เนตรมารสะท้านฟ้า ()(จบ)
-
นิยาย-เรื่องยาว :
ฟรีสไตล์/ กำลังภายใน Tags : กำลังภายใน, ลมปราณ, แฟนตาซี, ผจญภัย, ตื่นเต้น, สนุกสนาน, ความรัก, ปรุงยา, เทพเจ้า, มังกร, อสูร, นิยายจีน
ผู้แต่ง : MoMiMarChi
My.iD :
https://my.dek-d.com/MoMiMar/writer/
ตอนที่ 85 : ดูดกลืน
ตอนที่ 78
ดูดกลืน
"หัวหน้าเจี้ยนเฉินถูกสังหารแล้ว" เสียงก้องสะท้อนผนังถ้ำที่คดเคี้ยวเข้ามา ทำให้เสวี่ยหมิงได้ยินเรื่องราวการสนทนาของยามรักษาการณ์ที่ออกลาดตระเวนอย่างชัดเจน
"อะไรนะหัวหน้าเจี้ยนเฉินมีพลังระดับพื้นฐานลมปราณขั้นห้าเชียวนะ"
"เวรแล้ว ! สัตว์ประหลาดแบบไหนกันที่สังหารหัวหน้าเจี้ยนเฉินได้"
"ข้าไม่รู้ แต่พวกที่ไปตรวจดูที่เหมืองท้ายมันบอกมาว่า สภาพศพนั้นน่ากลัวมากที่หน้าอกเป็นรูปกลวง แถมกระดูกทั้งร่างแหลกร่างเละถูกอัดกระแทกจนติดไปกับผนังถ้ำ แค่คิดก็สยองแล้ว"
"บรืออออ...น่ากลัวจริง ๆ เมื่อไหร่จะหมดกะของข้าเสียทีวะเนี่ย หวังว่าพวกเราไม่โชคร้ายจนไปเจอกับคนร้ายเข้านะ"
เสวี่ยหมิงยืนนิ่งคิดหาทางแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เพราะเขาเองก็ไม่ได้อยากจะสังหารผู้คนที่ไม่เกี่ยวข้องให้มากมายจนเรื่องราวบานปลาย จนในที่สุดก็คิดแผนตบตาขึ้นมาได้เสวี่ยหมิงไม่รอช้ากรีดเลือดตัวเองออก ก่อนจะแต่งแต้มใบหน้าและเสื้อผ้าจนเปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิตแดง หลังจากนั้นก็ล้มตัวลงนอนคลุกไปกับฝุ่นดินร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด จนพวกยามที่ลาดตระเวนเร่งเท้ามาถึง เสวี่ยหมิงจึงได้บอกไปว่าตนเองนั้นได้พบเข้าคนร้ายที่กำลังหลบหนีโดยบังเอิญจึงได้โดนทำร้ายแต่เคราะห์ดีที่คนร้ายเร่งรีบ และเพียงแค่ถูกชนกระแทกล้มลงจนเกิดบาดแผล ทำให้เสวี่ยหมิงตัดสินใจแกล้งตายคนร้ายจึงไม่ได้สนใจจะจู่โจมซ้ำเติม จนกระทั่งเสวี่ยหมิงได้ยินเสียงพวกยามจึงได้กล้าส่งเสียงร้องออกมา ส่วนรูปร่างหน้าตาของคนร้ายเสวี่ยหมิงอ้างว่าตัวเองตกใจกลัวจนลืมเลือนไปหมดสิ้นรู้แค่ว่าเป็นผู้ชายใส่ชุดสีดำพรางกายเท่านั้น
พวกทหารยามที่เห็นสภาพเปรอะเปื้อนโลหิตของเสวี่ยหมิง ก็นึกชมเชยในความโชคดีของตัวเองที่ไม่ได้พบกับคนร้ายด้วยตัวเอง หลังจากที่สอบถามอาการของเสวี่ยหมิงพอเป็นพิธี พวกยามก็เอ่ยยื่นข้อเสนอว่าจะให้เสวี่ยหมิงติดตามพวกมันไปรักษาพยาบาลแต่กลับถูกเสวี่ยหมิงปฏิเสธเพราะบาดแผลที่ปรากฏเป็นเพียงบาดแผลภายนอก และตอนนี้เสวี่ยหมิงตกใจและอยากกลับบ้านของตัวเอง เมื่อถูกปฏิเสธและเห็นว่าเสวี่ยหมิงนั้นเดินเองได้ พวกยามจึงสั่งให้เสวี่ยหมิงเดินกลับไปรวมตัวที่ลานกว้างหน้าอุโมงค์ก่อน ส่วนพวกมันในที่ได้รับข้อมูลคนร้ายจากเสวี่ยหมิงก็ถือโอกาสหาทางชิ่งจากภารกิจ โดยอ้างกับยามกลุ่มอื่นที่สวนทางกันว่ามีเรื่องราวสำคัญเกี่ยวกับคนร้ายต้องรีบไปรายงานหัวหน้าให้รู้โดยด่วน จึงจำใจทิ้งงานลาดตระเวนไว้เบื้องหลังโดยในใจก็นึกขอบคุณสวรรค์ที่ส่งเสวี่ยหมิงมาแจ้งข่าวเรื่องคนร้ายแก่พวกมัน ทำให้รอดตัวจากภารกิจเสี่ยงตายในคืนนี้
.
.
เมื่อแยกจากยามลาดตระเวนแล้ว เสวี่ยหมิงก็รอจนผู้คนทั้งหลายจากไปจนลับตา จึงค่อยเช็ดคราบโลหิตที่เปรอะเปื้อนออกพร้อมเร่งทะยานมุ่งตรงไปยังเหมืองสุดท้ายเพื่อเก็บเกี่ยวแก่นแท้ลมปราณอันที่สาม แต่การเดินทางสวนกลับผู้คนนั้นยากเย็นเพราะตลอดทางจำต้องพบกับคนงานเหมืองเดินสวนกลับออกมา ทำให้เสวี่ยหมิงจำต้องหยุดตอบคำถามผู้คนหลายครากว่าจะถึงทางเชื่อมปากอุโมงค์สุดท้าย
นายท่านจื่อเจียงมา...!
เสียงโหวกเหวกโวยวายดังมาจากทางด้านนอก พร้อมเสียงผู้คนวิ่งวุ่นเพื่อเตรียมต้อนรับนายใหญ่ของพวกมัน
เมื่อจื่อเจียงมาถึงก็เท่ากับว่าการแฝงตัวหลบไปยังทางออกเบื้องบนนั้นยากยิ่ง เมื่อคิดได้ดังนั้นเสวี่ยหมิงจึงไม่ลังเลวิ่งตรงสุดกำลังไปยังท้ายเหมืองแห่งที่สามด้วยความไวสูงสุดโดยไม่สนสายตาของผู้คนอีก
หลังจากที่ได้แก่นแท้ลมปราณครบทั้งสามอันแล้ว เสวี่ยหมิงก็ลัดเลาะออกไปตามเส้นทางเชื่อมของเหมืองแห่งที่สอง ซึ่งก่อนหน้านั้นเสวี่ยหมิงได้สังเกตเห็นเส้นทางเชื่อมนั้นมีลมอ่อนพัดโชยเข้ามา และด้วยประสาทสัมผัสอันสูงส่งเสวี่ยหมิงก็สามารถติดตามทิศทางของกระแสลมไปยังทางออกนอกเส้นทางหลักซึ่งเป็นทางเข้าเดิมของเหมืองในช่วงที่หลี่มี่อิงครอบครอง
แต่ก่อนจะจากไปเสวี่ยหมิงยังไม่ลืมเคลื่อนตัวออกนอกเส้นทางหลายครั้ง พร้อมชกทำลายผนังถ้ำเพื่อสร้างความสับสนในการแกะรอยติดตาม เมื่อมาถึงยังจุดที่คิดเอาไว้เสวี่ยหมิงก็ไม่รั้งรอทะยานมุ่งหน้าไปตามทิศของกระแสลม กลิ่นอับชื้นเริ่มลดลงตามลำดับ จนกระทั่งเสวี่ยหมิงโผล่ออกมาที่ทางเข้าซึ่งถูกปิดตายจากด้านนอก แต่ก่อนทะลวงทางปิดตายออกเพื่อความรอบคอบเสวี่ยหมิงจึงบังคับใช้จิตวิญญาณของตัวเองแผ่ขยายออกตรวจสอบดู จนพบว่าสถานที่ห่างออกไปราวห้าสิบวามียามเฝ้าอยู่สองคน เสวี่ยหมิงตัดสินใจผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดดำอีกครั้ง และเมื่อทะลวงช่องปิดออกไปได้เสวี่ยหมิงก็เร่งเหินทะยานหลบหลีกออกไปในทิศทางตรงกันข้ามกับยามรักษาการณ์ในทันที ก่อนจะใช้ความว่องไวฉีกหนีและหลบหายกลืนไปกับความมืดมิดของราตรีกาล
ภายหลังเหตุการณ์อีกไม่กี่วันต่อมาเหมืองทั้งสามแห่งของจื่อเจียงเมื่อไร้ซึ่งแก่นแท้ลมปราณก็กลับกลายเป็นเหือดแห้ง ทำให้จื่อเจียงโกรธแค้นเป็นอย่างมาก แม้มันจะมั่นใจว่าเรื่องราวจะต้องเป็นฝีมือของฝั่งจื่อเจิ้งเป็นผู้กระทำ แต่เพราะตลอดเวลามันจับตาดูผู้คนของฝั่งจื่อเจิ้งอยู่ก่อนแต่ไม่พบการเคลื่อนไหว รวมถึงหลักฐานการตายของเจี้ยนเฉินทำให้จื่อเจียงสันนิษฐานว่าผู้ลงมือต้องมีฝีมือไม่ธรรมดาซึ่งในเมืองหยกม่วงนั้นมีเพียงไม่กี่คน แต่จากการสอบปากคำทำให้มันมั่นใจว่าผู้ที่ปะปนเข้ามาทำลายเหมืองทั้งสามต้องมีทักษะวิเศษที่สามารถปกปิดพลังฝีมือตนเอง ซึ่งทักษะที่ว่าจำต้องเป็นผู้ฝึกตนที่มีระดับฝีมือแรกธรรมชาติขั้นกลางเป็นอย่างต่ำ เพราะว่าทักษะวิชาประเภทนี้จำต้องอาศัยพลังจิตวิญญาณในการฝึกฝนในขั้นต้น ทำให้มันละเลยที่จะสงสัยในตัวของเสวี่ยหมิงไป และหมายหัวไปที่โจวอู่เว่ยผู้ซึ่งเป็นอาจารย์แทน แต่เมื่อตรวจสอบก็ไม่พบข้อพิรุธใด ๆ เพราะในคืนนั้นโจวอู่เว่ยอยู่หารือเรื่องราวของสำนักมังกรฟ้ากับประมุขซือไฉและผู้อาวุโสหลายท่าน เมื่อไม่อาจจับมือใครดมแถมไม่อาจเปิดเผยเรื่องราวเพราะสิ่งที่มันทำนั้นไม่ถูกต้องอยู่ก่อน ทำให้เรื่องราวจบลงด้วยความผิดและการลงโทษเหล่าลูกน้องที่ทำงานหละหลวมจนเกิดหายนะขึ้นมา
.
.
หลังจากที่เสวี่ยหมิงได้แก่นแท้ลมปราณทั้งสามอัน รวมถึงหลบหนีจนมั่นใจว่าอยู่ในเขตปลอดภัยแล้ว เขาก็ไม่คิดจะวกกลับไปยังเมืองหยกม่วงในทันที แต่เสวี่ยหมิงกลับเลือกที่จะตรงกลับไปยังถ้ำลับนอกเมืองของตนเอง แม้เสวี่ยหมิงจะเร่งเดินทางโดนไม่หยุดพักแต่เมื่อมาถึงมาถึงขอบฟ้าก็เริ่มทอแสงอ่อนของวันใหม่ แสงอันงดงามสาดทะลุยอดไม้รำไรแต่เสวี่ยหมิงหาได้สนใจชื่นชม เพราะตอนนี้มีสิ่งที่น่าสนใจกว่าอยู่ในแหวนมิติของเจ้าตัว ทำให้เสวี่ยหมิงเลือกที่จะตรงเข้าไปในถ้ำมืดก่อนจะลงมือปิดถ้ำเช่นทุกคราก่อนที่ และเริ่มต้นฝึกฝนเคล็ดวิชาบ่มเพาะกายาแห่งพระเจ้าขั้นที่ 2 ในทันที
ขั้นตอนการฝึกฝนเคล็ดวิชาบ่มเพาะกายาแห่งพระเจ้าขอบขั้นที่สองนั้นแตกต่างจากขอบขั้นแรกอย่างมาก เพราะในขอบขั้นแรกเป็นการฝึกฝนการเคลื่อนลมปราณในกาย การชำระล้างและการเพิ่มความสามารถในการรับพลังปราณของร่างกายโดยขึ้นกับสภาพของผู้ฝึก แต่ในขั้นที่สองนั้นต้องเรียกว่าเป็นการก่อร่างกายขึ้นมาใหม่โดยอาศัยปัจจัยภายนอก ซึ่งถือเป็นขอบขั้นต้นของการฉีกกฎเกณฑ์สวรรค์ที่กำหนดให้ความสามารถผูกพันตามสายเลือดและเผ่าพันธุ์ ดั่งเช่นสัตว์อสูรโดยทั่วไปแม้มีความคิดสติปัญญาต่ำกว่าผู้ฝึกตนมนุษย์และไร้ซึ่งเส้นชีพจรลมปราณ แต่ก็ได้รับร่างกายลมปราณที่แข็งแกร่งมาชดเชย ซึ่งสิ่งที่สวรรค์กำหนดก็เพื่อให้สิ่งต่าง ๆ ถ่วงดุลกันเอง แต่ในขอบขั้นที่สองของเคล็ดวิชาบ่มเพาะกายาแห่งพระเจ้าซึ่งอาศัยวัตถุดิบที่อุดมไปด้วยธาตุทั้งห้าเป็นพื้นฐาน ก่อเสริมร่างของสิ่งมีชีวิตให้แกร่งขึ้นนั้นทำลายกฎเกณฑ์ในข้อนี้ไป
โดยวัตถุดิบแรกที่เสวี่ยหมิงได้มาคือแก่นแท้ลมปราณ ถือเป็นตัวแทนของพื้นพสุธาหรือธาตุดินอันเป็นต้นกำเนิดของร่างกายและเนื้อหนัง
หลังจากที่เสวี่ยหมิงนั่งทำสมาธิปรับลมปราณที่สับสนก่อนหน้าเรียบร้อยแล้ว สองตาที่ปิดแน่นก็พลันเปิดออก แก่นแท้ลมปราณอันแรกถูกวางอยู่บนฝ่ามือขวา และทันทีที่เสวี่ยหมิงแผ่ลมปราณในกายออกไปปกคลุมผลึกใสสีน้ำตาลเข้มก็หมุนกลิ้งไปมาราวกับว่ามันกำลังต่อต้านการดูดกลืนของเสวี่ยหมิง แม้ผลึกแก่นแท้ลมปราณจะกลิ้งไปมาแต่เมื่อเสวี่ยหมิงเริ่มเดินลมปราณฝึกฝนตามเคล็ดวิชาบ่มเพาะกายาแห่งพระเจ้าขั้นที่สองผลึกแก่นแท้ลมปราณก็หยุดนิ่งในทันที จนเวลาผ่านไปครู่หนึ่งผลึกใสก็พลันแตกกระจายออกเป็นละอองสีน้ำตาลเคลื่อนปกคลุมทั่วทั้งร่างของเสวี่ยหมิง ก่อนที่ไอปฐพีซึ่งหมุนล้อมรอบร่างของเสวี่ยหมิงจะกัดเซาะกายเนื้อเดิมของเสวี่ยหมิงให้เปื่อยยุ่ย และพุ่งเข้าประสานกับมัดกล้ามเนื้อแดงสดที่อยู่ภายในโดยตรง เส้นเลือดและมัดกล้ามเนื้อสีแดงฉานพลันหยาบหนาและเปลี่ยนเป็นสีคล้ำลงจนกลายเป็นสีน้ำตาลแข็งดั่งศิลาไปทุกส่วน
เวลาภายในถ้ำปิดตายผ่านพ้นไปกว่าหนึ่งสัปดาห์ หากผู้คนขุดค้นเข้ามาภายในถ้ำคงไม่อาจมองหาเสวี่ยหมิงได้ เพราะตอนนี้ไม่ปรากฏร่างของเด็กหนุ่มวัย 15 ปี ซึ่งนั่งฝึกฝนเคล็ดวิชาบ่มเพาะกายาแห่งพระเจ้าอยู่อีก แต่กลับปรากฏศิลาแกร่งก้อนหนึ่งตั้งตระหง่านขึ้นแทนที่
ตุบ !..ตุบ !...ตุบตุบ !!!
เสียงศิลาที่ห่อหุ้มเสวี่ยหมิงอยู่ค่อย ๆ แตกออกหลุดล่วงลงสู่พื้นทีละส่วน...ทีละส่วนจนหมดสิ้น ร่างกายเลือดเนื้อของเสวี่ยหมิงที่อยู่ภายในมิได้มีสีน้ำตาลเข้มและแข็งดั่งศิลาเฉกเช่นเดียวกับในช่วงแรกอีก แต่กลับสุกใสอ่อนหยุ่นดุจเดิม สิ่งที่เพิ่มเติมขึ้นมีเพียงแค่ร่องรอยมัดกล้ามเนื้อที่ดูจะกระชับและแข็งแกร่งขึ้นกว่าเก่า ศิลาที่ห่อหุ้มหลุดล่วงลงจนหมดแล้วแต่เสวี่ยหมิงกลับยังไม่ลุกขึ้นจากท่านั่งสมาธิ เสวี่ยหมิงไม่จำเป็นต้องลุกขึ้นสำรวจมองดูก็สามารถใช้จิตรับรู้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายตัวเองได้ทำให้เขาพบว่ากล้ามเนื้อที่ก่อเกิดยังคงไม่สมบูรณ์ตามเคล็ดวิชาบ่มเพาะกายาแห่งพระเจ้าขอบขั้นที่สอง
...ไม่น่าเชื่อแก่นแท้ลมปราณที่อัดแน่นไปด้วยพลังลมปราณมหาศาลกลับไม่เพียงพอที่จะผ่านขั้นก่อกายเนื้อในเคล็ดวิชาบ่มเพาะกายาแห่งพระเจ้าขอบขั้นที่สอง ยังดีที่เรามีผลึกแก่นแท้ลมปราณสำรองเอาไว้อีกสองก้อน
เมื่อคิดได้เช่นนั้นเสวี่ยหมิงก็หยิบผลึกแก่นแท้ลมปราณก้อนที่สองออกมาจากแหวนมิติก่อนจะลงมือดูดกลืนผลึกแก่นแท้ลมปราณก้อนที่สองตามเคล็ดวิชาบ่มเพาะกายาแห่งพระเจ้าต่อไป
ทำไมตาพระเอกมันไม่ดูดกลืนพลังวิญญาณจากศพที่ฆ่าไป 2 ศพล่ะ
...ฮาเร็ม ดีที่สุด+โลลิ จงเจริญ....^.^
ยังยืนยันว่าให้มีคนรักช้าๆค่ะ
แรก ๆ อาจสนุกแต่หลัง ๆ คนอ่านจะเริ่มเบื่อมาก
ถ้าไรท์จะเขียนฮาเร็มจริง ๆ ก็คิดให้ดี ๆ แล้วกัน