Seahunter And The legend of sea witch I ซีฮันเตอร์ กับ ตำนานแม่มดแห่งท้องทะเล บทที่ 1 : 13 เกาะทะเลใต้ (REWRITE) - นิยาย Seahunter And The legend of sea witch I ซีฮันเตอร์ กับ ตำนานแม่มดแห่งท้องทะเล บทที่ 1 : 13 เกาะทะเลใต้ (REWRITE) : Dek-D.com - Writer
×

    Seahunter And The legend of sea witch I ซีฮันเตอร์ กับ ตำนานแม่มดแห่งท้องทะเล บทที่ 1 : 13 เกาะทะเลใต้ (REWRITE)

    โดย T.Larpthavee

    ชาว Eliv จับเหล่า Sea Witch ไปสูบพลังเพื่อแย่งชิงพลังมาเพื่อยึดครองโลก จนบัดนนี้เหลือทายาท Sea Witch เพียงคนสุดท้ายที่หากถูกชาว Eliv จับไปพวกชาว Eliv จะมีพลังในการควบคุมท่องทะเลอย่างสมบูรณ์

    ผู้เข้าชมรวม

    770

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    14

    ผู้เข้าชมรวม


    770

    ความคิดเห็น


    3

    คนติดตาม


    10
    หมวด :  แฟนตาซี
    จำนวนตอน :  4 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  8 พ.ย. 65 / 16:50 น.

    อีบุ๊กจากนิยาย ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

     

    นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายเรื่องแรกที่ผมจะเขียนจริงจังซึ่งมีอยู่อีกหลายภาคต่อจากนี้ การเขียนของผมอาจจะค่อย ๆ เปลี่ยนไปเรื่อย จึงต้องขออภัยมานะที่นี้ด้วยครับ

         เป็นเวลานับหมื่นปี ชาวผ่อนชนแห่ง Eliv (อีลิวฟ์)  ชาวอีลิวฟ์นั้นถือกำเนิดขึ้น ณ ใจกลางทวีปทางใต้ ชาวอีลิวฟ์นั้นมีพลังเวทย์มาตั้งแต่เมื่อได้ถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกนี้ พวกเขาออกสำรวจและขยายเผ่าพันธุ์ออกไปเรื่อยในมหาทวีปทางใต้และหมู่เกาะที่อยู่ใกล้ ๆ จนได้พบกับเผ่าพันธุ์อื่น ๆ มากมายที่อยู่บนทวีปและหมู่เกาะรอบ ๆ แต่ผู้คนเหล่านั้นกลับไม่ลงรอยกันมีการแบ่งแยกเป็นฝ่ายต่าง ๆ  พวกเขาจึงได้มีแนวคิดสร้างสันติภาพและรวบรวมผู้คนให้เป็นหนึ่งเดียวกันด้วยพลังเวทย์มนต์อันมหาศาลที่พวกเขามี จนเวลานั้นล่วงเลยไป 50 ปี ชาวอีลิวฟ์ก็ได้รวบรวมชนเผ่ากลุ่มต่าง ๆ ที่อยู่ตามหมู่เกาะรอบจนเป็น จนกระทั่งได้ก่อตั้งจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์อีลีเวียร์ แต่ก็ยังมีผู้ที่ไม่เข้าร่วมอยู่มากมายและอยู่อย่างเป็นเอกเทศของตน 

        2,000 ปีต่อมา(ตรงกับยุคดีเซลพังค์ ปี 1720 ) หลังจากที่ได้รวบรวบชนเผ่าต่าง ๆ โดยรอบชาวอีลิวฟ์เริ่มสำรวจออกไปทางตะวันออกของทวีปจนพวกเขาได้พบเจอกับศิลาเวทมนต์และเหล่า Sea Witch (แม่มดทะเล) เผ่าพันธุ์โบราณผู้เปรียบเสมือนผู้ดูแลท้องทะเลที่มีเวทมนต์เหมือนกัน ทั้งสองเผ่าพันธุ์นั้นได้แลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกันและอาศัยอยู่ร่วมกัน 

    อยู่มาวันหนึ่ง องค์ชาย sen-dam II (เซน-แดม ที่สอง) ราชาองค์ปัจจุบันของชาวอีลิวฟ์ ได้พบกับสิ่งที่ Sea witch เก็บไว้เป็นความลับจากบุคคลภายนอก นั่นคือการมีอยู่ของผนึก the great old ones (กเรท โอลด วันซ์) สิ่งมีชีวิตโบราณที่มิได้ถือกำเนิดบนโลกมีพลังดั่งเทพเจ้า ที่หลับไหลอยู่ในร่องลึกมหาสมุทรแต่เขานั้นเลือกที่ตะไม่บอกให้ใครรู้เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับเหล่าแม่มดทะเล เซน-แดม เริ่มศึกษามันเพื่อที่จะหาคำตอบว่าสิ่งเหล่านี้คืออะไรกันแน่โดยที่เขาไม่รู้ถึงภัยของมันเลยหลังจากที่เขาศึกษามันอยู่มานานจากแค่การศึกษากลายเป็นความหลงไหลจนหัวปักหัวปำ ทำให้เขาเริ่มมีท่าทางที่แปลกไปจนคนรอบข้างเริ่มสังเกตได้เขาจึงพยายามทำตัวให้กลับไปเป็นปกติอีกครั้งโดยที่ไม่กลับไปที่นั่นเป็นระยะหนึ่ง แต่ต่อให้เขาจะพยายามปกปิดสิ่งที่เขาทำแค่ไหนโบราณเคยกล่าวไว้ กำแพงมีหูประตูมีช่อง สิ่งที่เซน-แดมทำไปนั้นมีแม่มดทะเลน้อยคนหนึ่งไปเห็นสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ เธอจึงรีบเอาเรื่องไปบอกทุกคนในเผ่าของเธอแต่ก่อนที่เธอจะได้ไปบอกกับทุกคนในเผ่าเซน-แดมที่รู้ตัวจึงตามเธอมาและได้ฆ่าเธอทิ้ง แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อยจากนั้นเขาจึงลากศพของเธอไปฝั่งบริเวณผนึกแต่กลับเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น เมื่ออยู่ ๆ ร่างกายของเด็กสาวก็มีไอมานาลอยออกมาและถูกดูดเข้าไปในผนึก หลังจากนั้นเรื่องราวที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ก็เริ่มขึ้น

     the great old ones (กเรท โอลด วันซ์) หรือเทพบรรพกาล จากนวนิยาสยองขวัญของ H.P.Lovecraft เอามาใช้ได้เพราะมันจะร้อยปีแล้ว

    เซน-แดม ที่สองเริ่มตั้งกลุ่มทางศาสนาที่มีชื่อว่า ภาคีทรายสีขาวแห่งอีลิวฟ์ เข้าแทรกแซงอำนาจทางการเมืองของจักรวรรดิ ชักจูงผู้คนจนทำให้เกิดการจรจลในจักรวรรดิตามด้วยการลอบสังหารพระบิดา ราชาเซน-แดม ที่หนึ่งและใส่ร้ายเหล่าแม่มดทะเล จนทำให้เหล่าแม่หมดทะเลถูกจับไปฆ่าจนหมด แผนของเซน-แดมที่สองดำเนินการไปอย่างราบรื่น เขาคิดว่าสะสมมานาจากเหล่าแม่มดทะเลครบถ้วนตามเงื่อนไขในการปลุกเหล่า กเรท โอลด วันซ์ แล้วแต่เขาคิดผิด หลังจากเซน-แดมที่สองเริ่มก่อตั้งภาคีก็ได้มีเหล่าแม่มดทะเลและชาวอีลิวฟ์บางส่วนออกเดินทางไปยังอีเดนเนียด้วยคำสั่งของราชาเซน-แดม ที่หนึ่งที่ได้ล่วงรู้ถึงแผนการของเขาทำให้การปลุก กเรท โอลด วันซ์ นั่นต้องหยุดชะงักไป เซน-แดม ที่สองจึงเริ่มรวบรวมคนใช้อำนวจของภาคีส่งทหารออกไปนอกจักรวรรดิเพื่อตามหาเหล่าแม่มดทะเลที่เหลือรอด

    ต่อมาไม่นานพวกเขาได้ไปพบกับอารยะธรรมอื่น คือ เวสเทียร์,ดราโกเนียร์ ที่กำลังสู้รบกันอยู่ ทั้งสองฝ่ายนั้นสู้รบกันมานานและไม่ได้รู้ถึงการมีอยู่ของชาวอีลิวฟ์ เพื่อแย่งชิงพื้นที่บริเวรใกล้ ๆ กับทางตะวันออกของหมู่เกาะ บลูมารีน บริเวณปากช่องแคบ คโธเนี่ยน

         หลังจากที่เซน-แดมที่สองได้พบกับอารยธรรมอื่น จึงเริ่มที่แนวคิดที่จะเข้าแทรกแซงและต้องการครอบครองอารยธรรมอื่นจึงได้ยกทัพนับล้านของพวกเขาบุกเข้าโจมตีระหว่างที่ทั้งสองฝ่ายนั้นกำลังสู้รบกันอยู่ เกิดเป็นศึกตะลุมบอนจากกองกำลังไม่ทราบฝ่าย กาลเวลาผ่านมา 100 ปี(ดีเซลพังค์ ปี 1820 ) หลังจากที่เซน-แดมที่หนึ่ง นำกองทัพอีลิวฟ์บุกโจมตี เวสเทียร์ ตรึงกำลังไว้ที่บริเวณ หมู่เกาะ บลูมารีน และ ดราโกเนีย ตรึงกำลังอยู่บริเวณ ช่องแคบ คโธเนี่ยน พร้อมทั้งสืบเรื่องเป้าหมายของอีลิวฟ์ ทั้งสองจึงได้ตกลงเป็นพันธมิตรต่อกันรวมไปถึงประเทศมหาอำนาจทางเหนือ ไวท์ทรอม จากที่เคยเป็นกลางในทุกสงครามและความขัดแย้งต่าง ๆ ก็เข้ามาให้ความช่วยเหลือในการรบกับอีลิวฟ์

    อ้างอิงเหตุการณ์ ศึกตะลุมบอนจากกองกำลังไม่ทราบฝ่าย ดีเซลพังค์ ปี 1820

         50 ปีต่อมา(ดีเซลพังค์ ปี 1870 )  ฝ่ายพันธมิตรและชาวอีลิฟว์ต่อสู้กันจนฝ่ายอีลิวฟ์ถูกกองเรือประจัญบานของ ดราโกเนียร์ บุกผ่านเข้ามาทางช่องแคบ คโธเนี่ยน เหลือเพียงหมูเกาะบลูมารีนที่ยังยึดไว้ได้ แต่กำลังจะพ่าย ชาวอีลิวฟ์จึงได้ใช้พลังของมณีเวททั้ง 3 ก้อนรวมผลึกมานาที่สูบมาจากแม่มดทะเล จำนวนมาก โจมตีใส่ ทำให้ผู้คนทางฝ่ายกองกำลังพันธมิตรตายไปจำนวนมาก จนสถานการณ์กับสู้รบนั้นชาวอีลิวฟ์กลับมาได้เปรียบอีกครั้ง เหตุการณ์นี้ทำให้ทหารฝ่ายพันธมิตร ถูกจับไปเป็นจำนวนมากสถานการณ์ต่าง ๆ กลับมาย่ำแย่หากความหวังทุกอย่างเริ่มหมดลงจนกระทั้งฝ่ายพัทธมิตรได้ตัดสินใจสละคนของตนทั้งหมดที่ถูกจับขังอยู่ที่เมืองท่าทั้งสองแห่งของชาวอีลิวฟ์เพื่อที่จะจบสงคราม ปฏิบัติการ ปูพรมเมืองท่าอีลิวฟ์จึงเริ่มขึ้น ท้องฟ้าของเมืองท่าทั้งสองแห่งของอีลิวฟ์ถูกบดบังแสงอาทิตย์ด้วยเครื่องบินทิ้งระเบิดนับหมื่น ลูกระเปิดนับแสนร่วงหล่นลงมากทำลายเมืองจนราบไปหน้ากลองไม่เหลือเค้าโครงเดิม ผู้คนตายนับล้าน เหตุการณ์นี้สร้างความอาฆาตแค้นแก่เซน-แดมและชาวอีลิวฟ์มาก หลังจากที่ฝุ่นควันจางลงไปก็เหลือเพียงแต่มณีเวทมนต์ที่ไม่ถูกทำลายจากแรงระเบิด เวสเทียร์และดราโกเนียร์จึงได้ยึดไปพร้อมทั้งถอยกลับไป ก่อนที่กองทัพของอีลิวฟ์จะบุกมา

         30 ปีต่อมา(ดีเซลพังค์ ปี 1910 ) รูปสงครามนั้นเปลี่ยนไปหลังจากที่มณีทั้งสองถูกยึดมาและถูกนำไปทำเป็นสุดยอดอาวุธของแต่ละประเทศ ไวท์ทรอมก็ได้คิดค้นสุดยอดอาวุธของตัวเองที่ไม่ได้มาจากมณีจนเสร็จเพื่อไว้ป้องกันตัวเองจากอีลิวฟ์ ทางอีลิวฟ์เสียกำลังรบ เมืองสำคัญ อาวุธสำคัญไปจากการระเบิดปูพรมครั้งนั้น แต่ทางอีลิวฟ์พบว่ายังมีเด็กแม่มดทะเลคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้มีสายเลือด Erder Witch(แม่มดโบราณ) ที่มีพลังมหาศาลทดแทนมานาส่วนที่ขาดหายไปของผนึก กเรท โอลด วันซ์ อยู่อยู่ที่ไหนซักแห่งในเขตอำนาจของฝ่ายพันธมิตร ทางฝ่ายพัธมิตรที่ถึงภัยอันตรายจากเป้าหมายของเซน-แดม การรบทั้งหมดจึงเปลี่ยนเป็นการตั้งรับทั้งสองฝ่ายอีลิวฟ์กางม่านพลังเพื่อป้องกันสุดยอดอาวุธของพันธมิตร ฝ่ายพัธมิตรก็ตั้งแนวป้องกันอยู่ในอณาเขตของตัวเอง และตั้งหน้าตั้งตาไปกับการสืบหาเด็กคนนั้น หากฝั่งไหนที่พบเจอก่อนและได้ตัวไปจะเป็นผู้ชี้ทิศทางของสงคราม หากตกอยู่ในมือของเซน-แดม จะเกิดหายนะครั้งใหญ่จนไม่มีใครต่อกรได้ 

    เวลาผ่านพ้นไปเหตุการณ์นั้นถูกบันทึกในประวัติศาสตร์ในนาม สงครามประจัญบาน 180 ปี หลังจากนี้ ทิศทางของสงครามจะเป็นอย่างไร เซน-แดม จะดำเนินแผนชั่วของเขาได้สำเร็จหรือไม่ ชะตากรรมทั้งหมดของโลกได้ถูกลิขิตไว้แล้ว

    ท้องฟ้าลุกเป็นไฟ ทะเลปั่นป่วน แผ่นดินต่ำลง ทรายสีขาวจะเต็มไปด้วยโลหิตของกลุ่มผู้คนจากดอกไม้ไฟที่หล่นลงจากฟากฟ้า มนุษย์มัจฉาเริ่มต้องการเด็กสาว แต่เด็กสาวจะกลับคืนถิ่นด้วยมนุษย์แห่งท้องทะเล หอกในมือของเขาจะหลุดออกจากมือสู่เด็กสาว ทรราชจากสิ้นลมด้วยมือของเขา ศาสนายังยื่นอยู่

    นอส-มาซุ นักพยากรณ์


     


     

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    คำนิยม Top

    ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

    คำนิยมล่าสุด

    ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

    ความคิดเห็น