ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Love and Revenge...ด้วยรักและอาฆาต (แสนแค้นแสนเสน่หา)

    ลำดับตอนที่ #5 : Love and Revenge...ด้วยรักและอาฆาต บทที่ 4

    • อัปเดตล่าสุด 10 ก.ย. 54


    10 SEPT 2011
    ชี้แจงก่อนอ่าน

    เนื่องจากเรื่องนี้กำลังจะตีพิมพ์เป็นรูปเล่มนะคะ จึงได้ลบ "ภาึคสอง: ด้วยอาฆาต" ซึ่งเป็นครึ่งหลัง ตั้งแต่บทที่ 11 เป็นต้นไปออกทั้งหมด เพื่อทำตามข้อตกลงของสนพ. ค่ะ ดังนั้นจะเหลือเพียง "ภาคหนึ่ง: ด้วยรัก" ให้อ่านเท่านั้นค่ะ

    พิเศษ! ในแบบรูปเล่ม จะมีตอนพิเศษของพิเศษเป็นเซอร์ไพรส์ให้อ่านกันด้วยนะคะ

    ยังไงต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ แล้วถ้าได้หน้าปก หรือรายละเอียดเรื่องมาแล้ว จะมาอัพเดตให้ได้ชมกันค่ะ

    มิถุนา



    Love and Revenge...ด้วยรักและอาฆาต บทที่ 4
     
    สาโรจน์ชั่งใจอยู่นานกว่าจะตัดสินใจได้ว่าจะต้องคุยกับชนาธิปให้รู้เรื่อง เขาเรียกชนาธิปเข้ามาพบหลังจากเลิกงาน ชนาธิปเดินเข้ามานั่งลงตรงหน้าโดยไม่รอให้เขาบอก สีหน้าดูมั่นอกมั่นใจและเรื่อยเอื่อยคล้ายเฉยชาจนเขาหมั่นไส้
     
    “คุณลุงจะให้ผมช่วยอะไรครับ” ผู้อ่อนอาวุโสถามด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อม ทว่าดวงตาสีเข้มกลับฉายแววระรื่น ชวนให้สาโรจน์นึกถึงภาพบาดตาเมื่อคืน...ภาพที่ชนาธิปมองเขาด้วยสายตาเย้ยหยัน ก่อนจะจูบลูกสาวของเขา...ต่อหน้าเขา!
     
    ทำไมจู่ๆ พ่อถึงต้องทำแบบนี้ด้วยล่ะครับ คุณลุงก็น่าจะรู้ว่าพ่อเร่งให้ผมกลับมาทำงานด้วยบ่อยๆ...ใครๆ ก็พูดแบบนี้ แต่ผมไม่อยากเชื่อ...ผมอยากได้หุ้นส่วนของพ่อคืน ยังไงที่ดินผืนนี้ก็เป็นของพ่อผม เหมืองก็เช่นเดียวกัน คุณลุงก็รู้ว่าพ่อลงทุนกับโรจนาภูมิมากขนาดไหน...ผมแค่ต้องการของที่เป็นพ่อของผมคืน
     
    บทสนทนาที่ชนาธิปพูดกับเขาพร่าพรายในความคิด ชนาธิปสงสัย แต่ไม่มีหลักฐาน และชนาธิปต้องการ ‘ของ’ ของเขาคืน
     
    ชนาธิปกำลังเล่นเกมอะไร หวังจะใช้ลูกสาวเขาเป็นเครื่องมือบีบให้เขาพูดอย่างงั้นหรือ
     
    ไม่...เขาจะไม่ยอมให้มันเป็นแบบนั้น เขาจะไม่ยอมให้ชนาธิปสมหวัง
     
    ผมแค่ต้องการของที่เป็นพ่อของผมคืน
     
    .เฮอะ! อย่าฝันไปเลย เขาเดินหน้าแล้ว จะไม่เดินถอยหลัง ไม่มีวันหวนกลับ
     
    “เมื่อคืน...ลุงเห็น...” เขาพูดแค่นั้น หวังว่าชนาธิปจะเข้าใจว่าเขากำลังหมายถึงอะไร ถ้าชนาธิปไม่ได้แกล้งโง่ ก็ต้องรู้ เพราะเขาจำแววตาของชนาธิปเมื่อคืนได้เป็นอย่างดี
     
    “ครับ? คุณลุงเห็นอะไรครับ” ชนาธิปแสร้งทำหน้างุนงง เขารู้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร แต่เขาไม่พูด เพราะไม่ต้องการให้มันง่ายสำหรับสาโรจน์
     
    สาโรจน์สูดลมหายใจลึก พยายามบอกให้ตัวเองใจเย็น แม้เขาจะไม่ใช่คนใจเย็นเสียทีเดียว แต่เขาก็ไม่ได้เป็นคนเดือดง่ายแบบนี้ คงแพราะว่ามันเกี่ยวข้องกับลูกสาวสุดที่รัก อารมณ์เลยคุกรุ่นง่ายกว่าปรกติ
     
    “ลุงรู้ว่ายอดเข้าใจว่าลุงหมายถึงอะไร” เขาเค้นเสียงออกมาอย่างยากลำบาก
     
    “ไม่ครับ ผมไม่ทราบ” ชนาธิปปฏิเสธ เอาสิ พูดออกมาเลยว่าเห็นอะไร เขากระตุ้นในใจ พูดออกมาให้หมดล่ะ เขาอยากจะฟัง
     
    คนเป็นพ่อกำมือที่ซุกไว้บนตักแน่น ริมฝีปากขยับ แต่ไม่ได้เอ่ยตรงๆ ดังที่หนุ่มรุ่นลูกต้องการ
     
    “ยอดคิดอย่างไรกับเฟย์”
     
    ชนาธิปเอนหลังพิงเก้าอี้ ดูผ่อนคลายมากกว่าเดิม ตรงข้ามกับสาโรจน์ที่เป็นเหมือนเชือกที่ถูกขึงจนตึง
     
    “ผมคิดว่าเฟย์เป็นน้องคนหนึ่ง”
     
    สาโรจน์เม้มปาก คล้ายไม่ได้ดังใจ น้องบ้านมันน่ะสิ ถ้าเห็นเฟย์เป็นน้อง มันจะจูบดูดดื่มโดยไม่เกรงใจเขา...พ่อของเฟย์เหมือนเมื่อวานเรอะ!
     
    “อย่ายุ่งกับเฟย์” น้ำเสียงที่เอ่ยออกไปแข็งกร้าวและปกป้อง
     
    “ทำไมล่ะครับ” ชายหนุ่มถามอย่างใจเย็น ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ มันเป็นเกมกดดัน ใครที่เอาอารมณ์มาเป็นที่ตั้งก่อนจะเป็นฝ่ายแพ้ เขาเชื่อว่าตัวเองจะไม่แพ้ง่ายๆ เพราะเขาไม่ได้ผูกพันกับปรรณนภัสเหมือนสาโรจน์...ใช่ เขาไม่ได้ผูกพันกับปรรณนภัสสักนิด
     
    “ยอดไม่จริงใจกับเฟย์” เขาก็เหมือนชนาธิปตรงที่ไม่มีหลักฐาน แต่เขาเชื่ออย่างนั้น
     
    “คุณลุงอย่ากล่าวหาผมอย่างนั้นสิครับ” ชนาธิปพูดกลั้วหัวเราะ ราวว่าอีกฝ่ายพูดจาเหลวไหล หากคนที่ฟังแทบจะประสาทกินตาย
     
    ไอ้เด็กเวร มันยั่วเขา!
     
    “ยอดไม่เคยสนใจเฟย์มาก่อน” สาโรจน์ข่มใจเต็มที่
     
    “คนเราเปลี่ยนใจได้ไม่ใช่หรือครับ” ชนาธิปย้อนถาม
     
    “แน่ใจหรือยอด”
     
    ชนาธิปไหวไหล่น้อยๆ “เอาเป็นว่า...มีคนแน่ใจมากกว่าผมก็แล้วกันครับ” เขาตอบไม่ตรงคำถาม
     
    สาโรจน์กดร่างตัวเองไว้มั่น บังคับไม่ให้กระโจนเข้าไปเขย่าคอเด็กรุ่นลูกด้วยความโมโห เขารู้ทีเดียวว่า ‘คน’ ที่อีกฝ่ายเน้นย้ำทั้งทางสายตาและคำพูดหมายถึงใคร
     
    เฟย์จะรู้ไหมว่าตัวเองกลายมาเป็นเครื่องมือของใครบางคน...ใครบางคนที่เธอ...ชอบ...
     
    เขาปฏิเสธคำว่ารักใคร่บูชา ที่เห็นในแววตาของลูกสาวยามมองชนาธิป
     
    “ลุงขอร้อง อย่ายุ่งกับเฟย์”
     
    “ทำไมผมต้องทำแบบนั้นด้วยล่ะครับ” ชนาธิปสบตาอีกฝ่ายอย่างหมายมั่น คล้ายจะถามว่ามีอะไรจะแลกเปลี่ยนกับข้อเสนอนี้
     
    สาโรจน์ทำใจให้พูดออกไปไม่ได้ ไม่...ไม่มีวันที่เขาจะพูด ไม่มีวันให้ชนาธิปสมหวัง เขาได้มันมาแล้ว มันเป็นของเขาตลอดไป
     
    และเมื่อทำใจไม่ได้ เขาก็ปลอบใจตัวเองแทน บางที...เขาอาจจะตีตนไปก่อนไข้ เฟย์จะไม่เป็นอะไรหรอก เฟย์จะไม่เป็นอะไร ยอดจะทำอะไรเฟย์ได้ อย่างมากก็แค่สะกิดเกาเขาด้วยการกระทำแบบเด็กๆ ลองถ้าเขาไม่พูดเสียอย่าง ยอดก็ไม่มีหลักฐานอะไร
     
    “ถ้ายอดคิดกับเฟย์แค่น้อง...”
     
    แต่ชนาธิปกลับแทรกขึ้นมา
     
    “แล้วถ้าผมไม่ได้คิดแค่นั้น”
     
    สาโรจน์ไม่ตอบเขา ได้แต่ย้ำ“ดูแลเฟย์ให้ดี” เขาหมายจะบอกว่าอย่าทำร้ายเธอ มากกว่าอนุญาตให้ดูแลเธอจริงๆ  
     
    ริมฝีปากของชนาธิปโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม หากดวงตาสีนิลไม่ได้ยิ้มไปด้วย “ครับ ผมจะดูแลเฟย์เป็นอย่างดี” ก่อนจะตัดบท
     
    “คุณลุงมีธุระอะไรจะพูดกับผมอีกไหมครับ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมคงต้องขอตัวก่อนนะครับ” เขาเสมองนาฬิกานิดนึง “พอดีมีนัดกับเฟย์ ไม่อยากให้เฟย์รอนาน”
     
    มันตอกหน้าเขาอีกแล้ว สาโรจน์จิกเล็บในอุ้งมือแรงขึ้น เล็บเกร็งจนเป็นสีขาวซีด ดวงตาที่มักฉายแววเป็นมิตรหรี่ลง คิ้วกระตุกน้อยๆ ใจร้อนรุ่มพยายามระงับความโกรธที่ไต่ระดับสูง ยิ้มฝืดฝืนปรากฏพร้อมกับคำพูดเรียบๆ
     
    “ตามสบายเถอะยอด” 
     
    ชนาธิปขอบคุณด้วยการโค้งศีรษะอย่างยโส ก่อนจะยืดหลังตรงแล้วเดินออกไปจากห้องทำงานของสาโรจน์ด้วยความสบายใจ
     
    สาโรจน์กระโดดเข้ามามีส่วนร่วมในเกมของเขาแล้ว ทีนี้ก็เหลือแต่ว่าเขาจะสามารถทำให้สาโรจน์เพลี้ยงพล้ำได้เร็วขนาดไหน แรงกดดันมิใช่น้อยๆ ยิ่งมีตัวเร่งปฎิกิริยาที่ชื่อปรรณนภัสเข้ามามีส่วนร่วม สาโรจน์ไม่มีทางทนได้ตลอดรอดฝั่งแน่ๆ...
     
    เขาเชื่ออย่างนั้น
    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -- -
    ========================================================
     
    ร้านแองเจิลเค้กเริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากกว่าเดิม ห้องแถวโล่งๆ ที่เคยเต็มไปด้วยสีชมพูจากร้านเช่าเก่า ถูกลอกสีออก แล้วทาสีขาวทับ ผนังบางส่วนทาสีน้ำตาลอ่อนและสีเหลืองอ่อน ทั้งหมดยังโล่งโจ้ง ไร้การตกแต่ง แต่ปรรณนภัสเตรียมสีเพนต์และอุปกรณ์ไว้เรียบร้อยแล้ว เธอและชนาธิปมีนัดวาดรูปตกแต่งผนังกันในวันหยุดนี้
     
    เมื่อคิดถึงชนาธิป หญิงสาวก็อดหน้าแดงไม่ได้
     
    จูบเมื่อวันก่อนราวกับฝัน แต่ก็ไม่ใช่ฝัน มันเป็นความจริง
     
    หลังจากคืนนั้น แม้พวกเขาจะได้พบปะพูดคุยกัน แต่ก็ไม่ได้กล่าวถึงจูบนั้นเลย สถานะระหว่างพวกเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลง ชนาธิปทำตัวเสมอต้นเสมอปลาย...ใจดี อบอุ่น และเป็นมิตร เธอดีใจที่เขาไม่ได้พูดถึงมัน เพราะเธอคงจะอายม้วนต้วน และไม่เป็นอันทำอะไรเป็นแน่แท้
     
    หญิงสาวตื่นจากภวังค์ เมื่อเตาอบส่งเสียงดังติ๊ง แป้งพายที่เธอนวดมือใหม่ๆ พับซ้อนเป็นชั้นๆ--เป็นพันชั้นเหมือนชื่อขนม--ก่อนจะตัดเป็นชิ้น และเอาเข้าอบด้วยความร้อน ส่งกลิ่นหอมหวานโชยออกมาจากจากเตา ซึ่งเกือบจะกลบกลิ่นสีทาห้องได้ทั้งหมด
     
    เธอเปิดประเดิมครัวใหม่...ในร้านแองเจิลเค้ก ด้วยการทำมิลเฟยสตรอว์เบอร์รี่ที่รับปากว่าจะทำให้ชนาธิปรับประทาน เธอเดินไปที่เตาอบ และถาดใส่เอาแผ่นแป้งพายที่อบจนสุกกรอบออกมาวางบนเคานเตอร์ กลิ่นเนยกรุ่นกระจายรุนแรงยิ่งกว่าเดิม จนคนที่มาใหม่ต้องเอ่ยทัก
     
    “หอมจังเลย”
     
    ปรรณนภัสหันไปมอง และพบกับเจ้าของขนมนี้
     
    “พี่ยอด” เธอร้องเรียก และทิ้งถาดขนมไปหาเขาในทันที เขายังดูหล่อเหลาเหมือนเคย แม้จะใบหน้าจะมัน ผมจะยุ่ง หรืออยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตและกางเกงสแลกส์ธรรมดาๆ
     
    ชนาธิปอดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นรอยยิ้มดีใจอย่างไม่ปิดบังของเธอ เธอเป็นเหมือนธารน้ำใส เห็นกระจ่างชัด ลึกไปถึงก้นบึ้งของใจ ความรู้สึกเหนื่อยล้า...จากการต่อสู้ในสงครามที่เขาเป็นคนเริ่ม มลายหายไปอย่างช้าๆ ความจริงใจของเธอรินรดความห่อเหี่ยวของเขา ต้นไม้เฉาพลันสดชื่นแจ่มใส แต่มันจะเป็นอย่างนี้ไปอีกนานเท่าไหร่ เขาไม่อยากคิดถึง เพราะรู้ดีว่ามันจะไม่ใช่ตลอดไป
     
    ยังไม่ทันที่เธอจะได้อวดขนม เขาก็ตำหนิด้วยน้ำเสียงดุๆ
     
    “เฟย์ลืมล็อกประตูอีกแล้วนะ”
     
    “อุ๊ย!” เธออุทาน ดวงตาเบิกกว้าง “จริงเหรอคะ” เธอจำไม่ได้ เธอลืมทุกอย่างเมื่อเห็นหน้าเขา ลืมไปว่าเขาจะเข้ามาในร้านไม่ได้ถ้าไม่มีกุญแจ
     
    “จริง”
     
    เมื่อได้รับคำยืนยันหนักแน่นพร้อมสีหน้าดุขึง ดวงหน้าที่เคยเบิกบานก็จ๋อยสนิท
     
    “เฟย์...เฟย์ลืม” เธอเอ่ยเสียงเบา
     
    “มันอันตราย คราวหลังอย่าทำแบบนี้อีกล่ะ นี่เป็นครั้งที่สองแล้วนะ” เขาย้ำ สีหน้าจริงจัง “เฟย์อยู่คนเดียว พี่เป็นห่วง” ใช่ เขาเป็นห่วงเธอจริงๆ ไม่ได้พูดเพื่อเอาใจเธอ ผูกพันเธอไว้กับเขา ก็ทำไมจะเป็นห่วงไม่ได้ล่ะ ในเมื่อเธอเป็นคนน่ารักออกอย่างนี้ ดูสิ อุตส่าห์ทำขนมตามใจปากเขาเสียด้วย
     
    “ขอโทษค่ะ จะไม่มีคราวหน้า เฟย์จะพยายามไม่ลืม” เธอรับปาก สีหน้าลุขอโทษ
     
    “อย่าพยายาม ต้องไม่ลืม”
     
    เธอพยักหน้าระรัว “ค่ะ ไม่มีคราวหน้า”
     
    “เด็กดี” เขาลูบผมเธออย่างเอ็นดู
     
    ปรรณนภัสอยากจะแย้งว่าเธอไม่เด็กแล้ว แต่ดวงตาพราวระยับเหมือนเลื่อมพรายของเขาทำให้เธอชะงักงัน
     
    “อะ...เอ่อ...พี่ยอดคะ” เธอตะกุกตะกักเล็กน้อย “มา...มาดูมิลเฟยของพี่ยอดกันดีกว่าค่ะ”
     
    ชนาธิปเดินตามเธอไป กลิ่นขนมหอมหวนและกระตุ้นต่อมความหิวของเขา
     
    “ทานเลยดีไหมคะ แป้งพายเพิ่งอบเสร็จใหม่ๆ กินกับครีมหอมๆ และสตรอว์เบอร์รี่สด” เธอพูดด้วยน้ำเสียงเชิญชวน “รับรองว่าพี่ยอดจะติดใจ” และไม่รอให้เขาปฏิเสธ เธอเอาแป้งพายออกมาวางบนจาน ราดครีมวานิลลา จัดสตรอว์เบอร์รี่ลูกโต...เยอะเป็นพิเศษสำหรับเขา เรียงซ้อนกันสองชั้นเหมือนเวเฟอร์ จนไส้ครีมวานิลลาและสตรอว์เบอร์รี่เกือบจะล้นออกมา
     
    “แหม มิลเฟยน่ากินขนาดนี้ พี่จะปฏิเสธได้ยังไง” เขารับจานขนมมาจากเธอ และตัดด้วยส้อมกินคำโตอย่างไม่รีรอ
     
    “อร่อย” คำชมของเขายังคงเรียบง่ายเหมือนเคย แต่ดวงตาสีนิลเป็นประกายชื่นชม
     
    ปรรณนภัสตัวลอยด้วยความปลาบปลื้ม ก่อนจะจัดเรียงมิลเฟยสำหรับตัวเองบ้าง
     
    “จะทำขายที่ร้านด้วยหรือเปล่า”
     
    “ค่ะ คงเอาใส่ในเมนูด้วย เพราะทำไม่ยาก เปลี่ยนหน้าผลไม้ก็ได้ถ้ากลัวลูกค้าเบื่อ แต่เฟย์ว่ามิลเฟยเข้ากับสตรอว์เบอร์รี่มากที่สุด พี่ยอดคิดเหมือนเฟย์ไหมล่ะ” เธอกัดขนม พายกรุบกรอบหอมเนยละลายปนกับครีมวานิลลานุ่มเย็น สตรอว์เบอร์รี่รสเปรี้ยวอมหวานคายน้ำฉ่ำเยิ้มทุกครั้งที่เธอเคี้ยวกิน รสชาติทั้งหมดรวมกันเป็นหนึ่ง หวานมันหอมและเปรี้ยวนิดๆ จนเธอไม่อยากจะชมว่าตัวเองทำขนมอร่อย
     
    “แน่นอน พี่ก็ต้องคิดเหมือนเฟย์สิ เฟย์ก็รู้ว่าพี่ชอบสตรอว์เบอร์รี่” ชนาธิปเห็นด้วย ก่อนจะตอกย้ำคำพูดด้วยการกระทำ เขากินขนมในจานจนหมดเกลี้ยงในพริบตา
     
    เธอหัวเราะเบาๆ และถาม “เอาอีกชิ้นไหมคะ”
     
    คำปฏิเสธถูกกลืนหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อน้ำเสียงอ่อนหวานเชื้อเชิญพร้อมรอยยิ้ม
     
    “ก็ได้จ้ะ”
     
    ปรรณนภัสตักขนมให้เขาอย่างขะมักเขม้น ขนมหมดไปอีกชิ้น เช่นเดียวกับเวลาที่ผ่านไป และอาหารเย็นที่ถูกลืม
     
    สองหนุ่มสาวนั่งง่ายๆ บนพื้นที่ปูเสื่อพลาสติกขนาดย่อม เนื่องจากยังไม่ได้จัดเฟอร์นิเจอร์ย่อยเข้าร้าน จานเปล่าวางอยู่ข้างกายพวกเขา
     
    “ขืนเฟย์ทำขนมอร่อยๆ ให้พี่แบบนี้บ่อยๆ พี่คงอ้วนตาย”
     
    “พี่ยอดยังอ้วนได้อีกเยอะค่ะ” เธอยิ้มล้อเลียน เขาไม่ได้เป็นคนอ้วน ถ้าน้ำหนักจะเพิ่มสักสามสี่โล ก็ยังดูไม่น่าเกลียด
     
    เขาหัวเราะ “ถ้าพี่อ้วน พี่จะให้เฟย์รับผิดชอบ”
     
    ปรรณนภัสไม่กล้าตอบว่า...งั้นเธอจะขุนเขาให้อ้วน จะได้รับผิดชอบเขา...เธอได้แต่ยิ้มก่อนจะเสมองไปทางอื่น
     
    “เร็วนะคะ ร้านใกล้จะเสร็จแล้ว ทั้งที่เริ่มต้นจากไม่มีอะไรแท้ๆ” เธอมองไปรอบร้านโล่งๆ ซึ่งจินตนาการไว้ว่าอีกหน่อยจะเต็มไปด้วยโต๊ะ เก้าอี้ โคมไฟประดับ เคานเตอร์ขาย ตู้เค้ก...และลูกค้า
     
    “เพราะว่าเฟย์พร้อมอยู่แล้วล่ะ เลยเป็นเรื่องง่ายที่จะทำร้านให้สำเร็จ” เธอมีสูตรขนมอยู่แล้ว และเธอมีไอเดียน่าสนใจมากมาย
     
    เธอส่ายหน้าและแก้ไข “เพราะว่าเฟย์มีพี่ยอดต่างหาก ถ้าไม่ได้พี่ยอด เฟย์อาจจะยังเดินเตะฝุ่นหางาน ไม่ก็เป็นลูกมือเชฟอยู่ที่ร้านอาหารหรือโรงแรมที่ไหนสักแห่ง...ใกล้ๆ บ้าน”
     
    “เชื่อเถอะว่าถ้าเฟย์ไม่ตั้งใจจริง เฟย์จะไม่มาไกลถึงขนาดนี้” เขาค่อนข้างนับถือเธอ ในสายตาของเขา เธอเคยเป็นเด็กหญิงเล็กๆ ที่ไร้แก่นสาร คอยเฝ้ามองเขาด้วยดวงตากลมโต...เหมือนนัยน์ตาลูกหมา คล้ายรอว่าสักวันเขาจะเมตตา แต่เธอก็เปลี่ยนไป...ไม่สิ บางทีเธออาจจะไม่เปลี่ยน แต่เป็นเพราะเขาได้ใกล้ชิดสนิทสนมกับเธออย่างจริงๆ จังๆ เขาก็เลยเห็นเหลี่ยมมุมอื่นของเธอ ที่ทำให้เธอดูมีมิติขึ้น...อยู่ในสายตาของเขามากขึ้น
     
    “ยังไงเฟย์ก็ต้องของคุณพี่ยอดอยู่ดี”
     
    “เฟย์เก็บคำขอบคุณไว้ แล้วเปลี่ยนเป็นเค้กฟรีให้พี่ดีกว่า...ขอเป็น...เค้กฟรีตลอดชีพเลย”
     
    “เฟย์ยินดีค่ะ” ขอเพียงแค่เขาบอก เธอยินดีทำให้ทุกอย่าง
     
    “เดี๋ยวเฟย์ไปเข้าห้องน้ำแป๊บ” เธอตัดบทกะทันหัน เธอยิ้มหวานให้พร้อมลุกขึ้นยืน ก่อนจะตรงดิ่งไปยังห้องน้ำ
     
    ชนาธิปนั่งคนเดียวในความเงียบ ใจนึกสงสัยว่าเรื่องระหว่างเขากับสาโรจน์...และปรรณนภัสจะลงเอยอย่างไร ถ้าเขาทราบความจริงจากสาโรจน์...ความจริงที่เขาต้องการ เขาจะทำอย่างไรต่อ
     
    เอาโรจนภูมิคืน และให้ความยุติธรรมกับพ่ออย่างงั้นหรือ
     
    แล้วปรรณนภัสล่ะ เธอจะต้องเสียใจแน่ ถ้าทราบว่าแท้จริงแล้วพ่อเธอเป็นคนเช่นไร
     
    เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอดังขึ้น เป็นเสียงริงโทนเพลงคุ้นเคย เพลงที่เขาจำได้ว่าเป็นเพลงประจำของสาโรจน์
     
    ชนาธิปหยุดคิด และหันไปมองมัน ก่อนจะมองเลยไปยังห้องน้ำ เจ้าของโทรศัพท์ยังไม่มีวี่แววว่าจะออกมา และเขาไม่รีรอที่จะกดรับ...กดปุ่มระเบิด
     
    “สวัสดีครับลุงสาโรจน์” เขากรอกเสียงทักทาย
     
    “ยะ...ยอด...” สาโรจน์ไม่ปกปิดความประหลาดใจกึ่งหวาดระแวง “มารับโทรศัพท์ของเฟย์ได้ยังไง เฟย์อยู่ไหน”
     
    “อยู่ในห้องน้ำครับ” ชนาธิปพูดเป็นปริศนา ชวนให้คนฟังคิดพล่านไปไกล
     
    “อยู่ในห้องน้ำ?” สาโรจน์ทวนคำอย่างสงสัย ในใจเริ่มระอุขึ้นมาน้อยๆ
     
    “ครับ อยู่ในห้องน้ำ ลุงสาโรจน์ไม่ต้องห่วงหรอกครับ มันไม่ใช่อย่างที่ลุงคิดแน่” ชนาธิปบอก กลั้นเสียงขบขันขลุกขลักในลำคอ เขาพอจะเดาความคิดของอีกฝ่ายได้ น้ำเสียงของเขาที่สื่อออกไป และความว่างเปล่าของปรรณนภัส ทำให้คนฟังคิดมาก
     
    “ทำไม ยอดจะทำอะไร”
     
    ชนาธิปหัวเราะเบาๆ “ไม่หรอกครับ” เขาทอดจังหวะ และพูดต่อด้วยเสียงเยียบเย็น “ยังไม่ใช่ตอนนี้”
     
    แล้วก่อนที่สาโรจน์จะระเบิดอารมณ์ เสียงปลดล็อกประตูก็ทำให้ชนาธิปเอ่ยว่า
     
    “อ้าว! เฟย์ออกมาพอดีเลยครับ คุณลุงคุยกับเฟย์ดีกว่า” เขาหันไปทางปรรณนภัสที่เดินหน้าเหรอเข้ามาหา
     
    “พ่อของเฟย์โทรฯ มาแน่ะ” เขาบอก
     
    เธอรับโทรศัพท์มาจากเขา และพูดกับปลายทาง
     
    “พ่อคะ...ค่ะ เฟย์เข้าห้องน้ำ...ยังอยู่กันที่ร้านอยู่เลยค่ะ...ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ...ค่ะ รู้แล้วค่ะ เฟย์กลับไม่ดึกหรอก”
     
    ชนาธิปฟังเธอคุยกับบิดาด้วยความตั้งใจ เมื่อเธอวางสายลง เขาก็ยิ้มให้
     
    “คุณลุงเป็นห่วงแล้วล่ะสิ”
     
    “ก็...ตามประสาพ่อน่ะค่ะ” ปรกติพ่อค่อนข้างห่วงและหวงเธอ เนื่องจากเธอเป็นลูกสาวคนเดียว...และเป็นลูกรัก แต่เธอไม่อยากจะคิดมากว่าพ่อดูเป็นห่วงเธอมากเป็นพิเศษ ถ้าทราบว่าเธออยู่กับชนาธิป
     
    “งั้นเราไปกินข้าวเย็นกันเถอะ แล้วพี่จะได้พาเฟย์ไปส่งบ้าน พี่ยังไม่อยากให้คุณลุงโกรธพี่”
     
    “พ่อไม่โกรธพี่ยอดหรอกค่ะ ไม่มีอะไรให้น่าโกรธสักหน่อย”
     
    “ก็จริง” ชนาธิปอยากจะยิ้ม แต่ยิ้มไม่ออก “ไป ไปกันดีกว่า” เขาชวนซ้ำ “พี่จะพาเฟย์ไปกินที่ร้านอร่อย”
     
    โอ...เธอไม่รู้หรอกว่าบิดาเธอจะต้องโกรธเขา...โกรธมากเสียด้วย
     
    เธอไม่รู้อะไรเลย และถ้าเป็นไปได้ เธอไม่ควรจะรู้เรื่องไม่ดีของบิดา เธอบริสุทธิ์เกินไป
     
    แต่ช่างน่าขำ ที่เขาลากเอาผู้บริสุทธิ์เข้ามาเกี่ยวข้อง เพียงเพราะเธอเป็นสะพานเพียงแห่งเดียวที่จะพาเขาก้าวไปสู่จุดหมาย
     
    มาคิดอะไรตอนนี้ล่ะยอด ไม่มีประโยชน์หรอก แผนการต้องดำเนินต่อไป เขาหยุดไม่ได้ จนกว่าจะรู้ความจริง
    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -- -
    ========================================================
     
    ชนาธิปพาปรรณนภัสไปกินบะหมี่เกี๊ยวหมูแดง ร้านข้างทาง--ร้านที่เธอไม่คิดว่าคนอย่างชนาธิปจะกิน--ซึ่งจะมีขายเฉพาะช่วงเย็นเท่านั้น ร้านเล็กแต่คนเยอะมาก พวกเขาต้องรอราวสิบห้านาทีกว่าจะได้โต๊ะนั่ง และยังต้องรอบะหมี่ที่สั่งด้วยเวลาไม่ต่างกัน ชนาธิปบอกให้เธอสั่งสองชาม เพราะมันอร่อยจนคนส่วนใหญ่ต้องสั่งชามที่สอง แต่ทางร้านทำช้า ถ้าไม่สั่งพร้อมกันจะต้องรออีกนานจนหมดอร่อย เธอแย้ง เพราะกลัวจะกินไม่หมด แต่เขาก็ถือวิสาสะสั่งให้เธอสองชาม--แห้งชาม น้ำชาม--เช่นเดียวกับเขา โดยบอกว่าถ้าเธอกินไม่หมด เขาจะเหมาเอง แต่เขาก็รับรองว่าเธอจะเหมาหมด
     
    ระหว่างรออาหาร พวกเขาก็นั่งคุยกันไปเรื่อยๆ ไม่ได้คุยเรื่องร้านแองเจิลเค้ก หากคุยถึงเรื่องทั่วไป เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของพวกเขา บางเรื่องเกี่ยวกับชนาธิปที่เธอไม่เคยรู้ อย่างเช่นว่าเขาเป็นหนอนหนังสือ ชอบอ่านและสะสมหนังสือ และวันก่อนเขายังชวนเธอไปเลือกชั้นวางหนังสือด้วยกันเลย
     
    เวลาผ่านไปเอื่อยๆ แต่ไม่น่าเบื่อ ปรรณนภัสไม่รังเกียจที่จะรอ เธอยินดีรออยู่แล้ว เพราะการได้อยู่กับชนาธิป ถือเป็นความสุขอย่างหนึ่งของเธอ แล้วอีกเหตุผลคือ มิลเฟยที่กินไปเมื่อก่อนหน้าช่วยให้พวกเขาไม่หิวมาก พอบะหมี่มาถึงพวกเขาก็เหลือท้องพอจะใส่บะหมี่สองชาม
     
    ใช่ เธอกินบะหมี่หมดสองชามตามที่เขาคาด และเขาก็ล้อเลียนเธอไปตลอดทาง จนหลังๆ เธอแทบจะงอนเขาเลยทีเดียว
     
    เวลาสองชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ถึงเวลาแยกจากกันอีกครั้ง เขาจอดรถหน้าบ้าน และลงมาส่งเธอ...เหมือนเมื่อวันนั้น
     
    “หายงอนพี่หรือยัง” เขาถาม ดวงตาสีดำเป็นประกายแพรวพราว แข่งกับแสงดาวบนท้องฟ้ายามรัตติกาล
     
    “พี่ยอดบ้า แกล้งล้อเลียนเฟย์” เธอไม่กล้าสบตาเขา รู้สึกว่าแสงดาวในจุดสีดำของนัยน์ตาเขาช่างแรงกล้า
     
    “ก็เฟย์น่าแกล้ง” เธอน่าแกล้งจริงๆ เธอเหมือนสาวน้อย มีจริตจะก้าน...แต่ก็เป็นไปโดยบริสุทธิ์ ไม่ได้แสร้างทำให้น่ารักเหมือนผู้หญิงบางคนที่เขารู้จัก บางทีเขาคงจะถูกแวดล้อมด้วยสาวสมัยใหม่...สาวพลาสติกพิมพ์เดียวกันมากเกินไป ปรรณนภัสเลยดูโดดเด่นจนเขาสังเกตเห็น
     
    หญิงสาวมองเขาด้วยดวงตากลมโต เปิดเผย เธออ่านง่ายเหมือนนิทานภาพ ดวงตาของเธอสื่อความหมายทุกอย่าง...จากใจ
     
    มือของเขาเผลอเอื้อมไปแตะคางเธอ และเชยมันขึ้น ความรู้สึกในใจขัดแย้งกัน...ความรู้สึกที่อยากแตะต้อง กับความรู้สึกที่บอกว่าเธอเป็นของต้องห้าม ไม่ควรจะยุ่งกับเธอ...ไปมากกว่านี้ เพราะเท่านี้ก็ทำให้เขายุ่งยากใจพอแล้ว
     
    หยุด...จงหยุดซะ!
     
    เขาดึงมือออก...เกือบจะเป็นกระชาก ริมฝีปากพยายามบิดเป็นรอยยิ้ม...อย่างฝืดเฝื่อน
     
    “เฟย์กลับบ้านเถอะ พ่อเฟย์รออยู่โน่นแล้ว” และเช่นเคย สาโรจน์มายืนรอลูกสาว แต่คราวนี้ ไม่ได้หลบอยู่ในบ้านเขายืนเด่นใต้แสงไฟดาวน์ไลท์หน้าประตูไม้
     
    ปรรณนภัสหันไปมอง บิดารออยู่อย่างที่ชนาธิปกล่าวจริงๆ
     
    “ไปเร็ว ก่อนที่พ่อเฟย์จะเดินมาตาม” น้ำเสียงเตือนของเขาฟังแปร่งปร่า
     
    “เอ่อ...ค่ะ งั้นเฟย์ไปก่อนนะคะ อย่าลืมเอามิลเฟยให้ป้าตวงด้วยนะพี่ยอด” เธอแบ่งมิลเฟยที่เหลือเป็นสองส่วน สำหรับบิดาของเธอ และตวงพรกับชนาธิป
     
    “ห้ามแอบกินหมดล่ะ” เธอทิ้งท้ายด้วยการหยอกเขา
     
    ชนาธิปหัวเราะ ก่อนจะโบกมือลา “บ๊ายบาย” เขามองเธอวิ่งกลับเข้าไปในบ้าน ปากขยับพูดเสียงผะแผ่ว
     
    “สวีตดรีม...แองเจิล...”
     
    ฝันดีนะ...นางฟ้า...
     
    แต่เขาคงจะไม่ได้อยู่ในฝันนั้น...ฝันเดียวกับเธอ
    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -- -
    ========================================================
     
    สาโรจน์ปักหลักรอลูกสาว พอเธอเดินไปถึง เขาก็คว้าเธอลากจูงเข้าไปด้านใน อยากจะอยู่พ้นสายตาสอดรู้ของลูกชายภูมิ
     
    ไอ้เด็กเวรนี่มันกัดเขาไม่ปล่อยจริงๆ และมันคอยยั่วเขาอยู่เรื่อย กะให้เขาเส้นเลือดฝอยในสมองแตกตายเหมือนพ่อมันหรือไง ไม่มีวันเสียล่ะ เขาจะไม่ยอมให้มันได้หัวเราะ!
     
    “พ่อไม่น่ามารอเฟย์เลย” ลูกสาวผู้ยังไม่รับรู้ถึงความขุ่นข้องหมองใจของบิดาถอนหายใจน้อยๆ ไม่ใช่รำคาญ แต่เห็นว่ามันไม่เข้าที เธอเกรงใจบิดา ปรกติเขาไม่เคยมารอเธออย่างนี้ อย่างมากก็โทรศัพท์ตาม นี่เขาเกิดเป็นห่วงอะไรก็ไม่รู้
     
    “พ่ออยากรอ” เขาบอกอย่างดื้อดึง
     
    เธอเดินจูงมือบิดา พาเขาไปที่ห้องรับประทานอาหาร “พ่อก็...ทำอย่างกับว่าเฟย์เป็นเด็กๆ อย่างงั้นแหละ” พี่ยอดก็อีกคน ว่าเธอเป็นเด็ก...เด็กดี
     
    “เฟย์เป็นเด็กในสายตาของพ่อเสมอ”
     
    “วันนี้เฟย์ทำมิลเฟยให้พี่ยอด” เธอเกริ่น
     
    ได้ยินลูกสาวพูดถึงชนาธิป เขาก็อดไม่ได้ที่จะเกร็งมือแน่น ชนาธิปๆ เอะอะอะไรก็ชนาธิป ไอ้ยอดมันให้ลูกสาวเขากินยาเสน่ห์หรือไง
     
    ทว่าเขาก็ยิ้มได้เมื่อลูกสาวเอ่ยว่า
     
    “แล้วก็แบ่งที่เหลือให้ป้าตวงกับพ่อด้วย” เธอวางถุงขนม และหยิบกล่องพลาสติกออกมาวาง
     
    “พ่อทานเลยนะคะ เฟย์จะจัดให้ พ่อไม่ได้กินมิลเฟยนานแล้วนี่คะ”
     
    รอยยิ้มสดใสเหมือนดวงตะวันของลูกสาว ทำให้เขาปฏิเสธไม่ลง ทั้งที่ไม่มีความอยากอาหารเท่าไหร่ ชื่อของชนาธิปกลายเป็นก้างชิ้นโตขวางกลางคอของเขา
     
    “ก็ได้จ้ะ พ่อคิดถึงมิลเฟลฝีมือเฟย์เหมือนกัน” แต่น่าเสียดายที่ดันได้กินเพราะชนาธิป!
     
    ปรรณนภัสจัดเรียงขนมใส่จาน หยิบส้อมมาวางเคียง และไม่ลืมที่จะยกน้ำเย็นสำหรับกลั้วคอมาเสิร์ฟพร้อมกัน
     
    “นี่ค่ะ”
     
    “ขอบใจจ้ะ” สาโรจน์กล่าว ก่อนจะตักขนมกิน
     
    “อร่อยเหมือนเคย ร้านของเฟย์จะต้องรุ่งแน่ๆ” เขาชม
     
    “ถ้าเป็นอย่างที่พ่อว่า เฟย์คงจะดีใจมาก” ภาพร้านแองเจิลเค้กสมบูรณ์แบบลอยคว้างในความคิดฝันเฟื่อง...ไม่สิ ไม่ใช่ฝันเฟื่อง มันกำลังจะเป็นความจริง และถ้าเธอพร้อม ฤกษ์เปิดร้านก็จะมีขึ้นในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า
     
    “พ่อจะรอตัดริบบิ้นเปิดร้านเฟย์”
     
    ปรรณนภัสหัวเราะเบิกบาน “พ่อจะต้องได้เป็นคนตัดริบบิ้นให้แองเจิลเค้กอยู่แล้ว เฮ้อ...แต่เฟย์ยังอดกังวลนิดๆ ไม่ได้นะคะ ไม่รู้ว่าถ้าเปิดร้านจริงๆ แล้วจะมีลูกค้าหรือเปล่า ลูกค้าจะชอบเค้กของเฟย์ไหม เฟย์จะขายเค้กหมดหรือเปล่า” เธอเปรย
     
    “เฟย์เก่งอยู่แล้ว เฟย์จะต้องทำได้” เขาภูมิใจแทนลูกสาว แล้วริมฝีปากที่แยกกว้างด้วยความชื่นชมก็พลันเลือนหาย เมื่อเธอเอ่ยชื่อผู้แอบแฝง
     
    “เฟย์ยังไม่เก่งหรอกค่ะ ถ้าไม่มีพี่ยอดช่วย เฟย์ก็คงจะยังหางานทำข้างนอกอยู่”
     
    คำพูดนั้นก็ทำให้สาโรจน์ตระหนักว่าเขามีอิทธิพลต่อลูก...น้อยกว่าชนาธิป ทั้งที่เขาบอกเธอว่าอย่าไปทำงานข้างนอก ลูกสาวเขาก็ยังอยากทำ แม้เธอจะยอมเชื่อฟังยามเขาบอกให้เธอปฏิเสธงานไกลบ้านที่ได้รับการตอบรับ แต่...มันไม่เหมือนกัน
     
    “เฟย์กับยอด...คบกันแบบไหน” เขาอดถามไม่ได้ ทั้งที่ว่าจะไม่พูดอะไรเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างลูกชายเพื่อนที่หมายหัวเขากับแก้วตาดวงใจของเขา
     
    ปรรณนภัสมองบิดาด้วยความแปลกใจกึ่งไม่แน่ใจ “พ่อ...พ่อหมายความว่ายังไงคะ”
     
    “ยอดคิดอย่างไรกับเฟย์”
     
    “อะ...เอ่อ...เฟย์...เฟย์ไม่รู้” เธออ้ำอึ้ง ตอบไม่ถูก ชนาธิปไม่เคยบอกว่าพวกเขาเป็นอะไรกัน มีความสัมพันธ์ระดับไหน แม้ว่าเขาจะเคยจูบเธอ และยังทำดีกับเธอเสมอต้นเสมอปลาย
     
    สาโรจน์เม้มปาก ลูกสาวเขาใสซื่อเกินไป จะทันคนที่...คิดร้ายต่อเขาได้หรือ
     
    “พ่ออยากให้เฟย์ห่างจากยอดบ้าง” เขาไม่กล้าห้าม มันผิดแผกไปจากนิสัยของเขา แต่ถึงยังไง ก็เลี่ยงคำถามไม่ได้
     
    “ทำไมคะ” ปรรณนภัสไม่เข้าใจ
     
    “มัน...มันไม่เหมาะสม”
     
    หญิงสาวอยากจะแย้งว่าไม่เหมาะสมยังไง ในเมื่อพวกเขาไม่ได้มีอะไรกัน เธอไม่กล้านึกถึงจูบนั่น ถ้าพ่อรู้...จะว่าอย่างไร
     
    “แต่...แต่เฟย์...” เธอไม่รู้จะพูดยังไงดี แล้วเธอก็โพล่งออกไป...อย่างไม่คาดฝัน
     
    “เฟย์รักพี่ยอด”

    “เฟย์...” ผู้เป็นพ่อครางเบาๆ เขารู้ว่าลูกสาวรักชนาธิป แต่เขาไม่อยากได้ยิน ไม่อยากยอมรับ
     
    “เฟย์...อยากอยู่ใกล้ๆ พี่ยอด” พ่อจะรู้ไหมว่าเธอรอโอกาสนี้มานานขนาดไหน ก่อนหน้านี้ เธอไม่เคยอยู่ในสายตาของชนาธิปเลย แม้พวกเขาจะใกล้ชิดกันโดยมีแองเจิลเค้กเป็นสื่อกลาง แต่เธอก็...ยินดี
     
    “ไม่ควรเลยเฟย์ พ่อว่า...มันไม่ค่อยดี” เขามองหน้าลูกสาว สีหน้าลำบากใจ
     
    “เพราะอะไรคะ มันไม่ค่อยดียังไง เฟย์ไม่เข้าใจ ทำไมพ่อถึงห้ามเฟย์ พี่ยอด...พี่ยอดไม่ดีพอหรือคะ” บางครั้งพ่อมักชอบคิดว่าเธอดีเหนือใครๆ ทั้งที่เธอยังมีจุดด้อยอีกเยอะ ซึ่งเธอก็เข้าใจ เพราะเธอเป็นลูกรักของพ่อ แต่สำหรับเรื่องของชนาธิป เธอไม่เข้าใจเอาเสียเลย
     
    สาโรจน์กลั้นเสียงถอนหายใจ นี่เขาควรจะทำอย่างไรดี ควรจะบอกเฟย์ไหมว่ายอดสงสัยอะไรเขา
     
    “เฟย์ มันไม่ใช่อย่างนั้น”
     
    ไม่...ไม่ควร เขาสบตาที่แฝงแววคำถามของเธอ เขาจะทำลายความบริสุทธิ์ในดวงตาของเธอได้อย่างไร
     
    “พ่อ...พ่อไม่ชอบอะไรที่ไม่ชัดเจน ผู้หญิงกับผู้ชาย...ไม่ควรจะสนิทสนมกันหรอกนะ” เขากล่าวอ้างถึงคำสั่งสอนที่ผู้ใหญ่มักใช้อบรมลูกหลาน
     
    ปรรณนภัสนิ่วหน้า เธออยากจะเถียงว่านี่มันยุคสองพันแล้ว แต่พอนึกถึงจุมพิตเจ้ากรรม เธอก็ได้แต่นิ่งเงียบและครุ่นคิด
     
    มันคงจะจริงอย่างที่บิดาพูด ความสนิทสนมทำให้ชนาธิปจูบเธอใช่ไหม?
     
    “เฟย์เข้าใจพ่อใช่ไหม” เขาถาม ไม่อยากให้ลูกสาวโกรธเคือง อยากให้เธอรู้ว่าทั้งหมดที่ทำไป เพราะเขาหวังดีกับเธอ
     
    หญิงสาวเงียบไปนาน จนผู้เป็นบิดากังวล
     
    “เฟย์” เขาเรียก
     
    เธอเงยหน้าขึ้น ยิ้มบางๆ ผุดขึ้นบนใบหน้า
     
    “เฟย์เข้าใจค่ะ...เฟย์จะ...พยายาม”
     
    น้ำเสียงที่ตอบบิดาไม่ได้เข้มแข็งเลย เธอไม่มั่นใจว่าเธอจะทำได้ แม้จะเข้าใจ
     
    นับวัน เธอยิ่งรักชนาธิป...ยากจะถอดถอน ศรรักปักลึกในอก ถ้าดึงออก คมศรจะต้องเกี่ยวเลือดเนื้อหัวใจ และทำลายเธอ เธอจะต้องเจ็บปวดแน่ๆ...เจ็บปวดเจียนตาย...หรืออาจจะตายไปเลยก็ได้...ใครจะไปรู้
     
    และสาโรจน์เองก็ไม่มั่นใจในคำตอบของลูกสาวเลย
     
    บางที...มันอาจจะสายเกินไป เขาควรจะต้องทำอะไรที่เด็ดขาดกว่านี้...ใช่ไหม
     
    จบ Love and Revenge...ด้วยรักและอาฆาต บทที่ 4
    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -- -
    ========================================================
     
    หวัดดีค่า
     
    มาแปะต่อแล้วนะคะ บทที่ 4 เป็นไปตามคาดว่าจะช้า เพราะว่าต้องจัดการเรื่องคู่ร้ายฯ ก่อนนั่นเอง
     
    บทที่ 4 ยังคงเรื่อยๆ มาเรียงๆ ค่ะ ตัวละครแต่ละตัวเริ่มหวั่นไหวมากกว่าเดิม ยอดเล่นเกมสงครามประสาทกับสาโรจน์ แต่ตัวเองก็ทำเหมือนจะไม่ไหวซะงั้น รอดูกันต่อไปนะคะว่าจะเป็นยังไง แล้วเฟย์จะทราบความจริงไหม สาโรจน์จะทำยังไง
     
    แล้วเจอกันในเรื่องคู่ร้ายหมายรักค่ะ
    มิถุนา
    Busaba401แอตhotmail.com
    http://mithuna.bloggang.com
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×