ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Op. 2 Sunrise Sunset
Op. 2 :Sunrise Sunset
“อ๊ะ คุณนักสืบต่อ ทางนี้ครับ”
ตำรวจเอกโบกมือเพื่อที่จะให้นักสืบต่อมาทางนี้
ตำรวจเอกโบกมือเพื่อที่จะให้นักสืบต่อมาทางนี้
“สวัสดีครับ คุณตำรวจเอก คดีเป็นมายังไงหรอ” ต่อเดินสำรวจที่ทางแถวๆนั้น เพราะเป็นที่ที่เขาคุ้นเคย จึงง่ายสำหรับเขาที่จะสังเกตพบความผิดปกติแถวนั้นได้
“คดีฆาตกรรมเหมือนเดิมครับ แต่ว่า...”ตำรวจเอกถอดหมวกแล้วเกาหัวแกรก แกรกก่อนที่จะใส่ใหม่“เพราะมันแปลกๆ ผมจึงต้องให้คุณมาช่วย”
“ครั้งนี้ก็คง ไม่ต่างกับครั้งที่แล้วละมั้ง”ต่อยิ้มให้ เหมือนพยายามคิดในแง่ดี
“ไม่หรอกครับ”ตำรวจเอกทำน้ำเสียงเสียใจ“ครั้งนี้ต่างกันโดยสิ้นเชิงครับ”
“ยังไงหรอ”ต่อทำหน้าฉงน
“ปกติ ทุกๆคดี เรามักพบเบาะแสอย่างน้อย2อย่าง หรือไม่ก็อย่าเดียวแต่ใช้เพื่อไปหาอีกหลักฐานหนึ่งได้ครับ แต่ครั้งนี้...”ตำรวจเอกทำหน้าเสียใจ
“ไม่มีหลักฐานเลยครับ”
“เป็นไปไม่ได้หรอก ฆาตกรต้องเผลอทำหลักฐานตกหล่นบ้างสิ”
“จากประสบการณ์ของผมก็ควรเป็นอย่างนั้นครับ”ตำรวจเอกพยักหน้า
“แต่ว่า....เอ่อ...คุณนักสืบไปดูเองจะดีกว่าครับ”
“พาชั้นไปเลย คุณตำรวจเอก”ต่อรคู้สึกได้ถึงบรรยากาศไม่ชอบมาพากล ตั้งแต่ที่เขาเริ่มทำคดีแรกๆจนถึงล่าสุดก็ดูไม่มีครั้งไหนที่ให้บรรยากาศแบบนี้ ปกติถ้าเป็นการฆาตกรรมธรรมดาก็จะไม่มีความรู้สึกแบบนี้ เพราะมันเกี่ยวกับจุดประสงค์ของฆาตกร หากต้องการแค่ปกปิดตัวตน ก็แค่ได้กลิ่นคาวเลือดธรรมดา แต่หากเป็นฆาตกรโรคจิตที่เข่นฆ่าเพื่อจุดประสงค์เดียวคือ โชว์ความสะใจของตนเองให้ผู้อื่นได้เห็นละก็ รังสีอำมหิตสามารถสัมผัสได้แม้แต่คนตาบอดก็ยังรู้ แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ มันไม่ใช่การกระทำเพราะความอาฆาต แต่ความรู้สึกเหมือนตนเองเข้าโรงฆ่าสัตว์ แต่บุคคลที่เข้าไปเป็นหมูหรือวัวที่รู้ตัวว่าตนเองมีสิทธิ์ที่จะตายอย่างทรมาณได้ทุกเวลา ทุกย่างก้าวที่เดินเข้าไป ทุกลมหายใจที่เข้าปอด แม้จะเป็นกลิ่นของดอกไม้ในสวนรอบๆบ้าน แต่สำหรับผู้มีประสบการณ์อย่างเขาและตำรวจเอกรู้ดี ไม่สิ แม้แต่คนที่ไม่เคยมีความรู้สึกก็อาจจะรับรู้ได้เช่นกัน
ต่อเดินเข้าห้องรับแขกของบ้านที่เกิดเหตุ ภายในเป็นเจ้าหน้าที่กำลังทำงานของตนอยู่ ต่อมองไปยังหญิงสาวหน้าตาดี ดูราวๆเพิ่งยี่สิบกว่าๆ นั่งร้องไห้ เด็กสาวซึ่งคาดว่าเป็นลูกก็นั่งกอดตุ๊กตาหมีแน่น คงอยู่ในสภาวะช็อกอยู่
“สวัสดีครับ ผมนักสืบสิงห์ ”ต่อโชว์บัตรประจำตัวนักสืบ“หวังว่าคุณคงเข้าใจสาเหตุที่ผมมา”
แต่กลับไม่มีเสียงตอบจากหญิงสาวหรือเด็กหญิงคนนั้นเลย
“คุณผู้หญิง ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณดี แต่ว่า”
“อือ...อือ....”หญิงคนนั้นพึมพำด้วยน้ำเสียงสั่นเทา
“ผมได้สอบถามข้อมูลมาแล้วครับ”ตำรวจเอกตบไหล่ต่อ“รอให้พวกเขาทำใจให้ได้ก่อนแล้ว ถ้ามีข้อสงสัยเพิ่มเติม เราค่อยไปถามพวกเขานะครับ”
“งั้น เราไปคุยกันในห้องที่เกิดเหตุ ดีมั้ย”ต่อชวนตำรวจเอกขึ้นไป
“ผมก็กะจะพาคุณนักสืบขึ้นไปอยู่แล้ว”ตำรวจเอกโบกทางไปทางขึ้นไปยังห้องของผู้เคราะห์ร้าย
เสียงตึกตึกของบันไดดังพอๆกับเสียงหัวใจที่เหมือนถูกบีบของต่อ ทั้งๆที่คดีหลายคดีก็เคยทำมาแล้ว แต่ความรู้สึกนี้ดันเกิดขึ้นมาในตอนนี้ ต่อและตำรวจเอกขึ้นมาถึงห้องนั้น วอลเปเปอร์สีเหลืองนวล แต่มีรอยเลือดกระเซ็นตามห้องเพียงข้างเดียว
“ผู้ตายชื่ออะไร”
“วสันต์ครับ ”ชื่อวสันต์ทำให้ต่อรู้สึกตะหงิดเพราะดันไปคล้องคล้ายๆกับวัตสัน ชายหนุ่มกวนบาทาที่เขาเพิ่งเจอเมื่อกลางวันนี้ ตำรวจเอกก็จับสีหน้าไม่พอใจของต่อได้ แต่ก็นึกว่าเป็นเรื่องเครียดธรรมดา เลยไม่ได้ใส่ใจอะไร
“ห้องมีรอยเลือดกระเซ็นเพียงด้านซ้าย ของก็ไม่กระจัดกระจาย แสดงว่า ไม่มีร่องรอยการต่อสู้”
ต่อเริ่มบันทึกลงในโน้ตของเขา
“สภาพศพเหมือนถูกตีสองครั้ง ครั้งหนึ่งเบา ครั้งหนึ่งหนักกว่า”ต่อสังเกตเวลาตำรวจเอกพลิกศพให้ดูเพราะต่อไม่ได้ใส่ถุงมือ
“มีอาวุธที่ทำร้ายเขามั้ย คุณตำรวจ”
“อย่างที่ผมบอกไปน่ะครับ”ตำรวจเอกถอนหายใจ“ว่าไม่มีหลักฐานว่าเขาใช้อะไรฟาดหัวคนนี้เลย”
“อืม แล้วลองใช้ลูมินอลดูหรือยัง”ต่อถามถึงสารที่ไว้ใช้ดูคราบเลือดที่ถูกลบออกไป เพราะมันจะเรืองแสงกับรังสีอัลตร้าไวโอเลต ไว้ใช้จับคนร้ายที่ทำลายหลักฐานโดยเอาไปเช็ดหรือล้างน้ำ
“ตรวจสอบหมดแล้ว แต่ว่าไม่มีร่องรอยนอกจากกองเลือดตรงนี้เลยครับ”ตำรวจชี้ไปที่ศพคนนั้น
“คนร้ายนำหลักฐานไปด้วยน่ะสิ”ต่อเริ่มรู้สึกว่าคดีนี้เริ่มยุ่งยากแล้ว
ต่อคิดซักประเดี๋ยวก็หันมาถามตำรวจเอก“คุณผู้หญิงและลูกเขาทำอะไรอยู่ช่วงนั้นหรอ”
“เขาบอกว่า กำลังทำอาหารขณะที่ผู้ตายกำลังอาบน้ำอยู่ครับ และลูกก็ลงมาช่วยทำกับข้าวด้วย”
“อืม ปกติ คำบอกจากปากผู้ต้องสงสัยในบ้าน ก็ยังเชื่อไม่ได้อยู่ดี”ต่อใช้มือกุมคางของตัวเอง
“ถ้างั้น...”ต่อมองไปที่หน้าต่าง“ถ้าหากคนร้ายจะหนีได้ เขาก็ต้องออกทางหน้าต่างนี้เท่านั้นน่ะสิ ”
“เราก็ตรวจดูที่หน้าต่างครับ แต่ว่า..”
“แต่ว่าอะไร?”
“หน้าต่างนั้นถูกปิดไว้นานแล้ว ผมพยายามลองเปิดดูเหมือนกันครับ และมันก็ไม่สามารถเปิดได้จริงๆครับ”
“แล้วคุณผู้หญิงกับลูกสาวรู้เรื่องนี้มั้ย”
“ครับ เขาบอกว่าเขาก็กะว่าจะเรียกช่างมาซ่อมในวันนี้ พอช่างกดออดเขาเปิดประตูแล้วขึ้นไป จากนั้นช่างคนนั้นก็ร้องเลยทำให้คุณผู้หญิงเพิ่งรู้ว่าสามีตนเองได้เสียชีวิตครับ”
“อืม”ต่อคิดอยู่ครู่หนึ่ง“แล้วเขามีเบอร์ของบริษัทที่ช่างคนนั้นอยู่มั้ย”
“มีครับ ผมก็ถามเขาไว้แล้ว นี่ครับ”ตำรวจเอกยื่นกระดาษที่มีเบอร์โทรของบริษัทนั้น
ต่อกดไปที่เบอร์โทรนั้นทันที เพราะไม่อยากให้คดียืดเยื้อ อีกทั้งคดีเพิ่งเกิด ทุกอย่างน่าจะรีบจัดการให้เร็วที่สุด
“สวัสดีครับ บริษัทโทนัสจำกัดครับ”
“สวัสดีครับ ผมนักสืบสิงห์ครับ ต้องการความร่วมมือของคุณนิดหน่อย”
“ว่ามาเลยครับ”เสียงจากสายดุเหมือนจะแอบสบถที่ตนต้องมาโชคร้ายจากคดีฆาตกรรม
“ได้ข่าวว่าเมื่อเช้ามีช่างจากบริษัทคุณมายังบ้านของคุณวสันต์ใช่มั้ยครับ”
“อ่า ครับ”
“ถ้างั้นผมขอสายช่างคนนั้นหน่อยได้มั้ยครับ”
“ตอนนี้เขายังไม่กลับมาเลยครับ”
“งั้น มีเบอร์มือถือของเขามั้ยครับ”
“มีครับ เบอร์....รอเดี๋ยวนะครับ กำลังหาอยู่”
“ครับ ผมรออยู่ครับ”
“เบอร์xxx-xxxxครับ”
“xxx-xxxxนะครับ”
“ครับผม”
“ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือครับ”
“ครับ สวัสดีครับ”ก่อนที่เสียงแกร็กของการวางสายจะสิ้นสุดลง ต่อแอบได้ยินเสียงถอนหายใจครึ่งเฮือกของผู้ที่คุยด้วย
“เป็นไงบ้างครับ”ตำรวจเอกถาม
“ไม่ได้อะไรเท่าไหร่ คุณโทรไปเบอร์นี้ แล้วลองติดต่อเอาเองเถอะ”ต่อยื่นเบอร์ให้ตำรวจเอก
“แล้วคดีจะเอาไงต่อล่ะครับ”ตำรวจเอกถาม
“ตอนนี้ก็คงได้แต่....อืม”ต่อนึกคำพูดอยู่“ขอเวลาไปพิจารณาอีกวันดีกว่า ตอนนี้ขอเอาข้อมูลไว้คิดก่อนนะ”
“ขอบคุณมากครับ คุณนักสืบต่อ”ตำรวจเอกยิ้มแต่ดูเหมือนไม่ค่อยมั่นใจว่าคดีนี้จะผ่านพ้นไปได้หรือไม่
ต่อเดินออกมา ถอนหายใจเฮือกใหญ่ นี่มันคดีอะไรฟะนี่ แต่ดูคร่าวๆแล้วอาจคิดได้ว่า ฝ่ายภรรยาเป็นคนโกหกเอง เพราะถ้าหากมีคนอยู่ในห้องจริงๆ ก่อนหน้านี้และจัดการฆ่าผู้ตายตามเหตุการณ์ ถ้าไม่หนีลงหน้าต่างก้มีทางเดียวคือลงบันไดไปข้างล่าง ซึ่งก็ต้องเจอกับภรรยาอยู่ดี แต่ถ้าภรรยาเป็นคนฆ่าจริงๆ ลูกที่ทำอาหารอยู่ข้างล่างก็ไม่น่าจะปิดบังหรือโกหกเหมือนกับแม่เอง น่าจะมีข้อมูลที่ดูบิดเบือนกันบ้าง แต่ว่าตำรวจเอกก็ยืนยันว่าทั้งสองพูดเหมือนกัน ถ้างั้น มันเกิดอะไรขึ้นล่ะ ใครโกหกหรือเปล่า
ต่อคิดไปพลางเดินไปตามฟุตบาท รอรถเมล์
“นี่ก็ใกล้5โมงแล้ว เฮ้อ~”เสียงท้องร้องจ๊อก จ๊อกดังรัวๆ
“ไปกินข้าวก่อนดีกว่า...เพล้ง!!!”ต่อหันไปตามต้นกำเนิดของเสียง
“วันนี้มันวันอะไรฟะเนี่ย” ด้วยสัญชาตญาณของต่อทำให้ขาของเขาก้าววิ่งไปตามเสียงนั้น
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น