกว่า”



    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



    “หายไปไหนของมันนะ” เขาพึมพำอย่างหงุดหงิดหลังจากที่เธอหายไปจากสายตาของเขาเป็นรอบที่สี่ของวัน พอคิดว่าเข้าใกล้มากทีไรก็ดูเหมือนว่าเธอก็จะหายไปทุกที แต่พอคิดว่าไม่เจอ เธอก็จะปรากฏตัวมาให้เห็น เหมือนกับว่าเธอกำลังแกล้งเขาอยู่ยังไงอย่างงั้น



        หลังจากเดินวนอยู่บริเวณนั้นสักครู่ เขาก็เห็นตัวเธออีกครั้ง ดูเหมือนกำลังเลือกซื้ออะไรซักอย่างอยู่กับแผงเล็กๆของคุณป้าคนหนึ่ง รอยยิ้มการค้าของคุณป้าคนนั้นทำให้เขารู้ว่าเธอกำลังเลือกซื้อของได้ทั้งๆที่ยังเห็นไม่ชัด



    “แม่หนูสนใจสร้อยคอนี่มั้ยล่ะจ๊ะ” คุณป้าเจ้าของแผงคนนั้นถามเธอ เธอมองสร้อยคอเส้นนั้นอย่างพินิจ



    “กำลังหาของขวัญให้แฟนอยู่ใช่มั้ยล่ะ” คำพูดของคุณป้าคนนั้นแทงเข้ากลางใจของเธอจนเธอต้องรีบปฏิเสธเป็นพัลวัน



    “ป....เปล่าซักหน่อย แค่คิดว่าคงเหมาะกับคนปากหนักเท่านั้นเอง” ดวงหน้าขึ้นสีเรื่อคนคุณป้าเจ้าแผงผู้เจนโลกมากกว่าต้องแย้มรอยยิ้มเอ็นดู



    “สนใจมั้ยล่ะจ๊ะ ป้าขายถูกๆนะ” คุณป้าคนนั้นเริ่มหว่านล้อมอีกครั้ง เธอหยิบสร้อยคอเส้นนั้นขึ้นมาดูใกล้ๆ



        คงเหมาะกับหมอนั่น ความคิดแรกที่ปรากฏขึ้นมาในสมองหลังจากพินิจพิจารณาจนทั่ว



    “เท่าไรล่ะจ๊ะ ป้า” เธอถามถึงราคา



    “หนึ่งพันคราวน์ไหวมั้ยล่ะแม่หนู” คุณป้าเสนอราคา คนเสนอส่ายหน้า ก่อนจะตัดกลางครึ่งราคา



    “ห้าร้อยไม่ได้เหรอจ๊ะ ฉันมันไม่ค่อยมีตังค์เท่าไร”



    “งั้นเก้าร้อยเอ้า”



    “หกร้อย”



    “แปดร้อยห้าสิบ”



    “หกร้อยห้าสิบ”



    “งั้นป้าให้เจ็ดร้อยคราวน์ นี่สุดๆแล้วนะ แม่หนู ป้าลดให้มากกว่านี้ไม่ไหวแล้ว” เจ้าของแผงเครื่องประดับบอกราคาที่ลดถึงขีดสุดให้ คนฟังขยับรอยยิ้ม เมื่อได้ราคาที่ต้องการ ก่อนจะตกลงราคาซื้อขาย



    “ก็ได้จ้ะ ขอบคุณมากนะ ป้า” เธอยื่นเงินจำนวนนั้นให้ ก่อนจะรีบเดินจากแผงไปเพราะนี่มันสายกว่าเวลานัดมาเล็กน้อยแล้ว



        เรือนผมสีน้ำตาลยาวสลวยปลิวไปกับแรงวิ่ง หญิงสาวเก็บสร้อยคอไว้ในกระเป๋าแจ๊กเก็ต ขณะที่ปากพร่ำพูดขอโทษไปตลอดทาง เพราะต้องแทรกผ่านช่องว่างอันเล็กน้อยในตลาดแห่งนี้



        คิ้วเรียวมุ่นลงเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทางอันผิดแปลก คราวนี้ไม่ยักอยู่แกล้งเขาเหมือนทุกที แต่กลับรีบเดินหายตัวไป เหมือนกับกำลังรีบอยู่ เธอจะรีบไปไหนกันแน่



        ขายาวก้าวสาวเข้าไปทางที่เธอมุ่งไป แต่ก็ถูกคุณป้าคนเดียวกับที่เมื่อครู่เธอได้หยุดซื้อของเรียกไว้



    “พ่อหนุ่ม ไม่สนใจจะซื้อของขวัญให้แฟนหน่อยรึ”



    “แฟนเธอน่ะ สวยน่ารักเชียวนะ ระวังนะ ไม่หัดเอาใจเดี๋ยวแฟนเธอก็หนีไปไม่รู้ตัว ป้าดูแวบเดียวก็รู้แล้ว แม่หนูคนเมื่อกี้น่ะ แฟนเธอล่ะสิ” เจ้าของแผงเครื่องประดับเอ่ยขึ้นอย่างรู้ทัน



    “ก็เธอเล่นจ้องแม่หนูนั่นตาไม่กระพริบเลยนี่นา” คุณป้าคนนั้นพูดต่อ ใช่ แต่ละคำพูดของคุณป้าคนนั้นแทงใจเขาไปเต็มๆ ทั้งเรื่องที่เขาเอาใจใครไม่เป็น แล้วก็เรื่องที่เขามองเธอตลอดเวลา สิ่งที่จะหยุดคำพูดของคุณป้าคนนี้ได้ก็คงมีแต่ซื้อของขวัญไปให้เธอจากที่นี้เท่านั้นล่ะ



        เขาไล่สายตาไปเรื่อยๆ จนไปสะดุดกับแหวนวงเล็กๆวงหนึ่ง ทั้งๆที่ไม่มีอะไรน่าสะดุดตาแต่เขากลับเห็นมันเด่นกว่าของอื่นๆทั้งหมด



        เขาหยิบมันขึ้นมาดูใกล้ๆ ใจพาลนึกไปถึงคนที่อยากให้ หากเธอใส่แล้วคงเข้ากันดี ถือซะว่าแทนแหวนหมั้น คิดแล้วจึงตัดสินใจซื้อทันที



    “แหวนวงนี้....” เขายังพูดไม่ทันจบ คุณป้าคนนั้นก็สวนขึ้นมาราวกับรู้



    “เจ็ดร้อยคราวจ้ะ วงนั้น” เขาจ่ายเงินค่าแหวนวงนั้น แล้วเดินออกห่างจากแผงนั้นไป



    “ขอให้มีความสุขนะจ๊ะ พ่อหนุ่ม ดูแลแฟนเราให้ดีๆล่ะ” คำพูดนั่นผ่านเข้ามาในโสตประสาท แต่เมื่อเขาหันหลังกลับไปมอง แผงเครื่องประดับนั่นก็หายไปแล้ว



    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



        โว้ย! ไอ้พวกเพื่อนบ้า รู้เฟ้ย ว่าวันนี้วันหยุด แต่ถ้าแกกลับมาช้าจะมาว่ากันไม่ได้นะเฟ้ย เขาคิดอย่างหงุดหงิด เมื่อนี่มันก็หกโมงกว่าๆ เกือบจะทุ่มนึงอยู่แล้ว แล้วมันทั้งคู่ก็มีตำแหน่งในสภาสูง แถมยังเด่นๆดังๆทั้งนั้นด้วย จะบอกว่าไม่รู้กฎพื้นฐานของป้อมมันก็กระไรอยู่ เขาเองก็เป็นผู้คุมกฎ ถ้ามันกลับมาช้า เขาจะไม่ให้มันเข้าป้อมได้เด็ดขาดเลย ไปเที่ยวไม่ว่าเฟ้ย แต่กรุณากลับมาโดยไม่ทำให้เพื่อนคนอื่นมีปัญหาจะได้ไหม



        อย่างไอ้เฟริน มันก็ทิ้งงานไว้ให้โรทำ ส่วนไอ้คาโล ก็ทิ้งงานกองโตไว้โดยยังสางไม่เสร็จ แถมทั้งคู่ยังทำท่าว่าจะกลับมาไม่ทันเวลาปิดป้อมซะด้วย



        ถึงไอ้โรจะบอกว่าไม่ต้องห่วง แล้วก็รีบกลับไปสางงานให้เฟรินต่อ จะว่าไปทั้งวันนี่เขาก็เพิ่งเห็นมันละมาจากหน้ากองเอกสารก็เวลากินข้าวเนี่ยแหละ น่าสงสารมันเหมือนกันแฮะ



        มีเพื่อนเวรพาเราล่มจม ดูท่าจะจริง ดูเหมือนว่า เขาจะต้องแหกกฎอีกข้อในฐานะผู้คุมกฎเพื่อให้มันเข้าป้อมได้ซะแล้ว ชีวิตแสนเศร้าจริงๆว้อย ตั้งแต่เป็นผู้คุมกฎมาเนี่ย



    “เฮ้ย คิล โรฝากมาบอกว่า ถ้าสองทุ่มแล้วคาโลยังไม่กลับให้เปิดรอไว้ก่อน แต่ถ้าเฟรินยังไม่กลับให้ปิดไปเลย เฟรินมันหาทางเข้าป้อมโดยที่นายไม่เดือดร้อนได้อยู่แล้ว” กัสเดินมาบอกคำพูดของโรกับเขา ก่อนที่จะเข้ามาตบไหล่เป็นเชิงปลอบ



    “ทำใจซะเถอะ คิล”



    “รู้น่า ทำใจนานแล้ว ตั้งแต่มารับตำแหน่งนั่นแหละ แล้วของนายล่ะ เป็นไงบ้าง กัส งานเสนาธิการฝ่ายขวากับพวกสามขุนพล” เขาถามย้อนไปยังผู้ปลอบ



    “ก็พอสมควร แต่คงไม่เท่าเฟริน ไอ้เฟรินน่ะน่าสงสาร” มันว่างั้น เขาเองก็เห็นด้วย เพราะมันโดนปลูกฝังงานไว้ตั้งแต่ปีก่อน แม้จะมีสติแตกไปครั้งสองครั้งเพราะงานหนักเกิน แต่มันก็รับหน้าที่ได้ดีทั้งๆที่เกลียดงานประเภทนี้



    “พยายามต่อไปแล้วกันคิล แล้วจะเรียกซีบิลกับนิกส์มาช่วยผลัดเวร” กัสว่า ก่อนจะเดินจากไป



    “เออ ขอบใจกัส” กัสงานมันสบาย เพราะฝ่ายขวาไม่ยุ่งกับงานในป้อม จะมีก็แต่งานที่ต้องตะลอนๆออกไปข้างนอกเรื่อยๆ แต่งานพวกเดินยามนี่ไม่ค่อยมี ส่วนเขาน่ะเหรอ ตกกระไดพลอยโจนมาแล้วก็ได้แต่ยอมรับต่อไป เขาเองก็ได้แต่นั่งเฝ้ายามรอเวลาปิดป้อมเท่านั้นแหละ



        ความจริงวันนี้มันเป็นเวรเขากับโรเฝ้าเวร แต่เห็นโรมันต้องนั่งเคลียร์งานให้เฟริน เขาเลยต้องมาเฝ้าคนเดียว เพราะถ้าให้คนอื่นทำมันก็คงไม่เรียบร้อยเท่า ให้เจ้าชายขอทานที่น่าจะพอมีประสบการณ์ทำนั่นแหละ ดีแล้ว อย่าให้คนอื่นมาทำเลย



        เฮ้อ ความจริงตอนเที่ยงคืนวันนี้ในป้อมมันก็มีงานกันหรอกนะ หลังจากที่พวกรุ่นน้องมันไปทำยังไงไม่ทราบ ยัตติขอจัดงานคริสมาสต์ - ปีใหม่คาโลถึงได้ให้ผ่าน แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม วันนี้เขาจะมีจัดงานกันที่ลานตะวัน แต่พวกมีตำแหน่งอย่างพวกปีของเขาต่างก็ขอบาย เหตุผลง่ายกันเอามากๆ อยากนอนพัก พวกเด็กๆอยากสนุกก็สนุกกันไป แต่ห้ามส่งเสียงดังรบกวนรุ่นพี่ที่กำลังพักผ่อนเด็ดขาด นั่นคือกฎเหล็กข้อสำคัญที่คาโลให้มา อ้อ ความจริง คาโลเอามาถามว่า ถ้าเด็กๆจะจัดงานไม่ต้องการอะไรมากที่สุด แล้วทุกคนต่างก็ลงมติมาเป็นกฎเหล็กข้อนี้ ซึ่งรุ่นน้องทุกคนต่างก็ต้องปฏิบัติตาม ไม่เช่นนั้นอาจตายได้ไม่รู้ตัว



        โชคดีที่เป็นวันหยุดเทศกาลที่ไม่มีการบ้านมารุมให้หนักสมอง ไม่งั้นมีหวังเขาได้ตายแน่ บางทีอาจรวมเฟรินเข้าไปด้วย งานมันหนัก ถ้ามีรายงานอีกซักฉบับมีหวังมันไม่ต้องกลับไปนอนห้องตัวเองตลอดวันหยุดห้าหกวันนี่ น่าสงสารมันจะตาย ถ้าเทียบกันแล้วถือว่าเขาสบายกว่ามันหลายเท่า



    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



        สองทุ่มครับ ป่านนี้คิลคงจะปิดป้อมไปแล้วล่ะ เพราะถ้าผมจับเสียงคุยข้างนอกไม่ผิด ดูเหมือนว่าคาโลจะยอมแพ้ในการหาเธอแล้วกลับมาที่ป้อมแล้ว



        งานล็อตใหม่ที่แองเจลีน่าเอามาให้นี่ก็ใกล้เสร็จแล้วครับ ถ้าผมขยันหน่อย บางทีผมอาจจะเคลียร์มันเสร็จก่อนสี่ทุ่มคืนนี้



        ข้างล่างจะเริ่มเตรียมงานอะไรกันแล้วล่ะครับ งานเลี้ยงควบคริสต์มาส – ปีใหม่น่ะ เด็กๆเขามาขอจัดกันครับ บอกว่า ไหนๆก็วันหยุดทั้งที น่าจะมีงานเลี้ยงกันหน่อย ถ้าผมจำไม่ผิด ดูเหมือนเรื่องนี้เด็กปีสองจะเป็นคนขอจัด แล้วมีเฟรินเป็นแบ๊คอัพ ยัตติมันจึงได้ผ่านง่ายขนาดนั้น ถ้าไม่มีเฟรินหนุนหลัง อย่าหวังเลยครับว่าคาโลจะให้ผ่าน มันคงจะตกไปตั้งแต่คำขอมาถึงโต๊ะเลยล่ะครับ ผมว่า



        ดูเหมือนว่าผมจะคาดการณ์ไม่ผิด เพราะมีเสียงเปิดปิดประตูห้องดังอยู่เหนือห้องที่ผมทำงานอยู่นี่ ครับ ถ้าเผื่อพวกคุณไม่รู้ ห้องทำงานของเฟรินกับของคาโลอยู่ที่เดียวกันเลยครับ แต่คนล่ะชั้น ตั้งตรงกันเป๊ะ ไม่ผิดซักกระเบียดนิ้วเลยครับ



        ไม่รู้ว่าคาโลเจอเฟรินแล้วโดนเธอไล่กลับมา หรือว่ายอมแพ้แล้วกลับมาเองเพราะไม่อยากให้คิลเดือดร้อนกันแน่ แต่ไม่ว่าจะเหตุผลไหน ผมก็ไม่ค่อยอยากจะเชื่อทั้งนั้นแหละครับ เพราะถ้าเป็นเหตุผลแรก คาโลคงไม่ยอมกลับง่ายๆแน่ถ้าไม่มั่นใจว่าเธอจะกลับป้อมได้อย่างปลอดภัย แต่ถึงจะเป็นเหตุผลที่สอง ผมก็ยังไม่เชื่ออีกนั่นแหละครับ เพราะคนอย่างคาโล ถ้าเฟรินหายตัวไปแล้วจะลืมทุกสิ่งครับ จนกว่าจะหาตัวเธอเจอ เขาจะไม่คิดถึงอย่างอื่นทั้งนั้นแหละครับ น่าสงสารคิลครับ มีเพื่อนแสนดีแบบนี้



        แต่ก็นั่นแหละครับ คิดไปก็เสียเวลาเปล่า เพราะยังไงผมก็ไม่ได้มีเอี่ยวด้วยอยู่แล้ว ขอให้เธอกลับมาอย่างปลอดภัยครบร้อยเปอร์เซ็นต์ก็พอแล้วครับ สำหรับผม



        ผมเริ่มลงมือทำงานอีกครั้ง เพื่อหยุดความคิดไร้สาระ ที่แล่นเข้ามาในหัวอีกครั้ง โดยผมหวังว่า งานเหล่านี้คงจะเสร็จทันสี่ทุ่ม และหวังให้เธอกลับมาที่ป้อมเราก่อนที่งานพวกนี้จะเสร็จครับ



    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



    “หวา ดึกเลยแฮะ ขืนเข้าข้างหน้าคิลด่าแย่” เสียงหวานบ่นเบาเมื่อดูถึงเวลา สายตาสอดส่องหาช่องทางที่จะสามารถเข้าไปยังป้อมอัศวินได้อย่างปลอดภัย และไม่เดือดร้อนคนอื่น



        แม้จะสามารถผ่านเข้ามาในตัวโรงเรียนได้อย่างปลอดภัย ด้วยฝีมือส่วนตัว แต่ห้องนอนของเธอก็อยู่ตั้งชั้นห้า ตอนออกมาน่ะมันง่าย แต่ตอนจะกลับไปน่ะสิ ยาก



        ร่างบางเดินเลาะไปรอบป้อมอัศวิน เพื่อตามหาห้องที่หน้าต่างยังเปิดอยู่ ซึ่งมันคงจะเป็นไปได้ยากในเวลาที่อากาศหนาวแบบนี้ เอาล่ะสิ จะเอายังไง



        เธอเดินไปเรื่อย พร้อมแหงนหน้ามองขึ้นไปบนป้อม เพื่อหาความเป็นไปได้ และแล้วก็พบ ห้องที่ยังเปิดหน้าต่างอยู่ เฟรินไม่รอช้า มองหาสิ่งที่จะช่วยให้เธอขึ้นไปได้ในทันที ต้นไม้ต้นใหญ่ตั้งอยู่ใกล้ๆกันพอดี แต่ด้วยความมืด ทำให้เธอไม่สามารถรู้ได้เลยว่า ต้นไม้นั่นคือต้นอะไร



        เธอกระโดดขึ้นไปเหยียบกิ่งก้านใหญ่ของต้นไม้นั่นอย่างชำนาญ  แล้วพยายามโหนตัวขึ้นไปยังกิ่งที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ เพื่อหาจุดที่เหมาะแก่การลอบเข้าไปในห้องที่เล็งเอาไว้ ก่อนจะพบกิ่งก้านที่เหมาะๆพอดี เธอโหนกิ่งนั้น แล้วโยนตัวเข้าไปในห้องที่หน้าต่างเปิดเอาไว้ที่เล็งไว้แต่แรก



        เมื่อเธอเข้ามาในห้องได้แล้ว ก็พบว่า ห้องนี้ก็คือห้องทำงานของเธอนั่นเอง สายตากวาดไปรอบห้องอย่างไม่เข้าใจ



        ผมมองผู้ที่กระโดดผ่านหน้าต่างห้องที่เปิดเอาไว้เข้ามาในห้องอย่างตกใจเล็กน้อย แต่เมื่อพบว่า ผู้ที่เข้ามานั้น คือผู้ที่ผมกำลังรอให้กลับมาก็โล่งใจ ผมตัดสินใจเอ่ยทักเธอเมื่อเธอกวาดสายตาไปทั่วห้อง



    “กลับดึกจังนะ” เธอสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงผม ก่อนที่เธอจะเอามือแตะหน้าอกแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอก



    “โรเองเหรอ ตกใจหมดเลย งานยังไม่เสร็จอีกเหรอ นึกว่าเสร็จไปตั้งแต่บ่ายแล้วซะอีก” เธอย้อนถามผม



    “นี่งานล็อตใหม่น่ะ ใกล้จะเสร็จแล้ว เธอกลับดึก ไปนอนเลยก็ได้” ผมตอบเลี่ยงๆ



    “พูดบ้าๆ นี่งานฉัน นายนั่นแหละไปนอนได้แล้ว เดี๋ยวฉันจัดการต่อเอง” คำพูดดูมีความรับผิดชอบขึ้นของเธอทำให้ผมอึ้งเล็กน้อย เพราะถ้าเป็นเธอเมื่อก่อนคงจะไปนอนเรียบร้อยแล้วเป็นแน่ คิดแล้วก็อิจฉาคาโลครับ เขาได้เธอไปถือเป็นโชคดีที่สุด



    “ไม่เป็นไรหรอก เธอเพิ่งกลับมาคงเหนื่อย ไปเถอะ เดี๋ยวก็เสร็จแล้วล่ะ” ผมพยายามพูดให้เธอไปพักผ่อน แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ฟังผมเท่าไรนัก



    “นายทำมาทั้งวันแล้วน่า ไปเหอะ เดี๋ยวฉันทำต่อเองน่า โร” เธอว่า พลางมาฉุดผมให้ลุกขึ้น แล้วผมจะทำไงได้ล่ะครับ นอกจากต้องทำตามคำพูดของเธอ



    “มั่นใจนะ” ผมถามย้ำเพื่อความมั่นใจ



    “เออน่า ไหวสิ” เธอว่า พลางนั่งลงบนเก้าอี้แล้วหยิบเอกสารกองย่อมๆที่ผมเหลือไว้มาทำต่อ



    “งั้นก็ราตรีสวัสดิ์เฟริน” ผมเอ่ยราตรีสวัสดิ์กับเธอ แล้วหมุนตัวจะออกไปจากห้อง แต่เธอก็เรียกผมไว้เสียก่อน



    “เอ้อ โร เดี๋ยว” ผมหันหลังกลับมาที่เธอ เธอลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่เพิ่งนั่ง แล้วเดินตรงมาหาผม



    “ขอบใจสำหรับปีที่ผ่านมา เมอร์รี่ คริสต์มาส” เธอยื่นกล่องของขวัญสองกล่องมาให้ผมครับ กล่องนึงเล็กขนาดแค่ฝ่ามือ ส่วนอีกกล่องก็ใหญ่ผิดกัน



    “กล่องนึงให้แทนปีที่แล้วที่นายช่วยวิ่งให้ฉันหลายรอบ” เธอเสริม



    “ให้ฉัน” ผมย้อนถามเธออย่างงงๆเล็ดน้อย เพราะผมไม่คิดว่าจะได้จากเธอเลย



    “เออสิ หรือนายจะไม่เอา” ท่าทางของเธอดูจะเริ่มติดรำคาญ ผมจึงค่อยๆรับไป



    “แกะเลยก็ได้นะ” เธอเอ่ยเป็นเชิงอนุญาต ผมพยักหน้าอย่างไม่ต้องให้บอกซ้ำ แล้วลงมือแกะห่อที่เล็กกว่าก่อน



        เธอให้จี้เงินเล็กๆ ผมเส้นหนึ่งครับ เธอคงจะทำเองแน่นอน เพราะผมดูแล้วเห็นว่ามันดูไม่ละเอียดเท่าไรนัก แต่ถ้าเธอทำเอง ผมก็ดูมันสวยเสมอครับ



    “เลือกเพลงใส่แทบตายแน่ะ อิมเมจแบบนายน่าจะชอบเพลงแบบนี้” เธอเสริมเมื่อผมแกะมันออกมา ผมสังเกตเห็นรอยต่อเล็กๆตรงจี้ครับ ผมจึงเปิดมันออก แล้วเสียงเมโลดี้ก็ดังขึ้นเบาๆมาจากจี้นั่น ความประหลาดใจสิ่งที่สองของวันนี้ครับ เธอทำของละเอียดแบบนี้เองได้งั้นเหรอ แต่เมื่อผมดูดีๆแล้ว มันคล้ายๆกับงานของตระกูลแม็กดาเลน บางทีเธอคงไปขอให้ไคน์คนนั้นสอนทำ ผมวางจี้นั่นลงแล้วเริ่มแกะอีกห่อดูครับ คราวนี้เป็นผ้าพันคอถักมือสีเดียวกับสีตาของผมครับ สีเขียวมรกต ผมไม่คิดว่าเธอจะเป็นคนช่างสังเกตขนาดนี้ แต่อันนี้ผมมั่นใจว่าเธอไม่ได้ทำเองครับ เพราะเธอเป็นคนพูดออกมาเอง



    “ได้ไปแล้วเอาไปใช้ซะด้วยล่ะ สีอย่างสีตาของแกมันไม่ได้หากันง่ายๆเลยนะเฟ้ย อย่าเอาไปดองอยู่ในตู้เล่า” เธอเสริมคำทันที เมื่อผมแกะออกมาดู



    “ขอบใจมากเฟริน” ผมบอกขอบคุณเธอด้วยหัวใจพองโตครับ ถึงผมจะได้ของขวัญจากใครอีกก็คงไม่ทำให้ผมดีใจเท่าคนที่ผมไม่คิดว่าจะได้อย่างเธอหรอกครับ



    “อืม ราตรีสวัสดิ์ ขอบใจที่ช่วยงาน” เธอว่า ก่อนจะหันหลังเดินกลับไปยังโต๊ะทำงาน



    “เมอร์รี่คริสต์มาส เฟริน” ผมอวยพรเธอเบาๆ เธอโบกมือขึ้นรับคำอวยพร ก่อนจะก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไปครับ อย่านอนดึกนักล่ะ เฟริน ผมพูดนี้ผมได้แต่คิดอยู่ในใจระหว่างเดินกลับห้องพักพร้อมด้วยหัวใจที่พองโตอย่างมีความสุข เธอทำให้คริสต์มาสนี้เป็นคริสต์มาสที่มีความสุขที่สุดของผมเลยล่ะครับ



    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



    “โอย เสร็จซักที” เธอยืดตัวบิดขี้เกียจ เมื่อเคลียร์เอกสารชุดสุดท้ายเสร็จ หญิงสาวลุกขึ้นยืน แล้วหันไปมองนาฬิกา สี่ทุ่ม เด็กๆคงเตรียมตัวฉลองกันอยู่ ความจริงเธอก็อยากลงไปร่วมด้วยหรอกนะ แต่คงไม่ไหว



    “เอาล่ะ ไปหามันหน่อยดีกว่า แกล้งไว้เยอะ ถ้ามันรู้คงเอาตาย” เธอพึมพำเบาๆกับตัวเอง ก่อนจะเดินออกจาห้องไป โดยไม่ลืมปิดหน้าต่าง





        ก๊อก ก๊อก ก๊อก



        เสียงเคาะประตูขึ้นสามครั้งหน้าห้องทำงาน เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยไม่คิดว่าจะมีใครมาหาเขาในเวลาแบบนี้



    “เข้ามา” เขาเอ่ยอนุญาต ขณะที่เซ็นชื่อลงในเอกสารใบสุดท้าย



    “คาโล” เสียงหวานคุ้นหูเอ่ยเรียก เสียงหวานของเธอทำให้เขาฟอร์มทำเป็นอ่านเอกสารต่อไป ด้วยต้องการเอาคืนที่เธอแกล้งเอาเอาไว้เมื่อบ่าย



    “คาโล นี่ เงยหน้าขึ้นมาหน่อยสิ” เธอเอ่ยเรียกเขา



    “มีอะไรเฟริน งานฉันยังไม่เสร็จ” ปากเขาว่าไปอย่างนั้น ทั้งๆที่เขาขยับรอยยิ้มในใจที่เธอมาง้อเขา



    “น่า คาโล แป๊บเดียว แล้วฉันจะไม่กวนนายอีกเลย” เขาถอนใจแล้วเงยหน้าขึ้นไปสบกับเธอ เธอแย้มรอยยิ้มหวานอย่างโล่งใจ แล้วยื่นกล่องเล็กๆสองกล่องที่ห่ออย่างเรียบร้อยมาให้เขา



    “เมอร์รี่คริสต์มาส คาโล แค่นี้แหละ นายทำงานต่อไปแล้วกัน” เธอว่าพร้อมทำท่าจะออกจากห้องทำงานเขาไปในทันที เขามองกล่องของขวัญสองกล่องบนโต๊ะอย่างงงๆ เขารู้นานแล้วล่ะ ว่าเธอกลับมาแล้ว เพราะห้องทำงานเธอกับเขามันอยู่ตรงกัน แล้วเขาก็ได้ยินเสียงโรคุยกับเธอ แม้จะจับความไม่ค่อยได้ แต่นั่นก็พอจะทำให้เขารู้แล้วว่า เธอกลับมาถึงป้อมแล้ว



    “เดี๋ยวสิ เฟริน” เขาร้องรั้งเธอไว้ เมื่อเธอทำท่าจะออกจากห้องไป เธอหยุดนิ่ง แล้วหันมามองหน้าเขา พลางเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงจะถามว่า มีอะไร



    “นายให้อะไรฉันล่ะเนี่ย” เขาถามเหมือนเป็นเชิงไม่เข้าใจ ทั้งๆที่เขาดีใจที่เธอให้เขา แต่ก็ต้องฟอร์มไว้ก่อน เฟรินมุ่ยหน้า ก่อนจะเดินไปทำท่าจะคว้ากล่องคืน



    “ไม่เอาก็ไม่ต้องเอา” แต่หารู้ไม่ว่า นั่นแหละคือจุดประสงค์ของเขา เขาคว้าข้อมือเล็กที่เตรียมจะมาคว้ากล่องคืนเอาไว้



    “ไม่ได้บอกว่าจะไม่เอา แค่ถามว่านายให้อะไรฉัน” คาโลเบี่ยงประเด็น



    “นั่นแหละ ถ้านายไม่รู้ สำหรับฉัน มันหมายความว่านายไม่ต้องการ และเมื่อนายไม่ต้องการฉันก็จะเอาคืน” เฟรินว่า ก่อนจะบิดข้อมือเล็กน้อย แล้วก็หลุดจากพันธนาการ มือเล็กทำท่าจะคว้าของขวัญสองกล่องคืนอีกครั้ง แต่คราวนี้กลับถูกอีกฝ่ายคว้าเอวไว้แทน



    “ได้ยังไง ให้แล้วเอาคืนแบบนี้มันไม่ถูกนะ” เขากระซิบเบาๆที่ข้างหู ขณะที่ร่างบางดิ้นขลุกขลักในอ้อมแขนประท้วง



    “ปล่อย คาโล นายไม่อยากได้ก็ไม่ต้องเอาสิ” เฟรินประท้วง ดวงหน้าหวานขึ้นสีก่ำกับการกระทำเมื่อครู่ของคนเป็นคู่หมั้น



    “บอกเมื่อไรว่าไม่อยากได้” เขาย้อนคำ พลางกระชับอ้อมแขนมากยิ่งขึ้น อะไรที่เป็นของเธอ เขาอยากได้ทั้งหมดนั่นแหละ ความคิดที่ดังขึ้นในใจ แต่หากพูดออกไป มีหวังเธอคงต่อยเขาเป็นแน่



    “ก็การกระทำของนายมันบอก” เธอว่า เขาเอื้อมมือไปหยิบกล่องของขวัญมากล่องหนึ่ง แล้วค่อยๆบรรจงแกะออก เป็นการยืนยันว่าเขารับของขวัญของเธอ



        สายสร้อยสีเงินเส้นบางปรากฏอยู่ในกล่อง เมื่อเขาแกะกล่องออก สายสร้อยสีเงินที่ประดับด้วยจี้คริสตัลเจียระไนเป็นประกาย สายสร้อยที่ดูเรียบๆ ไม่สะดุดตา แต่เธอก็ยังเลือกมันมาให้เขาได้ เขาขยับรอยยิ้มละไม แล้วหันไปสบกับคนที่มองเขาตาไม่กระพริบ



    “ขอบใจ เฟริน ฉันชอบ” เขาตอบคำถามที่ฉายอยู่ในดวงตาสีน้ำตาลคู่โต



    “จริงนะ” แววดีใจปิดไม่มิดปรากฏขึ้นบนดวงหน้าหวาน ที่ถอนใจอย่างโล่งอก



    “นึกว่านายจะไม่ชอบซะอีก”



    “ใส่ให้หน่อยสิ” เขายื่นสายสร้อยเส้นนั้นไปให้เธอ ขณะที่เธอปฏิเสธแทบไม่ทัน



    “ใส่เองสิ ไม่เกี่ยวซักหน่อย”



    “ฉันใส่ไม่ถนัดนี่” เขาพูดต่อ พลางยัดสร้อยเส้นนั้นลงในมือเธอในที่สุด



    “คนเอาแต่ใจ” เธอบริภาษบุรุษตรงหน้าเบาๆ ที่เขาจะได้แต่ขยับรอยยิ้มรับ



    “เอ้า เสร็จแล้ว ปล่อย คาโล” เฟรินดันตัวออกห่าง แต่ดูเหมือนว่าไอ้คนเอาแต่ใจนี่มันจะโอบไม่ปล่อยเสียเลย



    “ยังไม่ได้ดูอีกกล่องเลย”



    “เรื่องของนาย ฉันจะไปนอน คาโล ปล่อย นายไปดูเอาเองสิ” เฟรินพูดเลี่ยง พยายามดันตัวร่างสูงให้ออกไปห่างๆ แต่ยิ่งดัน ก็ดูเหมือนมันจะยิ่งโอบให้ชิดขึ้น



    “กล่องอะไรล่ะเนี่ย” เขาเปรยถามเบาๆ เมื่อเปิดกล่องของขวัญออกมาแล้วพบกับกล่องสีเงินขนาดฝ่ามืออยู่ภายใน



    “เปิดสิ” เฟรินกระตุ้นให้อีกฝ่ายเปิดฝาครอบออกอย่างตื่นเต้น โรชอบ ถึงที่ให้โรไปเป็นแค่เสียงเมโลดี้ก็ตาม แต่ไม่รู้หมอนี่จะว่าไงบ้าง ความตื่นเต้นในการลุ้นทำให้เธอลืมเรื่องความกระดากอายที่อยู่ในอ้อมแขนของคนตัวโตกว่าไปจนหมดสิ้น



        เสียงหวานใสคุ้นหูดังขึ้นคลอกับบรรยากาศเบาๆ เมื่อเขาเปิดฝาครอบออก เสียงหวานใส ที่เขาเคยได้ยินไม่กี่ครั้งเมื่อปีก่อน เสียงหวานใส ของสาวน้อยในอ้อมแขนนี้ เสียงหวานใส ที่แม้เขาจะถามกี่ครั้ง เธอก็ไม่เคยแม้จะให้เขาฟังอีกครั้ง แต่บัดนี้ มันมาอยู่ในกล่องสีเงินใบนี้แล้ว



    “เฟริน นี่.......” เขาเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ ก็ในเมื่อเธอหวงเสียงของเธอจะตาย เฟรินก้มหน้าหลบตาเขา พร้อมทั้งเอ่ยถามเสียงเบา



    “ไม่ชอบเหรอ” คำถามที่ส่งออกไปพร้อมความกลัวในใจ ถ้ามันไม่ชอบจะทำยังไง พี่ไคน์นะพี่ไคน์ ไม่น่าเชื่อพี่เลย



    “ของขวัญจากนาย ฉันชอบทุกอย่างนั่นแหละ ขอบใจนะ เฟริน” เขาตอบเธอ พร้อมกระชับอ้อมแขนแน่น เธอให้เสียงของเธอ ที่เธอหวงที่สุดแก่เขา แล้วเขาจะไม่ดีใจได้อย่างไร เสียงที่ไพเราะหวานใสประดุจแก้วของเธอ รอยยิ้มหวานค่อยๆคลี่บนดวงหน้าสวย รอยยิ้มอันแสนน่ารัก ที่ทำให้เขาอดใจไม่ไหว ต้องประทับจุมพิตลงไปซักทีสองทีให้สมกับความน่ารักของเธอ เธอน่ารักขนาดนี้ แล้วจะไม่ให้เขารักเธอได้อย่างไรกัน



        ดวงหน้าหวานขึ้นสีก่ำสุก ก้มหน้าซุกลงกับตัวเขาเพื่อปกปิดใบหน้าที่ขึ้นสีจัด ด้วยความกระดากอายกับการกระทำอันถือสิทธิ์ของคนเป็นคู่หมั้น ก่อนเขาจะก้มตัวลงไปกระซิบกับเธอ เมื่อนึกถึงของขวัญที่เขาเลือกมาให้เธอ



    “เฟริน หลับตาสิ” เธอทำตามอย่างว่าง่าย ยิ่งไม่ต้องเห็นดวงตาสีฟ้าคู่สวยนั่นที่ทำให้เธอหวั่นไหวมากเท่าไรยิ่งดี



        เขาค่อยๆบรรจงสวมแหวนเงินวงที่เขาซื้อมาจากตลาดเมื่อตอนเที่ยงให้แก่เธอ มันเหมาะกับเธอจริงๆนั่นแหละ เขาคิดเบาๆ ก่อนจะบอกให้เธอลืมตา



    “ลืมตาได้แล้ว” เฟรินค่อยๆลืมตาขึ้น พร้อมทั้งก้มลงมองไปยังมือซ้ายของตัวเอง แล้วก็ต้องประหลาดใจที่เห็นแหวนอยู่บนนิ้วนางข้างซ้าย



    “ถือซะว่าแทนแหวนหมั้น ใส่ไว้ตลอดนะ” เขาบรรจงยกมือบางขึ้นจรดริมฝีปาก “เมอร์รี่คริสต์มาส เฟริน”



            ปีนี้มันคงจะเป็นคริสต์มาสที่ดีที่สุดสำหรับใครบางคน หรืออาจจะไม่ใช่สำหรับอีกหลายคน แล้วคุณล่ะ ปีนี้คริสต์มาสของคุณมีความสุขดีรึเปล่า



    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



    ไม่ต้องถามฮะ ว่าทำไมจบง่าย



    คำตอบง่ายมากฮะ คนแต่งหัวตัน



    และเกิดความขี้เกียจ เลยตัดจบซะเลย



    จะเห็นว่าตอนนี้จะเน้นโรเป็นตัวดำเนินเรื่องซะส่วนใหญ่



    เพราะอะไรฮะ เพราะเราอยากแต่งอะไรแนวๆนี้มานานแล้ว



    ตอนแรกกะเอาเป็นคิลเหมือนกัน แต่มันแต่งไม่ออก



    พูดตามจริง ถ้าตอนไหนมีโรออก



    เรามีความรู้สึกว่าหัวมันจะแล่นมากๆ



    แต่ถ้าไม่มี หัวมันจะตันเอาดื้อๆเลย



    ก็เลยต้องใช้โรไว้ก่อนฮะ



    อย่างที่บอกไว้ตอนต้น ว่ามันสปอย



    เพราะงั้น ถ้าคุณอ่านตอนพิเศษนี้ไปแล้ว คุณคงเดาตอนจบได้แล้ว



    (และบางคนอาจจะเลิกอ่านฟิคนี้ไปเลยเพราะเดาตอนจบได้ลางๆแล้ว)



    แต่เราอยากจะบอกว่า เรายังไม่ได้ไปไกลถึงขนาดนั้น



    แค่ปั่นให้ทันวันต่อวันยังทำไม่ได้เลยฮะ แล้วสาอะไรกับตอนจบฮะ



    แต่เราก็วางพล็อตไว้แล้วคร่าวๆแล้วล่ะฮะ



    แต่กว่าจะถึงตอนนั้นก็เป็นเดือนล่ะฮะ



    ขอให้ทุกวันมีความสุขวันคริสต์มาสฮะ



    ขอบคุณที่มาฟังเราบ่นส่งท้ายฮะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×