Fic Liverpool yaoi (Torres x Gerrard) : My Secret
ความลับของผม....แม้จะเคยบอกกัปตันไปสักเท่าไหร่ เขาก็ไม่เคยเข้าใจมันเลย
ผู้เข้าชมรวม
805
ผู้เข้าชมเดือนนี้
25
ผู้เข้าชมรวม
สวัสดีทุกท่านที่หลังเข้ามาค่ะ คาดว่าหลงเข้ามากันแน่ๆ
ฟิคนี้เป็นฟิคสนองนี้ดส่วนตัว ว่าด้วยเรื่องการจิ้นคู่นักบอล
เตือนกันชัดๆ เรื่องนี้ ชายรักชาย นะคะ
ย้ำอีกครั้ง ชายแอบรักชาย
และเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาเท่านั้น
หากรับไม่ได้กรุณากดปุ่ม [X] ออกไปจากหน้านี้อย่างเร็ววัน
เพื่อประโยชน์สุขของตัวท่านและคนแต่งค่ะ
ขอบคุณค่ะ
Mamura_Hisagi
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
Fic Liverpool
By Mamura_Hisagi
*เรื่องนี้แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น
สนองนี้ดคนแต่งล้วนๆอาจมีบางเรื่องไม่สอดคล้องความจริง
อยากให้ท่านที่อ่านเข้าใจคำว่าฟิคชั่น และใช้วิจารณญาณในการอ่าน
หากท่านไม่ชอบเนื้อหาชายรักชาย กรุณาจากไปอย่างสงบค่ะ ขอบคุณค่ะ
My secret
“สตีเว่น ผม....อยากย้ายทีม”
ผมเอ่ยประโยคนี้อย่างยากลำบากขณะอยู่กันตามลำพังในห้องแต่งตัวของสโมสร กับ สตีเว่น เจอร์ราร์ด...กัปตันของสโมสรลิเวอร์พูล ดวงตาสีเทาเข้มของเขามองกลับมาที่ผม เขานิ่งเงียบอยู่นานจนผมรู้สึกใจคอไม่ดี ผมรู้ว่าตอนนี้ลิเวอร์พูลอาจต้องการผมมาก แต่ในทางกลับกัน...การที่มีสโมสรใหญ่และท็อปฟอร์มอย่างเชลซียื่นข้อเสนอมา มันก็เป็นโอกาสของชีวิตนักเตะของผม....เฟร์นันโด โคเซ ตอร์เรส ซานซ์ เช่นกัน
“ฉัน...เข้าใจ” สตีเว่นเอ่ยขึ้นมาเสียงเรียบ “แต่เฟร์นันโด นายรู้รึเปล่าว่านายเป็นผู้เล่นที่ยอดเยี่ยมแค่ไหน สโมสรไม่อยากจะให้นายย้ายทีมหรอกนะ”
“ผมรู้ แต่...ถ้าคุณช่วยไปคุยกับเคนนี่ให้ผม...เขาน่าจะยอมลองตอบรับข้อเสนอของเชลซีดู”
กัปตันของลิเวอร์พูลนิ่งไปอีกครั้ง ผม...กำลังทำให้เขาลำบากใจสินะ เขาเป็นถึงกัปตันของลิเวอร์พูล เขาอยู่กับลิเวอร์พูลตั้งแต่เขายังเด็ก...เขาเติบโตมาพร้อมกับสโมสรแห่งนี้ จนกระทั่งแทบจะเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของลิเวอร์พูล และลิเวอร์พูลเองก็แทบจะเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเขาเช่นกัน สิ่งที่ผมกำลังขอร้องเขาตอนนี้มันกำลังจะทำให้ลิเวอร์พูลลำบาก...
“ฉันจะลองดู....นายเองก็อย่าคาดหวังกับฉันมากละกัน”
เขาตอบรับด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบอีกครั้ง มือใหญ่ปิดประตูล็อคเกอร์แผ่วเบา ก่อนจะคว้ากระเป๋าเพื่อจะเดินออกไปจากห้องแต่งตัว วินาทีนั้นผมเห็นความไหวหวั่นในแววตาชายที่ผมนับถือ เขาก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อซ่อนคิ้วของเขาที่ขมวดเข้าหากันอย่างหนักใจ
ความรู้สึกผิดประเดประดังเข้ามาในห้วงอารมณ์ของผม แผ่นหลังกว้างค่อยๆ เดินห่างจากผมออกไป...ผมกำลังทำร้ายเขาอยู่ใช่ไหม....?
“อ้ะ?!”
เสียงของแม่ทัพเดอะค็อปอุทานด้วยความประหลาดใจ เมื่อผมใช้สองแขนโอบรอบเขาไว้ แล้วดึงเขาเข้ามาอยู่ในอ้อมแขน
“สตีเว่น ผมขอโทษ...ผม...ขอโทษ” ผมกอดเขาจากทางด้านหลัง และก้มหน้าซบลงกับไหล่ของเขา เสียงของผมสั่น แต่ผมควบคุมมันไม่ได้ ผมรู้สึกถึงก้อนที่จุกอยู่ในลำคอ น้ำใสๆ เริ่มคลอพร้อมที่จะร่วงหล่นออกจากตา และทันทีที่มือใหญ่ของเขาวางลงบนหัวของผม ผมก็กลั้นมันไม่อยู่อีกต่อไป....ผมกระชับตัวเขาเข้ามากอดให้แน่นขึ้นราวกับเขาเป็นท่อนไม้แสนสำคัญในทะเลอันเวิ้งว้าง น้ำตาลูกผู้ชายไหลรินลงบนไหล่กว้างที่แบกรับความคาดหวังของทั้งสโมสร
“ไม่เป็นไร...ไม่เป็นไรนะ เฟร์นันโด”
มือใหญ่ลูบหัวผมซ้ำๆ....ทั้งๆ ที่ผมกำลังทำให้เขาลำบากใจ...ทั้งๆ ที่ผมกำลังจะทำให้สโมสรที่เขารักอยู่ในภาวะคับขัน...แต่เขากลับปลอบโยนผมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนที่ผมไม่สมควรจะได้รับแม้แต่น้อย...ผมจำทุกวินาทีตั้งแต่เข้ามาสวมเสื้อแดงเพลิงของสโมสรนี้....ทุกวินาทีที่ได้เจอกับสตีเว่น เจอร์ราร์ด
“ยินดีต้อนรับสู่แอนฟิล์ด เอลนิโญ่” สตีเว่น เจอร์ราร์ดเดินเข้ามาจับมือผม หลังจากผมเซ็นสัญญากับลิเวอร์พูลในปี 2007 ผมตื่นเต้นไม่น้อยที่ได้เข้ามาร่วมเล่นกับสโมสรที่มีแฟนบอลอยู่ทั่วทุกมุมโลก และเขาคนนี้...ชายมหัศจรรย์ ที่ใครๆ ต่างพูดถึง
“ฝากตัวด้วยนะครับ” ผมยิ้มให้กัปตันของทีมใหม่
“นายอาจจะต้องปรับตัวมากหน่อยนะ เพราะทางบอลของอังกฤษต่างจากของสเปนมากทีเดียว”
ผมเม้มปากด้วยความประหม่า ใจหนึ่งรู้สึกกลัวการย้ายมาเล่นที่อังกฤษ และอีกใจหนึ่งผมกลับรู้สึกกระหายที่จะเริ่มเล่นมันซะเดี๋ยวนั้น เพราะผมชื่นชอบความท้าทาย
มือใหญ่ของสตีวี่จียื่นมาตบไหล่ผม
“ไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะดูแลนายเอง”
เจอร์ราร์ดยิ้มกว้างให้ผม...รอยยิ้มที่ทำให้หัวใจของผมเริ่มมีเงาของผู้ชายที่ชื่อสตีเว่น เจอร์ราร์ดสอดแทรกเข้ามา
.
.
.
.
.
“ผมเห็นคุณจูบกับชาบีตอนได้ถ้วยยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีกส์ พวกคุณกิ๊กกันอย่างที่เขาว่ารึเปล่าครับ?”ตอนนั้นน่าจะเป็นเดือนมกราคม ปี2008 หลังจากที่ผมย้ายมาอยู่ที่ลิเวอร์พูลประมาณหกเดือน ผมจำได้ว่าเขาทำตาโตด้วยความประหลาดใจ ก่อนสีหน้าประหลาดใจนั้นจะกลายมาเป็นสีหน้าขบขัน
“นายเชื่อข่าวพวกนั้นด้วยเหรอ?” เขาถามกลับพร้อมกับรอยยิ้ม
“นั่นสินะครับ ผมก็แค่อยากลองถามดู” เมื่ออยู่ในสนามพวกเราเล่นประสานกันได้อย่างดีเยี่ยม เขาส่งบอลว่าให้ผมได้แม่นยำราวกับเขารู้ว่าผมจะเคลื่อนตัวไปทางไหน และเขาเองก็จะปรากฏตัวในตำแหน่งที่ผมต้องการจะส่งบอลเสมอ และเพราะเขาสวมเสื้อหมายเลข 8 และผมสวมเสื้อหมายเลข 9 ทำให้ผมมีโอกาสสนทนากับเขาเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องในสนามหรือนอกสนาม
“ชาบีเคยพูดเล่นกับฉันตอนก่อนลงแข่งว่า หากพวกเราได้แชมป์ยูฟ่าฯ ชาบีจะจูบฉันโชว์ต่อหน้าแฟนบอล ฉันคิดว่าเขาพูดเล่นเพื่อให้ฉันผ่อนคลาย พอตอนพวกเราฉลองแชมป์ฉันเลยแกล้งยื่นปากไปหาเขา แต่เขาดันจูบฉันกลับจริงๆ”
กัปตันทีมพูดถึงเพื่อนร่วมทีมที่สวมหมายเลข 14 ชาบี อลอนโซ....เขาเป็นนักเตะสัญชาติสเปนเหมือนกับผม ผมเองก็สนิทกับเขาไม่น้อยเพราะเราพูดภาษาเดียวกันได้
“ผมเห็นคุณทำหน้าตกใจด้วย”
“นายก็สังเกตเห็นนี่นาว่าฉันตกใจ แล้วนายจะถามฉันทำไมล่ะ?”
“ก็ผมเห็นชาบีเลียที่หูคุณต่อ นั่นมันไม่ปกติสำหรับผู้ชายที่เป็นเพื่อนกันนี่ครับ”
“นายดูละเอียดเกินไปแล้วนะ เอลนิโญ่”
“ผมก็แค่ศึกษาทีมที่ผมจะมาอยู่เท่านั้นเองล่ะครับ”
ความเงียบโรยตัวเพียงเสี้ยววินาที ก่อนกัปตันของผมหัวเราะขำออกมาอีกครั้ง
“สรุปตอนนี้นายอยากให้ฉันตอบคำถามไหนกันแน่? ความสัมพันธ์ของฉันกับชาบี หรือเรื่องที่ชาบีเลียหูฉันที่อิสตันบูล”
“ทั้งสองอย่างเลยก็ดีครับกัปตัน”
“เออ....ไงดีล่ะ ฉันคิดว่าฉันกับชาบีเป็นเพื่อนกันนะ ถ้านายคิดว่าชาบีคิดกับฉันมากกว่านั้นก็ไปลองถามเขาดูสิ แล้วก็เรื่องเลียหูนั่น มันเป็นปกติของชาบีนะ เคยแกล้งฉันเลยรู้ว่าฉันรู้สึกไวที่หู ที่อิสตันบูลนั่นเขาก็แค่อยากแกล้งให้ฉันเก๊กแตกต่อหน้าแฟนๆ เท่านั้นเอง....แล้วนั่น นายยิ้มอะไรของนายกัน?”
.
.
.
.
.
“สตีเว่น ผมตื่นเต้นจังครับ” ผมยืนพึมพำกับนักเตะเจ้าของเสื้อเบอร์ 8 ในห้องแต่งตัวก่อนจะลงแข่งกับเวสต์แฮมยูไนเต็ด
“มีอะไรล่ะ เฟร์นันโด นัดที่แล้วเพิ่งจะทำแฮตทริกกับมิดเดิ้ลสโบรไปแท้ๆ นัดนี้ทำอีกแฮตทริกต่อหน้าสแตน์เดอะค็อปอีกสิ” นักเตะชาวอังกฤษพูดหยอกล้อกับผมขณะใส่เสื้อสีแดงเพลิงเข้ากับตัว
“อ้าาา นั่นล่ะที่ผมตื่นเต้น ผมกลัวแฟนๆ คาดหวังกับผมน่ะ ถ้าผมเล่นไม่ดี พวกเขาจะผิดหวังเอา” ผมยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดหน้า ผมรู้สึกว่ามือของผมมันเย็นเฉียบ ถึงผมจะผ่านเกมมากแค่ไหน แต่ในบางครั้งผมก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหม่าแม้มันจะเป็นเกมที่ไม่ควรรู้สึกประหม่าเลยก็ตาม...เขาจ้องผมอยู่ ใช่แล้ว ผมรับรู้ได้ว่าสตีวี่จีจับจ้องมาที่ผม หลังจากนั้นผมก็รู้สึกถึงความอบอุ่นทาบทับมาที่หลังมือ เขาจับมือผมแล้วดึงมาออกจากหน้าของผม
“ถ้าวันนี้ยิงไม่ได้สักประตู...ฉันจะลงโทษด้วยการจูบนายละกัน”
“เอ๊ะ? คุณล้อผมเล่นน่า” ตอนนั้นผมคงเผลอทำหน้าเหวอออกไป ผมเลยแอบเห็นมุมปากของสตีวี่กระตุก....เขากลั้นยิ้มอยู่?
“นายคิดว่าฉันเป็นคนชอบพูดล้อเล่นอย่างงั้นเหรอ?”
“ผมเห็นมุมปากคุณกระตุกนะ” ผมเอามือไปแตะที่มุมปากของเขาที่เขาพยายามเกร็งไว้ เขาจึงหลุดหัวเราะออกมา
“นายช่างสังเกตเกินไปแล้ว เฟร์นันโด” สตีวี่จียิ้มให้ผม ผมเลยอดที่จะยิ้มตามออกมาไม่ได้ เขาทำเพื่อให้ผมผ่อนคลายลงสินะ แล้วมันก็ได้ผลซะได้ เขายื่นมือมาตบไหล่เพื่อให้กำลังใจผม
“ไม่ต้องห่วงหรอกว่าจะยิงได้หรือไม่ได้ นายก็เล่นตามสไตล์ของนายไป เล่นเหมือนทุกทีที่เราเล่นกัน ไม่ว่านายจะอยู่ตรงไหนของสนามฉันจะส่งบอลไปถึงนายแน่นอน”
“วันนี้ผมอยากยิงเข้าต่อหน้าแฟนบอลชะมัด”
“ถ้ายิงเข้าหนึ่งลูก จะแพ้หรือชนะ ฉันจะพานายไปเลี้ยงเบียร์ดีไหม?”
“แล้วถ้าผมทำแฮตทริกได้ล่ะครับกัปตัน?”
“นั่นมันก็ดีกับทีมมากทีเดียวนะ ฉันไม่รู้จะตอบแทนนายยังไงดีเลยนะเนี่ย”
“ผมจูบกัปตันเป็นรางวัลน่าจะดีนะครับ”
“เอ่อ.....ถ้านายทำแฮตทริกได้ มันก็คงช่วยไม่ได้ล่ะนะ.......” ผมเห็นกัปตันยิ้มแหย่ๆ ก่อนหันมาหาผมด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“เอาจริงๆ นะ เมื่อกี้นายล้อเล่นใช่ไหม?”
“คุณคิดว่ายังไงล่ะครับ”
ผมยิ้มและยักคิ้วให้เขา ก่อนจบบทสนทนาด้วยการผิวปากเป็นทำนองเพลง “You’ll never walk alone” ขณะใส่เสื้อสีแดงเพื่อเตรียมลงสนามด้วยใจที่ฮึกเฮือม...ความประหม่าอะไรนั่นหายไปเป็นปลิดทิ้งอย่างกับไม่เคยมีมาก่อน
นาทีที่ 6 ผมเกือบจะทำประตูแรกสำเร็จถ้าลูกโหม่งของผมมันไม่โค้งออกนอกกรอบไป กัปตันวิ่งมาลูบหัวผมเพื่อให้กำลังใจ...
นาทีที่ 7 ผมก็ยิงประตูแรกของเกมเข้า ผมไถลเข่าไปกับสนามชูกำปั้นเพื่อแสดงความยินดีร่วมกับแฟนบอลเดอะค็อปที่เข้ามาเชียร์ อาร์เบลัวกระโดดเข้ามาเกาะไหล่ผมเป็นคนแรก ก่อนสตีเว่นจะวิ่งเข้ามาตบไหล่ผม จากนั้นเขาก็เดินไปโอบและให้กำลังใจคนอื่นๆ ต่อ....ผมเผลอมองตามแผ่นหลังของเขาไป และผมก็เห็นรอยยิ้มดีใจบนใบหน้าของเขา อา....ผมรู้สึกอยากทำให้เขายิ้มมากกว่านี้จังเลย
ครึ่งแรกจบลงด้วยสกอร์ 1-0 พวกเราค่อนข้างพอใจกับผลงานในครึ่งแรก แต่โค้ช....ราฟาเอล เบนิเตซ เขายังบอกว่าพวกเรายังสามารถทำได้ดีกว่านี้ เขาบอกวิธีให้ผมขยับเพื่อหาช่องว่างระหว่างกองหลังของคู่แข่ง มันดูเหมือนจะยากแต่ก็คงไม่ยากเกินกว่าที่ผมจะทำได้...ผมคิดว่านะ
“ยิงลูกแรกได้แล้วนี่ คืนนี้ฉันต้องเลี้ยงเบียร์นายซะแล้วสิ” เจอร์ราร์ดยื่นขวดน้ำมาตรงหน้าผม เขายกมือขึ้นขยี้หัวผมเล็กน้อย....เขาทำแบบนี้เสมอกับผู้เล่นที่อายุน้อยกว่าเขา นั่นมันทำให้ผมรู้สึกว่าผมไม่ได้เป็นคนที่เขาให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เขาดีกับผม...เหมือนที่ดีกับคนอื่น
“ผมรู้สึกเหมือนวันนี้ผมจะทำแฮตทริกได้เลยล่ะครับ”
“งั้นก็ดี ครึ่งหลังทำให้เต็มที่ล่ะ”
“เรื่องรางวัลสำหรับแฮตทริก ผมไม่ได้ล้อเล่นนะครับ”
“อ่า ถ้าทำได้ค่อยว่ากัน”
เริ่มครึ่งหลังนาทีที่ 60 ผมแก้ตัวจากการโหม่งลูกแรกพลาด ด้วยการโหม่งประตูที่สองให้กับลิเวอร์พูล สตีเว่นวิ่งเข้ามากอดผมพร้อมๆ กับคนอื่น ในจังหวะที่มีเพียงเขาโอบกอดไหล่ผมอยู่ผมยื่นหน้าเข้าไปกระซิบที่ข้างหูเขา
“ประตูที่สองแล้วนะครับกัปตัน”
เขารีบเอามือปิดหูไว้ และผละตัวให้ห่างจากผมอย่างเนียนๆ
“เหลืออีกตั้งหนึ่งลูก อย่างคิดว่ามันง่าย เอลนิโญ่”
สตีวี่พูดทิ้งท้ายก่อนวิ่งออกไป....อีกหนึ่งลูกสินะ ผมนึกยิ้มในใจพลางยกนิ้วชี้ขึ้นลงเพื่อย้ำเตือนตัวเองว่าอีกหนึ่งลูก....หนึ่งลูก
นาทีที่ 80 ผมซัดประตูที่สามของผมเข้าไปจากจังหวะที่กองหลังประกบผมพลาด ผมวิ่งไปหน้าเหล่ากองเชียร์ เพื่อนๆ วิ่งเข้ามากอดผมอีกครั้ง รวมถึงกัปตันด้วย ครั้งนี้เขาเดินจากไปอย่างรวดเร็วก่อนที่ผมจะได้ทันพูดอะไรกับเขา ในเมื่อเขาไม่อยู่ฟังผมพูด ผมเลยกะจะวิ่งไปพูดกับเขาก่อนผู้รักษาประตูจะเตะบอลออกมา แต่ก่อนที่ผมจะได้ทำ กรรมการก็เป่านกหวีด ราฟาเอลให้สัญญาณเปลี่ยนตัวผมออก ผมหันไปมองที่เจอร์ราร์ด เขาขยับปากเป็นคำ และผมอ่านได้ว่า ‘ไปพักซะ ทีเหลือฉันจะดูแลเอง’ ผมพยักหน้า และยกมือขึ้นเหนือศีรษะ เพื่อปรบมือให้กับเหล่าเดอะค็อปที่ช่วยเชียร์ สิ่งที่ได้รับกลับมาคือเสียงปรบมือล้นหลามขณะผมถูกเปลี่ยนตัวออกไป
“โอ้ย ฉ้นลุ้นแทบตายนึกว่าจะโดนตีเสมอซะแล้ว”
สตีเว่นยิ้มกว้างให้ผมก่อนยกแก้วเบียร์ในมือขึ้นดื่ม นั่นน่าจะเป็นแก้วที่เจ็ดของเขาล่ะนะ...เกมจบลงที่พวกเราชนะด้วยสกอร์ 3-2 พอหลังผมโดนเปลี่ยนตัวออก โค้ชก็เปลี่ยนวิธีการเล่นเป็นตั้งรับ ผมว่าอันที่จริงนั่นมันอาจจะไม่เหมาะที่จะเป็นวิธีการเล่นของลิเวอร์พูลเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างนั้นพวกเราก็รอดตัวมาแบบหวุดหวิด ได้สามแต้มที่มีค่ามา นั่นน่ะทำให้สตีวี่มาเลี้ยงเบียร์ผมตามที่สัญญาไว้...ที่บ้านพักของผม
“ผมรู้นะว่าคุณเครียด เวลาคุณคิดมาก คุณจะขมวดคิ้วแล้วกระพริบตาติดกันสามที”
เขาชะงักแล้วหันหน้ามามองผม
“ฉันไม่ยักกะรู้ว่าฉันทำแบบนั้น”
“ผมล้อเล่นน่ะสิ...เป็นเรื่องล้อเล่นอยู่แล้วล่ะครับ เอ้า! หมดแก้วนะครับ”
ผมยกแก้วเบียร์ในมือขึ้นดื่มจนหมด เจอร์ราร์ดเองก็ยกเบียร์แก้วที่เจ็ดของเขาขึ้นดื่มจนหมดเช่นกัน ใบหน้าของเขาขึ้นสีแดง ดวงตาที่ฉายแววเด็ดเดี่ยวยามอยู่บนสนามปรือเปรยลงเล็กน้อยเนื่องจากฤทธิ์แอลกอฮอล์
“คุณเมาแล้วรึเปล่าครับ?” ผมส่งเสียงถาม กัปตันจึงขมวดคิ้วแล้วเอามือนวดระหว่างหัวคิ้วของตัวเอง
“คงเมาแล้วน่ะแหละ ไม่ต้องห่วง ฉันบอกที่บ้านไว้แล้วว่าจะค้างบ้านนาย นายก็รู้นี่”
“คุณใช้ห้องแฟนผมได้ตามสบายเลยครับ เธอยังไม่ว่างมาเยี่ยมผมที่อังกฤษ ให้ผมประคองคุณไปนะครับ”
“ไม่ต้อง....ฉันไหว”
สตีวี่ลุกขึ้นช้าๆ ผมมองท่าทีของเขาด้วยความระมัดระวัง เขาเซเล็กน้อยขณะก้าวเดินและเกือบจะทรุดลงพื้นถ้าผมไม่คว้าตัวของเขาไว้...เขาตัวหนักกว่าที่ผมคิดทีเดียว ด้วยส่วนสูงที่จะเรียกว่าไม่ต่างกัน ทำให้ปลายจมูกของผมกับเขาห่างกันไม่ถึงเซน และนั่นทำให้ผมรู้ว่าผมเอง....ก็เมาไม่แพ้กัน
ผมเผลอจูบเขาไปตอนไหนก็ไม่รู้...กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่พวกเราล้มกันไปบนโซฟาทั้งคู่
ผมตั้งสติและผละออกมาอย่างรวดเร็ว แต่สตีวี่ไม่....
.....เขาผล็อยหลับไปแล้ว...
นั่นคงเป็นโชคดีของผมล่ะมั้ง....จูบครั้งแรกและครั้งเดียวกับสตีวี่
....จูบที่เขาไม่มีวันรู้....
ผมแบกเขาขึ้นหลังแล้วพาไปยังห้องนอน จัดท่านอนของเขาให้เขานอนสบาย....
“Buenas noches, Stevie (บูเอนาส นอเชส = ราตรีสวัสดิ์)”
ริมฝีปากผมแตะเข้าที่ข้างแก้มของกัปตันทีม ผิวแก้มของเขาไม่ได้เนียนใสแบบของหญิงสาวแรกรุ่นหรอก ออกจะหยาบกร้านด้วยซ้ำไป แต่ถึงอย่างนั้นผมกลับรู้สึก....อยากจูบย้ำลงไปอีกหลายครั้ง นี่ผม...เป็นอะไรไปเนี่ย....
“อ่า...เอลนีโญ่ เรื่องรางวัลสำหรับแฮตทริกเมื่อวันก่อนน่ะ”
“อ๋อ ไม่ต้องหรอกครับแค่เลี้ยงเบียร์ผมก็พอแล้ว”
กัปตันพยักหน้าเข้าใจ สีหน้าของเขาแสดงความโล่งอกออกมา....ก็ผมได้รับมันมาเรียบร้อยแล้วนี่ครับ....สตีวี่....
.
.
.
.
.
ผมตัดสินใจแต่งสาวกับแฟนสาวชาวสเปนของผมในปลายเดือนพฤษภาคม ปี 2009 แน่นอนว่าเธอยังคงอยู่ที่สเปน แล้วจะมาหาผมเป็นครั้งคราว....แต่ถึงอย่างนั้น....ความรู้สึกของผมที่มีต่อเจอร์ราร์ดมันไม่ได้ซับซ้อนลดลงเลย มันซับซ้อนมากขึ้น....วกวนจนผมสับสน
ผมเคยนับถือเขาเหมือนเป็นญาติผู้ใหญ่....เหมือนเป็นพี่ชาย
ผมเคยคิดว่าเขาเป็นเพียงแค่เพื่อนร่วมทีม....เป็นกัปตันที่แสนวิเศษ
ผมเคยยิ้มและหยอกล้อกับเขา....ราวกับเป็นเพื่อนสนิท
แต่ตอนนี้.......
นับวันผมอยากจะให้เขาสนใจผมให้มากกว่าคนอื่น....ไม่ใช่แค่ในฐานะเพื่อนร่วมทีม
ผมรู้สึกอิจฉานักเตะรุ่นน้องที่เข้ามาใหม่....ที่สตีวี่จะคอยดูแลเป็นพิเศษ
ผมไม่ชอบใจเวลาเขาหยอกล้อกับชาบี....แม้การชนแก้มกันจะเป็นการทักทายของเพื่อนชายคนสนิทในแบบของสเปนก็ตาม
แล้วผมทำอะไรได้กับความรู้สึกนี้ล่ะ...?
ผมทำได้แค่เก็บมันไว้....เก็บไว้ในใจของผมคนเดียว
.
.
.
.
.
“ชาบีจะย้ายไปเรอัลมาดริด”
กัปตันของทีมหงส์แดงเอ่ยกับผมขณะพวกเราแต่งตัวหลังซ้อมเพื่อเตรียมตัวสำหรับฤดูกาลหน้า(2009/2010) ที่จะถึง ผมไม่คิดว่าจะมีวันที่ชาบีจะทิ้งสตีเว่น....ไม่สิ ทิ้งลิเวอร์พูลไป แต่วันนั้นก็มาถึงจนได้ เขาจากไปในช่วงเดือนสิงหาคม ปี 2009
ขาดชาบีไป....ลิเวอร์พูลเหมือนขาดฟันเฟืองชิ้นสำคัญ
ผมเองก็มีอาการบาดเจ็บ...แล้วก็ต้องผ่าตัด พักอยู่หลายครั้ง
ช่วงนั้นฟอร์มพวกเราตกลงไป...โอกาสลุ้นแชมป์ของพวกเราลดลง
แต่ผม....ไม่เคยคิดจะทิ้งลิเวอร์พูล....ไม่เคยคิดที่จะทิ้งแฟนบอล...เพื่อนร่วมทีม และกัปตันของผม
เขาดูเศร้าหมองลงเมื่อไม่มีชาบี แต่เขาก็จะทำตัวให้เข้มแข็งเมื่ออยู่ต่อหน้าลูกทีม
....นั่นล่ะกัปตันที่ผมนับถือ....ผมสัญญากับตัวเองว่าผมจะไม่ทิ้งเขาไปแน่นอน....
.
.
.
.
.
.
“ฉันอยากให้นายไปบอกกับดักลิชว่านายไม่มีความสุขกับการอยู่ที่นี่”
“ผมไม่เข้าใจ ทำไมผมต้อง...”
“พวกฉันบอกเขาแล้วว่าฐานะการเงินของสโมสรไม่ดี แต่เขารั้งที่จะเก็บนายไว้ ทั้งที่เชลซีให้ข้อเสนอมาห้าสิบล้านปอนด์ เงินนั่นจะช่วยให้เราซื้อนักเตะมาแทนนาย แล้วก็ช่วยการเงินของสโมสรได้”
“ผมมีความสุขกับการอยู่ที่นี่นะครับ ผมไม่อยากไป”
“แต่พวกฉันจำเป็น....นายทำยังไงก็ได้ให้เจ้าแก่หัวดื้อนั่นขายนายสักที เข้าใจใช่ไหม ไม่อย่างนั้นที่พวกเราจะขายอาจจะเป็นสตีเว่น เจอร์ราร์ด”
“คุณไม่ต้องไปบอกเคนนี่แล้วล่ะครับสตีเว่น ผมจะบอกเขาเอง”
ผมยกมือขึ้นปาดน้ำตาลวกๆ หลังจากสงบสติอารมณ์ได้
“ฉันไม่อยากให้นายย้ายไปจากเราหรอกนะ แต่ถ้านั่นคือทางเลือกของนายแล้วนายมีความสุขก็ทำมันซะ” เขายกมือขึ้นลูบหัวของผมเหมือนทุกทีที่เราอยู่ด้วยกัน....ผมคว้าตัวเขามากอดอีกครั้ง
“ผมอยากให้คุณรู้ว่า...ผมรักที่นี่มากแค่ไหน เพื่อนร่วมทีม แฟนบอล และผมก็รักคุณมากนะ”
.....ผมรักเขาจริงๆ.....รักในฐานะนักบอลด้วยกัน...รักในฐานะกัปตัน....และรักจนทรมาน...ที่จะต้องกลายเป็นคู่แข่งกับเขา ไม่ได้ยืนข้างกันในสนาม....ไม่ได้เปลี่ยนชุดข้างๆ กัน....
“ขอบคุณความรู้สึกที่มีให้พวกเรานะ ฉันเองก็รักนายมากเหมือนกัน”
....ผมรู้ว่าคำว่ารักของเขานั้น....หมายถึง....รักในฐานะเพื่อนร่วมทีม....เท่านั้น
การจากไปของผมครั้งนี้มันคงทำให้เขาเจ็บปวด....เจ็บปวดเพราะลิเวอร์พูลสูญเสียกองหน้าที่อุตส่าห์วางตัวไว้สำหรับเล่นคู่กับหลุยซ์ ชัวเรซ ซึ่งเคนนี่กำลังจะซื้อเข้ามา ผมได้ยินข่าวเขามาเยอะ แต่เคยเห็นเขาเล่นมากับตา เขาแข็งแกร่งมาก...จะดีแค่ไหนถ้าผมได้ลงเล่นพร้อมเขาสักนัด....ลิเวอร์พูลคงกลายเป็นทีมที่แข็งแกร่งน่าดู....แต่ผมคงไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว
“สตีเว่น....ผมรักคุณ”
ผมกระชับตัวเจอร์ราร์ดในอ้อมแขนไว้แน่น และสิ่งที่ได้กลับมามีเพียงอ้อมกอด และฝ่ามือใหญ่ลูบหลังอย่างอ่อนโยน….ผมหวังว่าผมกับเขาคงมีโอกาสเจอกันบ้างล่ะนะ
.
.
.
.
.
.
เสียงโทรศัพท์มือถือของผมดังขึ้นในยามเช้า ผมงัวเงียลุกขึ้นมา เมื่อมองเห็นชื่อของคนที่อยู่บนหน้าจอผมไม่รีรอที่จะรับทันที
“ว่าไงครับ สตีวี่”
“เสียงง่วงเชียว เฟร์นันโด”
“มันยังเช้าอยู่เลยนี่ครับ”
“อากาศที่มาดริดดีไหม?”
“ก็อากาศดีใช้ได้ทีเดียวครับ”
ตอนนี้ผมได้ลงเล่นให้กับแอตแลนติโก้มาดริด สโมสรแรกเริ่มของผมด้วยสัญญายืมตัวหนึ่งปีครึ่ง มันก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่กับการได้กลับมาถิ่นเก่า
“เสียใจเรื่องย้ายทีมด้วยนะครับ”
เป็นเรื่องช็อคต้นปีของผมหลังจากลิเวอร์พูลประกาศยอมรับว่าเจอร์ราร์ดจะย้ายทีมไปอยู่กับทีมฟุตบอลในอเมริกา....ตอนรู้ข่าวผมรู้สึกแค่ว่า....เอาอีกแล้วเหรอเนี่ย สุดท้ายแล้วแม้แต่หัวใจของทีมอย่างชายผู้แสนมหัศจรรย์คนนี้ยังไม่สามารถอยู่กับทีมที่รักของเขาได้
“มันก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ ฉันโทรมาหานายเพราะเรื่องนี้แหละ”
“เอ๊ะ?”
“ก็จะมีฟุตบอลการกุศล ก็เหมือนจัดอำลาให้ฉันน่ะแหละ จะมีแข่งสองทีมคือ ทีมเจอร์ราร์ด กับทีมคาราเกอร์ นาย...สนใจจะกลับมาเล่นที่แอนฟิล์ดรึเปล่า มาเล่นให้กับทีมเจอร์ราร์ดน่ะ”
ผมนิ่งอึ้งไปชั่วครู่....คำเชื้อเชิญนั่นเหมือนกับความฝัน....ฝันที่จะกลับไปเล่นยังสโมสรที่มีมนต์เสน่ห์นั่น....ฝันที่จะกลับไปเล่นข้างกายของผู้ชายที่ตราตรึงอยู่ในความทรงจำและหัวใจ
“แน่นอนสิครับ ผมจะไปที่นั่น ผมจะไปแน่ๆ” ผมตอบกลับไปด้วยความตื่นเต้น น้ำเสียงผมไม่ปิดบังความดีใจไว้แม้แต่น้อย
“ดีใจจังที่นายตกลง เรามีแข่งวันที่ 29 มีนาคม น่ะ ก่อนหน้านั้นพวกเราน่าจะมาซ้อมด้วยกันบ้างนะ หลุยซ์เองก็ตอบตกลงแล้วเหมือนกัน ฉันอดใจรอไม่ไหวที่จะเห็นพวกนายเล่นประสานกันเลยล่ะ”
ผมรู้สึกถึงน้ำเสียงที่ผ่อนคลายของเขา ให้เดาว่าตอนนี้เขาคงยิ้มอยู่แน่ๆ...ให้ตายเถอะ แค่นึกผมอยากจะหายตัวไปกอดเขาตอนี้เลย
“ผมจะทำทุกอย่างที่ผมสามารถทำได้เลยสตีวี่ ผมจะเตรียมตัวทุกสิ่ง....ทุกอย่าง เพื่อไปอยู่ที่นั่นกับคุณในวันนั้น”
“ฉันจะตั้งตารอคอยวันนั้นเลยล่ะ เอลนีโญ่ แล้วเจอกันนะ”
“ครับ ขอบคุณที่ยังไม่ลืมผมนะครับ ผมรักคุณ สตีวี่”
“รักนายเหมือนกัน เฟร์นันโด”
เสียงตัดสายดังออกมาจากโทรศัพท์ ผมเงยหน้าขึ้นราวกับจะซึมซาบความสุขจากข่าวดีที่ได้รับ ผมใช้มือหยิกแก้มตัวเองเพื่อทดสอบว่ามันไม่ใช่ความฝัน...ใช่ครับ มันเจ็บ เพราะงั้นสิ่งที่ผมเพิ่งได้ยินไปมันเป็นความจริง ผมกำลังจะได้กลับไปเล่นในแอนฟิล์ดโดยไม่ใช่ในฐานะคู่แข่ง แต่ในฐานะเพื่อนร่วมทีมของตำนานที่มีชีวิตอย่างสตีเว่น เจอร์ราร์ด
.....เขายังคงยิ่งใหญ่....และเป็นกัปตันที่ไม่มีใครแทนที่ได้....
.....ตัวตนของเขายังคงหลงเหลือในใจของผมเสมอ....
.....ความรักของผมที่ไม่มีวันบอกออกไป....ผมขอเก็บความรู้สึกทั้งหมดที่มีไว้ให้เป็นความลับ....
.....เก็บมันไว้ให้มันตายจากไปพร้อมกับตัวผม.....
“Te amo, Steven Gerrard”
....คำว่ารัก...ที่เขาไม่มีวันเข้าใจ.....
-The End-
อ๊าาาาา ได้แต่งซะทีสำหรับฟิคเจอร์ราร์ด ถึงจะเป็นมุมมองของตอร์เรสก็เถอะ จินตนาการล้วนๆ แฟนบอลสายนอร์มอลอย่าเพิ่งบอกให้ฮิซากิวางถุงกาวนะคะ ฮิซากิไม่ได้ดมกาวค่ะ ก็นะ...จะมีใครรู้รึเปล่าว่าฮิซากิเป็นแฟนบอลลิเวอร์พูล รักทีมนี้มากค่ะ แต่ก็มาเจอเรื่องช็อคเพราะพี่เจิดย้ายทีม เล่นเอาเศร้าเหมือนอกหักไปเป็นอาทิตย์ ทีนี้วันที่ 29 มีนาจะมีการเตะการกุศลใช่ม้า แล้วก็มีการรวมกิ๊ก เอ้ย เพื่อนร่วมทีมกิตติมาศักดิ์ของคุณกัปตันมาเพียบ โดยส่วนตัวแล้วชอบทั้งชาบี อลอนโซ กับตอร์เรส แต่แบบชอบให้อีกฝ่ายเด็กกว่ามันให้ความรู้สึกใจเต้นดีน่ะค่ะ แล้วก็อยากมโนให้ตอร์เรสแบบเป็นพระเอกบ้าง ซึ่งความจริงในตอนที่พี่ตอร์ย้ายทีมคืออะไรก็ไม่รู้หรอก แต่อยากหาข้ออ้างให้นางเล่น แต่สิ่งที่จุดประกายฟิคเรื่องนี้สุดๆ คือบทสัมภาษณ์ของทั้งตอร์เรสและเจอร์ราร์ดค่ะ พวกนายจะบอกรักกันไปไหน เข้าใจอยู่ว่าภาษาอังกฤษเป็น I love him มันก็ชัดเจน ชัดเจนมาก ผมรักเขา ต่างคนต่างบอกรักกันขนาดนี้ฮิซากิอดใจไม่ไหวที่จะแต่งฟิคส่งท้ายให้หรอกค่ะ จะติจะชมก็แล้วความสะดวกใจ ขอบคุณทุกคนที่หลงเข้ามาอ่านค่ะ
ผลงานอื่นๆ ของ Mamura_Hisagi ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Mamura_Hisagi
ความคิดเห็น