คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่1 : ภาระ?...กิจ!
เขาอยู่ในชุดดูเสื้อคลุมหนังสีดำยาวเกือบถึงพื้น บนหลังสะพายดาบด้ามใหญ่และคทาดูพลุงพลัง แต่ก็แฝงไปด้วยมาดผู้ดีไม่น้อย ผิวขาวนวลผ่องใสกระจ่างดูสะดุดตา เพียงแค่มองผ่านก็ตอบได้อย่างไม่ต้องคิดเลยว่า คนๆ นี้เป็นคนที่หน้าตาดีในระดับหนึ่งเลยทีเดียว...
เด็กหนุ่มเดินสวนกับชายวัยกลางคน ที่สวมเครื่องแบบลักษณะคล้ายๆ คลึงกัน เขาก้มศรีษะแสดงความเคารพเล็กน้อย ก่อนที่อีกฝ่ายจะโค้งตอบ และทั้งคู่ก็หยุดเดินเพื่อคุยกัน
“สายันสวัสดิ์ครับ ท่านหัวหน้าหน่วย”ชายผู้นั้นเอ่ยอย่างนอบน้อม
“สวัสดีครับ ผู้กองโทมัส คืนนี้ดีนะครับ จันทร์เต็มดวง น่าจะออกไปอาบแสงจันทราเสียหน่อย”เด็กหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำคำฟังดูเป็นทางการอีกเช่นกัน ผู้กองโทมัสยิ้มรับก่อนจะมองขึ้นไปบนฟ้า
“ใช่ครับ คืนนี้แสงจันทร์ส่องแสงดีทีเดียว ว่าแต่ท่านเวเซ่มาทำอะไรในเขตของผู้บรรชาการสูงสุดหรือครับ”เขาถามกลับมาบ้าง เด็กหนุ่มยิ้มรับก่อนจะตอบกลับไป
“มารับภารกิจครับ ท่านผู้นั้นดูจะเจาะจงเป็นตัวกระผมเสียด้วย”
“อา...คงดีใจสินะครับ ปกติงานช่วงนี้มันไม่จำเป็นต้องถึงมือของท่านเลยสักงานเดียว แสดงว่าคราวนี้คงเป็นงานใหญ่?”ผู้กองถามอีก
“ผมเองก็หวังอย่างนั้นครับ ไม่ได้ยืดเส้นยืดสายมานานทีเดียว”
“อา...ถ้างั้นกระผมขอตัวก่อน คงต้องไปอาบแสงจันทร์ตามที่ท่านเวเซ่ได้แนะนำมาเสียหน่อยแล้ว”ผู้กองโทมัสเอ่ยตัดบท แล้วก้มหัวโค้งเคารพอีกครั้งหนึ่ง เด็กหนุ่มโค้งตอบ แล้วทั้งคู่ก็เดินจากกันไป
...หึ...อายุก็แค่นี้แต่ได้เป็นถึงหัวหน้าหน่วย แล้วยังไอ้ท่าทางสุภาพอย่างผู้ดีนั่นอีก...มันจะฉีกหน้ากันมากเกินไปแล้ว! เวเซ่ เอเรน!...
แอ๊ดดดดด
ประตูไม้สีดำถูกเปิดออกอย่างช้าๆ ตามด้วยร่างของเด็กหนุ่มเจ้าของนาม เวเซ่ที่ค่อยๆ เดินเข้ามาในห้องนั้น เขาค่อยๆ สาวเท้าเดินมาตามพรมสีแดงที่ปูเป็นทางเดินอยู่ที่พื้นด้วยเสียงที่เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้
ห้องนั้นเป็นห้องที่ไม่ค่อยจะมีแสง ว่าง่ายๆ ก็คือมืดนั่นเอง
เด็กหนุ่มเดินตรงไปเรื่อยๆ ก่อนจะหยุดและค่อยๆ โค้งหัวลงช้าๆ อย่างสุภาพ ก่อนจะเอ่ยทักทายออกไปด้วยภาษาเป็นทางการ ราวกับกำลังคุยกับผู้สูงศักดิ์
“สายันสวัสดิ์ครับ ท่านผู้บรรชาการ”เสียงของเขาดังก้องสะท้อนอยู่ในห้องนั้น เวเซ่ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาแล้วยืนตัวตรง
“อืม... ไม่ได้เรียกใช้เธอเสียนาน เวเซ่ ภารกิจช่วงนี้มีแต่ภารกิจกระจ้อยร่อย ฉันเกรงว่าจะทำให้เธอเบื่อ และภารกิจนี้...มันก็อาจจะทำให้เธอเบื่อเหมือนกัน แต่มีแต่เธอเท่านั้นที่จะช่วยฉันได้ เธอเต็มใจไหม?”เสียงทุ้มต่ำของใครบางคนในที่แฝงกายอยู่ภายใต้ความมืดในห้องนั้น ดังออกมา เวเซ่ยิ้มอย่างฝืนๆ ก่อนจะตอบกลับไป
“สั่งมาได้เลยครับ ถ้าเป็นความต้องการของท่านแล้ว กระผมยินดี”
...นี่คือประโยคเดิมๆ ที่จำเป็นจะต้องพูดทุกครั้งที่เข้ามายืนให้ห้องนี้ เพราะถ้าพูดสิ่งที่ตรงกันข้าม ยังไม่แน่ในว่าหัวจะได้อยู่บนบ่า หรือจะได้ตกไปอยู่ที่พื้น...
“เธอคงจำ เคริส ฟอริเต้ อาจารย์ของเธอได้ใช่ไหม...”เสียงนั้นถาม เวเซ่หมุนคิ้วอย่างงงๆ
“จำได้ครับ แต่...ทำไม?”เขาถามกลับไปด้วยท่าทางไม่เข้าใจ
“ฉันอยากให้เธอไปหาเขา แล้วเอาสิ่งนี้มอบให้กับเขา”ว่าจบ ซองบางอย่างสีขาวก็ค่อยๆ ลอยมาหาเขาจากความมืดเบื้องหน้า เวเซ่รับกระดาษนั้นมาอย่างว่าง่าย เลยอ่านข้างซองอย่างสนใจ
...จดหมายเชิญชวน...เชิญอะไร?...ทำไมต้องเชิญอาจารย์ด้วนะ...
“นี่หมายความว่าอย่างไรครับ”เด็กหนุ่มถาม ทันทีที่ถามจบก็ได้ยินเสียงหัวเราะ หึหึ ดังขึ้นมาทำเอาน่าขนลุกขนพองเป็นที่สุด เวเซ่กระพริบตาปริบๆ แล้วแพ่งเลงไปเบื้องหน้าด้วยสายตาขอความเห็น พลันเสียงนั้นก็ดังขึ้นมาอีก
“มันเป็นจดหมายเชิญชวนอย่างที่เห็น เราต้องการตัวเคริส ฟอริเต้ เข้าร่วมสงครามครั้งนี้ด้วย โดยจะแลกกับตำแหน่งผู้บรรชาการสูงสุด!”
“อะไรนะครับ!”
“เธอได้ยินหรอกน่า เวเซ่ ถ้าเข้าใจแล้วก็จงไปซะ ฉันจะรอคำตอบ และหวังว่ามันจะเป็นข่าวดี”
“ไม่มีทางหรอกครับ! อาจารย์ต้องไม่ตกลงแน่ ท่านคงจำไม่ได้ แต่เราเคยสงสารเชิญทางนกฮูกไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่อาจารย์ดันส่งกัมปนาทอาคมกลับมาเป็นร้อยฉบับ เล่นเอาที่นี่วุ่นวายกันไปใหญ่เลยนะครับ!”เวเซ่พยายามให้เหตุผล แต่ดูจะไร้ประโยชน์จริงๆ เมื่อคนตรงหน้ายังยืนกรานความคิดตัวเองท่าเดียว
“เราถึงต้องให้เธอไปส่งด้วยตัวเอง และเอาคำตอบกลับมาผ่านตัวเธอนี่ไงล่ะ เพื่อไม่ทางเฮลฟีนการ์ดวุ่นวาย เธอจะต้องรับหน้าที่นี้”
...แล้วผมจะมีชีวิตรอดกลับมาได้เหรอ??...
เอ่ยประชดในใจ ถ้าพูดออกมาได้คงจะปล่อยออกมาแล้ว แต่ที่นี่...เขาจำเป็นต้องสำรวม
“ข...เข้าใจแล้วครับ”
ครืนๆ
เสียงเครื่องทะเลซัดกระทบชายฟัง ดังเป็นระรอกๆ เมื่อฟังแล้ว ก็ทำให้หัวใจสงบลงได้ ท้องฟ้าสีครามยามสายเบื้องบน เต็มไปด้วยหมู่นกกระยางบินว่อนกันเต็มไปหมด หมู่เมฆสีขาวลอยละล่องเต็มท้องฟ้า ดูแล้วสบายตา ชวนให้นึกถึงการนอนกลางวันเป็นที่สุด...
ณ ท่าเรือ เอนกอส มหานครแห่งสายลม
เด็กหนุ่มคนหนึ่ง ยืนหาวฟอดๆ ในท่าที่เอาหลังเท้ากับเสาใกล้ๆ ท่าเรือ เรือนผมสีเงิน ยาวถึงกลางหลัง ปลิวลู่ไปตามลม นัยน์ตาสีเขียวมรกตคู่สวย ทอดมองไปยังกลางทะเล ราวกับว่า กำลังรอคอยอะไรบางอย่างอยู่
ลูกแก้วสีดำขลับบนหัวคทาที่สะภายอยู่บนหลังสะท้อนกับแสงอาทิตย์เป็นประกายแวววาวดูสะดุดตา บวกกับด้ามจับของดาบเล่มใหญ่ที่ทำจากเงินแท้สะท้อนประกายแสงแดดยามเช้าแข่งกับลูกแก้วสีดำนั่น ทำให้เจ้าของดูเด่นเป็นสง่า ยามเมื่อใครผ่านมาเป็นต้องหันมามอง
ตั้งแต่ได้รับภารกิจเมื่อสองวันก่อน เวเซ่ก็เดินทางมาเรื่อย จนกระทั่งเกือบที่จุดหมายที่ตั้งใจไว้แล้ว อาจารย์ของเขาเป็นผู้ชายที่นิสัยแย่ที่สุดเท่าที่เขาเคยพบเคยเจอ และก็เป็นผู้ชายที่เก่งที่สุดที่ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นใครสุดยอดเท่านี้มาก่อน เสียแต่...เป็นพวกไร้มนุษย์สัมพันธ์แบบสุดกู่เลยทีเดียว
"เกาะธีมิส"เขาพึมพำเบาๆ พลางหยิบนาฬิกาพกในกระเป๋าขึ้นมาดู แล้วหมุนคิ้วอย่างงุนงง "เมื่อไหร่จะมานะ ยามเฝ้าประตูบอกว่าเรือจะออกตอนแปดโมงเช้า นี่ปาเข้าไปแปดโมงครึ่งแล้วไม่ยักกะเห็นเรือสักลำ"เขายืนบ่นพึมพำอยู่กับตัวเอง ก่อนจะยกแขนขึ้นบิดขี้เกียจ แล้วเลิกคิ้วขึ้นอย่างสนใจ เมื่อนัยน์ตาไปสะดุดเข้ากับสิ่งที่ตัวเองรอคอยมาหลายชั่วโมงซึ่งกำลังแล่นมาเทียบท่าอย่างช้าๆ
ตูมมมม
เสียงท้องเรือ กระแทกกับขอบที่ทำจากอิฐของท่าเรืออย่างแรง จนคนที่ยืนอยู่บนท่าเรือถึงกับเซ และคงจะหงายหลังหัวทิ่มลงไปแล้ว ถ้าเอามือคว้าเสาเอาไว้ไม่ทัน
"เฮ้ยยยย หยุดๆ เดี๋ยวท้องเรือฉันได้แตกพอดี"มันเป็นเสียงตะคอกดุๆ จากชายวัยกลางคน ที่สวมผ้าโพกหัวสีดำลายนกเพนกวิ้น ดูจากท่าทางก็พอจินตนาการได้ไม่ยากว่า 'คงจะเป็นกัปตันเรือ?' "ให้ตายสิ ลูกเรือคนใหม่แต่ละคนใช้การไม่ได้เล้ย"บ่นจบก็หยิบ ไปค์ขึ้นมาสูบอย่างสบายอารมณ์ แต่สีหน้าสบายๆ นั่นก็แปรเปลี่ยนเป็นหงุดหงิด ทันทีที่สบเข้ากับเจ้าของนัยน์ตาสีเขียวมรกตคู่สวย ที่ยืนจ้องเขามานานโขอยู่ที่ท่าเรือ
"เอ้า! ไอ้หนุ่ม ยืนรออะไรอยู่ล่ะ จะขึ้นก็รีบๆ ขึ้นมาสิ ชักชาอยู่ทำไม"พูดจบก็ทำเสียงฟึดฟัดอย่างขัดใจ แล้วหันหลังเดินกลับเข้าไปในเรือของตัวเองด้วยท่าทางฉุนเฉียว ทิ้งให้คนที่ท่าเรือ ยืนถอนหายใจอย่างปลงอนิจจัง
...ลุงนี่ท่าทางจะประสาทกลับ...
เด็กหนุ่มบ่นอุบอิบอยู่ในนัยน์พลางกรอกตาไปมา
"ลุง! เดี๋ยวก่อน"เด็กหนุ่มตัดสินใจเอ่ยปากรั้งกัปตันเรือเอาไว้ คนถูกรั้งหันกลับมามองด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์ พร้อมกับสีหน้าที่บ่งบอกความรำคาณอย่างเห็นได้ชัด
"มีอะไรอีกล่ะ เรื่องมากจริงแก"เอ่ยจบก็ยืนเท้าเอว มองกลับมาด้วยสายตาน่าเตะเป็นที่สุด
"ลุงช่วยปลดสะพานลงมาที ผมขึ้นไปไม่ได้"คราวนี้เด็กชายเป็นฝ่ายยกมือขึ้นกอดอกแล้วส่งสายตายียวนกวนประสาทกลับไปบ้าง และนั่นทำให้ชายตรงหน้านึกอยากจะเขวี้ยงสมอเรือใส่หัวไอ้เด็กไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้านี่ให้รู้แล้วรู้รอดกันไปเลย
กัปตันเรือ เอามือคว้าโซ่ยึดสะพาน แล้วปลดมันออกอย่างประชดประชัน
เคร้ง
ปัง!
เสียงสะพานไม้ ที่ถูกปลดลงมาจากตัวเรือ ทอดยาวมาถึงชายฝั่งที่เป็นท่าเรือเพื่ออ้ารับตัวเด็กหนุ่มขึ้นไปบนเรืออย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก ก่อนมันจะถูกเก็บขึ้นไปโดยอัตโนมัต
ขึ้นมายังไม่ทันจะได้หายใจ มือใหญ่ของคนเป็นกัปตันก็ถูกแบออกมาข้างหน้า ผู้โดยสารเบ้หน้าลงเล็กน้อย ก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าสะพายข้างของตน หยิบแผ่นป้ายบางอย่างขึ้นมาโชว์ เมื่อกัปตันเห็นป้ายนั้นเป็นต้องเก็บมือทันที
มันเป็นแผ่นป้ายสีทองที่มีตราสัญลักษณ์รูปดวงดาว พระจันทร์ และพระอาทิตย์ไขว้กัน มันเป็นตราสัญลักษณ์ของสมาคมลับที่เขาสังกัดอยู่ และแน่นอนมันเป็นสมาคมลับ? จึงเป็นธรรมดาที่คนทั้งโลกจะรู้จัก...
...ฮึๆ เป็นคนของทางการก็ดีอย่างงี้ล่ะน้า ขึ้นเรือก็ฟรี ทำอะไรก็ไม่ผิด...
คิดในใจพลางยิ้มกริ่มออกมา ก่อนจะแกล้งส่งสายตาเย็นชาไปทางกัปตันเรือที่ยืนหัวหดอยู่ตรงหน้า เล่นเอาเขาหน้าซีดเป็นไก่ต้มเลยทีเดียว
“ขอ...ขออภัยที่ล่วงเกินท่านทหาร กระผมไม่ทราบจริงๆ ว่าท่านเป็นคนของทางการ ได้โปรดอย่าถือโทษที่เอ่ยวาจาไม่เหมาะสมไปเมื่อครู่”กัปตันเอ่ยกลับมาอย่างสุภาพเรียบร้อย พลางก้มหัวขอโทษขอโพยกันเป็นการใหญ่
...ไอ้ตาแก่นี่...คนละคนกับเมื่อกี้เลยนะ!...
เด็กหนุ่มคิดในใจพลางอมยิ้มน้อยๆ ก่อนจะหัวเราะออกมา
“ฮะๆๆๆ ผมล่อเล่นน่าลุง ทำตัวตามสบายเถอะ”เขาว่า คุณลุงกัปตันเรือถึงกับถอนหายใจอย่างโล่งอก ไม่รู้ว่าจะต้องเจออะไรบ้างที่ไปเสียมารยาทกับคนของทางการอย่างนี้!
“อา...อย่างไรก็ต้องขออภัยจริง ท่าน...เออ....”
“ไม่ใช่ท่านสิลุง เวเซ่ฮะ”เด็กหนุ่มตอบ “ผมชื่อเวเซ่ เอเรน หัวหน้าแผนกนักเวทมือสังหารของกองทัพ ‘เฮลฟีนการ์ด’ ฝากตัวด้วยฮะ”เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นก่อนจะโค้งตัวอย่างสุภาพตามธรรมเนียมงี่เง่าที่ต้องทำทุกครั้งที่แนะนำตัว
...ลำบากใจเป็นบ้า เวลาต้องทำอะไรที่ตรงข้ามกับนิสัยตัวเองเนี่ย...
“อา...แล้วไม่ทราบว่าท่านหัวหน้าหน่วยต้องการจะไปที่ไหนหรือ”กัปตันถามกลับมาอย่างสุภาพเรียบร้อย น่ารัก น่าถีบ...เด็กหนุ่มอยากจะอ้วกออกมาเป็นกองคำหยาบ เพราะตลอดเวลาที่อยู่กับทางการอยากพูดอะไรที่อยากพูดก็ต้องเก็บอาการ อึดอัดจะบ้า สั่งสมคำสุภาพเพิ่มพูนจนจะพูดคำหยาบไม่เป็นอยู่แล้ว พอได้ออกมาข้างนอกก็เจอคำสุภาพอีก อยากเป็นลม...
“อย่าเรียกว่า ท่าน สิลุง ผมอายุน้อยกว่าลุงอีกนะ ผมไม่ใช่คนสุภาพแล้วก็ไม่ชอบคนสุภาพด้วย เราคนกันเองพูดจาปกติก็พอแล้ว”และแล้วความอดทนก็ถึงขีดสุด เด็กหนุ่มเอ่ยพลางถอนหายใจออกมาหนักๆ ลุงกัปตันกระพริบตาปริบๆ “ผมจะไปเกาะธีมีส ขอแบบเร็วๆ รวบรัดนะฮะ”
“อา...ได้เลยพ่อหนุ่ม ฉันเรียกเวเซ่ได้ไหม”
“ได้สิลุง แล้วลุงชื่ออะไร"เด็กหนุ่มถามบ้าง “ไม่ต้องสุภาพนะ ขอบุคลิกปกติอะ เข้าใจ?”กัปตันแทบจะหลุดเสียงหัวเราะออกมาดังๆ เกิดมาก็เพิ่งเคยเห็นนี่แหละ ทหารทางการที่ไม่หยิ่งในยศศักดิ์ แถมยังแพ้คำสุภาพ เห็นแล้วตลกดีจริงๆ
“ฮะๆๆ ไม่ต้องสุภาพสินะ ถ้าฉันหลุดโลกไม่พอใจแก ก็ห้ามเด็ดหัวฉันล่ะ”กัปตันเอ่ยพลางหัวเราะร่า “ฉันชื่อท็องส์ กลูบลี ฝากตัวด้วยแล้วกัน ว่าแต่แกเนี่ย...เท่าที่ดูก็ยังอายุน้อยๆ อยู่เลย ทำไมถึงไปเข้ากับทางกองทัพล่ะ”
...ช่างเป็นคนที่สลับด้านอารมณ์ได้อย่างรวดเร็วน่านับถือเหลือเกิน ช่วยรับข้าน้อยเป็นศิษธิ์ด้วยเถอะ!...
เขาประชดอยู่ในใจ โดยแสดงออกมาทางสีหน้านิดหน่อย
“ผมมีธุระส่วนตัวที่จำเป็นต้องใช้สิทธิแล้วก็อำนาจของทางกองทัพอยู่น่ะ”เวเซ่ตอบไปสั้นๆ
“ธุระฆ่าคนละสิ”คำพูดขอบกัปตันเรือเล่นเอาเวเซ่สะดุ้งเฮือก
“ทำไมรู้?”คำถามที่ถูกยิงกลับเล่นเอาคาเป็นกับปตันเรือหัวเราะก๊าก
“ฮะๆๆๆ ทหารทางการหลอกง่ายจังแฮะ”ประโยคที่ตามท้ายมาทำเอาเวเซ่เริ่มมีอารมณ์อยากหามกับตันเรือลงทะเล และทำให้เรืออันเป็นที่รักของเขาอัปปางคาน้ำเค็มไปพร้อมๆ กับเจ้าของเสียงตรงนี้
เวเซ่กระแอมน้อยๆ เพื่อเรียกฟิวส์ของตัวเองกลับมา ก่อนที่จะเท้าแขนกับขอบเรือ
“ว่าแต่จะไปทำอะไรที่ธีมิส เกาะกันดารแบบนั้นจะไปทำไมกัน...”
“ธุระของทางการ จำเป็นต้องไปยื่นข้อเสนอให้กับใครคนหนึ่ง ผมบอกได้แค่นี้แหละ เว้นแต่ลุงอยากรู้เพิ่มผมก็จะบอก แล้วหลังจากนั้นก็ฆ่าปิดปาก”เวเซ่เอ่ยพลางหันไปยักคิ้วกวนส่งให้ เล่นเอาคนจะโดนฆ่าปิดปากถึงกับกลืนน้ำลายฝืดคอ
“เมื่อกี้ฉันยังไม่ได้พูดว่าอยากรู้ใช่ไหม...”จบประโยค ทั้งคู่ก็หัวเราะประสานเสียงออกมาเสียงดัง เวเซ่ยกมือขึ้นบิดขี้เกียจ ก่อนจะชะงักกึกกับคำถามที่ตามมา “แล้วพ่อแม่ล่ะ มาเป็นทหารแบบนี้คงไม่ได้กลับบ้านกลับช่องล่ะสิ พ่อแม่ไม่คิดถึงแย่หรือไงหือ?”
เด็กหนุ่มเงียบไปสักพัก ก่อนจะค่อยๆ เอาคางอิงกับแขนที่ทับอยู่กับขอบเรือ
“ของพรรค์นั้นน่ะ ผมไม่รู้จักหรอก”เด็กหนุ่มตอบด้วยแววตาเฉยเมย “ผมมีแต่พ่อแม่บุญธรรม แต่ท่านก็ถูกฆ่าตายกันหมดแล้ว”คำตอบที่ทำให้คนฟังใจหาย เริ่มรู้สึกสำนึกผิดที่ถามคำถามบ้าๆ นี่ออกไปกระตุกแผลเก่าที่อยู่ลึกๆ ในใจของอีกฝ่ายโดยไม่ได้ตั้งใจ
“อา...โทษที ลุงถามอะไรไม่เข้าท่าไปเสียแล้ว”กัปตันเอ่ยเบาๆ
“อ้อ ไม่เป็นไรหรอกลุง ใครๆ ก็ถามกันทั้งนั้น ผมชินแล้วล่ะ”ถึงแม้ปากจะบอกว่าชินแล้ว แต่ลึกๆ ในใจ แผลนั้นยังคงเจ็บแปล้บๆ และคงไม่อาจลบเลือนได้ ถ้าความแค้นยังคงฝังแน่นอยู่ในนั้น แม้เขาจะไม่ได้แสดงมันออกมาก็ตาม
“แล้วเรานี่อายุเท่าไหร่แล้ว”
"สิบหก"คนตอบ ตอบห้วนๆ
"โฮ่...แกนี่เก่งจริงแฮะ อายุแค่นี้เป็นถึงหัวหน้าหน่วยเชียว”คุณลุงเอ่ยชม
“มันก็แค่ตำแหน่งแค่นั้น...”เวเซ่เอ่ยราวกับไม่ใช่เรื่องน่าภูมิ เขาค่อยๆ ยืนขึ้นช้าๆ ก่อนจะหายใจเข้า สูดอากาศบริสุทธิ์จากทะเลเข้ามาเต็มปอด แล้วผ่อนลมหายใจออกมาแรงๆพลางก้มลงมองเกลียวคลื่น ที่พัดมากระทบกับท้องเรือ กลายเป็นรัศมีกระจายออกไป มองให้จมดิ่งลึกลงไปอีกหน่อย ก็เห็นปะการัง หมู่ปลาน้อยใหญ่ แล้วก็...
...เฮ้ย!!...
เขาอุทานออกมาอยากตกใจ เมื่อนัยน์ตาไปสบเข้ากับอะไรบางอย่างที่ไม่น่าจะเป็นสัตว์ได้ทะเล และอุทานในใจไม่พอ ยังเผลอตะโกนออกมาเสียดัง
"เฮ้ยยยยยย!!"กัปตันท็องส์หันมามองอย่างงุนงง
"อะไร ไอ้หนุ่ม เอะอะอะไร"เขาถาม
"โอ้ยยย! ตาน่ะ มีไว้ทำอะไรน่ะลุง"ว่าแล้วมองไปที่กับตันพลางถอนหายใจใส่เสียเฮือกใหญ่ "ผมฝาก นี่ นี่ แล้วก็นี่ หายแม้แต่ชิ้นเดียวผมเล่นลุงตายแน่" เอ่ยจบ ก็ค่อยๆถอดเสื้อผ้าสัมภาระทีละชิ้น แล้วโยนแบบส่งๆให้คนเป็นกัปตัน จนเขาแทบจะรับไม่ทัน สุดท้ายก็เหลือแค่เสื้อตัวในแขนยาว กับกางเกงขาสามส่วนที่ใส่มา แล้วกระโจนลงทะเลไป
"เฮ้ย แกทำอะไรน่ะไอ้หนู"ว่าแล้วก็ชะเง้อลงมองตามไป ก่อนจะตรัสรู้บรรลุพระธรรมขันต์และรู้อย่างแจ่มแจ้งเห็นจริงว่า 'ไอ้หนู' มันกระโดดลงไปทำอะไร
เบื้องล่าง คือร่างไร้สติของใครบางคนที่จมอยู่ภายใต้ผืนน้ำ โดยที่ไม่ยอมลอยขึ้นมาเบื้องบนอย่างที่ควรจะเป็น ราวกับว่า ถูกอะไรบางอย่าง ยึดเอาไว้อยู่ภายใต้ผืนน้ำทะเลลึก
เวเซ่ดำดิ่งลงไปใต้ท้องทะเลที่ค่อนข้างจะลึกพอสมควรเพื่อไปหาร่างนั้น ก่อนจะทำการแกะสาหร่ายทะเลสีดำที่ยืดร่างนั้นเอาไว้ไม่ให้ลอยขึ้นเหนือน้ำ เมื่อจัดการกับสาหร่ายพวกนั้นเรียบร้อยแล้ว ก็ออกแรงดันร่างนั้นขึ้นสู่เบื้องบน หวังจะช่วยชีวิต
...จะทันไหมนะ...
คิดแล้ว ก็กระชากร่างนั้นขึ้นอย่างแรง แล้วใช้แรงเหวี่ยงอันมหาศาลอย่างไม่หน้าเชื่อ เหวี่ยงร่างของคนที่เพิ่งช่วยเอาไว้ ขึ้นไปบนเรือ ก่อนจะตะโกนไปว่า
"ลุง รับเร็ว"ว่าแล้ว คนโดนสั่ง ถึงกับผวา เมื่อเงยหน้ามองฟ้าก็เห็นคนลอยมาหาถึงที่
...ไอ้หนูนี่มันไปเอาแรงมาจากไหน มากมายมหาศาลขนาดนี้เนี่ย ไอ้นี่มันคนหรือเปล่าฟะ...
ยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัย แต่ก็คงไม่มีเวลามากพอที่จะให้คิดมันได้นานๆ คิ้วของกัปตันขมวดเข้าหากันจนแทบจะผูกได้เป็นโบว์ กัปตันทองส์ตีหน้าเครียด ถ้ามันโยนขึ้นมาดีๆ ก็คงจะไม่มีอะไรหน้าห่วงเท่าไหร่ แต่นี่มันดันโยนขึ้นมาในสภาพที่ว่าลงอย่างดิ่งพสุธาแบบนี้
...ไอ้เด็กเวร! รับไม่ได้นี่ถึงตายเลยนะว้อย!...
ตุบ!!!
เสียงร่างของกัปตันทองส์ กระแทกกับพื้นไม้ของเรื่องอย่างแรง โดยมีร่างของเด็กหนุ่มผมทอง นอนทับอยู่บนตัว กัปตันทองส์ดันตัวเด็กหนุ่มออกให้นอนแผ่กับพื้น โดยไม่ลืมที่จะหันไปตำหนิไอ้คนที่โยนมันขึ้นมาหาเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว
"ไอ้เด็กเวร จะโยนก็โยนให้มันดีๆ หน่อยไม่ได้รึไงวะ!!!"ตะโกนด่าอย่างลืมตัว ก่อนจะก้มลงมองร่างตรงหน้า อย่างพินิจพิจารนา แล้วลงมีพยาบาลร่างที่เพิ่งรับมา โดยที่ไม่รู้ว่าจะรอดหรือเปล่า... ฉับพลันนัยน์ตาก็เหลือบไปเห็นรอยช้ำที่ข้อเท้า
...ข้อเท้า เหมือนถูกอะไรผูกเอาไว้เลย...
กัปตันเอ่ยในใจ ก่อนจะสะดุ้งโหยง เมื่อได้ยินเสียงน้ำที่พุ่งขึ้นมาอย่างกับน้ำพุ ซึ่งมาพร้อมกับร่างของเด็กหนุ่มเจ้าของนาม เวเซ่ เอเรน ที่พุ่งขึ้นมาจากใต้น้ำอย่างแรง
ตุบ!
เท้าของคนผมเงิน สัมผัสกับพื้นไม้บนเรืออย่างนุ่มนวล เด็กหนุ่มยันตัวเองให้ลุกขึ้น ในสภาพร่างกายที่เปียกโชก กัปตันทองส์มองเขาพลางกระพริบตาปริบๆ
"ไอ้หนู นี่แกทำอะไรของแก"กัปตันเอ่ยอย่างงุนงง ปนประหลาดใจน้อยๆ
"ก็...ผมไม่รู้จะขึ้นมายังไงดี ก็เลยดำลงไปใต้น้ำ หาหินแข็งแรงๆ สักก้อนแล้วก็ดีดตัวขึ้นมาจะได้ขึ้นถึงเรือได้พอดีไงลุง"เปรยเสร็จ ก็ค่อยๆ เดินเข้ามาหาคนที่เพิ่งช่วยขึ้นมาเมื่อครู่ พลางหย่อนตัวลงนั่งขยัดสมาธิแล้วชะเง้อหน้ามองหน้าคนที่ตอนนี้นอนสลบเหมือดให้ชัด
"ว่าไงลุง รอดมั้ย?"เวเซ่เอ่ยถามก่อนจะนั่งลงข้างๆ ร่างนั้น
"เดี๋ยวสิ"ว่าแล้วก็เอามือซ้ายกดลงช่วงท้องน้อย มือขวาบีบอยู่ช่วงข้อมือ "ชีพจรยังเต้นอยู่ คงไม่เป็นไรหรอก ทำให้สำลักน้ำในปอดออกมาก็คงจะรอด"กัปตันว่าพลางเอามือกดตรงหน้าอกของเด็กหนุ่มตรงหน้า
"เดี๋ยวลุง หยุดๆ"ว่าแล้วก็อ้อมไปหยิบคทาที่ฝากเอาไว้ ขึ้นมาถือไว้ในมือ แล้วควงมันสองสามรอบพอเป็นพิธี "แบบนั้นมันเสียเวลา"
ว่าแล้ว ก็เอาหัวคทากดลงไปบริเวณอกของคนตรงหน้า "รีเมนท์ เท็กส์"ว่าแล้ว แรงอะไรบางอย่างก็ถูกปลดปล่อยออกมาจากหัวคทา พุ่งตรงไปยังจุดที่เป็นเป้าหมาย ร่างที่นอนอยู่ ถึงกับกระเด้งขึ้นมาทันที
เฮือกกกก
"แคกๆๆ แคกๆ"คนตรงหน้า สำลักน้ำออกมาอย่างรุนแรง ก่อนจะค่อยๆ ปรือตาขึ้นเล็กน้อย
"ตื่นแล้วแหละ"เอ่ยจบก็บรรจงจัดแจงใส่เสื้อผ้าสัมภาระที่เพิ่งถอดไปหมาดๆ ก่อนที่คนที่ตัวเองเพิ่งช่วยมาเมื่อครู่ จะเด้งตัวขึ้นเป็นสปริง
"อย่า อย้าเข้ามาใกล้ฉัน ไม่ ม่ายยยยย"เด็กหนุ่มตรงหน้าคร่ำครวญประโยคเดิมไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วค่อยๆ คลานออกไปอย่างกระสับกระส่าย นัยน์ตาสีฟ้าคราม ฉายแววหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด ผิวขาวนวลอมชมพูราวกับผิวพรรณของสตรีไม่ผิเพี้ยน แม้เรือนผมสีทองยาวระต้นคอนั่นจะเปียกปอนไปด้วยน้ำทะเล และสยายลงมาปิดหน้าปิดตา แต่ก็มองออกว่าคนตรงหน้าเป็นคนที่หน้าตาค่อนข้างดีทีเดียว
"ดูเหมือนจะตื่นไม่เต็มตา"เวเซ่เอ่ย พลางขยับกายเข้าไปใกล้ "นี่นาย"เสียงเรียกไม่เป็นผล เมื่อคนถูกเรียก ตัดสินใจไปนั่งกอดเข่าอยู่ที่กราบเรือ เหมือนกับไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น
โป้กกกก
คทาฟาดโป๊กลงไปบนหัวคนเงียบ จนเริ่มรู้สึกตัว
"เฮ้ย! นายเป็นบ้ารึป่าววะเนี่ย!"เวเซ่ตะเบงเสียงดังจนคนตรงหน้าถึงกับผวา
"อะ อะไร น่ะ นายเป็นใคร"คนตรงหน้าเอ่ย
"ฉันสิต้องถามนายมากกว่า ว่านายเป็นใคร ตัวอะไร แล้วลงไปทำอะไรข้างล่างนั่น"เวเซ่เอ่ยอย่างหงุดหงิด ก่อนที่เด็กหนุ่มตรงหน้า จะเบือนหน้ามาสบตาด้วย
"ฉะ ฉันชื่อ ซึกิโค เอเรนาส"เด็กชายเอ่ยพลางทำสีหน้าครุ่นคิด "ว่าแต่ ผม...มาอยู่ที่นี่ได้ไง?"
"ฉันฉุดกระชาดลากถูนายมาจากข้างล่างนั่น"เวเซ่เอ่ยพลางชี้ไปใต้ท้องเรือ "ไหนลองบอกมาซิ ว่าไปเล่นอะไรใต้อยู่น้ำนั่น"
"เอ...ใต้น้ำ"คนตรงหน้าทำสีหน้าครุ่นคิด ก่อนจะมองขึ้นมาบนฟ้า คิ้วเรียวหมุนเข้าหายกันจนแทบจะกลายเป็นปม "นั่นน่ะสิ... ผมลงไปทำอะไรในนั้นหว่า..."เมื่อคนถามได้ยินคำตอบที่ฟังดูกวนอวัยวะส่วนล่างก็ทำให้นึกอยากจะเอาไอ้อวัยวะที่ถูกกวนตวัดขึ้นมาเสยกบาลคนความจำสั้น ให้มันตายๆไปเสียตรงนี้"เออ..."ซึกิโคอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่นาน ในขณะที่ความทรงจำก็ค่อยๆ กลับมาทีละน้อยๆ
"ลองนึกให้มันดีๆ หน่อย"กัปตันทองส์เสริม
"รู้สึกว่า...ที่บ้านจะถูกขโมยขึ้น..."ซึกิโคเอ่ยพลางตีสีหน้าครุ่นคิดอีกครั้ง "แล้ว...เออ..."
"นอกจากนี้จำอะไรได้อีกไหม?"เวเซ่ถาม คนถูกถามส่ายหน้าแทนคำตอบ เวเซ่หมุนคิ้วเข้าหากัน "สรุปว่า...ก็ไม่รู้อยู่ดีกว่าเกิดอะไรขึ้น เฮ้อออ"เวเซ่เอ่ยพลางถอนหายใจออกมา ไม่มีเสียงตอบรับจากคนตรงหน้า มีเพียงสีหน้าเรียบเฉย ราวกับกำลังคิดอะไรอยู่ คนผมเงิน ถอนหายใจเฮือก
"เดี๋ยวก่อนนะ..."ซึกิโคเอ่ยขึ้นมาลอยๆ “หินสีดำ...”
เวเซ่หันกลับมาสนใจคำพูดของเขาอีกครั้ง
“อะไรของนาย หินสีดำ...”
"เออ... ถ้าจำไม่ผิด พ่อกับแม่ของฉัน มีหินประหลาดๆ อยู่ก้อนหนึ่ง ท่านขุดพบมันอยู่ที่ซากโบราณสถาน แล้วก็เก็บกลับมา มันเป็นหินที่แปลกมากเลยรู้ไหม ทุกๆ คืนมันจะส่งเสียงร้องด้วย”ซึกิโคเล่ายาว เวเซ่ฟังเขาพูดอย่างตั้งใจ “และเมื่อไม่นานมานี้ มีชายแปลกหน้าดูลึกลับคนหนึ่งมาที่บ้าน เขาสวมเสื้อคลุมดำยาวมิดเท้าเลย ที่หน้าอกซ้ายมีรูปตัวNเหมือนเป็นสมาคมอะไรสักอย่างละมั้ง ดูเหมือนเขามีธุระอะไรกับหินก้อนนั้นด้วย พ่อกับแม่ปฎิเสธ พวกเขาเลยต่อสู้กัน...”เวเซ่เริ่มขมวดคิ้วมุ่น “พ่อกับแม่เอามันมาให้ฉัน แล้วบอกให้พามันหนีไปและอย่าให้ใครได้มันไปเด็ดขาด... พวกเขาถูกฆ่าตาย และฉัน...ถูกพวกมันไล่ตามมา ฉันใช้เวทสกัดพวกมันเอาไว้ แต่ก็ได้ไม่นาน ฉันเลยกระโดดลงทะเล จากนั้น...”
“จากนั้นก็เลยถูกสาหร่ายกินคนมัดข้อเท้าเอาไว้ขึ้นมาไม่ได้สินะ”เวเซ่สรุป เด็กหนุ่มพยักหน้า
“แต่ยังไงก็ต้องขอขอบคุณนะ ที่ช่วยฉันขึ้นมา ไม่งั้นได้กลายเป็นปุ๋ยให้สาหร่ายงี่เง่านั่นแน่ๆ เลย”ซึกิโคเอ่ยพลางเอามือจับหัวแล้วห่อใหล่อย่างเสียวๆ ไม่มีคำตอบรับจากอีกฝ่าย มีแต่สีหน้าครุ่นคิดและกังวงใจที่แสดงออกมา สร้างความสงสัยให้คนมองได้ไม่น้อย “มีอะไรเหรอ?”
“เฮ้ออออ ออกมาทำภารกิจหน่อยเดียว ไม่คิดว่าจะได้เจอตรงๆ ฉันนี่จะเรียกว่าเฮงหรือซวยดีนะ”เวเซ่พึมพำกับตัวเอง “ว่าแต่นายนี่โชคร้ายเป็นบ้าเลย ไม่รู้เรื่องอะไรเลยแท้ๆ แต่ดันถูกโยงให้มาเกี่ยวข้องกับสงครามครั้งนี้จนได้แฮะ”
"หมายความว่าไง?"ซึกิโคถามอย่างแปลกใจ เวเซ่เหล่หางตามามองน้อยๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมายาวๆ แล้วหันหน้ามาหาเพื่อนใหม่
"โอเค ฟังฉันพูดให้ดีๆนะ เพราะเรื่องนี้มันอาจเกี่ยวพันธุ์กับชีวิตนายด้วย"เวเซ่เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังนิดหน่อย "ลุงไปไกลๆ ก่อน นี่ก็เรื่องของทางการ ลุงไม่เกี่ยว”เวเซ่เอ่ยไล่กัปตันท็องส์ไปเสียงดื้อๆ และด้วยความรักในชีวิตตัวเอง ทำให้เป็นแรงผลักดันให้เขาลุกออกไปแต่โดยดี
“งั้นฉันไปดูทิศทางลมแล้วกัน”กัปตันเอ่ยเนิบๆ
“ทำไมให้คุณลุงนั่นฟังไม่ได้ล่ะ?”ซึกิโคถาม
“เรื่องนี้ทางการต้องการให้เก็บเป็นความลับที่สุดน่ะ บุคคลภายนอกที่ไม่เกี่ยวข้องไม่ควรล่วงรู้”เวเซ่อธิบาย “ฉันขอแนะนำตัวฉันก่อน ฉันเป็นหัวหน้าหน่วยนักเวทมือสังหารของสมาคมเฮลฟีนการ์ด ว่าง่ายๆ ก็คือฉันเป็นคนที่ทางกองทับส่งมาเพื่อทำภารกิจนี้โดยเฉพาะ”
“....”
“ชายชุดดำที่มาหาพ่อแม่นาย เป็นกลุ่มสมาคาลึกลับที่มีชื่อว่า ‘นัวร์’ พวกนั้นเรียกตัวเองว่านักฆ่า แต่ฉันคิดว่ามันเหมือน 'โจรฆ่าหั่นศพ' เสียมากกว่า"เวเซ่แจกแจง "พวกมันหมายตาศิลาวิเศษชนิดหนึ่ง ซึ้งในโลกทั้งโลกนี้มีอยู่ก็แค่9ก้อนเท่านั้น"
"ศ...ศิลาวิเศษอย่างนั้นเหรอ..."ซึกิโคทวนประโยค
"หรือชื่อที่แท้จริง...ศิลาศักดิ์สิทธิ์ แต่บางคนก็รู้จักมันในนามศิลาแห่งเซพิรอส"เวเซ่อธิบาย "มันเป็นศิลาที่เป็นตัวแทนของเทพองค์หนึ่ง ที่มีนามว่า เซพิรอส ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเทพองค์แรกและองค์เดียว ที่มีความสามารถในการทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ให้เป็นไปได้”
“สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ให้เป็นไปได้?”ซึกิโคทวนถามอีกครั้งด้วยความไม่เข้าใจ
“การชุบชีวิตคนตายไงล่ะ”เวเซ่อธิบาย “ว่ากันว่า ผู้ใดได้ครอบครองศิลานี้ จะสามารถขอพรจาก เซพิรอสได้ข้อหนึ่ง ไม่เว้นแม้แต่การขอคืนชีพให้กับคนที่ตายไปแล้ว"
ซึกิโคนิ่งเงียบ ฟังเรื่องที่คนผมเงินเล่าอย่างตั้งอกตั้งใจ โดยไม่คิดจะแทรกขึ้นเลยแม้วินาทีเดียว
“นายรู้เรื่องสัมพันธภพระหว่าง เดเรเท เนราคอส และอิจนอสหรือยัง...”เวเซ่ถามก่อน
“สามโลกที่ถูกแบ่งแยกความสัมพันธ์ออกจากกันเมื่อหลายหมื่นปีที่แล้วไม่ใช่เหรอ...”ซึกิโคตอบ
“ไม่ใช่แค่นั้น สมัยก่อนสามพิภพเคยเป็นหนึ่งเดียวกันมาก่อน เดเรเท ดินแดนของจอมเวท เนราคอส ดินแดนของปีศาจ และอิจินอส แผ่นดินแห่งอัศวิน เมื่อก่อนทั้งสามโลกเป็นโลกใบเดียวกันที่มีชื่อเรียกว่า ‘เฮลฟิน คิงดอม’ แต่สาเหตุที่สามพิภพถูกแยกออกจากกันก็เพราะหินนี่แหละ”เวเซ่แจกแจง
“หินเนี่ยนะ...”
"ในครั้งอดีตกาล ศิลาก้อนนี้มีเพียงก้อนเดียว แต่ด้วยเหตุที่ว่า มันเป็นต้นเหตุของความโลภทั้งหลายทั้งปวง ที่กลืนกินจิตใจมนุษย์ จอมเวทขาวผู้ยิ่งใหญ่แห่งเนโรเนียแคว้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในเดเรเทที่พวกเราอาศัยอยู่ จึงได้ปรึกษากับจอมเวทมนต์ดำแห่งเนราคอส และจอมเวทสีเงินแห่งอิจินอส เรื่องศิลา และได้ข้อสรุปคือ ทำลาย...ต้องทำลายมันลงซะ แต่ทว่า...ศิลาศักดิ์สิทธิ์ เป็นแหล่งพลังของเซพิรอส องค์เทพที่มีอำนาจมากที่สุด การที่จะทำลายมันทิ้งจึงเป็นเรื่องยากนัก แม้พวกเขาจะสามารถทำลายมันได้ แต่มันก็ไม่หายไปจากโลก มันแตกออกเป็นเก้าชิน กระจัดกระจายไปในที่ต่างๆ ในสามโลก ไม่ว่าจะเป็น เดเรเท อิจินอสหรือเนราคอส..."เขาเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง มันละเอียดยิบเสียจนซึกิโคแทบจะเห็นภาพเหตุการณ์ในอดีตลอยอยู่บนหัวเขาเลยด้วยซ้ำ
“แล้วเพราะอะไรถึงต้องแบ่งแยกโลกทั้งสามออกเป็นสามโลกด้วยล่ะ...”
“มันเป็นเหตุจำเป็นเพาะเฮลฟีนคิงดอมมีขาดใหญ่เกินไป การที่จะรวบรวมเศษเสี้ยวศิลาที่กระจายออกไปกลับมาทำลายใหม่นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย จึงใช้วิธีแบ่งมันออกไปคนละมิติ เพื่อจะได้ไม่ให้ใครสามารถนำมันเอามารวมกันอีกครั้งได้ไง”เวเซ่ว่า "หากรวบรวมทั้งเก้าชิ้นกลับมาได้อีกครั้ง ก็คงจะสามารถอัญเชิญเซพิรอสออกมาได้ พวกนัวร์ ต้องการมัน เพื่อเหตุผลบางอย่าง ซึ่งฉันก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ฉันไม่คิดว่า มันจะเป็นจุดประสงค์ที่ดีนัก"
“โอโห...นายใช้เวลาท่องนานมั้ยเนี่ย!”ตอบกวนๆ ไปอย่างนั้น เพราะในใจก็รู้สึกกระสับกระส่ายไม่น้อย และดูคนตรงหน้าก็คงจะรับรู้ถึงความรู้สึกนั้นด้วย หน้าของซึกิโคถอดสีทันที"จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกนัวร์ได้ศิลา..."เขาถามกลับไปอีกครั้ง
"ฉันก็เพิ่งบอกหยกๆ ว่าไม่รู้ เพียงแต่ มันต้องการพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของเซพิรอส เพื่อให้เพียงพอต่อจุดประสงค์ของพวกมัน"เวเซ่ว่า "รู้ไหม...ตอนนี้ศิลาที่เนราคอส และอิจินอส ตกอยู่ในครอบครองของพวกมันหมดแล้ว และตอนนี้ ในเดเรเท ที่เหลืออีกสามก้อน เรายังไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหนบ้าง หนึ่งล่ะอยู่ที่นาย ส่วนอีกสองก้อน...ฉันก็ไม่รู้”เวเซ่เอ่ยพลางถอนหายใจ “แต่ฉันไม่สนใจเรื่องพรรค์นั้นหรอกนะ ศิลาพวกมันจะได้ไปหรือไม่ได้ ก็ช่างหัวมันปะไร ที่ฉันหมายตาคือชีวิตของหัวหน้าพวกมันเท่านั้นล่ะ เพราะว่ามัน เป็นคนพรากชีวิตคนสำคัญของฉันไป”เวเซ่เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“แล้วฉันควรทำไงกับศิลา”ซึกิโคถามขึ้นมา
“ฉันจะไปรู้ได้ยังไง พวกนัวร์มีความสามารถในการสัมผัสถึงมันเสียด้วย อีกไม่นานหรอก คงตามมาเอามันไปจากนายแหง ถ้านายยังรักโลก ก็ภาวนาอย่าให้มันได้ไปก็แล้วกัน”เวเซ่เอ่ยด้วยน้ำเสียงทะเล้นราวกับไม่ใช่เรื่องทุกข์ร้อนอะไร ซึกิโคขมวดคิ้วเข้ม เขายันตัวให้ลุกขึ้นมาอย่างฉุนเฉียวแล้วเอามือกระฉากคอเสื้อของอีกฝ่ายขึ้นมา
“มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ไม่ใช่เหรอ! นายหัวเราะทั้งๆ ที่มันเป็นอนาคตของโลกทั้งใบเนี่ยนะ”ซึกิโคตวาดเสียงดัง คนถูกกระชากคอคิ้วกระตุก เห็นท่าทางอวดดีแบบนั้นแล้วก็อดหมั่นใส้ไม่ได้ ดาบเรียวถูกชักออกมาจ่อที่คอหอยของอีกฝ่ายอยากรวดเร็วโดยที่คนผมทองมองตามแทบจะไม่ทันด้วยซ้ำ
“ลองพูดดูอีกรอบสิ ฉันจะเฉือนคอนายตรงนี้เลย”นายมีฝีมือแค่ไหนกัน ถึงจะมารับผิดชอบชตากรรมของโลกน่ะ”เวเซ่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น คมดาบใหญ่ ลูบไล่ไปตามข้างแก้มของคนตรงหน้าช้าๆ “ฉันฆ่านายตอนนี้ยังทำได้เลย”ว่าแล้วก็ส่งสายตาเย็นชาไปให้ สายตาแบบนั้นดูเป็นคนละคนกับเมื่อครู่นี้อย่างสิ้นเชิง ดาวเรียว ถูกยัดกลับเข้าไปในฝักพร้อมๆ กับเจ้าของที่ค่อยๆ ยืนขึ้นช้าๆ “ประโยคเมื่อกี้น่ะ ไว้เก่งกว่านี้ก่อนค่อยมาพูดแล้วกัน”
ซึกิโคมองร่างที่หันหลังเดินจากไปอย่างเจ็บใจ พลันความรู้สึกนั้นก็เรียกให้เขาปลดปล่อยพลังเวทออกมาเต็มเปี่ยม เวเซ่เมื่อสัมผัสได้ถึงรัศมีอาฆาตและไอพลังเวทเหล่านั้น ก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างปลงๆ โดยไม่หันไปมอง
...หมอนี่ไม่เข็ดจริงๆ แฮะ...
เวเซ่ชักคมดาบออกมาจากฝักอีกครั้ง ก่อนจะหันกลับมามองด้วยสายตาเย็นชาที่ทำให้เขาดูเหมือนเป็นคนละคนกับเมื่อครู่ ทันทีที่ซึกิโคสบเข้ากับสายตาเช่นนั้น ก็รู้สึเหมือนกับมีก้อนอะไรมาถ่วงหัวเขาเอาไว้จนมันหนักอึ้งไปหมดจนแทบจะโงหัวไม่ขึ้น ราวกับมีรังสีอะไรบางอย่างแผ่พุ่งออกมาจากตัวคนตรงหน้า ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่มันทำให้เขารู้สึกหวั่นไหวและกลัวอย่างประหลาด
“จิตอาฆาตเพียงแค่นี้ นายยังแทบจะขยับตัวไม่ได้ จะสู้กับฉันมันยังเร็วเกินไปน่า เปลี่ยนใจซะ...ตอนนี้ยังไม่สาย ก่อนที่ฉันจะฆ่า”เวเซ่เอ่ยกลับไปด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น นัยน์ตาราวเพชฌฆาตนั่นทำให้ใครก็ตามที่และมอง ไม่กล้าสบสายตาด้วย เพราะเพียงแค่มองไปก็เหมือนจะถูกกลืนกินไปในห้วงเหวลึกและดำมืดน่าสยดสยอง
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ...”ซึกิโคเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นๆ “ถ้านายไม่อยากให้ฉันเข้าไปยุ่งเรื่องนี้ นายจะมาเล่าให้ฉันฟังทำไม... ยิ่งฟังฉันก็ยิ่งรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองต้องทำอะไรสักอย่าง แล้ว...”
จิตอาฆาตพวกนั้นหายไปในพริบตา เวเซ่เหยียดยิ้มที่มุมปากก่อนจะใช้คมดาบ ชี้หน้าซึกิโคจนปลายของดาบอยู่ห่างกับจมูกเขาเพียงไม่กี่คืบ
“อยากเป็นทหารมั้ยล่ะ...”เวเซ่ถามออกมาลอยๆ
“หา?”
“มาเข้าสังกัดกับฉันสิ มาฝึกด้วยกัน ที่HFC”เวเซ่เอ่ยชวนพลางส่งยิ้มไปให้
“นายจะให้ฉันไปเป็นคนของกองทัพที่เฮลฟีนการ์ดอย่างนั้นเหรอ!”ซึกิโคเอ่ยด้วยสีหน้ากระตือรือร้นอย่างเห้นได้ชัด เวเซ่เห็นท่าทางอย่างนั้นแล้วก็อดตกใจไม่ได้ เขากระพริบตาปริบๆ แล้วพยักหน้าช้าๆ แทนคำตอบ “สุดยอด!! นั่นความฝันฉันเลยรู้ไหม”
“อะแฮ่มๆ แค่ทหารฝึกหัดเท่านั้น ฉันไม่มีอิทธิพลขนาดรับเอาคนนอกมาเป็นแขนขาของกองทัพได้โดยพลการหรอกนะ แล้วถ้าจะไปอยู่ที่นั่นน่ะ กริยาอย่างเมื่อกี้น่ะนะ เก็บๆ เอาไว้เลยรู้ไหม พวกคนระดับสูงๆ ของที่นั่นถือเรื่องมารยาทมากๆ เลยนะ”เวเซ่รีบเตือน “แล้วก็...ขอให้จำไว้อย่างหนึ่งว่า... พวกนัวร์จับสัมผัสของศิลา และจะบุกมาทักทายนายที่HFCเมื่อไหร่ก็ได้ ตั้งใจฝึกแล้วรีบๆ เก่งขึ้นเข้าล่ะรู้ไหม เดี๋ยวตายไปฉันช่วยนายไม่ได้นะจะบอกให้”ซึกิโคกลืนน้ำลายฝืดคอ
“นายนี่รู้เยอะจังเลยนะ”เขาเอ่ยขึ้นมาลอยๆ
“เฮอะ...ก่อนจะเข้าสมาคมนั่งท่องกันตาลีตาเหลือก เราต้องรับรู้ถึงเรื่องราวและเหตุผลการมีอยู่ของเฮลฟีนการ์ดทั้งหมด เอาไว้เข้าไปในแอเรียแล้วฉันจะอธิบายทุกอย่างให้ละเอียดมากกว่านี้ ยังมีเรื่องที่นายต้องจดต้องจำอีกยาวเลยล่ะ คุณว่าที่ทหารฝึกหัด”เวเซ่ขู่พลางยักคิ้วกวน
“ถ้าเรื่องท่องจำน่ะไม่มีปัญหาหรอก ความจำฉันดีนะ”ซึกิโคคุยโว ซึ่งดูคนฟังจะไม่ได้สนใจอะไรมากนัก
“ว่าแต่นาย...ทำอาชีพอะไรน่ะฮึ”เวเซ่ถาม
“ฉันน่ะเหรอ?”ซึกิโคทวนคำถาม เวเซ่นึกอยากจะยกเท้าขึ้นมาถีบไอ้หมอนี่ให้มันตกทะเลไปให้สาหร่ายเขมือบอีกซักรอบ
“ฉันคงถามนกกระยางตัวนั้นมั้ง!”เวเซ่ประชด “จะได้เลือกสายให้นายฝึกได้ถูกไง ในสังกัดของฉันมีหมวดหมู่ย่อยๆ อีกเยอะแยะนะ”ซึกิโคพยักหน้ารับเนิบๆ
"ฉันเป็นพวกผู้คุมวิญญาณน่ะ รู้จักหรือเปล่า?"เขาตอบ เวเซ่ทำสีหน้างุนงงเล็กน้อย “จะไม่รู้จักก็ไม่แปลกหรอก อาชีพนี้โบราณจะตาย มันตกทอดมาจากตระกูลมาหลายต่อหลายรุ่นแล้ว”
"ผู้คุมวิญญาณ... ไอ้ที่คุยกับวิญญาณได้น่ะเหรอ"เขาถามเสียงเรียบ
"ก็...ส่วนหนึ่ง แต่มันไม่ได้แค่นั้นสักหน่อย"ซึกิโคว่า "นอกจากสื่อสารกับวิญญาณได้แล้ว เรายังใช้วิญญาณเป็นสื่อกลางในการนำพลังเวท ยิ่งมีวิญญาณมาก เราก็ยิ่งแข็งเกร่ง"คำตอบจากผู้คุมวิญญาณคนเก่ง ทำให้เวเซ่ตรัสรู้สถึงบางอ้อ เจ้าตัวพยักหน้าหงึกๆ เป็นเชิงเข้าใจ
"ยิ่งเฮี้ยนเท่าไหร่ก็ยิ่งเก่งมากเท่านั้น ว่างั้นเหอะ"เวเซ่ว่าพลางกลั้วหัวเราะ
"ใช่ จะว่างั้นก็ได้"คนผมทองตอบกลับมาแบบกวนๆ แล้วทั้งคู่ก็ยืนสนทนาสัพเพเหระกันเรื่อยเปื่อย ในขณะที่เรือลำนี้ก็ยังคงเล่นต่อไปเรื่อยๆ แบบไม่หยุดพัก สายลมโพยพัดผ่านผิวขาวนวลของหัวหน้าหน่วยคนเก่ง ถึงแม้สายลมนั้น มันจะพัดผ่านไปอย่างอบอุ่นเพียงใด แต่ข้างในใจของเขากลับรู้สึกหนาวเย็นอยู่ตลอดเวลา และมันจะไม่มีวันรู้สึกถึงความอบอุ่นอีกแล้ว...ไม่ว่าจะตอนนี้หรือตอนไหน...
ณ เวลานั้น...
การเดินทางของผมกับเพื่อนใหม่ก็ได้เริ่มขึ้น...
ผมเองเป็นเพียงเถ้าถุลี...
ที่ถูกอะไรบางอย่าง ทำให้มีตัวตนอยู่บนโลก...
แต่อะไรบางอย่างที่ว่านั้น...
มันก็พร้อมจะตัดขาดผมจากโลกนี้ได้ทุกเมื่อเช่นกัน...
ความคิดเห็น