ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Love and Revenge...ด้วยรักและอาฆาต (แสนแค้นแสนเสน่หา)

    ลำดับตอนที่ #2 : Love and Revenge...ด้วยรักและอาฆาต บทที่ 1

    • อัปเดตล่าสุด 10 ก.ย. 54


    10 SEPT 2011
    ชี้แจงก่อนอ่าน

    เนื่องจากเรื่องนี้กำลังจะตีพิมพ์เป็นรูปเล่มนะคะ จึงได้ลบ "ภาึคสอง: ด้วยอาฆาต" ซึ่งเป็นครึ่งหลัง ตั้งแต่บทที่ 11 เป็นต้นไปออกทั้งหมด เพื่อทำตามข้อตกลงของสนพ. ค่ะ ดังนั้นจะเหลือเพียง "ภาคหนึ่ง: ด้วยรัก" ให้อ่านเท่านั้นค่ะ

    พิเศษ! ในแบบรูปเล่ม จะมีตอนพิเศษของพิเศษเป็นเซอร์ไพรส์ให้อ่านกันด้วยนะคะ

    ยังไงต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ แล้วถ้าได้หน้าปก หรือรายละเอียดเรื่องมาแล้ว จะมาอัพเดตให้ได้ชมกันค่ะ

    มิถุนา




    Love and Revenge...ด้วยรักและอาฆาต บทที่ 1
     
    ชนาธิปไม่คิดเลยว่าบิดาจะจากไปเร็วขนาดนี้ เขาเพิ่งทราบข่าวร้ายเมื่อวานซืน จึงได้ขอลางานและจองตั๋วเครื่องบินกลับประเทศไทยโดยเร็วที่สุด แต่ก็ยังช้าไปอยู่ดี เขาถึงบ้านเกิดหลังจากบิดาเสียชีวิตได้สองวัน
     
    พ่อจากไปกะทันหันเกินกว่าเขาจะรับได้ เมื่อสองสามอาทิตย์ก่อน แม้ร่างกายจะเปลี่ยนแปลงเพราะเป็นอัมพาตและอาการทรงตัว แต่พ่อก็ไม่มีทีท่าว่าจะเสียชีวิตเร็วขนาดนี้ แพทย์เจ้าของไข้บอกว่าพ่อเสียชีวิตเนื่องจากเส้นเลือดในสมองแตก คาดว่าน่าจะมาจากความเครียด เพราะพ่อไม่ยอมรับสภาพพิการของตัวเอง แต่เขาไม่อยากเชื่อ พ่อเป็นนักสู้ แม้จะเคยท้อทอย แต่พ่อไม่เคยยอมแพ้ นี่มันแปลกเกินไป 
     
    แท็กซี่จอดสนิทเมื่อถึงที่หมาย ชายหนุ่มให้เงินแก่คนขับก่อนจะก้าวลงมาจากรถ เขายืดตัวเต็มความสูงพร้อมเสยผมสั้นดกดำ ไหล่ข้างขวาสะพายกระเป๋าใบย่อมน้ำหนักเบา เขาไม่ได้โหลดอะไรขึ้นเครื่องนอกจากกระเป๋าใบเล็กที่มีเสื้อผ้าพอเปลี่ยนได้สองสามชุดและของใช้ส่วนตัวนิดหน่อย เขาไม่ได้หอบหิ้วมากมาย เนื่องจากยังมีเสื้อผ้าเก่าทิ้งไว้ที่บ้านอีกมาก
     
    ชายหนุ่มอดมองบ้านตัวเองอย่างรำลึกมิได้ ไม่ได้กลับบ้านมาหลายเดือนแล้ว เขาใช้ชีวิตนักศึกษาและทำงานอยู่ที่อเมริการ่วมแปดปี ปรกติมักจะกลับบ้านปีละครั้ง นี่ยังไม่ใกล้กำหนดกลับบ้าน แต่สุดท้ายเขาจำต้องกลับมาก่อนด้วยเหตุผลที่ยากจะทำใจได้
     
    เขาล้วงเอากุญแจบ้านออกมาจากกระเป๋ากางเกง ยังไม่ทันจะได้ไขประตูบ้าน เสียงล้อบดถนนดังคึ่กคั่กก็เรียกให้เขาหันไปมอง รถยนต์ญี่ปุ่นสีฟ้าอมเทาสภาพเก่าโทรมเคลื่อนมาหยุดจอดหน้าบ้านของลุงสาโรจน์ ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับบ้านของเขา เขาจำได้ในทันทีว่ามันเป็นรถของใคร
     
    รถปลูกสะระแหน่ของปรรณนภัส!
     
    แม้สาโรจน์จะมีเงินมากพอจะซื้อรถคันใหม่ให้ลูกสาวสุดที่รักได้ แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ต้องการ เธอรักรถของเธอมาก ขนาดว่าสาโรจน์เคยทำเซอร์ไพรส์ด้วยการซื้อรถใหม่ป้ายแดงให้ เธอก็ไม่ยอมรับ ร้องจะเอาแต่รถเก่าโทรมคันเดิม จนสุดท้ายสาโรจน์ต้องเอารถใหม่เอี่ยมคันดังกล่าวไปคืนโชว์รูม และปล่อยให้เธอขับรถปลูกสะระแหน่ด้วยความจำใจ
     
    ปรรณนภัสก้าวลงจากรถและเดินเข้ามาหา ดูไม่แปลกใจเมื่อเห็นเขา เธอสวมกางเกงยีนส์และเสื้อยืดเรียบๆ รวบผมดำยาวเป็นทรงหางม้าด้วยหนังยางเล็กๆ ดวงหน้ารูปหัวใจจุ๋มจิ๋มไม่ได้รับการตบแต่งด้วยเครื่องสำอางแบบสาวๆ ทั่วไป ทำให้เธอดูเหมือนเด็กไม่เดียงสา บอบบาง และอ่อนแอเหมือนอย่างเคย
     
    มุมปากของชนาธิปยกสูงนิดๆ เขายิ้มให้เธอ แต่ดวงตาไม่ได้ยิ้มด้วย นัยน์ตารียาวสีดำหรี่ลง เช่นเดียวกับคิ้วสีเข้มที่เฉียงลงเป็นรูปปีกกา
     
    “พี่ยอด” เธอเรียกอย่างดีใจ เธอไม่ได้เห็นหน้าเขามาหลายเดือน เขายังคงเหมือนเดิม หล่อเหลาและเข้าไม่ถึง
     
    “เพิ่งมาถึงเหรอคะ” ถามแม้จะเห็นเขาสะพายกระเป๋าใบโตและทราบว่าเขาเพิ่งกลับจากอเมริกาเพื่อมาร่วมงานศพบิดา
     
    “อื้อ!” เขาพยักหน้า
     
    “เฟย์เสียใจเรื่องลุงภูมิ” สีหน้าของเธอแสดงความเห็นใจและเศร้าเสียใจอย่างจริงใจ
     
    “ขอบใจ” เขาตอบสั้นๆ
     
    ปรรณนภัสเห็นความเศร้าโศกในดวงตาสีนิลของเขา แต่ไม่รู้จะปลอบใจเขาอย่างไรดี แม้บิดาของพวกเขาจะสนิทสนมกัน แต่เธอกับชนาธิปกลับไม่สนิทกันเลย อาจเป็นเพราะพวกเขาอายุห่างกันถึงห้าปี และชนาธิปก็รู้จักเธอเป็นครั้งแรกช่วงที่เขากำลังเป็นวัยรุ่น ส่วนเธอยังเป็นเด็กหญิงวัยสิบขวบ มีอายุและความสนใจที่ต่างกัน เธอรู้ว่าเขารำคาญและพยายามหลีกเลี่ยงเธอ ด้วยนิสัยเงียบๆ ติดจะขี้อาย เธอจึงไม่กล้าไปตอแยเขา นอกจากนี้ สามปีต่อมาชนาธิปก็ไปเรียนต่อที่อเมริกา ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาที่เหินห่างอยู่แล้ว ยิ่งเหินห่างมากขึ้นกว่าเดิม ไม่เหมือนพ่อของพวกเขาที่สนิทสนมแนบแน่น
     
    “แล้วนี่เฟย์ไปไหนมาล่ะ” เขาถามตามมารยาท มากกว่าจะเป็นเพราะความสนใจ
     
    “ไปซื้ออุปกรณ์ทำขนมค่ะ” เมื่อพูดถึงการครัวที่ชื่นชอบ เธอก็ยิ้มกว้าง
     
    “พี่เกือบลืมไปว่าเฟย์เรียนคหกรรม” นี่เป็นหนึ่งในรายละเอียดไม่กี่อย่างเกี่ยวกับปรรณนภัสที่เขาทราบ
     
    “ตอนนี้ไม่ได้เรียนแล้วค่ะ”
     
    “อ้าว! ทำไมล่ะ หรือเรียนจบแล้ว”
     
    “ค่ะ” เธอพยักหน้า “เพิ่งจบเมื่อเดือนก่อนเอง”
     
    “แล้วได้งานทำหรือยัง”
     
    หญิงสาวส่ายหน้า “ยังเลยค่ะ...เอ้อ...จริงๆ ก็เกือบจะได้แล้วล่ะค่ะ แต่ว่ามันไกลบ้าน พ่อเลยไม่อยากให้เฟย์ทำงานที่นั่น” เธอค่อนข้างตามใจบิดา น้อยครั้งที่จะขัดใจท่าน อย่างเช่นเรื่องรถยนต์สุดรักที่ยอมปล่อยทิ้งไปไม่ได้
     
    “เอาเถอะ ค่อยๆ หาไป เดี๋ยวก็หางานที่ถูกใจได้เอง”
     
    “ขอบคุณค่ะ เฟย์ก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น”
     
    “งั้น...พี่เข้าบ้านก่อนนะ ค้างเติ่งอยู่ในเครื่องบินเกือบวัน รู้สึกสกปรกไปหมด อยากจะอาบน้ำอาบท่าให้สดชื่น” ชนาธิปตัดบท เขาไม่มีอารมณ์จะคุยอะไรกับใครสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับปรรณนภัส มันไม่เชิงว่าเขารังเกียจเธอ เพียงแต่รู้สึกรำคาญ เธอเรียบร้อยเกินไป จะพูดอะไรสักคำก็นุ่มนิ่มสนิมสร้อย บางทีเขาอาจจะติดภาพสมัยเด็กของเธอที่เขารำคาญอยู่เป็นนิจ เลยมักเลี่ยงเธอก็ได้
     
    “ขะ...ขอโทษค่ะ เฟย์ลืมไปเลยว่าพี่ยอดเพิ่งกลับมาเหนื่อยๆ ขอโทษค่ะ” เธอกล่าวซ้ำอีกครั้งตามความเคยชิน
     
    ชนาธิปอยากจะตอบว่า ช่างมันเถอะ เรื่องเล็กน้อย แต่กลัวเธอจะขอโทษเขาซ้ำซากอีก จึงกล่าวลา
     
    “พี่ไปล่ะ แล้วเจอกัน”
     
    “ค่ะ” ปรรณนภัสพยักหน้าและมองชนาธิปตาละห้อย เขาเดินเข้าไปในบ้านอย่างมั่นใจ ไม่เหลียวหลังกลับมามองเธอสักนิด
     
    เขาก็เป็นแบบนี้เสมอ เหินห่างและไม่ใส่ใจ แม้จะเรียกแทนตัวเองว่าพี่ แต่ก็ไม่เห็นว่าเธอเป็นน้อง เขาไม่เห็นเธอเป็นอะไรสักอย่างนอกจากเด็กน่ารำคาญคนหนึ่ง...
     
    เด็กน่ารำคาญที่ไร้ค่าสำหรับเขา
     
    ช่างน่าเศร้าที่เด็กคนนี้หลงรักเขา
     
    เขาจะไม่มีวันรู้ความลับนี้ และเธอจะไม่มีวันบอกเขา
     
    เธอบอกเขาไม่ได้ เธอไม่กล้าพอ
    ========================================================
     
    หลังจากสวดศพตามพิธีกรรมทางศาสนาครบห้าวัน วันรุ่งขึ้นพวกเขาก็ขนย้ายศพของภูมิไปยังสุสานประจำครอบครัว ซึ่งตั้งอยู่ที่จังหวัดนครปฐม พ่อแม่ของภูมิก็ถูกฝังอยู่ที่นี่ เมื่อหนึ่งปีก่อน ภูมิเล็งเห็นว่าเขากับตวงพรน่าจะเตรียมซื้อสุสานไว้แต่เนิ่นๆ จะได้พำนักอยู่ในสุสานเดียวกันกับคนในครอบครัว แต่ชนาธิปไม่คิดเลยว่าพ่อจะได้ใช้งานสุสานเร็วกว่าที่คาด
     
    มีคนร่วมขบวนขนศพเพียงแค่สี่คน ภูมิเป็นลูกคนเดียว และมีทายาทคนเดียวคือชนาธิป ส่วนตวงพรไม่สนิทกับญาติ นอกจากชนาธิปและตวงพรซึ่งเป็นเพียงญาติสนิทใกล้ชิดสองคนที่เหลือของภูมิแล้ว ยังมีสาโรจน์และปรรณนภัสซึ่งสนิทกับครอบครัวของภูมิจากการทำงานอีกด้วย
     
    ภูมินอนสงบนิ่งในโลงศพ เขาแต่งชุดสูทสีเทาเต็มยศกับเนคไทผ้าไหมพิมพ์ลายช้างเส้นโปรด เสื้อผ้าดูโคร่งกว่าเดิมเล็กน้อยเนื่องจากเขาผอมลงมากในช่วงสองสามอาทิตย์สุดท้ายของชีวิต ใบหน้าขาวซีดและบวมกว่าจะเรียกได้ว่าปรกติ ผมถูกหวีจนเรียบแปล้ มือประสานอยู่บนหน้าอก ดูเหมือนคนป่วยที่หลับไปเท่านั้น
     
    ตวงพรยกผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาที่ร่วงเผาะๆ ยังทำใจกับการตายของสามีไม่ได้ มันกะทันหันเกินไป เมื่อหลายอาทิตย์ก่อน เขายังสุขภาพแข็งแรง ยังไม่ได้เป็นอัมพาต พวกเขาสองคนออกไปกินข้าวเย็นด้วยกัน พูดคุยกัน นอนดูทีวีด้วยกัน แต่ตอนนี้ภูมิของเธอไม่อยู่แล้ว ร่างไร้ชีวิตของเขานอนนิ่งอยู่ในโลงไม้ เธอคุกเข่าลงข้างโลง แตะมือเย็นชืดของเขาพร้อมเอาดอกกุหลาบสีขาววางทับลงไป ก่อนจะลุกขึ้นยืนและกอดลูกชายไว้แน่น น้ำตาไหลพรากอย่างมิอาจระงับได้
     
    สัปเหร่อค่อยๆ เลื่อนฝาโลงปิด ชนาธิปโอบกอดมารดาไว้ สายตาบันทึกภาพบิดาเป็นครั้งสุดท้าย ความรู้สึกโศกเศร้าเสียใจอัดแน่นอยู่ในอก ขอบตาของเขาร้อนผ่าว น้ำตาเอ่อล้นแต่ไม่ไหลออกมา เขากะพริบตารัว และน้ำตาก็ไหลกลับเข้าไปข้างใน เขาไม่ได้ร้องไห้มานานแล้ว และไม่อยากจะร้องไห้ในตอนนี้ เขาร้องไห้ไม่ได้ เดี๋ยวแม่จะยิ่งใจเสียมากกว่าเดิม
     
    ปรรณนภัสเห็นความเศร้าของสองแม่ลูกแล้วน้ำตาก็รื้นขึ้นมาโดยอัตโนมัติ สาโรจน์ดึงรั้งเธอมากอดอย่างปลอบๆ ชนาธิปเหลือบตามองสองพ่อลูกเล็กน้อย ก่อนจะเฝ้ามองสัปเหร่อโบกปูนซีเมนต์ปิดสุสานของบิดา
     
    พวกเขาออกจากสุสานเงียบๆ และตกลงว่าจะแวะรับประทานอาหารระหว่างการเดินทางกลับไม่มีประโยชน์ที่จะอดมื้อทรมานเพราะความเศร้า ชีวิตต้องดำเนินต่อไป
     
    พวกเขาเลือกร้านแรกที่ขับรถผ่าน เป็นร้านอาหารไทยตกแต่งสไตล์บ้านพักอาศัย ดูจากทางเข้าจะคล้ายบ้านหลังหลังเล็กๆ หลังหนึ่ง แต่พอเดินผ่านห้องกระจกติดเครื่องปรับอากาศเข้าไปข้างใน ก็จะเห็นโต๊ะอาหารกลางสวนต้นไม้หลากชนิด มีร้านกาแฟและบาร์เครื่องดื่มเล็กๆ ตั้งอยู่อีกด้านของสวน
     
    พวกเขาเลือกนั่งด้านนอก แม้อากาศจะค่อนข้างร้อน แต่เมื่อเข้ามาในร้าน กลับร่มเย็นด้วยเงาไม้รกครึ้ม ชนาธิปนั่งเก้าอี้ข้างมารดา ประจันหน้ากับปรรณนภัสซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามเขา แต่อยู่เคียงข้างสาโรจน์ จมูกและตาของเธอยังคงแดงจากการร้องไห้ไม่ต่างจากตวงพร เขาทราบว่าปรรณนภัสค่อนข้างขี้แยและอ่อนแอ แต่เขาไม่คิดว่าเธอจะร้องไห้ให้พ่อของเขา  
     
    พนักงานแจกเมนูให้ทุกคน ตวงพรปฏิเสธไม่รับ
     
    “ยอดสั่งไปเถอะ แม่...แม่กินไม่ลง แล้วก็...ไม่รู้จะกินอะไรด้วย” ภายในระยะเวลาหกวันที่ผ่านมา เธอดูซูบลงไปกว่าเคย เนื่องจากรับประทานอาหารได้น้อย เอาแต่ร้องไห้ และนอนไม่หลับ กระนั้นความงามของเธอซึ่งส่งผ่านมายังชนาธิปกึ่งหนึ่งก็ยังคงอยู่ดังเคย ตวงพรดูอ่อนกว่าอายุสี่สิบเก้าร่วมสิบปี นอกจากรับหน้าที่แม่บ้าน อยู่บ้านดูแลงานบ้านและเลี้ยงลูก เธอยังชอบบำรุงบำเรอตัวเองให้สดสวยอ่อนเยาว์ตามประสาผู้หญิง เธอทำหน้าที่แม่บ้านและรักษาตัวเองได้ดี ซึ่งเห็นผลได้จากรูปลักษณ์ของเธอในปัจจุบัน
     
    “ได้ครับ แม่” ชนาธิปรับคำ ไม่คะยั้นคะยอเซ้าซี้เพราะยังไม่ถึงเวลา
     
    สาโรจน์อ่านเมนูและเลือกยำถั่วพูกับน้ำพริกหนุ่มที่อยากกินก่อนจะปล่อยให้คนอื่นเลือกบ้าง
     
    ปรรณนภัสผลักเมนูออกห่างพลางถอนหายใจ “เฟย์ไม่รู้จะกินอะไรดี พ่อกับพี่ยอดสั่งไปเถอะค่ะ” เธอเองก็กินไม่ค่อยจะลงเหมือนกัน ภาพใบหน้าซีดขาวจนเห็นเส้นเลือดสีเขียวอมฟ้าของภูมิทำให้เธอสลดหดหู่จนท้องแน่นตื้อไปหมด
     
    ชนาธิปแอบหมั่นไส้หญิงสาวเล็กน้อยที่ทำราวว่าตัวเองเป็นผู้สูญเสีย
     
    เวอร์ไปหน่อยกระมัง ไม่ต้องทำตัวเป็นนางฟ้านางสวรรค์เหมือนชื่อก็ได้ เขาค่อนในใจ ทราบว่าปรรณนภัสแปลว่าปีกนางฟ้า ส่วนเฟย์ก็มีความหมายใกล้เคียงกัน นั่นก็คือนางฟ้า
     
    ปรรณนภัสเงยหน้าขึ้นและสบตาดุๆ ของเขาพอดี ตระหนักว่าเขาไม่ชอบใจเธออีกแล้ว ไม่รู้ว่าเธอทำผิดอะไร เขาจึงไม่พอใจ เธอห่อไหล่และหลุบตาลงทันควัน ไม่ชอบสายตาแบบนั้นของเขา ถ้าสักวัน...เขายิ้มให้เธออย่างจริงใจ เธอคงจะดีใจจนตัวลอย
     
    เฮ้อ...ยายบ๊องเฟย์ คิดอะไรไร้สาระอีกแล้ว เขาคงไม่มีวันยิ้มแบบที่ว่าให้เธอหรอก อย่าว่าแต่ยิ้มเลย เขาไม่มีวันจะสนใจเธอด้วยซ้ำ
    ========================================================
     
    วรพลมาตรงเวลานัดเป๊ะ เขาเป็นทนายประจำบริษัทโรจนาภูมิ เขากำลังดื่มกาแฟที่เด็กรับใช้ยกมาเสิร์ฟขณะที่ชนาธิปและตวงพรเดินเข้ามาข้างในห้องรับแขกและนั่งลงตรงข้ามเขา
     
    “ขอแสดงความเสียใจเรื่องคุณภูมิด้วยครับ” วรพลกล่าวอย่างจริงใจ “กะทันหันเหลือเกิน จนผมไม่อยากจะเชื่อด้วยซ้ำว่าคุณภูมิเสียแล้วจริงๆ” เขาทำงานกับภูมิมาหลายปี อายุอ่อนกว่าภูมิไม่เท่าไหร่ แต่ไม่คิดเลยว่าภูมิจะมาตายจากไปก่อนง่ายๆ แบบนี้ มันทำให้เขาคิดว่าชีวิตคนเราช่างเปราะบางนัก วันก่อนโน้นยังคุยกันดีๆ ไม่กี่วันต่อมากลับเป็นอัมพาต จากนั้นก็เสียชีวิตลงด้วยโรคเดียวกัน
     
    “ขอบคุณค่ะคุณพล มันกะทันหันจริงๆ ตวงยังทำใจไม่ได้เลย” พูดจบน้ำตาก็เอ่อท้นขึ้นมาอีกจนต้องเอาผ้าเช็ดหน้าซึ่งบัดนี้เป็นของพกติดประจำตัวขึ้นมาซับน้ำตา
     
    วรพลเห็นใจตวงพร ทราบว่าเธอรักภูมิมาก และภูมิก็รักเธอมากเช่นเดียวกัน ทว่าภูมิกลับทำบางสิ่งบางอย่างที่ดูขัดกัน...ขัดจากนิสัยปรกติ เขาชำเลืองมองชนาธิป และคิดว่าอีกฝ่ายจะต้องไม่ชอบใจเมื่อทราบเรื่องนี้ เพราะเขาเองยังไม่ชอบใจเท่าไหร่เลย
     
    “เอ่อ...ผมเริ่มเลยนะครับ” เขากล่าวเมื่อเห็นว่าสองแม่ลูกดูสงบนิ่งพร้อมจะรับฟังแล้ว
     
    “ครับ ลุงพล เชิญ” ชนาธิปผายมือออกพลางพยักหน้าอนุญาต 
     
    “ก็อย่างที่เรารู้กันนะครับว่าคุณภูมิจากไปกะทันหันมาก จนไม่มีเวลาจะทำพินัยกรรมเสียด้วยซ้ำ เท่ากับว่าสมบัติทั้งหมดของคุณภูมิจะถูกแบ่งครึ่งหนึ่งให้ภรรยา-ซึ่งก็คือคุณตวง-ส่วนอีกครึ่งหนึ่งแบ่งให้บุตรเท่าๆ กัน คุณภูมิมีบุตรชายคนเดียว สมบัติส่วนนั้นจึงตกเป็นของคุณยอด ผมทำเอกสารแจกแจงรายการทรัพย์สินของคุณภูมิมาด้วย” เขาดึงปึกกระดาษออกมาจากซองสีน้ำตาลที่วางอยู่ข้างตัว ส่งสำเนาให้ตวงพรกับชนาธิปคนละชุด
     
    “เงินส่วนตัวแบ่งครึ่งหนึ่งได้ไม่ยาก เพราะมูลค่าตายตัวอยู่แล้ว แต่พวกบ้านที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ต่างๆ รวมถึงเครื่องเพชรหรือรถยนต์ ผมแจงราคาปัจจุบันของสิ่งของทั้งหมด แล้วแบ่งเป็นครึ่งต่อครึ่งเท่าๆ กัน ผมพยายามแบ่งให้ยุติธรรมที่สุด พวกคุณลองดูรายการที่ผมทำมาก่อนนะครับ มีสองส่วน ส่วนเอกับส่วนบี ผมยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะให้คุณตวงส่วนไหน คุณยอดส่วนไหน อยากให้พวกคุณตัดสินใจเลือกด้วยตัวเอง พวกคุณเลือกแบ่งกันเลยนะครับ เพราะยังมีเรื่องทางเอกสารที่ผมต้องจัดการอีกมาก” เขาหยุดรอคำตอบจากสองแม่ลูก
     
    “ได้ครับลุงพล” ชนาธิปตอบเมื่อเห็นตวงพรไม่ยอมพูดอะไร เข้าใจว่ามารดายังโศกเศร้าเรื่องบิดามากจนไม่สนใจสมบัติเท่าไหร่
     
    “แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาที่ผมหนักใจ” วรพลถอนหายใจ ก่อนจะหยิบเอากระดาษอีกชุดออกมาส่งให้ทั้งคู่
     
    “นี่มันอะไรกันครับ” ชนาธิปขมวดคิ้วเมื่อกวาดตาอ่านเนื้อหาข้างในแบบลวกๆ
     
    “ผมเพิ่งได้รับสัญญานี้เมื่อหลายวันก่อนจากคุณสาโรจน์ ดูเหมือนว่าคุณภูมิจะเซ็นชื่อในสัญญาโอนสิทธิ์ยกบริษัทรวมทั้งเหมืองพลอยทั้งหมดให้คุณสาโรจน์ โดยระบุในข้อสัญญาว่าจะต้องดูแลคุณภูมิไปตลอดชีวิต พร้อมกับให้เงินเดือนประจำให้คุณตวงและคุณยอดทุกเดือน เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน”   
     
    “ไม่จริง เป็นไปไม่ได้” ชนาธิปไม่อยากเชื่อว่านี่เป็นการตัดสินใจของบิดา เขาร้องประท้วงและอ่านสัญญาอย่างละเอียดถึงสองครั้ง พ่อไม่มีทางจะยกบริษัทให้คนอื่น แม้คนๆ นั้นจะเป็นหุ้นส่วนกึ่งหนึ่ง พ่อเคยเร่งให้เขากลับมาทำงานที่บริษัทเสมอๆ เขาขอผัดผ่อนไปเรื่อยๆ จนในที่สุดปีนี้ เขาจึงตัดสินใจจะกลับมาาทำงานให้พ่อ พ่อไม่มีทางจะยกบริษัทให้คนอื่นเพราะทราบว่าเขาจะกลับมาทำงาน ไม่มีทางเป็นไปไม่ได้
     
    “คุณภูมิทำแบบนั้นจริงๆ หรือคะ เพราะอะไร ตวงงงไปหมดแล้ว” ตวงพรสงสัย ทราบว่าภูมิรักบริษัทมาก และอยากให้ลูกชายดูแลบริษัทต่อจากเขาอย่างที่เคยเคี่ยวเข็ญไว้ แต่ก็อดคิดอีกแง่ไม่ได้ว่าบางทีภูมิอาจจะกำลังจนปัญญา เกรงว่าความพิกลพิการของตัวเองจะทำให้การงานในบริษัทได้รับผลกระทบกระเทือน จึงตัดสินใจยกบริษัทให้เพื่อนคู่ใจซึ่งดูแลบริษัทร่วมกันเป็นอย่างดีมานาน เพราะตั้งแต่เป็นอัมพาต ภูมิก็แปลกไปกว่าเดิมมาก ดูหงุดหงิด สับสน และจับจด เขาเปลี่ยนไปราวกับไม่ใช่ภูมิคนเดิม
     
    “ตอนแรกที่เห็น ผมก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันครับ แต่นี่เป็นลายเซ็นคุณภูมิแน่ๆ แม้จะไม่เหมือนลายเซ็นก่อนหน้าจะเป็นอัมพาต แต่ก็ใช่ลายเซ็นคุณภูมิ ผมลองเปรียบเทียบดูแล้ว และที่สำคัญ ในสัญญายังมีลายเซ็นพยานยืนยันด้วย และแม้สัญญาจะดูแปลกๆ แต่เนื้อหาประกอบทั้งหมดนี่ถูกต้องตามกฏหมาย ผมไม่สามารถแย้งได้เลย”  
     
    “ผมไม่ยักรู้ว่าลุงสาโรจน์มีทนายความส่วนตัวด้วย” ชนาธิปเคาะนิ้วตรงชื่อทนายความซึ่งใส่อยู่ใต้ฐานะพยานที่หนึ่ง และมีพยานที่สองเป็นใครคนหนึ่งที่เขาไม่รู้จัก “ทำไมพ่อกับลุงสาโรจน์ไม่เรียกลุงพล”
     
    “ลุงเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่ยอดไม่ได้อยู่ใกล้คุณภูมิมาก คงไม่รู้ว่าตั้งแต่เกิดเรื่อง คุณภูมิเปลี่ยนไป...ค่อนข้างมาก” วรพลไม่ได้บอกตรงๆ ว่าภูมิกลายเป็นคนขมขื่นเนื่องจากทำใจไม่ได้
     
    “ใช่จ้ะยอด ตั้งแต่พ่อไม่สบาย พ่อก็...ก็เหมือนไม่ใช่คนเดิม” ตวงพรยืนยัน
     
    “แล้วพยานนี่เชื่อถือได้ขนาดไหนครับ”
     
    “เชื่อถือได้ครับ ลุงเช็กมาแล้ว”
     
    “แต่ก็เป็นคนของลุงสาโรจน์” ชนาธิปยังไม่อยากเชื่ออยู่ดีว่าบิดาจะยกบริษัทและเหมืองให้หุ้นส่วน
     
    “คุณสาโรจน์คงไม่ได้ตุกติกอะไรแบบนั้นหรอกมั้งจ๊ะยอด” ตวงพรมองโลกในแง่ดี “และถึงพ่อจะยกบริษัทให้ คุณสาโรจน์ยังต้องดูแลเราสองคนด้วยนี่”

    “ไม่รู้สิครับแม่ ผมว่ามันแปลก แม่ก็รู้ว่าพ่อตั้งใจจะให้ผมกลับมาช่วยดูแลงานที่บริษัท ถ้านี่ไม่เกิดเรื่องเสียก่อน สิ้นปีนี้ผมก็ต้องกลับมาทำงานกับโรจนาภูมิเต็มตัว”
     
    “พ่ออาจเปลี่ยนใจ”  
     
    ชนาธิปเม้มปากพลางครุ่นคิด “ถ้าผมจะฟ้องร้อง ลุงพลว่าเราจะมีโอกาสชนะไหมครับ” เขาไม่ได้งกสมบัติ แต่เรื่องนี้แปลกเกินกว่าจะมองข้ามได้
     
    วรพลนิ่วหน้าเล็กน้อย ก่อนจะพูดอย่างระมัดระวัง “ก็อาจจะมีโอกาสนะครับ” เขาไม่เคยตัดโอกาสเรื่องการแพ้ชนะในชั้นศาล เนื่องจากอะไรๆ ก็เป็นไปได้ทั้งนั้น
     
    “แต่...เปอร์เซ็นต์ค่อนข้างต่ำ สัญญาฉบับนี้ครบถ้วนสมบูรณ์ ยากจะแย้งได้ ยอดก็ทราบว่าคุณภูมิเป็นแค่อัมพาต ไม่ได้เป็นคนไร้ความสามารถตามตัวบทกฎหมาย สัญญาเป็นโมฆะไม่ได้ ถ้าจะฟ้องร้อง ยังไงก็ต้องมีการไกล่เกลี่ยก่อน แล้วถ้าดูจากสัญญาฉบับนี้ เราค่อนข้างเสียเปรียบ เรื่องคงจะยืดเยื้อยาวนาน ผลลัพธ์ที่ได้อาจจะไม่คุ้มค่ากัน” เขาพยายามแนะนำในฐานะเพื่อนของครอบครัว มากกว่าทนายความที่จ้องจะฟ้องร้องเรียกเอาเงินทอง
     
    ชนาธิปนิ่งเงียบไปจนวรพลใจคอไม่ดี เขาไม่รู้จักชนาธิปมากนัก เดาทางไม่ถูกว่าชนาธิปจะตัดสินใจอย่างไร
     
    แล้วริมฝีปากที่เหยียดเป็นเส้นตรงของชนาธิปก็โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มเล็กๆ “ขอบคุณครับลุงพล ผมพอจะเข้าใจ” ใช่ เขาเข้าใจ แต่ไม่หายสงสัย ไม่เป็นไร เขามีวิธีคลายความสงสัยในแบบของเขา
     
    “งั้นถ้าตัดบริษัทกับเหมืองพลอยออกไป ทรัพย์สินทั้งหมดของพ่อก็มีเพียงเท่านี้ใช่ไหมครับ” เขาชูกระดาษชุดแรกที่ได้รับ
     
    “ครับ แล้วอย่างที่ลุงแนะนำ ยอดกับคุณตวงลองตกลงดูนะว่าใครอยากได้ส่วนไหน ถ้ามีอะไรไม่ถูกต้อง อยากจะทักท้วง หรือเห็นว่าทรัพย์สินชิ้นไหนน่าจะถูกสลับกันก็ขอให้บอก ลุงจะพยายามจัดการให้ยุติธรรมที่สุด”
     
    ชนาธิปหันไปหามารดา “ผมให้แม่เลือกครับ”
     
    “แต่แม่...” ตวงพรไม่ได้พูดจนจบดี เนื่องจากลูกชายแทรกขึ้นมาอย่างขอร้อง
     
    “แม่ช่วยผมเลือกเถอะครับ ผมอยากให้แม่ได้เป็นคนเลือก”
     
    “ก็ได้จ้ะ” ตวงพรยอมแต่โดยดีเมื่อเห็นสายตาอ้อนวอนของลูกชาย
     
    การแบ่งสมบัติผ่านฉลุยไม่มีปัญหา ทว่าสัญญาของสาโรจน์นี่สิที่ชนาธิปกังวล บางทีการตายของบิดาอาจจะไม่ใช่การตายปรกติ...ใช่หรือไม่
     
    เอาล่ะ...เมื่อถึงเวลานั้น เขาจะเป็นผู้ตัดสินเอง
    ========================================================
     
    ชนาธิปนัดพบสาโรจน์ในวันรุ่งขึ้น เขาไม่เสียเวลารอ เรื่องจากมีเวลาไม่มาก ยังต้องกลับไปเคลียร์งานที่อเมริกาให้เรียบร้อยก่อนจะย้ายกลับเมืองไทยถาวร แต่ก็อยากจะขจัดข้อข้องใจออกไปเสียก่อน
     
    สาโรจน์ยอมให้เขาพบแต่โดยดี...แน่ล่ะ ถ้าไม่ยอม เขาจะบุกไปหาถึงที่ และทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่
     
    ชายหนุ่มเดินเข้าไปในบริษัทโรจนาภูมิ ซึ่งเป็นอาคารเดี่ยวขนาดห้าชั้น ตั้งอยู่ในที่ดินส่วนตัวของบิดาเขาย่านธุรกิจ พนักงานหลายคนจำเขาได้ ต่างแสดงความเสียใจ และถามว่าเขาจะกลับมาทำงานกับโรจนาภูมิไหม เขารับคำทักทาย พูดคุยเล็กน้อย แต่ไม่ได้ตอบรับอะไร เพราะจากสถานการณ์ปัจจุบัน ไม่รู้ว่าเขาจะได้กลับมาทำงานที่นี่อีกหรือเปล่า
     
    ชนาธิปหยุดอยู่หน้าห้องทำงานของสาโรจน์ ซึ่งอยู่ข้างๆ ห้องทำงานของพ่อเขา เขาเคาะประตู ก่อนจะผลัก แล้วเดินเข้าไปข้างใน
     
    “สวัสดีครับคุณลุง” ชนาธิปยกมือไหว้ สองเท้าก้าวเข้าไปหา สาโรจน์ยังคงใช้ห้องทำงานเดิม และมีท่าทีกับเขาเหมือนเดิม...ยิ้มง่าย ใจดี และดูเป็นกันเอง
     
    “มาสิยอด มานั่งตรงนี้” สาโรจน์กวักมือ ชนาธิปเดินไปนั่งตรงที่ดังกล่าว “ยอดอยากดื่มอะไร กาแฟ ชา น้ำอัดลม หรือน้ำเปล่าดี”
     
    “ไม่เป็นไรครับลุงสาโรจน์”
     
    “ไม่เปลี่ยนใจแน่นะ เมล็ดกาแฟสดคั่วอย่างดีจากเหนือเชียวนา ลูกค้าลุงเอามาฝาก รสดีกลิ่นหอมมากๆ” สาโรจน์ยังคงเชิญชวน
     
    “ไม่ดีกว่าครับ ผมเพิ่งจะดื่มกาแฟมาเอง”
     
    “งั้นก็ตามใจ” สาโรจน์ตอบยิ้มๆ พลางเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างผ่อนคลาย คล้ายไม่ตระหนักว่าชนาธิปขอพบเขาด้วยเหตุใด ทั้งที่เขาพอจะเดาได้ แต่ก็ยังเงียบและรอให้อีกฝ่ายพูดก่อน
     
    “วันก่อนลุงพลคุยกับผมและแม่เรื่องทรัพย์สินของพ่อ” ชนาธิปเริ่มเรื่อง “ผมเพิ่งทราบว่าพ่อยกบริษัทกับเหมืองให้ลุง” น้ำเสียงของเขาราบเรียบ สายตามองสบ หมายจับผิดเต็มที่ แต่ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา
     
    “พ่อของยอดไม่ได้ยกให้ลุงเปล่าๆ หรอกนะ ตามสัญญา ลุงยังต้องจ่ายเงินเดือนให้ทั้งยอดและคุณตวงทุกเดือนจนกว่ายอดหรือคุณตวงจะสิ้นอายุขัย และถ้าภูมิยังมีชีวิตอยู่ ลุงก็ต้องดูแลภูมิด้วย”
     
    “ทำไมจู่ๆ พ่อถึงต้องทำแบบนี้ด้วยล่ะครับ คุณลุงก็น่าจะรู้ว่าพ่อเร่งให้ผมกลับมาทำงานด้วยบ่อยๆ” เขาไม่ได้พูดต่อว่าเขามีกำหนดการจะกลับเมืองไทยปลายปีนี้ ไม่รู้ว่าสาโรจน์รู้หรือเปล่า ถ้ารู้ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าไม่รู้ เขาก็ไม่อยากบอก ไม่มีประโยชน์ถ้าโรจนาภูมิไม่ใช่ของเขาอีกต่อไป
     
    สาโรจน์แสร้งถอนหายใจเศร้าๆ “ลุงก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ตั้งแต่ไม่สบาย ภูมิก็คิด...ไม่ค่อยจะปรกติสักเท่าไหร่”  
     
    “ใครๆ ก็พูดแบบนี้ แต่ผมไม่อยากเชื่อ” ดวงตาสีดำของชนาธิปจ้องอีกฝ่ายเขม็ง
     
    ตั้งแต่ป่วย พ่อก็กลายเป็นคนขี้หงุดหงิด เก็บกดโมโหร้าย และบางครั้งก็ทดท้อหมดกำลังใจจากโรคอัมพาต พ่อผิดแผกไปจากเดิม ทำให้แม่และวรพลสัญนิษฐานว่าสัญญารับโอนนั้นพ่อทำเพื่อเพิ่มความมั่นคงให้แก่ตัวเองและครอบครัว...ทั้งที่ไม่จำเป็นเลย เพราะพ่อยังมีเขา แต่บางที พ่ออาจจะไม่คิดถึงเขามากนัก เนื่องจากเขาไม่ได้อยู่ใกล้ชิดพ่อมาหลายปี แต่...อะไรบางอย่างสะกิดเกาใจเขาอยู่เรื่อย และเขาคงไม่ยอมหยุดง่ายๆ จนกว่าจะทราบความจริงที่แน่ชัดกว่านี้
     
    “แล้วยอดจะให้ลุงทำยังไง” สาโรจน์พูดอย่างเหนื่อยใจ
     
    “ผมอยากได้หุ้นส่วนของพ่อคืน ยังไงที่ดินผืนนี้ก็เป็นของพ่อผม เหมืองก็เช่นเดียวกัน คุณลุงก็รู้ว่าพ่อลงทุนกับโรจนาภูมิมากขนาดไหน” มากกว่าสาโรจน์อย่างแน่นอน เพราะสาโรจน์แค่ลงแรง ส่วนพ่อทั้งลงเงินและแรง
     
    “ลุงทำไม่ได้หรอกยอด ยอดก็รู้ว่าลุงต้องทำตามสัญญา”
     
    “ผมแค่ต้องการของที่เป็นพ่อของผมคืน”
     
    “ลุงเสียใจ ลุงอยากทำตามสัญญาของภูมิ” เขาพูดซ้ำ
     
    “คุณลุงยืนยัน” ชนาธิปทวนถามด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ หากสายตาวาววาบอย่างเอาเรื่อง
     
    “ลุงยืนยัน” สาโรจน์ประสานตากับหนุ่มรุ่นลูกอย่างไม่กลัวเกรง เขาเดินในเส้นทางที่ไม่มีวันหวนกลับ เขาจะต้องเดินหน้าต่อไป ตอนนี้ทุกอย่างที่เขาต้องการอยู่ในกำมือของเขาแล้ว สัญญากรรมสิทธิ์เรียบร้อยครบถ้วน ลายเซ็นของภูมิเป็นของจริง เขาเพียงแต่ใช้เล่ห์กลเล็กน้อยทำให้ภูมิเซ็นชื่อลงในสัญญา ทุกอย่างถูกต้องและสามารถดำเนินการตามสัญญาได้ ต่อให้ชนาธิปฟ้องร้องก็ชนะได้ยาก ดังนั้นไม่มีอะไรที่ต้องกังวล โรจนาภูมิเป็นของเขา
     
    “ถ้าอย่างนั้นผมก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก เห็นทีคงจะต้องขอลาแล้วล่ะครับ สวัสดีครับลุงสาโรจน์” ชายหนุ่มกล่าวลา ยิ่งสาโรจน์ยืนยันอย่างไร้มนุษย์ธรรม เขาก็ยิ่งปักใจว่าสาโรจน์ฉ้อโกงเอาบริษัทครึ่งหนึ่งของบิดาไป เพียงแต่ว่าทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งที่เขาคิด ไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยัน ไม่ทราบวิธีการด้วยว่าสาโรจน์ทำได้อย่างไร
     
    ไม่เป็นไร เขาจะค่อยๆ คิด เชื่อว่ายังมีโอกาสที่จะได้รู้ความจริง...ความจริงจากปากของสาโรจน์ เขาต้องใจเย็นและวางแผนให้ดี!
     
    จบ Love and Revenge...ด้วยรักและอาฆาต บทที่ 1
    ========================================================
     
    หวัดดีค่า
     
    อ่านจบกันไปบ้าง พอหอมปากหอมคอแล้ว เป็นยังไงบ้างคะ ไม่รู้ว่าจะถูกใจกันหรือเปล่า อย่างที่บอกค่ะ เรื่องนี้จะคนละแนวกับ คู่ร้ายหมายรักเลย (น่าจะใกล้เคียงกับ คืนปรารถนา มากกว่า)
     
    ยังไงก็รออ่านต่อบทหน้านะคะ คงไม่น่าจะนาน เพราะยังมีเหลือสต็อกอยู่อีกนิดหน่อยค่า
     
    มิถุนา
    Busaba401แอตhotmail.com
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×