ลำดับตอนที่ #9
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : Op. 8 : My Confession
Op. 8 : My Confession
ณ คอนโดแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากฟิตเนสนั้นประมาณ4กิโลเมตร
“สวัสดีครับ คุณเมธา”ยามที่เฝ้าที่ล็อบบี้ทัก“วันนี้กลับดึกนะครับ”
“ก็งานมันยุ่งนี่นา คุณนาค”บาสยิ้มให้ “อ้อ นี่คุณนักสืบสิงห์”บาสเบี่ยงมือมาที่ต่อ
“ครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ”ยามคนนั้นยิ้มให้ต่อ ต่อยิ้มและผงกหัวรับ ต่อรู้สึกโล่งใจ อย่างน้อยก็เพราะพ้นจากอันตรายที่เขาเกือบเอาตัวไม่รอดในคืนนี้ และอีกอย่างคือเขารู้ได้ว่ายามคนนี้อย่างน้อยก็ไม่ได้เป็นเกย์
“เชิญครับ”บาสยื่นบัตรไปที่เซ็นเซอร์รับ ดังปิ๊บ ก่อนที่ยามจะเปิประตูให้ โชคดีที่ลิฟต์ชั้นล่างเปิดอยู่พอดี บาสและต่อเข้าไปแล้วกดลิฟต์ขึ้นชั้น15
“ที่คุณไม่ปฏิเสธที่จะขอกลับไปคนเดียวตั้งแต่ตอนนั้น”บาสพูด“เพราะคุณอยากรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับผมสินะ”
“ผมคงไม่ต้องให้คุณเดาใจผมหรอก”ต่อหันมา“แต่มันก็เป็นสิ่งที่ผมจำเป็นต้องรู้เหมือนกัน”
“ถ้ารู้แล้วมันจะทำให้คุณสืบคดีได้ง่ายขึ้นงั้นหรอ”บาสถาม
“ก็อาจจะ”ต่อยิ้ม“ถ้าคุณรู้ฝีมือที่แท้จริงของคู่หูตัวเองล่ะนะ”
“หึหึ ผมเถียงคุณไม่ไหวจริงๆ”บาสหัวเราะ “ได้ ผมจะเล่าทุกอย่างที่คุณควรรู้ให้ฟัง เกี่ยวกับตัวผม”
“แต่คุณคงต้องทดสอบผมก่อนใช่มั้ย”ต่อถามเหมือนรู้นิสัยของบาสดี
“ผมปิดคุณไม่ได้จริงๆ”บาสยิ้ม“ตอนแรกผมคิดว่าคุณจะไม่เฉลียวฉลาดขนาดนี้ แต่ดูๆแล้ว เวลางานคุณท่าทางจะได้ใช้สมองอย่างเต็มประสิทธิภาพที่สุด”
“งั้นมาเริ่มกันเลยสิ” ติ๊ง ลิฟต์จอดที่ชั้น15 ต่อเดินตามบาสไปยังห้องของเขา บาสหยิบกุญแจดอกเหลือง เสียบเข้าที่รูกุญแจแล้วบิดอย่างระมัดระวัง พลางบาสมองหน้าต่อแล้วก็ยิ้ม
“คุณคงจำครั้งที่เจอกันตอนคดีของเด็กสาวที่ถูกข่มขืนได้”บาสเกริ่นนำ
“ผมจำได้”ต่อพยักหน้า ต่อจำได้แม่นยำเพราะเป็นการสืบสวนที่ดูพิลึกที่สุดสำหรับเขา
“คุณคงจะให้คำตอบผมจากที่คุณเคยถามว่า ผมใช้วิธีการอะไรมัดตัวคนร้ายสินะ”บาสยิ้ม เช่นเดียวกับต่อ บาสเชิญต่อไปนั่งที่โซฟาสีน้ำเงินเข้ม
“ตอนแรกผมก็สงสัย แต่พอกลับมานอน ผมก็ได้คิด”ต่อยังคงพูดต่อไป
“ผมเลยนึกขึ้นได้จากคดีที่ผ่านๆมา เด็กที่โดนทารุณกรรมส่วนใหญ่จะช็อค และไม่กล้าที่จะพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น นี่เป็นปัญหาที่ตำรวจหนักใจเวลาจะจับคนร้าย เพราะว่าเด็กเห็นว่าเป็นเรื่องของตนเอง ยิ่งเด็กคิดถึง เด็กยิ่งเครียด ไม่มีความสุข ”
“แต่ถ้าเป็นเรื่องของคนอื่น เด็กก็จะรู้สึกตรงนี้น้อยลง เพราะสมองเขาจะแปลผลเข้าข้างตนเองว่า นี่มันไม่ใช่ที่ชั้นเจอมาเมื่อกี๊ มันเป็นละครเรื่องหนึ่งเท่านั้น ละครที่ชั้นเกลียดผู้ชายคนนี้ และเด็กคนนั้นก็น่าสงสารเสียเหลือเกิน”
“เด็กจึงสามารถที่จะเล่าเรื่องราวต่างๆได้ แต่ว่าวิธีการนี้จริงๆก็ได้ผลเวลาสอบปากคำผู้เสียหายได้เหมือนกัน”บาสได้ฟังอย่างนั้นก็หัวเราะ และตบมือให้
“คุณนี่เยี่ยมจริงๆ”บาสชมเชยจากใจจริง“ผมไม่คิดว่าคุณจะสามารถตอบได้ถูกต้องขนาดนี้”
“ผมเคยอ่านเจอในวารสารการแพทย์ที่เผอิญมีคนส่งมาให้ผิดที่”ต่อพูด“แม้ว่ามันจะดูบังเอิญก็เถอะ”
“เพราะฉะนั้น ผมคงไม่ต้องบอกแล้วละมั้งว่า ผมเป็นใคร มาจากไหน”บาสยิ้ม
“คุณคงเป็นจิตแพทย์ของโรงพยาบาลที่ไหนซักแห่ง”ต่อตอบ“แต่ผมก็ยังไม่รู้ว่าทำไมคุณถึงออกมาทำงานแบบนี้”
“ในฐานะที่คุณอยากรู้ และเราเป็นเพื่อนร่วมทีม”บาสเดินไปหยิบน้ำส้มในตู้เย็นสองขวด แล้วยื่นมาให้ต่อ“และคุณสามารถเข้าใจความรู้สึกผมได้ ผมจะเล่าให้ฟัง”บาสเดินไปนั่งตรงข้าม
.
ผมไม่ได้เป็นจิตแพทย์ แต่เป็นเพียงแพทย์ทั่วไป หรือที่คนอื่นๆเรียกว่าGP ผมยังไม่ได้ต่อทางด้านไหน แต่ว่าผมมาขอสมัครงานไปอยู่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่นัก ผมดีใจมากที่เขารับผมเข้ามาทำงานแม้ว่าผมไม่มีใบแสดงว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านใดก็ตาม แม้เกรดผมจะรอมร่อที่จะตกอยู่ก็ตาม ผมเข้ามาทำงานได้สิบวันก็เป็นที่ยอมรับของเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ คนไข้ที่ผมรักษาต่างก็ชื่นชม
แต่สิ่งที่ผมมองว่าสวยงาม ยิ่งผมมองมากขึ้นเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งเห็นสิ่งหมองมัวมากขึ้นเท่านั้น
ในช่วงพักกลางวันของผมนั้นเอง
“สวัสดีครับ คุณหมอปัญญา”ชายคนหนึ่งเข้ามาในชุดสูทสีเทาดูเรียบร้อยพร้อมเอกสารที่ซีลอย่างดี
“ครับ คุณเป็นอะไรถึงมาหรอครับ”บาสถาม ตอนนั้นผมใช้ชื่อว่า ปัญญา
“คือว่าคนไข้ของคุณมารักษาที่นี่น่ะครับ คุณเพชราเขาใช้บริการประกันสุขภาพของทางบริษัทเรา” เมื่อได้ยินถึงคำว่าประกันสุขภาพ บวกกับที่พนักงานคนนี้ไม่ได้แนะนำตัวเสียก่อน ผมจึงรู้สึกถึงความหลอกลวงที่เขากำลังจะนำมาเล่นงานผม
“ครับ ผมจำคนไข้ได้ คุณจะมาขอประวัติการรักษาคนไข้ท่านนี้ใช่มั้ย”ดุเหมือนชายคนนั้นจะพยายามให้เรื่องจบเร็วๆ จึงส่งแบบฟอร์มเอกสารมาให้ผมอย่างรวดเร็ว
“ถ้างั้นต้องรบกวนคุณหมอเสียหน่อยนะครับ”
“ไม่เป็นไรครับ แหม แต่ผมไม่ค่อยเจอคนไข้ใช้ประกันนี่นะ อาจจะตะกุกตะกักบ้าง ต้องขอโทษนะครับ”ผมพูดไปตามน้ำทั้งที่จริงๆแล้ว ผมก็พอรู้ไส้พุงของบริษัทประกันบางบริษัทที่หากินจากลูกค้าไม่พอ ยังมาหาหมออีกต่างหาก “ตรงนี้เซ็น
เอ่อ
”ผมดูที่ชื่อของบริษัทของเขา บริษัทนี้ผมก็พอได้ยินชื่อแม้เขาโฆษณาเพียงไม่กี่ครั้งในทีวีก็ตาม คุณไม่มีทางรู้ว่าเมื่อไหร่ โรคร้ายจะมาเยือนคุณหรือญาติคุณ เราเคยช่วยเหลือบุคคล(อะไรก็ตาม)มาแล้ว คุณเชื่อใจเราได้ หึ คำพูดนั้นผมฟังจนสามารถจะเลียนเสียงให้เหมือนในทีวีได้แล้วอีก
“เอกสารทุกอย่างมีเท่านี้ใช่มั้ยครับ”ผมแกล้งทำเป็นเช็คทุกๆแผ่นของเขา จริงๆเพื่อจะดูสีหน้าของเขาเวลาผมทำอย่างนี้ เขายังคงยิ้ม แต่ผมก็สังเกตเห็นอาการเกร็งได้ อย่างไรก็ตาม เอกสารนี้ไม่ใช่เอกสารปลอม แต่ก้ไม่ใช่เอกสารที่ถูกต้องครบถ้วนซะทีเดียว
“เรียบร้อยแล้วนะครับ”ผมยื่นให้เขา เขายกมือไหว้ขอบคุณด้วยรอยยิ้มที่ดูก็รู้ว่าเสแสร้งของผู้ที่คิดว่าหลอกคนอื่นสำเร็จแล้ว เขาซีลเอกสารไว้อย่างดี
“อ๊ะ จริงสิ ผมขอนามบัตรคุณไว้ด้วยได้มั้ยครับ”
“อ๊ะ ได้สิครับ”เขายื่นมาให้ทันทีเหมือนว่าเขาถือมันไว้กับมือตั้งแต่เมื่อเขาเข้ามาในห้องแล้ว
เรากล่าวอำลาไปซักพักก่อนที่เขาจะจากไป ผมโทรไปหาคนไข้ของผมทันที
“ฮัลโหล สวัสดีค่า”เสียงของคุณเพชราซึ่งดูท่าเธอก็จะโดนหลอกเหมือนกัน
“สวัสดีครับ ผมนายแพทย์ปัญญานะครับ”
“อ๋อ ค่ะ”
“คือว่า มีบริษัทประกันมาขอใบประวัติสุขภาพผมมาน่ะครับ เลยมีเรื่องอยากรบกวนคุณซะหน่อย”
“อ๋อ ไม่มีปัญหาค่ะ ดิชั้นก็ได้รับความช่วยเหลือจากคุณหมอมาตลอดอยู่แล้วนี่คะ”
“คือว่า เขาคงต้องยื่นเอกสารที่เขาเอามาให้ผมเซ็นให้คุณแน่นอน และถึงตอนนั้น คุณช่วยเช็คสองอย่างนี้นะครับ”
“ค่ะ ว่ามาเลยค่ะ”เสียงคุณเพชราฟังแล้วพอรู้ได้ว่าเขาต้องการช่วยเหลือผมเต็มที่
“อย่างแรกนะครับ ซองเอกสารของเขาจะต้องถูกซีลไว้นะครับ ไม่ใช่ว่าเปิดอยู่”
“ค่ะ ทราบดีค่ะ”
“อย่างที่สองนะครับ ในนั้นจะต้องมีเช็คเงินเป็นค่าหมอซึ่งทางบริษัทจะเป็นผู้จ่ายนะครับ”
“ค่ะ แล้วถ้าหากว่าไม่มีล่ะคะ”
“คุณลองถามเขานะครับว่ามีหรือไม่ ส่วนมากเขาอาจจะตอบว่า คุณจะต้องเสียเงินเอง และถ้าหากยื่นให้แพทย์โดยตรง คุณก็จะไม่ต้องเสียเงินค่าหมอ”
“หากว่า เขาพูดอย่างนั้น ช่วยติดต่อผมด่วนเลยนะครับ”
“ค่ะดิชั้นทราบแล้วค่ะ”
“ขอบคุณมากครับ”
“ค่ะ สวัสดีค่ะ”
วันต่อมา ผมได้รับโทรศัพท์จากคุณเพชราซึ่งก็เป็นไปตามที่ผมคาดไว้จริงๆ ไม่มีเช็คค่าหมออย่างที่คิด
“สวัสดีครับ”เสียงชายผู้ขายประกันพูดผ่านมือถือ
“สวัสดีครับ ผมนายแพทย์ปัญญาที่คุณมาเมื่อวานนะครับ”
“อ่ะ..เอ่อ..ครับ”เขาดูท่าทีลุกลี้ลุกลน
“คือว่าหัวหน้าผมเขาต้องการเช็คค่าหมอด้วยนะครับ เผอิญผมไม่ทราบเหมือนกันว่ามีเช็คด้วย ผมจึงโทรมาหาคุณ”
“อ๋อ
คือว่า
”เสียงเขายิ่งดูตะกุกตะกักกว่าเดิม“คนไข้จะเป็นคนจ่ายน่ะครับ แต่ว่าถ้าเขามาเอง ก็ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เหมือนกับค่าไปรษณีย์น่ะครับ”
“อ๋อ ผมพอจะเข้าใจ”ผมแสร้งตอบอย่างนั้น“แต่ว่าตอนนี้หัวหน้าผมสั่งให้ผมโทรไปที่สำนักงานใหญ่ด้วยนี่สิ”
“อะ
อะไรนะครับ”
“คือผมจะต้องแจ้งให้สำนักงานใหญ่ทราบว่าคุณบริการได้ดีขนาดไหน”ผมหัวเราะ“เขาชื่นชมที่คุณอ่อนน้อม และก็ตรงไปตรงมาน่ะ”
“อ่ะ..คือ..ผมเริ่มไม่แน่ใจเรื่องเช็คค่าหมอนะครับ ขอไปสอบถามทางหัวหน้างานอีกทีก่อนนะครับ”ไม่ทันที่ผมจะเอ่ยคำว่าขอบคุณ เขาก็วางหูไปเสียแล้ว นั่นทำให้เย็นวันนั้น ทั้งหัวหน้าเขาและเขาก็มาขอโทษ อ้างว่า รุ่นพี่เขาสอนมาอย่างนี้ และก็คืนเช็คค่าหมอให้ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร ต้องแกล้งทำเป้ว่าคนเราผิดพลาดกันได้ และไม่เอาผิดกับพวกเขา แม้ว่าหลังจากนี้แล้วพวกเขาก็ยังคงอาจจะไปหาเหยื่อหมอที่น่าสงสารรายใหม่ก็ตาม
นั่นมันจุดเริ่มต้นที่ผมเริ่มรู้สึกแล้วว่า ชีวิตยังมีสิ่งเลวร้ายที่คอยหลอกลวงเรา
แต่สิ่งที่ทำให้ผมต้องทิ้งความเป็นหมอไปไม่ใช่สิ่งนั้น
แต่เป็นสิ่งที่เรียกว่าความอิจฉาริษยาซะมากกว่า
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น