ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    จบแล้ว(EXO) HIDE (Kaihun)

    ลำดับตอนที่ #1 : หนึ่ง

    • อัปเดตล่าสุด 1 มิ.ย. 64




    1.

     

     

    แกร๊บบบ!!!

    กร็อบบบ!!!

     

                “มันไปทางไหนวะ!!!

     

                “แยกกันตามหา  มึงไปทางนั้น...เดี๋ยวกูไปทางนี้  ส่วนมึงเฝ้ารถเอาไว้!!!

     

                เสียงเหยียบใบไม้แห้ง  เสียงหอบหายใจและเสียงทุ้มหนักของชายสองคนกำลังดังก้องไปทั่วป่าในยามค่ำคืนเพราะหลังจากขับรถมาได้สักระยะ  สิ่งของที่ต้องนำมาส่งให้ถึงปลายทางก่อนพระอาทิตย์จะขึ้นกลับหลบหนีออกมาระหว่างแวะพักเพื่อขับถ่ายของเสีย  และที่รถบรรทุกขนาดย่อมต้องยอมปลดล็อคที่แน่นหนาก็เนื่องมาจากสิ่งของที่ว่า...เกิดตายระหว่างทาง  แล้วของที่เหลือต่างก็พากันส่งเสียงร้องจนต้องยอมปลดล็อคเพื่อเช็คสินค้า

     

     

                และสินค้าชั้นดี...ก็คือ  “ชีวิต”  ของทั้งเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชาย  คนรวยมีเงินล้นฟ้าแต่ยังไม่อยากตายก็คงต้องยื้อชีวิตไว้ด้วยตับปอดหรือการปลูกถ่ายอวัยวะจากวัยที่กำลังเจริญพันธุ์  ส่วนพวกเขาก็แค่ต้องทำงานเพื่อแลกเงิน  แม้เงินเหล่านั้นจะมาจากการทำงานแบบผิดกฎหมาย  แถมยังผิดกฎหมายที่ร้ายแรง  แต่ชีวิตมันก็อยู่ได้ด้วยเงินไม่ใช่หรือ?  บาปกรรมหรือการลงทัณฑ์ลงโทษจากพระเจ้าคงต้องรอไว้หลังความตายถึงจะรู้  และตอนนี้...พวกเขาก็ต้องหาเด็กนั้นให้เจอ!!!??

     

     

                ไม่ใช่เพียงอวัยวะภายในของเด็กเท่านั้นที่สำคัญ...เพราะคนรวย  คนจนหรือจะเป็นคนทั่วไปและไม่ว่าจะเป็นในสายอาชีพใดก็ต้องการเรื่องทางเพศทั้งนั้น  แล้วเด็กที่ไม่ได้ถูกขายเพื่อเอาอวัยวะก็ต้องถูกส่งต่อให้ผู้ซื้อที่คล้ายว่าจะมีรสนิยมทางเพศแบบเฉพาะเจาะจง  นายทหารบางคนชอบเด็กผู้หญิง  นักธุรกิจบางรายก็ชอบเด็กผู้ชายและนายตำรวจใหญ่ส่วนมากก็ชอบเด็กสาวที่อายุไม่เกินยี่สิบ  ซึ่งนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาต้องส่งสินค้าให้คนใหญ่คนโตตามออร์เดอร์

     

                “แม่งเอ้ยยย...อย่าให้กูจับได้นะมึง!!

     

                ชายร่างท้วม...เริ่มสบถอย่างหัวเสียเพราะเด็กผู้ชายตัวผอมและผิวขาวดั่งหิมะกลับวิ่งหนีอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยทั้งๆที่เขารู้สึกเหนื่อยจนแทบขาดใจ  สองมือต้องใช้ยันหัวเข่าทั้งสองข้างเอาไว้ก่อนค้อมตัวลงเล็กน้อย  ลมที่พยายามปล่อยออกมาทั้งทางปากและจมูกก็เหมือนจะยังไม่เพียงพอ  แถมความมืดก็เป็นอุปสรรคต่อการมองเห็น

     

                “มันไปทางซ้ายแล้ว...ตามให้ทัน!!!

     

                “เอออออ!!

     

                เสียงของชายอีกคน...ที่ตะโกนดังจนก้องป่าก็พาให้สองขาของเด็กที่มีวัยเพียง  18  ปี ต้องเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น  ใช่ว่าไม่เหนื่อย  ใช่ว่าไม่ท้อ  ใช่ว่าอยากเอาชีวิตมาเสียงเช่นนี้  แต่ถ้าไม่ทำ  ไม่วิ่งหรือไม่หนีอย่างที่ทำอยู่...เขาก็คงต้องกลับไปอยู่ในที่ที่พูดได้เลยว่า  “นรกบนดิน” 

     

     

              เกิดมาพ่อแม่ตายหมดก็ถือว่าแย่แล้ว...และการอาศัยอยู่กับญาติที่ไม่ยินดียินร้ายกับชีวิตของหลานก็ถือว่าแย่ซ้ำสอง  แต่ที่แย่ที่สุดก็คือการถูกจับมาขังไว้ในห้องใต้ดินตั้งแต่อายุสิบห้าจนตอนนี้อายุมันพอจะขายทำกำไรให้พวกคนเลวได้  ในวัย  18  ปี...เขากลายเป็นเด็กที่นักธุรกิจคนหนึ่งอยากได้ตัวไว้สนองตัณหา  เด็กผู้ชายที่บริสุทธิ์  ผิวขาว  ใบหน้ามีกระเล็กน้อยเหมือนฝรั่ง  ผมสีดำสนิท  ทุกๆอย่างที่เป็นเขาคือสิ่งที่ลูกค้าอยากได้  และการไม่มีปากมีเสียงก็ยิ่งเป็นสิ่งที่ลูกค้าชอบมากที่สุดเพราะ...เขาพูดไม่ได้

     

     

                แต่!!...ใช่ว่าพูดไม่ได้ตั้งแต่เกิด  ที่ไม่ยอมพูดก็เพราะไม่อยากถูกขายตั้งแต่โดนจับตัวมาจากตลาดและการหลอกพวกคนเลวว่าตัวเองเป็นใบ้  มันก็ทำให้เด็กอายุสิบห้าอย่างเขาเหมือนถูกขังลืม  ไม่มีลูกค้าคนไหนอยากได้ของที่คล้ายว่าจะมีตำหนิ  ถ้าเขาเป็นใบ้  พูดไม่ได้  ไม่มีความรู้สึก...อวัยวะภายในก็คงเสี่ยงต่อการปลูกถ่ายให้กับคนอื่น  แต่!!การแสร้งทำเป็นคนมีตำหนิกลับถูกใจลูกค้าโรคจิตเพราะลูกค้าคนนั้นไม่ชอบเด็กที่พูดมากหรือส่งเสียงร้องโวยวายเมื่อต้องหลับนอนด้วยกัน

     

     

                พวกเราเป็นเหมือนสิ่งของมากกว่าคำว่า  “มนุษย์”  เพราะเด็กที่จะถูกขายอวัยวะต้องทำการตรวจเลือดหรือเจาะนั่นเจาะนี่ตามร่างกายเพื่อหาสิ่งที่ลูกค้าต้องการ  เลือดใครที่ใช้ได้หรือตับไตของใครพอที่จะยื้อชีวิตลูกค้ารายไหน...เด็กคนนั้นก็จะถูกพาออกมาจากนรกและส่งไปยังนรกอีกแห่ง  ส่วนเด็กคนอื่นๆที่ลูกค้าอยากได้เอาไว้บำเรอความใคร่ก็จะถูกจับอาบน้ำแต่งตัวเพื่อให้พร้อมกับเรื่องอย่างว่า  และเขา...ก็จะไม่ยอมให้เรื่องแบบนั้นมันเกิดขึ้นเด็ดขาด

     

    อดทนอยู่ในห้องใต้ดินมาได้ตั้งหลายปี...เมื่อมีจังหวะดีๆมันก็ต้องหนีและต้องหนีให้พ้นเท่านั้น!!!


                (ปราสาท...?)

     

                เป็นความเคยชินมาตลอดหลายปีที่ต้องแสร้งเป็นใบ้...เด็กผู้ชายตัวขาวจึงพูดถึงสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่เห็นตรงหน้าในใจก่อนเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นและรีบมุดกายเข้าไปในรั้วแคบๆจนเสื้อขาด  ความคมของรั้วเหล็กบาดผิวเนื้อจนรู้สึกได้ถึงความแสบ  แต่ตอนนี้เขาไม่สนใจแล้วว่ามันจะเป็นแผลลึกมากน้อยแค่ไหน  หนีได้ต้องหนี  วิ่งได้ต้องวิ่ง  ซ่อนได้ต้องซ่อนและ...ปราสาทหลังนี้ก็ทำให้เขาหลุดพ้นจากนรกที่เรียกว่าห้องใต้ดินได้สักที

     

                “มันไปทางไหนวะ!!?”

     

                “ไม่รู้เหมือนกัน”

     

                “เหี้ยยย!!...เหนื่อยฉิบหาย  กูว่าพวกเรารีบกลับไปที่รถก่อนเหอะ  มีของต้องส่งอีกหลายชิ้น  เดี๋ยวไปไม่ทันเวลา”

     

                “แล้วไอ้เด็กนั่นมึงจะเอายังไง?”

     

                “เดี๋ยวให้ลูกพี่ไปเคลียร์ที่หลัง”

     

                “กูจะเข้าไปหาในนั้น...มึงกลับไปที่รถก่อนเลย”

     

                เหมือนหัวใจจะหยุดเต้น...เพราะจากที่แอบฟังมานานก็คิดว่าตัวเองจะหนีพ้น  แต่สุดท้ายมันก็ต้องเริ่มหนีอีกรอบ  เด็กตัวขาวค่อยๆเดินไปรอบๆปราสาทหลังนี้อย่างช้าๆเพราะไม่อยากให้ชายร่างท้วมได้ยินเสียงใบไม้แห้งที่หล่นเกลื่อนอยู่บนพื้น  และการวิ่งหนีคนเลวจนรอบป่าก็ยังไม่เหนื่อยเท่ากับการย่องหรือการต้องทำทุกอย่างให้เงียบที่สุด  กายบางจำเป็นต้องใช้วิธีมุดอีกครั้งเมื่อเห็นประตูบานใหญ่มีช่องเล็กๆให้แทรกตัวผ่าน  แต่กว่าจะผ่านเข้ามาได้...ผิวเนื้อที่ผ่านการมุดรั้วเหล็กมาเมื่อครู่ก็รู้สึกถึงความเจ็บเพราะถูกขอบประตูเกี่ยวเอาไว้

     

     

                แต่ถึงจะเจ็บแค่ไหน...ก็ส่งเสียงร้องออกไปไม่ได้  และความอดทน  ความอยากมีชีวิตรอดหรือความอยากหลุดพ้นจากนรกแห่งนั้นก็ทำให้เด็กตัวขาวได้เข้ามาหลบอยู่ในปราสาทหลังใหญ่  เสียงเหยียบใบไม้แห้งของชายร่างท้วมทำให้กายผอมบางต้องรีบเข้าไปแอบอยู่ที่หลังผ้าม่าน  แม้ประตูจะถูกล็อค...คนเลวจะอยู่ได้เพียงด้านนอก  แต่คนที่อยู่ด้านในก็ยังรู้สึกไม่ปลอดภัย  จนกระทั่ง!!ทุกๆเสียงเริ่มเงียบลงพร้อมชายร่างท้วมที่ต้องถอดใจกับการตามหาสินค้าชั้นดีด้วยเกรงว่าเจ้าของบ้านจะตื่นมาพบ

     

    Rrrr!!!

    Rrrr!!!

     

                (ว่าไง...เจอไหม?)

     

                “ไม่เจอ...”

     

                (งั้นกลับมาเลย...เดี๋ยวให้ลูกพี่ไปเคลียร์กับลูกค้าเอง)

     

                “เออ ๆ ๆ...มึงก็สตาร์รถรอไว้  กูกำลังจะออกไปแล้ว”

     

                เป็นบทสนทนา...ที่พาให้หัวใจของเด็กตัวขาวกลับมาเต้นเป็นจังหวะที่ปกติได้อีกครั้ง  แต่ความเหนื่อยล้า  ความเจ็บปวด  ความที่ต้องอดทนอยู่ในนรกแห่งนั้นมานานหลายปีก็ทำให้เพลียจนหลับอยู่ที่หลังผ้าม่านและหวังว่าวันพรุ่งนี้เขาจะไม่ต้องหนีอีกครั้ง

     

     

    แล้วฟ้าหลังฝน....มันมีจริงอย่างที่ใครๆเขาพูดไว้หรือเปล่านะ?

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     


     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ปั้งงงง!!!

     

                “..........!!!!!!!??”

     

                เสียงลมพัด...ที่ทำเอาหน้าต่างสักบานในปราสาทกระแทกไปกับผนัง  ทำให้คนที่หลับเพราะความเพลียสะดุ้งจนสุดตัว  ดวงตาคู่สวยเบิกโพลง  ร่างกายที่สั่นเทายังคงแอบอยู่ในผ้าม่าน  แต่เมื่อได้สติ...หรือเสียงทุกอย่างเริ่มเงียบลงเช่นเดิม  สองขาสองเข่าก็ค่อยๆคลานออกมาจากที่ซ่อน

     

     

                แสงแรก...ของชีวิตในวัยสิบแปดปีกลายเป็นสิ่งอัศจรรย์จนต้องยกมือขึ้นเพื่อสัมผัสกับแสง  ความอุ่นพร้อมสายลมที่พัดผ่านพาให้หัวใจเหมือนถูกรดด้วยน้ำทิพย์จนเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว  การถูกจับมาขังไว้ในห้องใต้ดินนานถึงสามปี...ทำให้ผู้ที่ตัดสินใจวิ่งหนีออกมาจากรถบรรทุกเมื่อคืนถึงกับน้ำตาไหล  เขาไม่ได้เศร้า  ไม่ได้เสียใจ  ไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อน  แต่มันเป็นน้ำตาที่ไหลออกมาเมื่อรู้ว่านี่คือ  “อิสระ”

     

     

                มันเป็นการตัดสินใจที่ถูกจริงๆ...ความกล้า  ความกลัว  ความอยากหลุดพ้นมันผลักดันให้เขายอมเสี่ยงทำในสิ่งที่ใครๆอาจคิดว่าโง่เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สินค้าอย่างพวกเขาคิดจะหนี  และทุกครั้งที่หนี...ก็มักจะถูกจับได้เสมอหรือไม่ก็ต้องกลับมาตายในที่ที่เราเรียกมันว่านรก  เขาโชคดีแค่ไหนที่การหนีครั้งแรกมันได้ผล  ขอบคุณปราสาทหลังโตท่ามกลางป่าผืนนี้ที่ให้ที่หลบที่ซ่อน  แม้มันจะดูเก่าไปสักหน่อย  แต่ความใหญ่โตของมันก็ทำให้เขาหลุดออกมาจากขุมนรกนั้นได้

     

     

                ขาเรียว...ค่อยๆก้าวไปตามทางเดินที่ปูด้วยพรมอย่างระมัดระวัง  สองมือก็กอบกุมบาดแผลที่เกิดจากการมุดเข้ามุดออกจากรั้วเพื่อหนีคนเลว  และทั้งสายตาหรือประสาทสัมผัสอย่างการได้ยินก็ต้องเปิดรับทุกเสียงเอาไว้เพื่อระวังภัย  ถึงแม้วันนี้จะหนีพ้น  แต่วันหน้าใครจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น  เด็กตัวขาวจึงขอเดินสำรวจปราสาทเอาไว้ก่อนเพราะจะได้หาทางหนีทีไล่***ถ้าถูกจับได้ 

     

     

                แต่ก่อนจะเดินสำรวจ...ก็ขอหาพื้นที่เพื่อดูอาการบาดเจ็บและเพื่อดูว่าแผลมันลึกมากแค่ไหน  มือบางค่อยๆถอดเสื้อที่ขาดออกจนเห็นเลือดที่แห้งไปหมดแล้ว  สายตาก็กวาดมองหาก๊อกน้ำหรือสิ่งที่พอจะล้างคราบสีแดงออกจากหน้าท้องของตัวเองได้  และสองขาก็ต้องเร่งฝีเท้าเดินไปยังห้องที่อยู่ตรงหน้า  พร้อมเปิดบานประตูเก่าๆออกอย่างมีความหวัง

     

     

                ขอบคุณแสงแดดในยามเช้า...ที่ช่วยทำให้เขามองเห็นทุกอย่างได้ดีกว่าเมื่อคืน  ห้องนี้ไม่มีที่นอน  มีแต่โซฟาสีซีดๆที่ถูกผ้าขนาดใหญ่คลุมเอาไว้  ส่วนประตูอีกบานที่อยู่ฝั่งซ้ายก็หวังว่าจะมีสิ่งที่พอจะช่วยชำระล้างร่างกายได้บ้าง  มือบางเปิดแผ่นไม้สีน้ำตาลออกอย่างมีความหวังอีกครั้งและอ่างล้างหน้าที่เต็มไปด้วยฝุ่นก็ทำให้เขายิ้มได้  เด็กตัวขาวรีบเปิดก๊อกน้ำโดยไม่กลัวแมงมุมที่กำลังชักใยหรือเกรงว่าจะมีสัตว์ร้ายอยู่ด้านในเพราะสิ่งที่น่ากลัวกว่าสัตว์พวกนี้ก็คือคนเลวที่เคยจับเขามาขังเอาไว้

     

     

                แสงแดดในยามเช้า  การรอดพ้นจากคนใจร้ายหรือน้ำที่ไหลออกมาจากก๊อกตรงหน้าตอนนี้  ทุกๆอย่างของวันใหม่พาให้เด็กอย่างเขามีรอยยิ้มที่กว้างกว่าหลายปีที่ผ่านมา  ดวงตาคู่สวยที่เคยเศร้า...กลับมามีประกายอีกครั้งเมื่อได้ส่องกระจก  สายน้ำที่เย็นฉ่ำ...ถูกมือบางรองเอาไว้ก่อนสาดใส่หน้าใบหน้าอย่างหาความสดชื่น  เด็กตัวขาวพยายามล้างคราบเลือด  คราบดินและคราบของความสกปรกที่เผชิญมาตลอดทั้งคืน 

     

    ดีที่แผลบนหน้าท้องไม่ลึกมาก...ไม่อยากนั้นความเปียกชื้นก็คงทำให้เลือดไหลออกมาอีกครั้ง

     

                และถึงแม้หน้าท้องจะเป็นรอยช้ำ  ตามแขนตามขาก็มีแต่รอยกิ่งไม้ใบหญ้าบาดข่วนจากการวิ่งหนีหรือจะเป็นรอยของโซ่ตรวนที่ใช้จองจำตอนถูกขังอยู่ในห้องใต้ดินเขาก็ไม่สน  เพราะตอนนี้...อิสระคือสิ่งที่สำคัญกว่ารอยพวกนั้น  ส่วนบาดแผลในใจก็ยังเป็นรอยลึกจนแก้ยาก  แต่เขาเชื่อว่าสักวันมันต้องหายดี

     

    แกร๊กกก!

     

                มือบาง...ปิดประตูห้องเมื่อได้ชำระล้างบาดแผลหรือร่างกายจนพอใจ  เสื้อผ้าที่ขาด  กางเกงที่เปียกและเส้นผมที่ปรกใบหน้าไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเดินสำรวจปราสาทอย่างที่ตั้งใจ  ชั้นแรกมีห้องหนึ่งห้อง  ในห้องมีโซฟาเก่าๆกับห้องน้ำ  ห้องทางซ้ายล็อคเข้าไม่ได้  บันไดทางขึ้นไปชั้นสองที่เต็มไปด้วยใบไม้แห้ง  เด็กตัวขาวยังคงเดินแต่ละก้าวด้วยความระมัดระวังเพราะไม่รู้ว่าปราสาทหลังใหญ่หลังนี้มีคนอาศัยอยู่หรือไม่  และ...เท่าที่เดินสำรวจมาสักพักก็ไม่เห็นว่าจะได้ยินเสียงอะไรนอกจากเสียงนกร้อง

     

                มันเงียบมาก..เงียบจนแอบคิดว่าปราสาทหลังนี้ร้างมานานเท่าไหร่  ขาเรียวเดินตรงไปยังห้องที่คิดว่าน่าจะเป็นห้องครัวเพราะมีหม้อ  มีชั้นวางถ้วยชามและมีถุงขนมปังที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่ง  เด็กตัวขาวรีบเดินไปที่โต๊ะไม้ตัวใหญ่ก่อนคว้าถุงขนมปังมาแกะทานด้วยความหิวโหย  เจ้าตัวรีบเคี้ยวรีบกลืนเหมือนอดอยากมานาน  สายตาก็คอยมองตรงนั้นตรงนี้เหมือนระวังภัย  เสียงนกยังคงร้อง  เสียงลมยังคงทำให้หน้าต่างสักบานกระแทกไปกับผนังและรสชาติของขนมปังที่แสนอร่อยก็เพิ่งทำให้คิดได้ว่าถ้ามีของกิน...ปราสาทหลังนี้ก็ต้องมีคนอาศัยอยู่แน่นอน

     

    VROOMMMMMM!!!!!!

     

                และมันก็เป็นอย่างที่คิด...เพราะเสียงรถที่ได้ยินอยู่นอกหน้าต่างมันเป็นตัวตอกย้ำว่าปราสาทหลังนี้มีคนอาศัยอยู่จริงๆ  เด็กตัวขาวรีบวิ่งหาซ่อนอย่างไม่คิดชีวิต  แต่ก็ไม่ลืมที่จะคว้าถุงขนมปังออกมาด้วย  อยากมีชีวิตรอดอีกครั้งก็ต้องหาของกินใส่ท้องพร้อมกับหาที่ซ่อนให้ดี  ห้องที่เคยใช้ล้างบาดแผลกลายเป็นที่ที่เขานึกออกเป็นสิ่งแรก  ขาเรียวเร่งฝีเท้าลงมาที่ชั้นล่าง  ประตูไม้เก่าๆถูกเปิดและปิดอย่างระมัดระวัง  ผ้าที่เคยใช้คลุมโซฟาถูกดึงออกมาคลุมตัวเองโดยไม่กลัวฝุ่นที่ฟุ้งกระจายเพราะมันเป็นห้องที่อยู่ใกล้ประตูทางออกมากที่สุด...และน่าจะหนีทันถ้าถูกจับได้!!!

     

    แกร๊กกกก!!!

     

                (เออ...กูถึงแล้ว  มึงไม่ต้องห่วง)

     

                “จะเอาอะไรอีกไหม...เพื่อพรุ่งนี้กูเข้าไปหา”

     

                (คิดไม่ออกว่ะ...แต่แค่นี้ก็พอแล้วมั้ง  ขอบใจมึงมาก)

     

                เสียงพูดคุย...เสียงไขกุญแจ  เสียงเปิดประตูหรือเสียงวางของอะไรสักอย่างลงบนพื้น  ทำให้คนที่แอบอยู่ในห้องใจเต้นไม่เป็นจังหวะ  กลัวถูกจับได้  กลัวถูกส่งตัวกลับไปที่เดิมและกลัวว่าจะถูกส่งไปให้นักธุรกิจโรคจิตคนนั้น  เด็กตัวขาวกลัวไปหมดทุกอย่างเมื่อได้ยินเสียงทั้งหมด  เขาไม่รู้ว่าเจ้าของปราสาทจะเป็นคนใจดีหรือใจร้ายอย่างที่เคยเจอ  มันไว้วางใจใครไม่ได้จริงๆ  ขนาดตำรวจที่เคยเข้ามาถึงห้องใต้ดินก็ยังเป็นพวกที่คอยเปิดทางให้คนเลวส่งเด็กอย่างเขาไปขาย

     

    Rrrr!!!

    Rrrr!!!

     

                “สวัสดีครับ...”

     

                (สวัสดีค่ะ...นี่ใช่เบอร์ช่างไคไหมคะ?)

     

                “ใช่ครับ...ผมช่างไคครับ”

     

                (คือฉันอยากติดต่อเรื่องงานช่างค่ะ...ต้องทำยังไงบ้างคะ?)

     

                “จะให้ซ่อมอะไรครับ?”

     

                (อยากให้ช่างมาซ่อมหน้าต่างค่ะ...กระจกข้างนอกมันแตกสองบาน)

     

                “อีกครึ่งชั่วโมงผมโทรกลับนะครับ...พอดีติดธุระนิดหน่อย”

     

                (ได้ค่ะๆ...จะรอนะคะ  ขอบคุณค่ะ)

     

                ช่างเหรอ....ไม่ใช่เจ้าของปราสาทหรอกเหรอ?  สรุปแล้วคนที่เปิดประตูเข้ามาก็เป็นช่างที่ชื่อว่า  “ไค”  แต่ความสงสัยหรือสิ่งที่ได้ยินอยู่ด้านนอกก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกเบาใจขึ้นเลยสักนิดเพราะไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นใครก็ไม่น่าไว้ใจทั้งนั้น  เด็กตัวขาวยังคงแอบซ่อนอยู่ในห้องห้องเดิม  บนโซฟาตัวเดิมพร้อมผ้าขนาดใหญ่ที่ใช้คลุมร่างกาย  ถุงขนมปังถูกแกะด้วยความเบามือ  ปากก็งับความอร่อยก่อนเคี้ยวช้าๆด้วยเกรงว่าคนด้านนอกจะได้ยิน

     

                “เชี่ยเอ้ยยย...ใหญ่ขนาดนี้กูต้องซ่อมกี่ปีกว่าจะเสร็จวะ?”

     

                เจ้าของเสียงทุ้ม...ขอสบถให้กับมรดกของคุณปู่เนื่องจากลูกหลานคนอื่นๆได้ทรัพย์สินเป็นที่ดิน  เงินสด  เครื่องเพชรและของมีค่าต่างๆที่พอจะขายกินได้  ส่วนเขากลับได้ปราสาทที่เหมือนถูกผีสิง  เก่าขนาดนี้  ใหญ่โตขนาด  อยู่ในป่าลึกขนาดนี้...ทำไมคุณปู่ถึงได้ซื้อเอาไว้?  แต่!!ก็รู้สึกขอบคุณอยู่ในใจเพราะในวันที่เขาไม่มีที่ซุกหัวนอน  ปราสาทที่เป็นมรดกเพียงแค่ชิ้นเดียวหลังนี้ก็ทำให้เขาไม่ต้องไปเช่าห้องอยู่ให้เสียเงินเปล่า  ถึงมันจะเก่าไปหน่อยหรือยังต้องซ่อมอีกหลายจุด  แต่ช่างไคซะอย่าง...อะไรพังก็จะซ่อมให้หมด!!!

     

     

                มือหนา...หยิบถุงของกินมากมายขึ้นมาถือไว้หลังจากที่ต้องวางเพื่อรับโทรศัพท์  ขายาวสมส่วนรีบก้าวไปตามทางเดินที่ปูด้วยพรมก่อนขึ้นไปบนชั้นสองของปราสาทเพราะห้องครัวมันอยู่ที่นั่น  ไฟฟ้ายังไม่ได้ต่อ  จานชามก็ยังไม่ได้จัดให้เข้าที่และหน้าต่างก็ต้องถูกเปิดเพิ่มเติมเพื่อรับแสงแดด  ถุงกระดาษที่เต็มไปด้วยขนมปัง  ผลไม้รวมถึงผักสดถูกวางลงบนโต๊ะไม้ตัวใหญ่  หนุ่มผิวเข้มค่อยๆเปิดหน้าต่างออกทีละบาน  ทีละบาน  แต่กว่าจะเปิดได้..ความฝืดจากการถูกสนิมกัดกินก็พาให้ต้องใช้แรงที่มากขึ้น

     

                “อะไรอีกวะเนี่ย?”

     

                เปิดหน้าต่างเรียบร้อย...ก็เดินกลับมาที่โต๊ะไม้เก่าๆเพื่อจัดของให้เข้าที่  แต่!!เศษขนมปังที่หล่นอยู่บนพื้นก็พาให้ตกยกฝ่าเท้าขึ้นดูด้วยความสงสัย  สองวันก่อนเขาเข้ามาที่ปราสาทหลังนี้แล้วครั้งหนึ่งเพื่อตรวจสอบสภาพภายในว่ามีสิ่งใดบ้างที่ต้องซ่อมหรือต้องแก้ไข  แต่วันนั้นไม่มีเศษขนมปังหล่นเกลื่อนพื้นแบบนี้...และขนมปังที่ว่าก็น่าจะเป็นถุงเดียวกับที่เขาซื้อมาทานเมื่อสองวันก่อน

     

    หรือว่าจะเป็นหนู....??!

     

     

     

     

     

     

     

     

     


     

     

     

     

     

     

     

     

     

    100%

    Cr. ภาพหน้าตอนที่ 1 : thenatureandthebeautyและselected_sh

    Cr. ภาพหน้าบทนำ : evibuiding

    Cr. ภาพไอคอน : flickr

    ***ทางหนีทีไล่ หมายถึง เส้นทางที่เตรียมไว้อย่างรอบคอบเพื่อบุกหรือถอยเมื่อจำเป็น

    ***รูปน้องตัวขาวนะคะ...อยากให้เห็นว่าใบหน้าตกกระเป็นแบบนี้ ( :




     

    Talk.

    สวัสดีค่ะ...เปิดฟิคเรื่องใหม่อีกแล้ว  และหวังเช่นเดิมว่านักอ่านจะชอบนะคะ

    ฟิคเรื่องนี้...บางตอนอาจมีความรุนแรง  มีความโอเวอร์หรือดูเกินจริงไปบ้างก็ขอวอนให้นักอ่านเข้าใจเราด้วยนะคะ  แต่สิ่งใดที่ควรเป็นความจริงเราก็จะหาข้อมูลมาอ้างอิงให้ดีที่สุด  ส่วนตอนใดที่ดูเวอร์เกินไป...นั่นเกิดจากจินตนาการของเราเองค่ะ

    ฝากติดตาม  คอมเมนต์และให้กำลังใจกับฟิค  #KHhide  ด้วยนะคะ 

    ขอบคุณนักอ่านทุกคนอีกครั้งค่ะ

    รัก ♥ 

    #KHhide 

    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×