คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : สาม
3.
ปั้งงง!!
“แบ่งเสื้อผ้ากันใส่นะ...แต่มันอาจจะตัวใหญ่ไปหน่อย”
กว่าจะปลอบขวัญเด็กขี้ตกใจ...หรือกว่าจะบอกคนในอ้อมอกให้หายหวาดกลัว
ช่างไคก็รู้สึกเหนื่อยมากกว่าการซ่อมอะไรสักอย่างที่เสียหาย เขาอยากรู้จริงๆว่าเด็กคนนี้เคยมีความเป็นอยู่เช่นไรและถูกทำร้ายมาเท่าไหร่ถึงได้หวาดระแวงแม้กระทั่งเสียงเพียงเล็กน้อย มือหนาลูบศีรษะทุยด้วยความเห็นใจก่อนจำเป็นต้องปล่อยอ้อมกอดเพราะตอนนี้เซฮุนควรเปลี่ยนเสื้อผ้า
“ฉันไม่เป็นไร...เดี๋ยวมันก็หาย ไม่ต้องไหว้
ไม่ต้องไหว้...ฉันไม่โกรธหรอก”
สงสัย...การเปลี่ยนเสื้อผ้าคงยากพอๆกับการสื่อสารกันให้เข้าใจเพราะแทนที่เซฮุนจะหยิบเสื้อผ้าไปจากมือของเขา
เจ้าตัวกลับใช้นิ้วชี้มาที่รอยกัดบนข้อมือและรีบคุกเข่าลงไปกับพื้นก่อนกราบขอโทษที่ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บ ไคยอมรับว่าตอนถูกกัดมันเจ็บมากๆ แต่ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าที่เซฮุนทำไปก็เพื่อป้องกันตัวเองและรอยกัดก็ไม่ได้ลึกจนได้เลือดได้แผล
“บอกว่าไม่ต้องไหว้ไง...แล้วก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว”
อยากไหว้...แล้วก็จะไหว้ทุกครั้งเมื่อตัวเองทำผิดและต้องขอบคุณที่คนตรงหน้ายอมให้ความช่วยเหลือ การให้ที่อยู่ก็เหมือนให้ที่ซ่อน การให้ที่พักพิงก็เหมือนให้ชีวิตใหม่ แถมเสื้อผ้าที่หยิบยื่นมาให้นี่อีก
ทุกๆอย่างที่ช่างไคทำให้เขา...มันมากมายจนกราบไหว้เท่าไหร่ก็คงไม่พอ สองมือน้อยๆพนมก้มกราบเจ้าของปราสาทผู้ใจดีอีกครั้งก่อนหยิบเสื้อผ้ามาจากมือหนา
แต่.........!!!!
“เฮ้ยยย!!...เซฮุนจะถอดเสื้อผ้าตรงนี้ไม่ได้ ไปนู่นเลย...ห้องน้ำ ถ้ากลัวก็ไม่ต้องปิดประตู ฉันจะรออยู่ตรงนี้ เข้าใจไหม...ถ้าเข้าใจก็พยักหน้า?”
แค่หันไปเก็บเสื้อผ้าที่ถูกเทออกมาจากกระเป๋าเป้เพียงครู่เดียว...พอหันมาอีกทีเด็กตัวขาวก็เหลือเพียงกางเกงที่เปื้อนเลือดกองอยู่ปลายเท้า
ช่างไครีบคว้าผ้าห่มมาคลุมร่างที่คล้ายว่าจะเปลือยเปล่าก่อนบอกให้เจ้าของความขาวเนียนไปเปลี่ยนเสื้อผ้าตรงห้องที่มีประตูไม้บานใหญ่เปิดอยู่ หัวใจของผู้ที่ไร้คนข้างกายมานานอย่างไคเหมือนจะวายไปตรงนี้เพราะสโนไวท์อายุสิบแปดไม่ยอมพยักหน้า แถมยังส่ายหัวไปมาจนผมยุ่ง
“ถ้ากลัวขนาดนั้น...เดี๋ยวฉันหันหลังให้ก็ได้ เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็บอกแล้วกัน (เฮ้อออ!!)”
ขอถอนหายใจแค่ในความคิด...และรีบหันหลังให้กับขาวเนียนพร้อมเก็บเสื้อผ้าที่เกลื่อนอยู่บนเตียงอย่างช้าๆ ส่วนผ้าห่มที่เคยคว้ามาคลุมความเปลือยให้เจ้าเด็กใบ้ก็ปล่อยมันกองอยู่ที่พื้นนั่นแหละ ไคขอเห็นความสวยงาม
เห็นความกลมกลึงและเห็นความเป็นสโนไวท์ไปทั้งตัวแบบนั้นเพียงครั้งเดียวก็พอเพราะถ้าเห็นบ่อยกว่านี้...หัวใจของเขาก็คงวายก่อนจะได้ซ่อมปราสาท
“เสร็จแล้วหระ...เหรอ เฮ้ยยย! เซฮุน??!!”
แต่คราวนี้...หัวใจได้วายของแท้เพราะแรงสะกิดบนหัวไหล่พร้อมภาพของกางเกงบ๊อกเซอร์ที่หลุดจากเอวบางไปกองอยู่บนพื้นมันพาให้หัวใจของช่างไคเหมือนจะหลุดออกมานอกอก
เขาเข้าใจว่าเซฮุนอยากอธิบายว่ากางเกงตัวนี้มันหลวมหรือมันใส่ไม่ได้ แต่การใช้วิธีแบบนั้น...มันก็เป็นอันตรายต่อหัวใจของเขามากเกินไป
“งั้นก็เอาตัวนี้ไปใส่...มันมีเชือกอยู่ตรงนี้เห็นไหม? ดึงให้แน่นๆเลยนะ!!”
จำเป็น...ต้องหยิบกางเกงอีกตัวออกมาจากกระเป๋าเป้และกางเกงขายาวแบบมีเชือกผูกแทนที่จะเป็นยางยืดเซฮุนก็น่าจะใส่ได้ แต่ไคก็ขอย้ำว่าให้เจ้าตัวดึงเชือกให้แน่นๆเพราะหัวใจของเขามันรับไม่ไหวแล้วสำหรับความขาวเนียนหรือความกลมกลึง
“โอเค...เรียบร้อย”
และคราวนี้...หัวใจก็กลับมาเต้นเป็นปกติได้สักทีเพราะเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขายาวแบบมีเชือกผูกมันเป็นชุดที่เซฮุนใส่ได้ ถึงแม้มันจะตัวใหญ่กว่าคนใส่ก็ตามที แต่ก็ยังดีกว่าการใส่เสื้อขาดๆกับกางเกงที่เปื้อนไปด้วยคราบเลือดและความสกปรกจากฝุ่น
“เซฮุน...นั่งลง เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
มือหนา...ตบเตียงคิงไซส์เบาๆก่อนใช้น้ำเสียงที่นุ่มนวลเอ่ยคำสั่งเพราะการจะให้คนแปลกหน้ามาอยู่ด้วยมันต้องมีข้อแม้หรือยังต้องทำความเข้าใจกันอีกมากมาย ไคไม่ใช่คนเรื่องมาก ไร้เหตุผลและเห็นแก่ตัว
แต่การใช้ชีวิตอยู่คนเดียวมานานอาจทำให้ตัวเองพร้อมผู้มาอยู่ใหม่รู้อึดอัด
เขาจึงอยากอธิบายเพื่อให้เซฮุนรู้ว่าสิ่งใดทำได้ สิ่งใดเป็นข้อห้ามและสิ่งใดถือเป็นเด็ดขาด
“ข้อแรกนะ...ถ้าเซฮุนอยากอยู่ที่นี่ก็ต้องช่วยฉันประหยัดเพราะฉันไม่ใช่คนรวย
ข้อสอง...เราต้องนอนห้องเดียวกันเพราะจะได้ไม่เปลืองไฟ
ข้อสาม...ถ้าฉันต่อไฟเสร็จแล้วให้ใช้ไฟเท่าที่จำเป็น ห้ามเปิดไฟทิ้งไว้เด็ดขาดยกเว้นตอนกลางคืน
ข้อสี่...ถ้าเธอกลัวหรือได้ยินเสียงอะไรแปลกๆฉันอนุญาตให้ซ่อนได้ แต่!!ถ้าฉันเรียกเธอต้องรีบ ออกมาจากที่ซ่อนทันที เข้าใจที่พูดไหม??
ข้อห้า...ถ้าเข้าใจให้พยักหน้า!!”
คิดมาดีแล้ว...ว่าจะต่อไฟไว้ใช้เพียงแค่ห้องนอนเท่านั้น
ส่วนห้องอื่นๆก็ค่อยว่ากันทีหลังเพราะถ้าจะให้เปิดไฟทั้งหมดในปราสาท มีหวังได้จ่ายค่าไฟเป็นแสนแน่ๆ
แล้วไหนจะค่าน้ำที่อาจท่วมถ้าไม่ปิดระบบไว้ให้ใช้ได้แค่เฉพาะบางจุด ไคยังคงใช้น้ำเสียงที่ฟังดูนุ่มนวลและข้อตกลงที่สี่ก็คิดมาดีแล้วกันเหมือนกันเพราะจะห้ามไม่ให้เซฮุนวิ่งหนีหรือหาที่ซ่อนมันก็เป็นเรื่องยาก
ชีวิตที่อยู่ด้วยความหวาดระแวงพร้อมการถูกทำร้ายมาสารพัดมันจึงไม่แปลกเลยที่ต้องวิ่งหาที่ที่คิดว่าปลอดภัย
“ข้อหก...ตอนนี้ฉันหิวแล้ว เราลงไปทำอะไรกินในครัวกัน?”
เด็กตัวขาว...ฟังทุกข้อตกลงด้วยความตั้งใจก่อนพยักหน้ารับทราบ และข้อตกลงสุดท้ายก็ทำให้เขายิ้มได้เพราะยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยนอกจากขนมปังถุงนั้น
เซฮุนยกมือไหว้ช่างไคอย่างนึกขอบคุณกับทุกๆเรื่องที่ทำเพื่อเขา
จะมีใครเห็นใจคนแปลกหน้าและให้ที่อยู่อาศัยกันง่ายๆเช่นนี้คงไม่มีอีกแล้ว โลกภายนอกที่ว่าดีมีแต่ความทันสมัยมันน่ากลัวกว่าปราสาทที่ไร้ความทันสมัยหลังนี้หลายเท่านัก
“ไปในครัวกัน...ฉันหิวแล้ว”
ส่วนไค...ก็ไม่อยากถือสาหรือบ่นเรื่องการกราบไหว้ของเด็กคนนี้อีกแล้วเพราะเด็กที่มีสัมมาคารวะมันก็น่าส่งเสริมหรือต่อให้บ่นทุกครั้งที่เจ้าตัวยกมือไหว้ปากของเขาก็คงฉีกก่อนได้กินมื้อเที่ยง
เจ้าของปราสาทลุกออกจากเตียงพร้อมก้าวขาฉับๆตรงไปที่ประตู เซฮุนก็รีบเดินตามไปทันทีเมื่อเห็นเช่นนั้น แต่....!!
ปั้งงงงงงงง!!!
“หายตกใจ...แล้วค่อยออกมา”
สงสัย...มื้อเที่ยงคงต้องเลื่อนออกไปอีกหน่อยเพราะเสียงหน้าต่างบานเดิมที่กระแทกไปกับผนังมันทำให้ช่างไคต้องไปถอดออกก่อนที่เด็กตัวขาวจะวิ่งหาที่ซ่อนทั้งวันทั้งคืน ตอนนี้ไม่ต้องหันหลังกลับไปดูว่าเซฮุนซ่อนอยู่ตรงไหนเขาก็รู้ว่าไม่เป็นใต้เตียงก็ต้องที่ไหนสักแห่งในห้องนอน
ไคไม่ได้สนใจหรือต้องเข้าไปช่วยเหมือนอย่างทีแรกเพราะเขาต้องรีบไปจัดการกับหน้าต่างให้เรียบร้อย
“เดี๋ยวฉันจะไปซ่อมหน้าต่างก่อน...ถ้าเซฮุนอยากไปด้วยก็รีบตามมา”
ทำเหมือนไม่สน...แต่ตอนเดินกลับเข้ามาเอาเครื่องมือช่างในห้องนอน สายตาก็เหลือบไปเห็นหัวทุยๆที่ขยับยุกยิกอยู่หลังประตูห้องน้ำ ปากคมยกยิ้มอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนและรีบคว้าเอากล่องเหล็กเดินออกไปจากห้องอีกครั้ง ใจหนึ่งก็อยากปลอบ แต่อีกใจก็บอกว่าถ้าจะให้ปลอบกันบ่อยๆก็คงไม่ได้ทำอะไรกันพอดีเพราะเขามียังมีงานที่ต้องซ่อมอยู่อีกมากมายและปราสาทหลังนี้ก็ใหญ่จนไม่รู้ว่าจะใช้เวลานานเท่าไหร่ถึงจะซ่อมได้หมด หน้าต่างก็พัง
ไฟก็ยังไม่ได้ต่อ เงินก็ไม่ค่อยมี ทุกๆอย่างจึงต้องค่อยๆเป็นค่อยๆไป
ซึ่งก็รวมถึง...การดูแลเด็กตัวขาวอย่างเซฮุนด้วย
“ออกประตูแล้วเลี้ยวขวานะ...ฉันซ่อมหน้าต่างอยู่ทางนั้นนนน!!”
ไม่สนเลยจริงๆ...แต่ตะโกนบอกทางให้เสร็จสรรพ
และเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเดินตามมาข้างหลัง ปากคมก็ยกยิ้มอย่างลืมตัวอีกครั้ง เซฮุนเดินตามมาห่างๆก่อนนั่งแหมะลงพื้นที่ปูด้วยก้อนหินเพื่อมองช่างไคซ่อมหน้าต่าง มือหนาเปิดกล่องเครื่องมือ หยิบค้อน
หยิบไขควงและค่อยๆถอดน็อตออกทีละตัว
ทีละตัวก่อนขยับหน้าต่างออกจากบานพับ
“เซฮุน....มาช่วยหน่อย!!”
เห็นอยู่...ว่านั่งพับแข้งพับขาทำหน้าฉงน*** ไคจึงเอ่ยปากขอความช่วยเหลือและเพื่อให้เซฮุนเลิกทำหน้าสงสัยเสียทีเพราะมันน่ารักเกินไป ใช่ว่างานช่างมันจะยากจนต้องหาคนช่วย แต่การทำคนเดียวมันก็เสร็จช้า
แถมตอนนี้ท้องยังร้องเหมือนคนอดข้าวมาสักสามวัน ส่วนคนถูกเรียกก็รีบลุกขึ้นจากการนั่งทำตาแป๋วและช่วยจับขอบหน้าต่างเอาไว้ทันที
“มันหนักนะ...ค่อยๆวาง ระวังทับมือตัวเองด้วย”
หน้าต่างบ้าบออะไร...แม่งใหญ่เกือบเท่าประตู ไคจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเสียงกระแทกนั้นถึงดังจนทำให้เซฮุนต้องวิ่งหาที่ซ่อน
เรื่องซ่อมหน้าต่างไม่ใช่ปัญหาเพราะเขาเป็นช่าง สิ่งใดพังก็ซ่อมได้หมด แต่ที่เป็นปัญหาคือเรื่องของขนาดหรือความใหญ่โตของสิ่งที่พัง
ขอบคุณเด็กตัวขาวที่ช่วยกันแบกหน้าต่างออกมาจากบานพับ
ส่วนหน้าต่างอีกฝั่งก็ขอปิดเอาไว้ก่อนที่มันจะสร้างเสียงน่ากลัวให้กับเด็กคนนี้
“ไหว้ทำไมอีกเนี่ย?”
วางหน้าต่างลงกับพื้นเรียบร้อย...ก็รีบยกไม้ยกมือขึ้นมาพนมก้มกราบช่างไคด้วยความอ่อนน้อมเพราะอยากขอบคุณคนตรงหน้าที่ช่วยกำจัดเสียงที่มักจะทำให้เขาต้องหาซ่อนด้วยความหวาดกลัว
และเมื่อไหว้เสร็จก็รีบช่วยช่างไคเก็บอุปกรณ์ในการซ่อมหน้าต่างทันที ทั้งค้อน
ทั้งไขควงรวมถึงน็อตอีกหลายตัว ทุกๆอย่างถูกเก็บลงในกล่องเหล็กด้วยความตั้งใจ
“..........?”
ได้ลูกมือแล้วสินะ??!
กร๊อบบบบ!!
แกร๊บบบบ!!
“เซฮุนทำเป็นแน่นะ?”
กิ่งไม้ขนาดย่อม...ที่อยู่ใต้เตาเหล็กโบราณกำลังถูกมือบางหักเป็นท่อนเล็กท่อนน้อยอย่างชำนาญก่อนใช้เป็นเชื้อเพลิงเพื่อทำอาหาร ส่วนเซฮุนยังคงใช้การพยักหน้าเป็นการตอบคำถาม แล้วก็ตอบคำถามนั้นด้วยความมั่นใจเพราะการถูกลุงกับป้าจิกหัวใช้ให้ทำงานสารพัดมันส่งผลให้เขาทำเป็นทุกอย่าง ยิ่งการทำอาหารด้วยวิธีแบบนี้ก็ยิ่งคุ้นชินกว่าอะไรทั้งหมด
ไม้ขีดถูกจุดขึ้นอย่างไม่นึกกลัว...ความร้อนถูกวางลงบนกองไม้แห้งๆและปากก็ทำหน้าที่เป่าลมเพียงเบาๆเพื่อให้ไฟติดเพิ่มมากขึ้น
ดวงตาคู่คมมองการกระทำของเด็กตัวขาวด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก อึ้ง
ทึ้ง ประหลาดใจและไม่คิดว่าเซฮุนจะสามารถทำอะไรที่ดูโบราณแบบนี้ได้เพราะสมัยนี้เขาก็ใช้แต่เตาแก๊สกันทั้งนั้น ไม่มีใครใช้การจุดไฟด้วยไม้ขีดหรือต้องใช้ท่อนไม้มาทำเป็นฝืนเพื่อหุงหาอาหาร
แต่ก็อาจจะยกเว้นคนในชนบทที่อยู่ห่างไกลความเจริญ...แล้วเซฮุนก็คงเคยอยู่ในชนบทที่ไหนสักแห่ง?
“เซฮุนจุดไฟอย่างเดียวก็พอ...เดี๋ยวฉันทำข้าวผัดให้กิน”
ยอมรับ...ว่าใช้ไม้ขีดหรือฝืนแบบเจ้าเด็กตัวขาวไม่เป็น และที่เตรียมไว้ตั้งแต่เข้ามาสำรวจปราสาทครั้งก่อนก็คือไม้ขีด ตอนแรกเอาก็ไว้สำหรับจุดตะเกียงในยามค่ำคืน ตอนนี้ก็เอาใช้จุดไฟเพื่อทำอาหาร ส่วนฝืนแล้วก็ท่อนไม้มากมายมันคล้ายว่าจะมีมานานพอๆกับความใหญ่หลังนี้
ไคคิดว่าอาจมีใครสักคนเคยเข้ามาอยู่ก่อนเขาเพราะของบางอย่างเช่น
จานชาม ช้อนส้อมและหม้อหลากหลายขนาดมันยังดูใหม่...แม้รูปลักษณ์ของมันออกจะโบราณไปสักหน่อย แถมยังต้องทำความสะอาดอยู่บ้าง แต่ก็ยังดีกว่าต้องซื้อมาเพิ่ม
“เซฮุนกินได้ทุกอย่างใช่ไหม...แล้วแครอทนี่ล่ะ?”
ให้เด็กจุดเตา...ตัวเองก็เตรียมเนื้อหมู เตรียมผักพร้อมเครื่องปรุงต่างๆเอาไว้
แต่ความที่แก่กว่าและคนตรงหน้าก็อายุแค่สิบแปด
ไคจึงจำเป็นต้องถามก่อนลงมือทำอาหารในครั้งนี้เพราะเด็กบางคนก็ไม่ชอบกินผัก ยิ่งเป็นแครอทหรือผักใบเขียวอย่างต้นหอมผักชีก็ยิ่งไม่ชอบหนักเข้าไปอีก แต่!!คำตอบโดยการพยักหน้าจนผมปลิวแล้วก็โชว์ยิ้มสวยจนเขี้ยวเล็กๆก็พาให้พ่อครัวหนุ่มต้องโยนส่วนผสมทั้งหมดลงในกระทะ
“เดี๋ยวฉันทำไข่ดาวด้วยดีกว่า...”
แปะๆ ๆ ๆ!!!
“เซฮุนชอบไข่ดาวเหรอ?”
เสียงปรบมือ...พร้อมรอยยิ้มที่ยิ้มจนเห็นเขี้ยวเล็กๆอีกครั้งก็ทำให้ไคอดมองไม่ได้ มือทำหน้าที่ผัดข้าวก็จริง แต่สายตามันไม่อาจละจากใบหน้าที่น่ารักเช่นนั้นได้เลย แค่บอกว่าจะเพิ่มไข่ดาวให้ด้วย ทำไมเด็กคนนี้ถึงได้ดีใจขนาดนั้น? และตั้งแต่เอาเสื้อผ้าให้ใส่
ช่วยกันซ่อมหน้าต่างจนพากันลงมาทำอาหารในห้องครัว...รอยยิ้มที่สดใสแบบนั้นก็ยังประดับอยู่บนใบหน้าของเซฮุน
ซึ่งมันทำให้รู้สึกดีมากจริงๆ!!!
“หยิบไข่ให้ฉันหน่อย!!”
การทำอาหารด้วยเตาโบราณหรือต้องใช้ฝืน....มันไม่สามารถควบคุมความร้อนได้แบบเตาแก๊ส ไคจึงจำเป็นต้องบอกให้เด็กตัวขาวช่วยหยิบไข่ไก่ให้ก่อนที่กระทะไหม้
ส่วนข้าวผัดที่ทำเสร็จแล้วก็รีบยกมาเทลงบนจานกระเบื้องสีขาวทั้งสองใบ มือหนาคว้าไข่ไก่มาจากมือน้อยๆหนึ่งฟองแล้วตอกใส่กระทะ...อีกหนึ่งฟองก็ตอกใส่กระทะและอีกหนึ่งฟองรวมเป็นสามที่ตอกใส่กระทะ
“ฉันให้เซฮุนกินสองฟองเลย...”
สองมือน้อยๆ...พนมกราบพ่อครัวคนเก่งด้วยความอ่อนน้อมและด้วยความดีใจที่ไม่อาจเก็บซ่อนเอาไว้ได้ เขาไม่เคยได้กินอะไรดีๆแบบมาก่อน ตอนอยู่บ้านลุงบ้านป้าเขาได้กินแต่ผักต้มหมูต้มที่ต้องจิ้มกินกับซอสเค็มๆ ยิ่งตอนถูกจับมาขังไว้ก็ยิ่งกินไม่ลง แถมอาหารแต่ละมื้อก็แทบกลืนไม่ได้ ข้าวมันมาพร้อมกับเม็ดกรวดเม็ดทราย ขนมปังก็แข็งไม่ต่างอะไรกับก้อนหิน น้ำที่ดื่มในแต่ละวันก็มีแต่กลิ่นสนิม แต่ตอนนี้!!...ข้าวผัดใส่แครอทกับผักที่ไม่รู้จักชื่อสีเขียวและไข่ดาวสองฟองรวมถึงหนุ่มผิวเข้มก็คือสิ่งที่ทำให้เด็กอย่างเขามีความสุขมากที่สุดในชีวิต
“เสร็จแล้ว...ยกไปกินได้เลย!! เอานมที่อยู่ในถุงมาเทใส่แก้วด้วยนะเซฮุน!!”
ได้กินทั้งข้าวผัด...ได้กินทั้งไข่ดาว แถมยังจะได้กินนมอีกด้วย เด็กตัวขาวรับข้าวผัดกับไข่ดาวสองฟองมาวางไว้บนโต๊ะไม้ตัวใหญ่ก่อนจะรีบเดินไปคว้าถุงกระดาษ แล้วหยิบกล่องที่มีรูปวัวสีขาวสีดำออกมาเทความอร่อยใส่แก้วใบใหญ่ เซฮุนขอชิมรสชาติหวานมันก่อนข้าวผัดไปจิบหนึ่งแล้วก็ต้องส่งยิ้มให้กับผู้ชายใจดีที่ยังยืนอยู่หน้าเตา มันอร่อยมากจริงๆ...อร่อยกว่าน้ำที่มีกลิ่นสนิม
อร่อยกว่าขนมปังที่แข็งเหมือนก้อนหินและอร่อยกว่าทุกๆอย่างที่เคยกินมาตลอดสิบแปดปี
“ค่อยๆกิน...ใจเย็นๆ”
เห็นเด็กตัวขาว...ดื่มนมอึกใหญ่ ตักข้าวผัดเข้าปากคำโตแถมยังส่งยิ้มหวาน ทุกๆการกระทำมันจึงพาให้ไคอดที่จะเตือนไม่ได้เพราะเกรงว่าเจ้าตัวจะสำลัก แต่!!คนที่จะสำลักก็อาจจะเป็นพ่อครัวคนนี้ก็ได้ ทั้งความน่ารัก ความเสื้อตัวใหญ่ ความผมสีดำที่ยุ่งเหยิงหรือจะรอยยิ้มหวานๆ...ทุกอย่างที่เป็นสโนวท์ในแบบฉบับของช่างไคมันเหมือนจะทำให้เขาสำลัก!!!!
แล้วแค่ข้าวผัดหนึ่งจานกับนมหนึ่งแก้วทำไมมันถึงทำให้เซฮุนดูมีความสุขได้ขนาดนี้????
“อร่อยขนาดนั้นเลยเหรอ?”
ยิ้มอีกแล้ว พยักหน้าอีกแล้ว...และน่ารักอีกแล้ว
คำตอบของเซฮุนทำให้คนเป็นพ่อครัวรู้สึกใจชื้นเพราะเกรงว่าอาหารมื้อนี้จะไม่ถูกปาก ปกติไคไม่ค่อยทำอาหารทานเอง ส่วนมากจะซื้อแบบสำเร็จรูปมากกว่า
กินเป็นมื้อๆให้มันจบๆไป...แล้วงานช่างก็ติดพันจนไม่มีเวลา
แต่พอได้รับมรดกเป็นปราสาทหลังนี้เมื่ออาทิตย์ก่อน...การทำอาหารทานเองจึงต้องเริ่มต้นขึ้น และการที่ยังไม่ได้ต่อไฟฟ้า ไม่มีตู้เย็น
ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ
การซื้อกินของมาตุนไว้จึงไม่คุ้มที่จะเสีย
“แล้วเย็นนี้เราจะกินอะไรกันดี?”
นิ้วเรียว...ที่ชี้ไปยังจานข้าวที่หมดเกลี้ยง
แก้วนมที่หมดเกลี้ยงและไข่ไก่ที่อยู่ในกล่องพลาสติกก็ทำให้ไคทราบว่าเย็นนี้คงต้องทำขาวผัดไข่ดาวอีกครั้ง ใช่ว่าเบื่อ...แถมยังยินดีที่จะทำให้กิน แต่สำหรับวันพรุ่งนี้หรือวันต่อๆไปคงต้องเปลี่ยนบ้างและต้องออกไปซื้อของมาเพิ่มเพราะเขาไม่คิดว่าจะมีใครเข้ามาอยู่ด้วยกันในปราสาทโทรมๆหลังนี้
“กินเสร็จเราไปช่วยกันจัดห้องนะ...คืนนี้จะได้มีพัดลมใช้ แล้วก็มีตู้เย็นด้วย”
ตักข้าวเข้าปากเป็นคำสุดท้าย...ก็เอ่ยชวนคนที่กินเสร็จก่อนช่วยกันจัดห้อง
และท้ายรถกระบะคันเก่าของเขาก็มีทั้งตู้เย็นขนาดเล็ก พัดลมรวมถึงอุปกรณ์ในการทำงานอีกหลายอย่างให้ค้นย้าย ไคตั้งใจไว้แล้ว
ทำใจไว้แล้ว...และคิดมาดีแล้วว่าจะอยู่ที่นี่ ถึงแม้ความใหญ่โตมันจะดูน่ากลัวเหมือนปราสาทผีสิง แต่ความจนหรือหมดหนทางต่อชีวิตมันน่ากลัวกว่าผีเป็นไหนไหน
เงินที่เก็บไว้มันมีไม่มากพอจะจ่ายค่าเช่าได้ตลอดไป งานช่างก็ไม่ได้มีทุกวัน ค่าแรงก็ขึ้นอยู่กับความยากง่ายของงาน
ซึ่งความไม่แน่นอนในหลายๆอย่างมันผลักดันให้ลูกนอกสมรสอย่างเขาต้องย้ายเข้ามาอยู่ในมรดกแปลกประหลาดแห่งนี้
แล้วความไม่แน่นอน...ก็ยังทำให้ได้มาเจอกับเด็กตัวขาว เป็นใบ้และไม่รู้จักที่มาที่ไปอีกต่างหาก??
“อยากกินอะไรอีกไหม?”
เขาไม่รู้...ว่าเซฮุนเคยมีชีวิตหรือเคยใช้ชีวิตอยู่อย่างไรและตอนนี้ก็ยังไม่ใช่เวลาที่จะมาคาดคั้น แต่เท่าที่เห็นอยู่เมื่อครู่ก็ทำให้ไคต้องถามว่าเจ้าอยากกินอะไรอีกไหมเพราะเด็กคนนี้เหมือนจะไม่ได้กินข้าวมานานแสนนาน
แล้วนิ้วเรียวที่ชี้ไปยังถุงขนมปังก็คือคำตอบ
ไคหยิบทั้งขนมปังและแยมสตอร์เบอร์รี่ออกมาแกะก่อนใช้ช้อนตักสิ่งที่คล้ายเยลลี่สีแดงทาลงไปบนความนุ่มสีขาวสองแผ่น
“ฉันทาแยมให้...กินแบบนี้อร่อยกว่า”
เป็นอีกครั้ง...ที่ต้องยกสองมือขึ้นมาพนมก้มกราบก่อนหยิบขนมปังสองชิ้นมากัดเต็มคำ และขนมปังกับรสชาติเปรี้ยวๆหวานๆของสิ่งที่ช่างไคเรียกว่า “แยม”
ก็อร่อยกว่าขนมปังที่เขาแอบหยิบมากินครั้งแรกเสียอีก
ส่วนหนุ่มผิวเข้มก็ได้แต่นั่งยิ้มและได้แต่นั่งมองสองแก้มป่องๆที่เต็มไปด้วยของกินที่เขาทำให้ แต่!!ท่าทางที่กินไปด้วยพร้อมดวงตาคู่สวยที่ปรือปรอยก็ทำให้ช่างไคคิดว่าวันนี้คงต้องจัดห้องคนเดียวแน่ๆ
“เซฮุน...เดี๋ยวค่อยมากินต่อก็ได้ ตาจะปิดแล้ว!?”
นั่งมองอยู่นานจนอดไม่ไหว...และจำเป็นต้องลุกขึ้นจากที่นั่งก่อนหยิบขนมปังออกมาจากมือบาง
ไครีบอุ้มคนที่คล้ายว่าจะหลับลงบนโต๊ะอาหารไว้ในท่าเจ้าสาว
สองขาก็เร่งก้าวออกมาจากห้องครัวแล้วขึ้นบันไดไปยังชั้นสามทันที เตียงเป็นที่หมายถัดไปแล้วค่อยๆวางร่างน้อยๆลงบนความกว้างขนาดคิงไซส์ กินง่ายหลับง่ายดีจริงๆ เมื่อคืนคงใช้แรงทั้งหมดไปกับการวิ่งหนี แต่จะหนีอะไร
หนีใครและทำไมต้องหนี...คงต้องรอเจ้าตัวพร้อมกว่านี้ถึงจะพูดคุยกันได้
“ใจร้ายเกินไปแล้ว.....”
พูดอยู่คนเดียว...เมื่อเห็นร่องรอยบนข้อมือเล็กๆที่คล้ายว่าจะถูกจองจำไว้นานจนเกิดรอยแผลเป็น
ไคเผลอลูบรอยแผลนั้นอย่างลืมตัวเพราะมันเป็นแผลที่ดูน่ากลัวจนอดคิดไม่ได้ว่าความเลวร้ายแบบนั้นยังไม่อยู่ในโลกนี้อีกหรือ? ผิดอะไรจึงถูกกักขัง
โกรธเคืองเรื่องใดจึงถูกจองจำหรือทำไมต้องลงโทษกันถึงเพียงนี้...แล้วไหนจะความบ้าใบ้พูดไม่ได้นี่อีก????
ไค...ไม่เคยรู้มาก่อนว่าคนเป็นใบ้จะสามารถได้ยินหรือเข้าใจในสิ่งที่สื่อสารเพราะบางคนหูหนวกจึงเป็นใบ้
การไม่ได้ยินจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ไม่รู้ความหมาย แต่สำหรับเซฮุน...เจ้าตัวได้ยินทุกอย่าง เพียงแต่ตอบกลับมาไม่ได้เท่านั้น
และความโล่งใจก็คงมีอยู่แค่เรื่องเดียวคือ...การที่เรายังพอจะสื่อสารกันได้อย่างถามไปก็พยักหน้ากลับมา ไม่ชอบก็ส่ายหัว อยากขอบคุณก็ยกมือไหว้หรืออยากให้เข้าใจมากกว่านี้ก็ใช้การวาดรูปเพื่อเป็นตัวช่วยในการสื่อสาร
จำได้...ว่าการเขียนชื่อตัวเอง การวาดรูปคนหน้ายักษ์ รูปเงินจำนวนมาก
รูปรถบรรทุกคันใหญ่และทุกๆรูปที่ใช้ฝุ่นเขียนขึ้นมามันดูน่าหดหู่มากแค่ไหน ไคไม่รู้เลยว่ารูปพวกนั้นมันเกี่ยวข้องกันอย่างไรบ้าง
เท่าที่รู้ก็คือท่าทางที่เด็กตัวขาววิ่งนี้เข้ามาในปราสาท
โดนรั้วเหล็กเกี่ยวผิวหนังจนหน้าท้องเป็นแผลแล้วก็...การวิ่งหนีเสียงต่างๆที่ได้ยิน
แต่เพียงการเข้าใจแค่นั้นก็ทำให้ไคไม่กล้าทิ้งเด็กคนนี้หรือโทรแจ้งตำรวจเพื่อส่งเจ้าตัวกลับบ้าน
“ฉันอนุญาตให้อยู่จนกว่าจะพอใจเลยนะ...”
ทุกๆที่คงไม่ปลอดภัยสำหรับเซฮุนใช่ไหม...แล้วคำว่า “ตำรวจ” ก็ห้ามพูดออกไปเด็ดขาด!!!??
100%
Cr.
ภาพในตอนที่สาม : flickr.com
***ฉงน หมายถึง งุนงง
สงสัย ไม่แน่ใจ
Talk.
ช่างไคจะให้น้องอยู่ด้วยจริงๆใช่ไหมคะ ^^)
ส่วนตอนนี้...ฟิคสองเรื่องระหว่าง #KHanother กับ #KHhide มันกำลังตีกันอยู่ในหัวของเราค่ะ5555555++
คาแรคเตอร์ของช่างไค+เซฮุนในเรื่องนี้...กับคุณจงอิน+น้องเซฮุนใน #KHanother มันต่างกันมากจริงๆ
ทำเองเครียดเอง
แต่งเองก็งงเอง...และใครที่รอ #KHanother อยู่ รบกวนรออีกหน่อยนะคะ T^T
ขอบคุณนักอ่านทุกคนมากๆเลยค่ะ...แล้วก็อย่าลืมติดแท็กหรือคอมเมนต์เป็นกำลังใจให้ด้วยน้าาา(ไหว้ย่อ)
รัก ♥
#KHhide
ความคิดเห็น