คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : พระพิรุณชักพา
"กานต์แกต้องแต่งงานกับลูกสาวท่านเจ้าสัว" พงศกรเอ่ยออกมาเสียงดังจนเกือบตะคอก
"ไม่ครับป๊า…ป๊าก็เห็นแล้วนี่ว่าการที่ผมแต่งงานกับคนที่ป๊าหามาให้มันเป็นยังไง" ผู้เป็นลูกชายคนสุดท้องของบ้านอย่างกานต์ก็ไม่ลดละเช่นกัน
"ก็เพราะแกมีประวัติหย่าร้างยังไงล่ะแกถึงต้องแต่งกับคนนี้ ถ้าเป็นคนอื่นแกคงไม่มีโอกาสหาคนที่มีฐานะเท่าเทียมกับแกได้อีก"
"เท่าเทียมแล้วยังไงล่ะครับ เมื่อไม่ได้รักกันก็ต้องหย่าไม่ก็แยกกันอยู่ อยู่ดี"
กานต์ตอบกลับอย่างอารมณ์เสียเฉกเช่นเดียวกับบิดาผู้ให้กำเนิดและเมื่อกำลังจะเดินออกจากห้อง พ่อของเขาก็ตะคอกจนเกือบจะสุดเสียง
"นั่นแกจะไปไหน…เพราะแกมันเอาแต่ใจชีวิตแต่งงานแกถึงไม่รอด แกจำไว้นะถ้าแกไม่มีเงินก็คงไม่มีใครหน้าไหนอยากอยู่กับแก"
กานต์หยุดเดินแล้วหันกลับมาพูดอย่างอดกลั้น
"แล้วที่เป็นอยู่นี่ล่ะครับคนที่เข้ามาก็เพราะธุรกิจทั้งนั้น ให้ผมแต่งกับคนที่พ่อเลือกให้ผมย้ายไปดูงานที่ชานเมืองตลอดชีวิต ผมว่ายังดีเสียกว่า"
"ได้…งั้นฉันจะย้ายแกไปดูแลนิติที่โครงการย่านปทุมธานีอยากจะอยู่กี่ปีก็เอาเลย รถที่ขับอยู่จอดไว้ที่นี่แล้วไปเอารถเก๋งคันเก่าที่จอดอยู่ที่บ้านไปแทน"
ต่อให้โมโหแค่ไหนผู้เป็นพ่อก็ยังอดห่วงเสียไม่ได้ในเมื่อออกปากไปแล้วจะกลับคำก็จะหมดความน่าเชื่อถือจึงอนุญาตให้เอารถคันเก่าที่เคยใช้ไปแทน
กานต์วางกุญแจรถ BMW ที่พ่อเพิ่งถอยมาให้เป็นของขวัญวันเกิดครบรอบอายุ 26 ปี ให้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาวางไว้บนโต๊ะทำงาน
"ขอบคุณครับ ที่ให้ผมมีโอกาสได้ใช้ชีวิตของตัวเองบ้าง"
"ดู…ดูมัน ฉันไปบงการชีวิตแกตั้งแต่เมื่อไร"
เสียงพงศกรลอยออกมาจากห้องทำงานจนทำให้ปิยะดาตกใจรีบสาวเท้าก้าวเข้าไปหาลูกชาย
"เกิดอะไรขึ้นล่ะลูก"
กานต์ย่อตัวลงเล็กน้อยแล้วโอบกอดแม่เอาไว้
"ม๊าดูแลสุขภาพด้วยนะ ผมจะไปอยู่ปทุมธานี เอาไว้ว่าง ๆ จะมาหานะครับ"
ผู้เป็นแม่ดันตัวลูกชายออกแล้วมองใบหน้าที่ดูเหนื่อยอ่อนกับเรื่องนี้เต็มทน
"แล้วจะไปอยู่ยังไงใครจะดูแล"
"ผมอายุ 26 แล้วนะครับเคยแต่งงานและก็หย่าร้างมาแล้วด้วย ม๊าไม่ต้องเป็นห่วงผมนะครับ"
"ไม่ไปไม่ได้เหรอลูก"
"ให้ผมไปเถอะนะครับ"
ปิยะดามองหน้าลูกอย่างเห็นใจแต่ก็อดรู้สึกเป็นห่วงไม่ได้ แต่ก็ยอมปล่อยให้ลูกชายไปลองใช้ชีวิตของตัวเองดู
กานต์หรือจิระกานต์เกิดมาในครอบครัวเศรษฐีเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ระดับต้น ๆ ของประเทศ- ไทย เติบโตมาภายใต้แรงกดดันจากการมีพี่ชายที่ทำอะไรก็สมบูรณ์แบบไปซะหมด
เขาจึงมักกดดันตัวเองให้เป็นผู้บริหารที่ดีเทียบเท่าพี่ชาย จนลืมไปว่าเขาต้องดูแลครอบครัวให้ดีด้วยเช่นกัน
ในตลอดระยะเวลาที่เขาแต่งงานอยู่กับภรรยาที่พ่อเขาหามาให้ เขามัวแต่อยากจะพิสูจน์ตัวเองจึงโหมทำงานจนดึกดื่นค่อนคืน สุดท้ายแล้วอีกฝ่ายก็ทนไม่ได้ก็เลยต้องเลิกราหย่าร้างกันไป
บทเรียนในครั้งนั้น ทำให้เขารู้ว่าการแต่งงาน ควรเลือกคู่ครองที่สามารถเข้าใจเขาและควรเป็นคนที่เขาอยากจะดูแลและปกป้อง ไม่ใช่การแต่งงานเพียงเพื่อธุระกิจหรือแค่รักษาหน้าค่าตา และการได้ออกมาใช้ชีวิตของตัวเอง อาจทำให้เขาพ้นจากเงาของพี่ชายได้บ้าง
'เขาว่ากันว่า ลูกชายคนเล็กคุณพงศกรจะมาประจำอยู่ที่นี่'
'คนที่เพิ่งหย่าน่ะเหรอ'
'เห็นเขาว่ายังอายุน้อยอยู่เลย จะไหวเหรอ'
'ก็แค่มาดูแลทรัพย์โครงการอีกที ส่วนงานอื่นคุณจิระกรคนเดียวก็เอาอยู่หมดแล้ว'
เสียงลือเสียงเล่าอ้างนินทาระยะเผาขนโดยไม่เกรงใจกานต์ที่กำลังเดินผ่านเข้ามา
กานต์ยกยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยันตัวเอง แต่ก็ไม่อยากจะสนใจเพราะแต่ไหนแต่ไรมาเขาก็มักโดนเปรียบเทียบเช่นนี้เสมอ
กานต์มองสำรวจออฟฟิศเล็ก ๆ ที่มีแฟ้มเอกสารวางตามชั้นต่าง ๆ แยกเป็นหมวดหมู่อย่างชัดเจน เขาหยิบแฟ้มเอกสารที่วางซ้อนอยู่บนโต๊ะออกมาอ่านได้สักพักเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
"เชิญครับ"
ผู้ที่เปิดประตูเข้ามาไม่ใช่ใครที่ไหนไกลเขาคือโอบหนุ่มเนิร์ดความจำดีที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เวลาไปไหนมาไหนมักจะชอบใส่แว่นตาและมืออีกข้างจะถือไอแพดอยู่ตลอดเวลา
เมื่อโอบเดินเข้ามาเห็นผู้เป็นนายกำลังนั่งอยู่อย่างสบายใจก็อดที่จะบ่นออกมาไม่ได้ เพราะคนเป็นนายหนีเขามาโดยการขี่มอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์มาเพียงลำพัง
"คุณกานต์มาไม่รอผมเลยครับ จะย้ายมาก็ไม่บอกล่วงหน้าผมเก็บของแทบไม่ทัน"
"อย่าบ่นเลยน่า…แต่ถ้าไม่อยากลำบากอยู่กับผมจะกลับก็ได้นะ เดี๋ยวผมแจ้งทางนั้นให้ว่าคุณไม่สะดวก"
"ไม่เอาครับ ถ้าอยู่กับคุณกานต์แล้วลำบากอยู่กับคุณกรลำบากกว่า"
"ฮ่า ๆ ก็จริงอย่างที่ว่าเพราะพี่ชายผมทั้งเก่งทั้งเป๊ะขนาดนั้น ผมเองก็ทำอย่างเขาไม่ได้ ว่าแล้วเรามาเริ่มงานกันเลยดีกว่า ผมสำรวจงานมาคร่าว ๆ บ้างแล้ว ถ้างั้นวันนี้เราไปที่นี่กัน"
กานต์เอ่ยพร้อมกดแชร์แผนที่ โอบทำท่าจะอ้าปากบ่นที่เขาเพิ่งมาถึงยังไม่ทันจะได้พัก ก็ต้องรีบเปลี่ยนจากบ่นกลายเป็นการทักท้วงแทนเมื่อเจ้านายออกคำสั่ง
"ผมจะไปมอร์'ไซค์คุณขับรถผมไปแล้วกัน"
"ไม่ดีมั้งครับ ไปด้วยกันดีกว่าครับคุณกานต์"
กานต์หันมองหน้าโอบ พร้อมยักไหล่
"พอดีป๊ากับม๊าเขาปล่อยให้ผมมาใช้ชีวิต ผมก็อยากลองใช้ดูบ้าง ยังไงก็ตามใจผมหน่อยก็แล้วกัน"
กานต์เดินออกไปทิ้งให้ผู้ช่วยยืนโอดครวญในความเอาแต่ใจของตัวเอง
เมื่อไปถึงหมู่บ้านดังกล่าวเขาก็ขับรถวนดูรอบหมู่บ้านอยู่รอบหนึ่ง แล้วเอารถไปเก็บไว้ในพื้นที่สำนักงานนิติบุคคล
เมื่อกำลังจะเดินเข้าไปข้างใน สายลมในฤดูฝนพัดแรงเสียจนทำให้บรรดาถังขยะกลิ้งล้มระเนระนาด จึงปั่นจักรยานที่จอดอยู่ข้างสำนักงานไปตามเก็บถังที่ล้มขวางกลางถนน
ถังขยะที่ล้มทำให้ขยะเกลื่อนกลาดเต็มพื้นมองดูแล้วขัดตาขัดใจคนมีระเบียบอย่างเขา จึงคว้าถุงดำที่มีอยู่ในตะกร้าหน้ารถจักรยานมาเดินเก็บขยะที่กระจายอยู่ตามพื้น
แต่ดูเหมือนฟ้าจะไม่เป็นใจกับการมาเยือนของเขา พอสายลมหายไปครู่เดียวหยดน้ำจากฟ้าก็หยดลงมา
'ให้มันได้อย่างนี้ดิพี่วายุไปน้องพิรุณมา อีกนิดก็จะเสร็จแล้วจะรีบตกทำไม'
กานต์ยังคงก้มหน้าก้มตาไล่เก็บไปเรื่อย ๆ จนมาหยุดตรงที่เท้าคู่หนึ่ง จึงเงยหน้าขึ้นมอง
'สวย'
ภาพที่กานต์เห็นคือผู้ชายอายุราว ๆ ยี่สิบต้น ๆ ผมสีดำยาวมัดไว้ครึ่งศีรษะ นัยน์ตาสองชั้นกลมโตใสแป๋วสวมแว่นตาที่รับกับกรอบหน้า จมูกโด่งเป็นสัน ปากเรียวตัวเอ็มทำให้รูปหน้าดูหวานเหมือนสาวน้อยผู้ไร้เดียงสา บวกกับสวมเสื้อมีฮู๊ดสีเหลืองสดใสทำให้ดูสะดุดตา ในมือถือร่มที่กางออกกำลังนั่งลงแล้วยื่นร่มที่กางอยู่มากันฝนให้กับเขาพร้อมกับเอ่ย
"คุณครับไปหลบฝนก่อนเถอะครับ เดี๋ยวจะไม่สบาย รถผมจอดอยู่ตรงนั้น"
พสันต์บุ้ยปากไปทางรถเก๋งสีครีมของตัวเองที่อยู่ข้างสวนสาธารณะ เมื่อกานต์ยังคงนั่งมองเขาอย่างนิ่งเงียบ พสันต์จึงเรียกซ้ำอีกครั้ง
"คุณครับไปขึ้นรถหลบฝนก่อนเถอะครับ"
เมื่อสติกลับมากานต์ก็ตอบอย่างลังเล แต่นั่นไม่ใช่เพราะเขาเกรงใจ แต่เป็นเพราะเขาไม่อยากคบค้าสมาคมกับคนที่ดูเหมือนจงใจเข้ามาตีสนิทแต่ก็บอกปัดไปอย่างรักษาน้ำใจ
"ไม่ดีกว่าครับ…รถคุณจะเปียกเอา"
"รถเปียกเดี๋ยวก็แห้ง แต่ถ้าคุณเป็นอะไรไปไม่มีอะไหล่เปลี่ยนนะคุณ"
กานต์ยิ้มกว้างให้กับคำพูดของพสันต์ที่ฟังแล้วดูจะติดตลกไปนิด
"เอ้าเร็วสิคุณ…ถ้าคุณช้ากว่านี้ผมก็จะพลอยเปียกไปทั้งตัวด้วยนะครับ"
พสันต์เร่งเร้าเพราะตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกถึงความเย็นที่ไหลซึมเข้ามาใต้เสื้อฮู๊ดตัวหนา
กานต์เองก็รีบสำรวจดูร่างกายของคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า ก็พบว่าเสื้อผ้าของพสันต์นั้นเปียกแล้วเช่นกัน
กานต์จึงพยักหน้ารับพร้อมกับลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงทำให้เห็นว่าพสันต์ตัวเตี้ยกว่าเขาไปแค่ 5-6 เซนติเมตร
ทั้งสองกึ่งวิ่งกึ่งเดินอยู่ภายใต้ร่มคันเดียวกันทำให้สัมผัสได้ถึงไอร้อนจากอีกฝ่าย ซึ่งช่วยลดความหนาวเย็นจากสภาพอากาศได้เป็นอย่างดี
พสันต์เปิดประตูให้กานต์นั่งที่ข้างคนขับ ก่อนที่เขาจะเดินอ้อมไปเปิดประตูแล้วเข้าไปนั่งประจำที่หน้าพวงมาลัย
"ผมชื่อพสันต์นะครับ เลยสวนสาธารณะไปก็ถึงบ้านผมแล้วครับ"
"ครับผมชื่อกานต์ ขอบคุณนะครับ"
'กานต์ '
เป็นชื่อที่ได้ยินทีไรก็ทำให้พสันต์หวลคิดถึงคนคนหนึ่งทุกครั้งไป
ความคิดเห็น