ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Love and Revenge...ด้วยรักและอาฆาต (แสนแค้นแสนเสน่หา)

    ลำดับตอนที่ #1 : Love and Revenge...ด้วยรักและอาฆาต บทนำ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.19K
      3
      10 ก.ย. 54

    10 SEPT 2011
    ชี้แจงก่อนอ่าน

    เนื่องจากเรื่องนี้กำลังจะตีพิมพ์เป็นรูปเล่มนะคะ จึงได้ลบ "ภาึคสอง: ด้วยอาฆาต" ซึ่งเป็นครึ่งหลัง ตั้งแต่บทที่ 11 เป็นต้นไปออกทั้งหมด เพื่อทำตามข้อตกลงของสนพ. ค่ะ ดังนั้นจะเหลือเพียง "ภาคหนึ่ง: ด้วยรัก" ให้อ่านเท่านั้นค่ะ

    พิเศษ! ในแบบรูปเล่ม จะมีตอนพิเศษของพิเศษเป็นเซอร์ไพรส์ให้อ่านกันด้วยนะคะ

    ยังไงต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ แล้วถ้าได้หน้าปก หรือรายละเอียดเรื่องมาแล้ว จะมาอัพเดตให้ได้ชมกันค่ะ

    มิถุนา



    ภาคหนึ่ง
    : ด้วยรัก
    Love and Revenge...ด้วยรักและอาฆาต บทนำ
     
    สาโรจน์ซ่อนสายตาสมเพชขณะมองเพื่อนรักนั่งหมดสภาพบนโซฟาตัวเขื่อง
     
    ภูมิเปลี่ยนแปลงไปมากภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ ร่างที่เคยผอมบางอยู่แล้วยิ่งดูผอมบางกว่าเดิม ผมสีดำกึ่งเทาแซมไปด้วยเส้นผมสีขาวและลีบแบนติดหนังหัว ไหล่ของเขางองุ้ม มือไม้แขนขาหงิกงอเหมือนไม่ใช่มือของมนุษย์ เขาทรุดโทรมและดูแก่ลงไปเป็นสิบปี
     
    เขาเคยเป็นคนแข็งแรง เป็นคนเต็มคน ไม่ใช่คนพิการง่อยเปลี้ยเสียขาจากโรคอัมพาตเช่นนี้ คงโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเขาเองที่ไม่เพียงสูบบุหรี่จัด แต่ยังเครียดเรื่องการงานมากเกินไป เป็นเหตุให้กลายเป็นอัมพาตกะทันหัน ผู้ใกล้ชิดทุกคนตระหนกตกใจและแทบทำใจรับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้ ภูมิเองก็เช่นเดียวกัน
     
    เขายอมรับอาการป่วยของตัวเองไม่ได้ กลายเป็นคนหงุดหงิดง่ายและช่างเรียกร้อง การใช้ชีวิตประจำวันเป็นไปอย่างยากลำบาก เขาไม่ต้องการให้ใครมาช่วยป้อนอาหาร เพราะอับอายที่ตัวเองกินเลอะเทอะ เขาไม่อยากอาบน้ำ เพราะไม่ต้องการให้ใครมาดูแลราวกับเด็กทารก เขาอยากทำงานที่เขารัก แต่ขาดประสิทธิภาพอย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้ตวงพร ผู้เป็นภรรยาก็ไม่ได้ให้กำลังใจเขาเลย จริงอยู่ที่เธอจะดูแลเขาเป็นอย่างดี แต่ก็น้ำตาซึมด้วยความเวทนาสงสาร ทำให้เขาพลอยหดหู่ตามไปด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ชนาธิป ลูกชายคนเดียวที่เขาภาคภูมิใจก็ไม่เป็นหลักให้ เนื่องจากยังอยู่ที่อเมริกา รอเคลียร์งานเพื่อย้ายกลับกรุงเทพฯ อย่างถาวร
     
    นั่นจึงเป็นโอกาสดีของสาโรจน์ที่จะลองเสี่ยงอะไรบางอย่าง
     
    “อัด...ดี...” ภูมิส่งเสียงอ้อแอ้ทักเพื่อนที่เดินเข้ามาหา
     
    “หวัดดีภูมิ” สาโรจน์โบกมือให้
     
    เขากับภูมิเป็นเพื่อนมาตั้งแต่สมัยเรียนประถมจนถึงมัธยม และขาดการติดต่อกันระหว่างศึกษาชั้นอุดมศึกษา ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายไปมีชีวิตของตัวเอง ในด้านชีวิตส่วนตัว เขาแต่งงานแล้ว หย่าแล้ว และมีปรรณนภัส ลูกสาวฝาแฝดคนโตอยู่กับเขา เธอเป็นแก้วตาดวงใจ เป็นสิ่งมีค่าและมีความหมายที่สุดในชีวิตของเขา ส่วนด้านการงาน เขาล้มลุกคลุกคลานกับงานขายมานาน แต่สุดท้ายก็มาลงเอยในงานต่างสาขาอย่างการออกแบบเครื่องประดับ ซึ่งเป็นพรสวรรค์ที่ถูกค้นพบโดยเจ้านายเก่า แต่ดูเหมือนว่าโชคร้ายจะมาเยือนเขาเสมอ หลังจากทำงานในตำแหน่งใหม่ได้ปีกว่าๆ บริษัทก็เกิดล้มละลายเพราะพิษเศรษฐกิจ
     
    เขากำลังตกงานขณะพบเพื่อนเก่าอย่างภูมิ ซึ่งกำลังเสี่ยงโชคกับเหมืองพลอยที่ได้เพิ่งรับเป็นมรดก ภูมิมีเงินทุนและวัตถุดิบ เขาลองเสนอไอเดียและความรู้เกี่ยวกับเครื่องประดับที่สั่งสมประสบการณ์มา ภูมิสนใจและตกลงใจให้เขาเป็นหุ้นส่วน โดยที่เขาใช้ความสามารถแทนเงินลงทุน พวกเขาจัดตั้งบริษัทส่งออกเครื่องประดับเงินและพลอยชื่อว่าโรจนาภูมิ ซึ่งมาจากการรวมชื่อของพวกเขา
     
    กิจการเป็นไปด้วยดี ช่วงเวลานั้นเครื่องประดับเงินและพลอยกำลังได้รับความนิยมในตลาดต่างประเทศ และสไตล์การออกแบบของเขาก็เป็นที่ถูกอกถูกใจชาวต่างชาติ ภายในเวลาสามปีพวกเขาก็คืนทุนจนหมด หลังจากนั้นก็ทำกำไรเป็นกอบเป็นกำ เขามีความเป็นอยู่ดีกว่าเมื่อก่อนมากมายมหาศาล แต่กลับรู้สึกไม่พอใจ เขาไม่ได้เป็นคนสมถะเหมือนเคย เขาต้องการมากกว่านี้ ต้องการทั้งหมด เวลาเปลี่ยนเขา แต่ภูมิยังคงเป็นเหมือนเดิม เชื่อใจและให้ความเป็นเพื่อนแก่เขาอย่างมิเสื่อมคลาย  
     
    “สบายดีนะ” สาโรจน์ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบ เพราะขี้เกียจตั้งใจฟังและทำความเข้าใจคำพูดที่ไม่ชัดเจน เป็นการยากสำหรับคนปรกติที่จะฟังคนเป็นอัมพาตพูดรู้เรื่อง เขาไม่ชิน และไม่คิดจะทำความเคยชิน
     
    “มีธุระรบกวนนิดหน่อย ฉันต้องการลายเซ็นแกสำหรับสัญญากู้เพิ่มเพื่อลงทุนในเหมืองใหม่ที่จันทบุรี...แล้วก็มีสัญญาธุรกิจพวกนี้ด้วย” เขาดึงกระดาษมากมายออกมาจากซองน้ำตาลและส่งให้
     
    อัมพาตทำให้ประสิทธิภาพของภูมิลดลงไปมาก ไม่สามารถทำงานได้เหมือนเดิม แค่อ่านเอกสารสามหน้า ก็ยังอ่านไม่ค่อยได้ ภูมิเพ่งสมาธินานไม่ได้ เพราะจะปวดตา แทบหมดความสามารถในการอ่าน ทำให้ต้องยกงานส่วนใหญ่ให้เขาจัดการ มีบางครั้งที่เขาจะเอาเอกสารมาให้ภูมิเซ็นที่บ้าน เพราะภูมิเดินทางไปไหนมาไหนไม่สะดวก
     
    “เยอะหน่อยนะ ฉันจะอ่านให้ฟังถ้านายอ่านไม่ไหว” เขาเสนอตัว และก็เช่นเคยที่ภูมิปฏิเสธ
     
    “มะ...เปน...ไร...” ภูมิโบกมือหงิกงอ เขาไม่ชอบให้คนช่วย และกระหายที่จะทำงาน การนั่งอยู่เฉยๆ รอให้คนมาป้อนข้าวป้อนน้ำ อาบน้ำเช็ดตัว และช่วยดูแลการขับถ่าย ช่างน่าหงุดหงิดและน่าสมเพช
     
    สาโรจน์พยักหน้าเบาๆ ไม่ทักท้วง เขาทราบว่าภูมิอ่านอะไรเยอะๆ ไม่ได้ แต่ก็ยังดันทุรังจะอ่าน เพื่อจะบอกว่าตัวเองยังทำงานได้เหมือนปรกติ ทั้งที่ไม่สามารถเหมือนเมื่อก่อน ซึ่งประเดี๋ยวอ่านไปสักพักภูมิก็จะทนไม่ได้ ต้องยอมแพ้ละวางเอกสาร และเขาก็จะเข้ามาช่วยเหลือต่อ
     
    “เริ่มจากสัญญากู้เพิ่มก่อนก็แล้วกัน”
     
    สาโรจน์วางกระดาษเอกสารและปากกาแบรนด์หรูแท่งงามของตัวเองซึ่งหมุนหัวปากกาไว้พร้อมใช้งานลงตรงหน้าเพื่อน “ค่อยๆ อ่านก็ได้นะ ไม่ต้องรีบ” เขาย้ำ...เหมือนจะย้ำการไร้ความสามารถของอีกฝ่าย
     
    ภูมิใช้มือสั่นๆ คว้ากระดาษขึ้นมา เขาอ่านอย่างช้าๆ แกะประโยคไปทีละคำพูด หากอ่านได้เพียงหน้าเดียวก็เริ่มปวดหัว ดวงตาพร่ามัว มือเขากำเกร็งกระดาษสัญญาโดยไม่รู้ตัว
     
    “ภูมิ อย่าขยำแรงสิ ฉันมีแค่ชุดเดียวนะ” สาโรจน์เตือนเบาๆ รู้สึกได้ว่าเพื่อนกำลังหงุดหงิด
     
    ภูมิยิ้มบึ้ง มือคลายออก สายตาเพ่งพิศตัวหนังสือต่อ แต่มันมากเกินความสามารถของเขา เขามึนหัว ตามัวซัว และไม่มีสมาธิ เขาปล่อยแผ่นกระดาษและปัดมันไปข้างหน้าอย่างหงุดหงิดหัวเสีย
     
    “งะให้...เซ็น...เท่ไหน” เขาพูดเสียงดัง ความรู้สึกทดท้อเข้าครอบงำราวกับเงาตามตัว
     
    สาโรจน์ยิ้มปลอบและวางมือบนไหล่เพื่อนเบาๆ “เอาน่า อย่างน้อยแกก็ยังเซ็นชื่อได้” แม้จะเป็นลายมือที่หงิกงอ แต่ก็เป็นลายมือแท้จริงของภูมิที่ยอมรับได้ และได้รับการยืนยันจากบริษัทแล้ว
     
    “ว่าแต่...จะให้ฉันอ่านให้ฟังก่อนไหม”
     
    “มะ...ต้อง...” ภูมิหมดอารมณ์กับทุกสิ่ง เขาเคยฟังสาโรจน์อ่านสัญญาให้ฟัง และมันน่าเบื่อ เขาไม่อยากฟัง อยากเซ็นชื่อเลย และะเขาไว้ใจเพื่อนมากพอ
     
    “แน่ใจนะ”
     
    ภูมิพยักหน้าอย่างรำคาญ
     
    “งั้นก็ตามใจ” สาโรจน์ยักไหล่ ก่อนจะพลิกกระดาษไปยังแผ่นสุดท้ายแล้วชี้ “เซ็นตรงนี้แหละ”
     
    ภูมิจับปากกาอย่างเก้กัง ค่อยๆ ลากเส้นเป็นลายเซ็นซึ่งมาจากตัวอักษรแรกของชื่อเขา ตัวอักษรแปลกไปจากเดิมเพียงเล็กน้อย คงเพราะมันเป็นตัวอักษร ภ. ง่ายๆ เพียงตัวเดียว
     
    “แล้วยังมีนี่อีก” สาโรจน์เปลี่ยนชุดสัญญา และดูภูมิเซ็นไปเรื่อยๆ และเรื่อยๆ แล้วหัวใจของเขาก็เต้นแรงเมื่อภูมิเซ็นชื่อลงในกระดาษที่เขาต้องการครบพร้อม
     
    “เส็ด...แอ้ว...” ริมฝีปากบิดเบี้ยวของภูมิขยับเป็นคำพูดง่ายๆ เขาเพิ่งจะเป็นอัมพาตได้ไม่ถึงเดือน แม้หมอจะบอกว่ามีโอกาสหาย แต่เขายังไม่เคยได้ยินคนที่เป็นโรคอัมพาตหายขาดเสียที ยิ่งอัมพาตขนาดเดินไม่ได้อย่างเขา ก็ยิ่งกลัวว่าจะต้องพิการแบบนี้ไปตลอดชีวิต เขาท้อแท้ ทำใจรับสภาพย่ำแย่ไม่ได้ และเริ่มเกลียดตัวเอง
     
    “ขอบใจเพื่อน” สาโรจน์ยิ้มออกมา มันเป็นรอยยิ้มดีใจ...และสมหวัง “เอกสารฉบับนี้ต้องพึ่งลายเซ็นแกเท่านั้น” เขาหัวเราะในลำคอ
     
    “รับรองว่าฉันจะดูแลบริษัทแทนแกให้ดีที่สุด” เขายิ้มเหื้ยม เน้นย้ำคำพูดบางคำอย่างน่าสงสัย
     
    ภูมิซึ่งกำลังจะยิ้มตามถึงกับชะงักไป เขาเห็นความเปลี่ยนแปลงในดวงตาและน้ำเสียงของเพื่อน จึงถามตะกุกตะกัก “หมะ...มาย...ความ...ว่า...อะไง”
     
    สาโรจน์ยักไหล่ “ไหนๆ...ในสภาพแบบนี้” ดวงตากวาดมองเพื่อนตั้งแต่หัวจรดเท้า “แกก็คงจะดูแลบริษัทไม่ได้อยู่แล้ว ฉันเลยรับช่วงโอนบริษัทมาจากแกเสียไงล่ะ”
     
    “ไม่...จิง...”
     
    “จริง มันเป็นไปแล้ว” สาโรจน์เริ่มคิดถึงการครอบครองบริษัทโรจนาภูมิหลังจากทราบความบกพร่องในความสามารถของภูมิ เขาไม่ได้อิจฉาภูมิ แต่เขาโลภมาก ต้องการครอบครองทุกอย่าง แม้มันจะไม่ได้เป็นของเขามาตั้งแต่แรก แต่ก็ถือว่าเขามีส่วนเพิ่มพูนมันมากับมือ ภูมิจะทำอะไรไม่ได้ถ้าไม่มีเขา นอกจากงมโข่งกับมรดกชิ้นเดียว
     
    “งะ...แก...” ภูมิยกมือหงิกงอชี้หน้าอีกฝ่ายอย่างสั่นๆ ใบหน้าที่บิดเบี้ยวอยู่แล้วบิดเบี้ยวมากกว่าเดิม
     
    “ส่วนเอกสารนี่...” สาโรจน์ดึงกระดาษชุดหนึ่งออกมาจากซองและแกว่งออกไปข้างหน้า “ก็เป็นเอกสารยืนยันว่าแกยกหุ้นทั้งหมดในบริษัทให้ฉัน โดยแลกเปลี่ยนกับการดูแลแกตลอดไป...แต่ฉันว่าสภาพอย่างแก คงจะอยู่ได้อีกไม่นานหรอก” เขาเสี่ยงกระตุ้น หวังว่าคำพูดบาดใจจะทำให้อาการของภูมิแย่ลง แต่ถึงอาการภูมิจะไม่เปลี่ยนแปลง และภูมิทราบความจริง เขาก็ไม่ต้องกลัว ใครจะมาแย้งสัญญาที่มีลายเซ็นรับรองได้ แล้วอีกอย่าง ใครจะเชื่อภูมิที่ไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเอง ในความคลุมเครือ ผลประโยชน์มักจะตกเป็นของจำเลยไม่ใช่หรือ
     
    “อ๊ะๆ” เขาร้องพลางส่ายหน้าขำๆ เมื่อภูมิพยายามเอื้อมมือไปคว้าสัญญา “อย่าพยายามให้ลำบากเลยภูมิ แกก็รู้ว่าสภาพอย่างแกทำแบบนี้ได้ที่ไหน...นั่นไง ฉันบอกแล้วใช่ไหม” เขากล่าวอย่างสมเพชเมื่อภูมิดิ้นรนจนตกลงมาจากเก้าอี้โซฟา
     
    “พยายามไปก็เจ็บตัวเปล่าๆ” เขาขยับเข้าไปใกล้พลางยัดเอกสารทั้งหมดใส่กระเป๋าด้านหลังของกางเกง และย่อตัวลงไปมองเพื่อนซึ่งพยายามคืบคลานเข้ามา “ง่อยเปลี้ยเสียขาแบบนี้ ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก แกอยู่เฉยๆ ถนอมแรงไว้ดีกว่า เดี๋ยวจะยิ่งตายไว...อ๊ะ! แต่ตายไวก็ดี จะได้ไม่ทรมาน...ไม่ทรมานฉันนะ” เขาหัวเราะเยาะเบาๆ อย่างย่ามใจ ก่อนจะตบไหล่ภูมิและลุกขึ้นยืน เงาดำพาดผ่านลงมาเหนือร่างที่คุดคู้ของภูมิ
     
    “บริษัทฉันจะดูแลให้เอง ส่วนเมียแกก็ไม่ต้องห่วง ฉันจะดูแลให้เหมือนบริษัท” สาโรจน์ไม่ได้รักตวงพร ไม่กระทั่งสนใจ แต่เขาพูดยั่วภูมิไปอย่างนั้น “แต่ลูกชายแก มันโตแล้ว คงดูแลตัวเองได้ ไม่ต้องพึ่งพาฉันหรอก” เขายิ้มเมื่อเห็นภูมิเบิกตากว้าง ปากเม้มเข้าหากันด้วยความโกรธแค้น
     
    “ทำ...ไม...” ภูมิพูดออกมาอย่างยากลำบาก
     
    “บางเรื่องก็ตอบได้ยาก” สาโรจน์ยักไหล่ สีหน้าเฉยเมย “เอาเป็นว่า...เวลาเปลี่ยน คนก็เปลี่ยนก็แล้วกัน” บางทีเงินอาจจะเปลี่ยนเขาด้วย มีเท่าไหร่ก็ไม่เคยพอ อยากมีขึ้นไปอีกเรื่อยๆ
     
    ภูมิไม่เข้าใจเพื่อนสักนิด เขาไม่รู้สึกเลยว่าสาโรจน์เปลี่ยนไป บางทีเขาคงจะมองเพื่อนในแง่ดีมากเกินไป เขาโกรธที่ตัวเองโง่ ตกเป็นเหยื่อของเพื่อนที่ไว้ใจ เวลาสิบเอ็ดปีที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันไม่ได้ช่วยอะไรเลย สาโรจน์เอาของที่เป็นของเขาไป กำลังวางแผนจะครอบครองภรรยาเขา และถีบหัวลูกชายเขาส่ง หัวใจของเขาเต้นกระหน่ำราวกลองชุด ริมฝีปากเขาอ้ากว้าง กรีดร้องโหยหวนเหมือนสัตว์ป่า แล้วเขาก็ล้มตึงลงไปนอนกับพื้นและชักอย่างรุนแรง
     
    ประตูห้องเปิดออก ตวงพรวิ่งหน้าตื่นเข้ามา “ภูมิเป็นอะไรคะ”
     
    “ไม่รู้ อยู่ดีๆ ก็ชักไป” สาโรจน์ขยับเข้าไปใกล้ภูมิด้วยความรวดเร็ว
     
    เธอถลาเข้ามาไปหาสามี น้ำตาร่วงรินและทำอะไรไม่ถูก
     
    สาโรจน์เฝ้ามองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจ
     
    “ตวงถอยออกมาก่อนเถอะ ผมจะอุ้มภูมิไปที่รถ แล้วเราจะไปโรงพยาบาลกัน”  
     
    “ค่ะๆ” เธอขานรับพลางถอยออกมาอย่างว่าง่าย
     
    สาโรจน์อุ้มภูมิซึ่งนอนเกร็งตาเหลือกลานอยู่ในอ้อมแขนเขา ระหว่างเดินไปยังรถยนต์ส่วนตัว ภูมิก็หมดสติไป
     
    ตวงพรตามติดเข้าไปในรถ เธอใจเสียมากกว่าเดิม นี่ไม่ใช่สัญญาณที่ดีเลย
     
    “ไม่ต้องห่วงนะตวง ภูมิจะต้องไม่เป็นอะไร”
     
    เขาไม่คิดจะบอกตวงพรแน่ว่าเขาแช่งชักให้ภูมิตายไวๆ ตายเสียตอนนี้ได้ยิ่งดี!
     
    จบ Love and Revenge...ด้วยรักและอาฆาต บทนำ
    ========================================================
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×