เนตรมารสะท้านฟ้า ()(จบ)
-
นิยาย-เรื่องยาว :
ฟรีสไตล์/ กำลังภายใน Tags : กำลังภายใน, ลมปราณ, แฟนตาซี, ผจญภัย, ตื่นเต้น, สนุกสนาน, ความรัก, ปรุงยา, เทพเจ้า, มังกร, อสูร, นิยายจีน
ผู้แต่ง : MoMiMarChi
My.iD :
https://my.dek-d.com/MoMiMar/writer/
ตอนที่ 130 : เหตุผลที่ซ่อนแฝง
ตอนที่ 121
เหตุผลที่ซ่อนแฝง
การต่อสู้ยิ่งมีระดับสูงเท่าไหร่สมาธิยิ่งสำคัญมากขึ้นตามติดไปเป็นเงาตามตัว เวลาที่เสวี่ยหมิงเหม่อลอยนั้นคำบรรยายเสมือนหนึ่งยืดยาวแต่แท้จริงเป็นเพียงแค่ชั่วกระพริบตาเพียงครั้งหรือสองครั้ง เมื่อเสวี่ยหมิงเรียกสติกลับมาได้ก็เป็นจังหวะที่พบว่าม่านพลังเพลิงของตัวเองนั้นพังพินาศไปแล้ว คมเขี้ยวแรกของ...พันเขี้ยววายุโรมรันก็บรรลุถึงหน้าอกของเสวี่ยหมิงพลังความเย็นก็ชำแรกเข้าใส่ทันที แรงปะทะกรีดเฉือนเลือดเนื้อบริเวณหน้าอกของเสวี่ยหมิงจนเกิดเป็นขีดรอยสีแดงเข้ม แต่หลังจากที่เสวี่ยหมิงได้รับกายาอสูรจากการฝึกฝนเคล็ดวิชาบ่มเพาะกายาแห่งพระเจ้าขั้นที่ 2 แล้ว การจะเจาะผ่านเลือดเนื้อของเสวี่ยหมิงได้นั้นจำต้องใช้พลังที่รุนแรงเกินกว่า 70000 จินขึ้นไป แต่เพราะพันเขี้ยววายุโรมรันในระลอกสุดท้ายของฉีปิงที่เริ่มจะได้รับผลกระทบจากอาการบาดเจ็บภายในสะสม ทำให้คมเขี้ยวน้ำแข็งที่เหลืออีกกว่าร้อยชิ้นมีความรุนแรงลดลงไปอย่างมากจนไม่อาจกรีดผ่านเลือดเนื้อได้ตั้งแต่คมดาบแรก
ฉับ ฉับ ฉับ !!!
เสวี่ยหมิงปวดแปลบที่หน้าอก ก่อนที่คมเขี้ยวซึ่งตามติดต่อมาจะกระหน่ำเข้าใส่เสวี่ยหมิงในทุกทิศทาง แม้พลังป้องกันจะสูงส่งดั่งช้างสารแต่เมี่อถูกมดที่มีพิษนับร้อยรุมโจมตีก็ใช่ว่าจะไม่เจ็บปวด เมื่อรอยแดงที่ปรากฏยังไม่ทันสมานก็ถูกการจู่โจมหนุนเนื่องซ้ำเติม ทำให้ในที่สุดรอยนูนแดงก็กลายเป็นเลือดเนื้อที่ฉีกเปิดออก โลหิตอาบชโลมร่างของเสวี่ยหมิงจนชุ่มโชกไปทั่วทั้งตัว
หลังม่านไอระเหยจางลง เสียงการปะทะก็สิ้นสุดไปพร้อม ๆ กันผู้ชมที่ลุ้นผลการประลองล้วนรอชมภาพเหตุการณ์ด้วยใจเต้นระทึก และทันทีที่ผู้คนเห็นร่างซึ่งชุ่มโชกไปด้วยโลหิตของเสวี่ยหมิงเสียงตะโกนโห่ร้องด้วยความยินดีก็ดังกระหึ่ม เพราะอย่างไรที่นี่ก็คือเขตของสำนักมังกรเทวะ ทำให้ผู้ชมส่วนใหญ่เลือกที่จะส่งเสียงเชียร์ทางฝั่งของนายน้อยลำดับสองฉีปิงมากกว่าเสวี่ยหมิงนับเป็นเท่าตัว
ใบหน้าของโจวอู่เว่ยวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด ผู้เป็นอาจารย์ของเสวี่ยหมิงไม่อาจทนเห็นศิษย์รักบาดเจ็บรุนแรงต่อหน้าได้ เดินตรงไปหาประมุขซือไฉหมายขอให้ซือไฉออกหน้าแจ้งขอยอมแพ้ยุติการประลองแต่เพียงเท่านี้ แต่ดูเหมือนว่าคำขอนั้นจะไม่เป็นผล แม้ว่าประมุขซือไฉก็หวังเอาไว้กับผลการประลองในครั้งนี้อยู่มากโขแต่เหตุผลที่แท้จริงคือแววตาของเสวี่ยหมิงที่ประมุขซือไฉชี้ให้โจวอู่เว่ยมองดูไปพร้อม ๆ กัน...ซึ่งนับเป็นแววตาที่เจิดจ้าและเริงร่า และหาใช่แววตาของผู้ที่กำลังจะพ่ายแพ้อย่างแน่นอน
.
.
ณ ห้องชมการประลองของสำนักมังกรฟ้า
ซือหม่าเลี่ยงจินมองภาพการประลองที่เบื้องล่างด้วยลมหายใจที่ติดขัด เนื่องจากก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสจากสำนักหงส์อัคคีมาเยือนสำนักมังกรเทวะโดยมิได้แจ้งล่วงหน้ามันก็เกิดความสงสัยอยู่เต็มอกแต่ก็เพียงเก็บเอาไว้ในใจ...ว่าเหตุใดสำนักหงส์อัคคีแดนใต้ซึ่งเป็นสำนักใหญ่ที่สุดของเขตแดนนี้ถึงได้มาเยือนสำนักมังกรเทวะในเวลาที่มีการจัดการประลองเช่นนี้ หรือจะเกี่ยวข้องกับฉีซูมี่ที่ดูจะประจบเอาใจตัวแทนจากสำนักหงส์อัคคีตั้งแต่ที่พบหน้า ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นเรื่องราวก็คงหนีไม่พ้นเหลนชายผู้มากพรสวรรค์ของนาง...ฉีปิง ซึ่งนับวันจะยิ่งโดดเด่นเก่งกล้าจนผู้คนต่างพูดว่ายุคสมัยของตระกูลฉีอาจจะยิ่งใหญ่ขึ้นทาบรัศมีตระกูลซือหม่าในไม่ช้า ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นการที่ฉีซูมี่จะส่งเหลนชายของตัวเองไปเป็นศิษย์ของสำนักหงส์อัคคีก็ยิ่งเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงในตำแหน่งประมุขรวมถึงอำนาจในเมืองมังกรเทวะของตระกูลซือหม่า
แต่แล้วจู่ ๆ ตัวแทนจากสำนักหงส์อัคคีที่ชมการต่อสู้ก็ลุกจากไปแต่กลางคัน แม้มุมหนึ่งซือหม่าเลี่ยงจินจะรู้สึกเสื่อมเสียหน้าที่ผู้มาเยือนมิได้ให้เกรียติตนเอง แต่อีกมุมก็รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกที่ตัวแทนจากสำนักหงส์อัคคีจากไป จนมันกำลังจะลืมเลือนความสงสัยไปได้อยู่แล้ว...แต่เมื่อซือหม่าเลี่ยงจินได้เห็นภาพการประลองที่ด้านล่างในตอนนี้ ตอนที่บาดแผลภายนอกของเด็กหนุ่มจากสำนักมังกรฟ้าที่ค่อย ๆ ถูกเพลิงไฟรักษา จู่ ๆ ก็ผุดเด่นขึ้นมาในความคิดแถมประวัติของเสวี่ยหมิงที่มันใช้ผู้คนไปสืบค้นมาได้ก็ดูจะคลุมเครือจนน่าสงสัย
...บาดแผลของเด็กคนนี้มันสมานได้เอง อีกทั้งเปลวเพลิงที่ทัดเทียมกับลมปราณมังกรเหมันต์อีก หรือว่าเด็กคนนี้จะเป็น
"ฉีซูมี่ดูเหมือนเจ้ากับข้าจะเข้าใจอะไรผิดไปกันใหญ่แล้ว"
ฉีซูมี่ที่เพิ่งจะหายจากหน้าตาบูดบึ้งเพราะโดนตัวแทนจากสำนักหงส์อัคคีสะบัดก้นจากไปอย่างไม่ใยดี หันขวับกลับมาก่อนจะเอ่ยตอบ "ท่านประมุข หมายความว่าข้าเข้าใจผิดอันใดกัน"
"ก็เรื่องตัวแทนจากสำนักหงส์อัคคี"
"ตัวแทนจากสำนักหงส์อัคคี"
"แน่นอน ทำไมข้าที่เป็นถึงประมุขของสำนักมังกรเทวะจะดูไม่ออกว่าเจ้านั้นหวังสิ่งใดอยู่ เพียงแต่ว่าตัวแทนจากสำนักหงส์อัคคีไม่ได้มาเพราะเหลนของเจ้า" ซือหม่าเลี่ยงจินจงใจใช้น้ำเสียงเชิงตำหนิที่ฉีซูมี่คิดการใหญ่
"หากตัวแทนจากสำนักหงส์อัคคีไม่ได้มาเพราะต้องการตัวเด็กที่มีพรสวรรค์สูงส่ง แล้วเหตุใดพวกมันจึงเจาะจงมาในช่วงเวลาของการประลองเช่นนี้เล่า" การเอ่ยวาจาของฉีซูมี่ต่อซือหม่าเลี่ยงจินก็ไม่ได้ลดราวาศอกเท่าใดนัก ด้วยเหตุผลที่ว่าแม้ว่าซือหม่าเลี่ยงจินจะมีตำแหน่งเป็นประมุข แต่ด้วยวัยวุฒิแล้วผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลฉีผู้นี้ยังแก่กว่ามันร่วมสี่สิบปี แถมยังครองตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดนับสิบปีก่อนที่ซือหม่าเลี่ยงจินจะขึ้นมาครองตำแหน่งประมุขเช่นในปัจจุบัน
"ฮ่า ฮ่า ฮ่า ที่เจ้าดูไม่ออกก็ไม่แปลกเพราะข้าเองก็เพิ่งจะค้นพบสาเหตุนี้เมื่อครู่นี่เอง" ฉีซูมี่จับจ้องซือหม่าเลี่ยงจินไม่วางตาหมายรอฟังคำตอบไขความกระจ่างที่ค้างคาอยู่เช่นกัน "ตัวแทนจากสำนักหงส์อัคคีไม่ได้มาเพราะสำนักมังกรเทวะ แต่มาเพราะเจ้าหนุ่มจากสำนักมังกรฟ้าที่กำลังสู้อยู่กับเหลนชายของเจ้าในตอนนี้ต่างหากละ"
.
.
แม้สภาพภายนอกของเสวี่ยหมิงจะดูน่าตกใจที่มีโลหิตอาบชโลมจนทั่วร่าง แต่แท้จริงล้วนเป็นเพียงบาดแผลภายนอก และเมื่อเสวี่ยหมิงเร่งใช้ลมปราณเพลิงที่ก่อตัวขึ้นใหม่จากชีพจรหัวใจเข้ารักษา บาดแผลต่าง ๆ ก็ค่อย ๆ สมานเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว
"ข้าขอยอมรับว่าเจ้าแข็งแกร่งยิ่ง อาจจะแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าซือหม่าเทียนเสียด้วยซ้ำ แต่น่าเสียดายที่คู่ต่อสู้ในวันนี้ของเจ้าคือข้า...ฉีปิง" ฉีปิงเอ่ยขึ้นพร้อมใช้พลังลมปราณก่อไอเย็นผลักดันให้ตัวเองลอยขึ้นไปหยุดค้างอยู่ที่กลางอากาศราวกับเทพเจ้า มวลอากาศเย็นเยียบแผ่ออกไปราวกับพายุใหญ่ที่มีฉีปิงเป็นแกนกลาง ก่อนจะพัดหมุนวนไม่หยุดยั้งก่อเกิดเป็นม่านพายุหิมะเย็นเยียบแผ่ขยายออกไปทุกทิศทาง ผู้ชมทั้งหลายต่างกลั้นหายใจนิ่งอีกครั้ง เพราะรู้ดีว่าการปะทะครานี้อาจจะเป็นการปะทะครั้งสุดท้ายของการประลองก็เป็นได้ และคงไม่มีผู้ใดอยากพลาดจังหวะสำคัญของการประลองที่ดุเดือดเช่นนี้เป็นแน่ "การต่อสู้กับเจ้าจะอยู่ในความทรงจำของข้าตลอดไป แต่ตอนนี้ข้าคงต้องจบการประลองในครั้งนี้เพียงเท่านี้"
สิ้นเสียงสนทนาเงาร่างของจิ้งจอกขนสีขาวโพลนก็พลันปรากฏอยู่ที่เบื้องหลังของฉีปิง ทั่วร่างของมันเต็มไปด้วยเกล็ดน้ำแข็งแหลมคม เขี้ยวโค้งยื่นโผล่ออกมาจากปากยาว ไอเย็นยิ่งมายิ่งหนาหนักจนส่งผลถึงผู้ชมรอบข้างที่ถูมือเข้าหากันโดยไวเพื่อระงับอาการตัวสั่นงันงกที่เกิดจากความหนาว
พลังที่ล้นทะลักออกมาของท่าโจมตีล้วนกดดันจิตใจของทุกผู้คนที่พบเห็นยกเว้นเพียงคน ๆ เดียวเท่านั้น...เสวี่ยหมิง
หลังจากที่บาดแผลภายนอกหายจนหมดสิ้นแล้วเสวี่ยหมิงก็ยังคงนิ่งงันไม่เคลื่อนไหวดุจเดิม เขายังจมอยู่กับความคิดคำนึงถึงเหตุการณ์ประหลาดที่สัมผัสได้ก่อนหน้า พลังที่เกิดขึ้นนั้นดูรุนแรงและร้ายกาจอย่างที่ไม่อาจจินตนาการแต่มันเกิดขึ้นได้อย่างไร หากอาศัยเพียงประสบการณ์และความสามารถของเสวี่ยหมิงในตอนนี้คงจะไม่อาจเกาะกุมโชควาสนาแห่งเต๋าสุดขั้วได้อย่างแน่นอน แต่เพราะเสวี่ยหมิงเป็นผู้ที่ครอบครองดวงตาเทพมารบรรพกาล ดวงตาที่นำพามารร้ายให้ยิ่งใหญ่จนแทบจะยึดครองได้ทั้งสามภพ ย่อมสามารถที่จะเกาะเกี่ยวจุดเริ่มต้นของเส้นทางแห่งเต๋าได้ไม่ยากนัก
"ข้าเข้าใจแล้ว" จู่ ๆ เสวี่ยหมิงก็โพล่งคำขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มี่ขลุ่ย สองตาที่เหม่อลอยพลันคมกล้าขึ้นจับจ้องไปที่ท่าโจมตีของฉีปิงพร้อมรอยยิ้มราวกับเด็กทะโมนที่เพิ่งจะได้รับของเล่นชิ้นใหม่...รอยยิ้มที่จะเปิดเส้นทางสู่เต๋าแห่งการทำลายล้างในอนาคต
*ปล.ตอนนี้ยอดวิวครบ 2000 เดี๋ยวเพิ่มให้อีกตอนนะครับ
ขอบคุณ
รอให้ถึง2,000เร็วๆ
เปิดๆไปเถ๊อะ ไรท์
1926 รีบๆได้ครบ 2000
รออีกตอนเลยครัช
ขอบคุณค่ะ
2000 เร็วๆเถอะ อยากอ่านต่อ สนุกมากๆค่ะ