ผมยืนมองประตูที่ทำมาจากไม้สีแดงบานใหญ่ของอาคารหลังหนึ่งบนถนนบรีคเกอร์ กลางมหานครนิวยอร์ก บ้านเลขที่ที่ติดอยู่ข้างประตูระบุว่าสถานที่แห่งนี้คือบ้านเลขที่ 177A ตรงกับสถานที่ที่ผมต้องการที่จะมา เนื่องจากผมพึ่งมาเยือนสถานที่แห่งนี้เป็นครั้งแรก ผมจึงตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนเพื่อให้แน่ใจว่ามาถูกที่แล้ว
แม้ว่าอาคารแห่งนี้จะทำให้ผมรู้สึกผิดคาดไปอยู่บ้างเนื่องจากมันดูสมัยใหม่กว่าที่ผมจินตนาการเอาไว้ในทีแรก แต่ถึงแม้ว่ามันจะดูสมัยใหม่เพียงใด มันก็ไม่ได้มีระบบรักษาความปลอดภัยอัตโนมัติจำพวกระบบตอบรับจากเจ้าของบ้านหรือระบบกันขโมยที่ทันสมัย พอมาสังเกตได้ถึงจุดนี้ผมก็ไม่รู้ว่าผมจะเข้าไปในอาคารได้อย่างไรเพราะมันไม่มีแม้แต่ออดหน้าประตูให้ผมกดด้วยซ้ำ
แต่ทันใดนั้นเองประตูบานใหญ่ก็เปิดออก เพื่อเชื้อเชิญให้ผมเข้าไปในนั้น
“ฮัดเช้ย” ความคันยุบยิบในจมูกของผมมันกำเริบทันทีที่เดินเข้ามาในอาคารและหลังจากประตูที่ปิดลงอย่างเงียบเชียบ ซึ่งมันต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วก็ห้องโถงที่ผมเดินเข้ามามันเต็มไปด้วยฝุ่นหนาเป็นคืบ เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นมีผ้าคลุมอยู่ มีแมงมุมกำลังทอใยอยู่ตรงราวบันไดที่อยู่กลางห้องโถงห้องนี้ ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าที่นี่มีคนอาศัยอยู่จริงหรือไม่
“สวัสดีครับ” ผมตะโกนพร้อมกับมองไปรอบๆ “มีใครอยู่ไหมครับ”
ไม่มีเสียงคนตอบรับ หรือว่าจะไม่มีใครอยู่ที่นี่แล้วจริงๆ และประตูที่เปิดออกเองก็เป็นเพียงแค่เรื่องบังเอิญที่อาจเกิดจากแรงลมก็เพียงแค่นั้น
.....มาเสียเที่ยวจนได้สินะ.....
“สวัสดีครับ ขออภัยที่ผมลงมาต้อนรับช้า”
มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากชั้นบนจนทำให้ผมสะดุ้งเฮือก ผมแหงนหน้ามองไปตามเสียงนั้นแล้วก็เห็นคนที่ผมต้องการพบกำลังลอยลงมาจากชั้นสองด้วยพลังของผ้าคลุมสีแดงที่เกาะไหล่ของเขาอยู่
“โอ้ คุณเอเวอร์เรตต์ รอสส์ สวัสดีครับ ลมอะไรพัดมาถึงที่นี่ได้” เขากล่าวทักทายผมแทบจะทันทีที่เท้าของเขาแตะพื้น “ขออภัยด้วยนะครับที่ลงมาช้า ผมกำลังล้างห้องน้ำชั้นบนอยู่”
“ผมไม่คิดว่าจะมีคนอยู่” ผมพูดพลางมองไปรอบๆ “มันเกิดอะไรขึ้นครับเนี่ย”
อีกฝ่ายถอนหายใจ “หว่องเขาไปพักร้อนน่ะครับ ผมก็เลยอยู่คนเดียว แล้วอาศรมมันก็ใหญ่โตเกินกว่าที่ผมจะทำความสะอาดได้ทุกวัน” เขาพูดด้วยท่าทางเบื่อหน่าย “ส่วนไหนไม่ค่อยได้ใช้ก็ปล่อยๆ ไปก่อนครับ”
ผมพยักหน้าเข้าใจ “เหนื่อยแย่เลยนะครับคุณสตีเว่น สเตรนจ์”
“เรียกผมว่าสเตรนจ์ก็ได้ พวกคุณทุกคนก็เรียกผมแบบนั้น เราไม่ใช่คนอื่นคนไกลกันนี่ครับ” เขาพูด “หรือจะเรียกว่าหมอเฉยๆ ก็ได้ ผมก็ไม่ได้ติดอะไร”
“โอเคครับ จริงๆ คุณเรียกผมว่ารอสส์เฉยๆ ก็ได้เหมือนกันนะ”
“ว่าแต่คุณรอสส์มาทำอะไรหรอครับ” เขาถาม “อย่าบอกนะครับว่ามาเรียกผมกลับไปทำงาน” มาถึงจุดนี้เขาเริ่มทำหน้ากังวลใจ
“อ่า......ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ” เป็นผมที่เริ่มที่มีท่าทางตื่นเต้นเสียเอง “ไม่ใช่เรื่องงานครับ คืออย่างนี้ .....”
ผมหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากด้านในเสื้อแจ็คเก็ตที่สวมอยู่ “อันนี้มันคือของคุณใช่ไหม”
“อกหัก รักคุด อยู่ในจุดที่ไม่มีใครเหลียวแล มาทางนี้สิ!
ทุกความปรารถนาเป็นจริงได้เพียงแค่คุณมาหาเรา
เชื่อมือพ่อหมอคนนี้ได้เลย!
มาหาเราสิ 177A ถนนบรีคเกอร์ กรีนนิชวิลเลจ นิวยอร์ก”
“ผมอธิบายได้ครับ” เขาตอบทันทีที่อ่านใบปลิวโฆษณาในมือของผมจบ “มันมีรายละเอียดมากกว่านั้น”
“สรุปว่าพ่อหมอที่รับทำยาเสน่ห์คือคุณจริงๆ ใช่ไหม” ผมถาม “ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องล้อเล่น”
“คุณรอสส์ต้องเข้าใจผมนะครับว่าผมไม่มีรายได้อะไรเลย ผมไม่ใช่ศัลยแพทย์มือหนึ่งอีกแล้วหลังจากประสบอุบัติเหตุ ผมไม่มีทรัพย์สิน อาศรมนี้ก็เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าจอมเวทซึ่งมันไม่ก่อรายได้ แต่ผมก็ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ผมจำเป็นจะต้องใช้นะครับ”
“แต่กลาโหมก็พึ่งอนุมัติเบี้ยเลี้ยงรายเดือนให้เองนะครับ”
“เบี้ยเลี้ยงหรือเศษเงินจากรัฐกันครับคุณรอสส์” เขาถาม “ผมไม่รู้ว่ารัฐบาลคิดว่าเงินจำนวนนี้มันพอต่อการดำรงชีพจริงๆ หรือครับ เขาคำนวณจากอะไร ค่าครองชีพรายเดือนที่ประชาชน 1 คนจะสามารถใช้จ่ายได้อย่างไม่ลำบาก หรือเขาคำนวณเอาว่าเศษเงินที่เหลือในคลังมีเท่าไหร่แล้วค่อยเอามาหารเฉลี่ยให้คนทั้งประเทศล่ะครับ”
“อ่า ….. ผมขอโทษครับ” ผมรู้สึกหน้าชาไปเล็กน้อยกับความจริงที่อีกฝ่ายได้ชี้แจงให้เห็นถึงความไม่มีประสิทธิภาพในการบริหารงานจากรัฐ ซึ่งนั่นก็คือหน่วยงานต้นสังกัดของผม “การพิจารณาที่ผ่านๆ มา ตัวแทนเหล่าผู้พิทักษ์โลกที่เข้าประชุมกับกลาโหมไม่ได้มีใครโต้แย้งอะไร พวกเราเลยคิดว่าทุกอย่างไม่มีปัญหา”
“คุณน่าจะลองคิดว่าสมัยนู้นที่มีการประชุมโทนี่เขายังอยู่และผู้พิทักษ์โลกไม่ได้มีเยอะแยะมากมายขนาดนี้ ตอนนั้นเงินเท่านี้มันอาจจะพอ แต่ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้วนะครับ” เขาถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง “แต่ถ้าคุณรอสส์จะลงโทษผมเพราะผมทำยาเสน่ห์ขายล่ะก็ ลงโทษมาเลยครับ ผมก็พร้อมยอมรับผิดอยู่แล้ว”
“ผมอยากได้ขวดนึง” ผมบอกเจตนาของตัวเองในการมาเยือนสถานที่นี้แทบจะทันที “ผมอยากได้ยาเสน่ห์แบบที่คุณทำขายขวดนึง”
“ห้ะ….?”
“ผมพูดจริงๆ คุณคิดเท่าไหร่ ผมพร้อมจ่ายเลย ผมเชื่อว่ามันได้ผลแน่นอน คุณรับบัตรมั้ย”
“ผมรับแต่เงินสด” เขาตอบทันทีเช่นกัน “แต่คุณรอสส์อยากได้จริงๆ หรอครับ”
ผมลังเล “หรือคุณไม่ทำขายให้คนกันเองหรือเปล่า หรือว่ามันมีปัญหาขัดข้องตรงไหน ผมไม่เห็นในใบปลิวมันระบุไว้ผมก็เลยคิดว่าผมเองก็น่าจะซื้อได้”
เขายกมือขึ้นปฏิเสธ “ไม่ใช่อย่างนั้นครับ ทำน่ะทำได้ครับ แต่คุณรอสส์จะเอาไปใช้กับใครครับ”
หน้าของผมร้อนไปจนถึงใบหูเมื่อได้ยินคำถามนี้ เลือดสูบฉีดอย่างรุนแรงจนผมได้ยินเสียงหัวใจของตัวเอง มือไม้ก็ดูเกะกะไปหมดจนผมไม่รู้จะเอามันไปไว้ตรงไหน ผมยกมันขึ้นมาเกาหัวเบาๆ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ “จำเป็นต้องบอกด้วยหรอครับ”
“จริงๆ ก็ไม่จำเป็นหรอกครับ ผมแค่แปลกใจว่าระดับคุณรอสส์ยังต้องใช้มันด้วยหรอ”
“คนเรามันก็ต้องถึงจุดที่ไม่สมหวังบ้างครับ” ผมยิ้มตอบ “ประเภทอยากได้แล้วไม่ได้น่ะ”
เขาพยักหน้า “ผมเข้าใจเป็นอย่างดี” พูดพลางผายมือไปที่ห้องหนึ่งที่อยู่ปีกทางซ้ายของอาคาร “เชิญที่ห้องพิธีเลยครับ”
ประตูปีกซ้ายของอาคารเปิดออกต้อนรับผู้มาเยือนที่วันนี้จะมาเป็นลูกค้าอย่างผม ภายในห้องนี้แตกต่างจากห้องโถงเมื่อสักครู่อย่างชัดเจน ห้องนี้ตกแต่งภายในด้วยหินโบราณที่มองด้วยตาของคนที่ไม่มีความรู้เรื่องวัตถุโบราณอย่างผม ผมก็พอจะรู้ว่าอายุรวมๆ ของพวกมันคงมากกว่าอายุของโลกใบนี้ ตรงกลางห้องมีอ่างน้ำที่ทำมาจากหินโบราณขนาดใหญ่ตั้งอยู่ มันคืออ่างน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่จะช่วยทำให้ผมสมหวังจากสาเหตุที่ทำให้ผมต้องมาถึงที่นี่แน่นอน
“เชิญครับ” เขาผายมือเชิญให้ผมไปยืนข้างอ่างน้ำ ก่อนที่ประตูห้องจะปิดลง “เอามือแตะที่อ่างได้เลยครับ”
“ผมมีคำถาม”
เขาขมวดคิ้ว “เรื่องอะไรครับ”
“คือ……” ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจับต้นชนปลายคำถามของตัวเองไม่ถูก “ไม่แน่ใจว่าถามได้มั้ย มันค่อนข้าง … เอ่อ …. ส่วนตัว”
“ไม่เห็นต้องกังวลเลยครับ เรามันก็คนกันเอง”
"คือ ….. คือผมสงสัยในพลังของคุณว่ามันมีความสามารถอื่นๆ อีกไหมนอกจากการย้อนเวลากลับไปได้"
"เช่นอะไรล่ะครับ"
"การอ่านใจ อะไรแบบนี้" ผมตอบ "พวกพ่อมด พ่อหมอเขามักจะอ่านใจกันได้ไม่ใช่หรอครับ"
เขาหัวเราะออกมาดังลั่น แต่ไม่ใช่เสียงหัวเราะที่แสดงออกถึงกันดูหมิ่นในความไม่รู้ของผม แต่เป็นเสียงที่ผมฟังแล้วรู้สึกเป็นพลังงานทางบวกมากกว่าเพราะมันทำให้ห้องทำพิธีอันศักดิ์สิทธิ์นี้ลดความเครียดลงไปได้มากเลยทีเดียว
"ผมอ่านใจใครไม่ได้หรอกครับคุณรอสส์ จิตใจของมนุษย์ยากที่จะหยั่งถึงและไม่เกี่ยวข้องกับการเวลาครับ มันคนละศาสตร์กับผม" เขาตอบ "ถึงจะอ่านใจได้ มันเป็นการคาดเดามากกว่า อย่างที่หมอดูหลายคนทำน่ะครับ เป็นหลักทางคณิตศาสตร์และการคำนวณเอาจากสถิติ ไม่ใช่เวทมนต์ตำราไหน"
“อ่าห้ะ” ผมแอบถอนหายใจ “แสดงว่าคุณจะไม่มีทางรู้ว่าผมคิดอะไร เพราะคุณอ่านใจไม่ได้ ถูกต้องไหมครับ”
เขายิ้ม “ถูกต้องตามนั้นครับ”
“โอเค ผมพร้อมแล้ว” ผมขยับตัวเข้าไปใกล้อ่างน้ำอีกนิด “ผมต้องทำยังไงนะ แตะที่อ่างใช่ไหม”
“แตะที่อ่าง” เขาพูดขณะวาดมือไปในอากาศคล้ายกับกำลังร่ายคาถา “แล้วนึกถึงคนที่คุณอยากจะนำยาขวดนี้ไปใช้ ตั้งจิตให้มั่นเพื่อผลที่สมบูรณ์แบบ”
ผมยื่นมือทั้ง 2 ข้างไปแตะที่ขอบอ่างน้ำโดยทันที แล้วหลับตาลง คิดถึงใครบางคนที่ผมอยากจะนำยาขวดนี้ไปใช้ ไม่นานนักก็รู้สึกได้ว่าขอบของอ่างน้ำที่ผมกำลังจับอยู่นั้นค่อยๆ อุ่นขึ้นเล็กน้อย แต่ผมก็ไม่กล้าลืมตาดูเพราะเกรงว่าจะทำให้ตัวเองเสียสมาธิและทำพิธีพัง หูของผมได้ยินเสียงพ่อหมอกำลังร่ายคาถางึมงำบางอย่าง แต่ผมไม่ได้ตั้งใจฟังมัน อย่างที่บอกว่าผมกลัวว่าตัวเองจะเสียสมาธิ
พรึ่บ!
มีเสียงแปลกๆ ดังขึ้นหลังจากพิธีเริ่มต้นไปได้ราวๆ แค่ 5 นาที จากนั้นไม่นานอุณหภูมิของขอบอ่างก็ค่อยๆ เย็นลงจนกลายเป็นปกติ เสียงทำร่ายคาถาก็เงียบลงด้วยเช่นกัน
“ลืมตาได้ครับ” เขาพูด “และปล่อยมือจากขอบอ่างได้ครับ”
ผมทำตามที่เขาบอก ปล่อยมือทั้ง 2 ข้างและค่อยๆ ลืมตา ด้านหน้าของผมปรากฏเป็นขวดแก้วขนาดเล็ก สูงไม่เกิน 1 ฝ่ามือ ข้างในบรรจุน้ำใสไร้สีสัน และปิดอย่างสนิทด้วยฝาที่ทำมาจากไม้ มันกำลังลอยอยู่เหนืออ่างน้ำพร้อมกับควันสีขาวที่พวยพุ่งอยู่รอบๆ ขวด
“เชิญหยิบครับ” เขาผายมือไปที่ขวด “ของคุณรอสส์”
ผมพยักหน้าแล้วยื่นมือไปจับขวดนั้น ในทีแรกผมเข้าใจว่าขวดมันจะเย็นกว่านี้เพราะเห็นมีควันพวยพุ่งอยู่รอบขวดตลอดเวลา แต่แท้จริงแล้วมันไม่ได้รู้สึกเย็นหรืออุ่นเลยสักนิด มันค่อนข้างที่จะธรรมดา …
“คุณรอสส์สามารถชำระค่าบริการได้เลยนะครับ ขวดนี้ก็ 50 เหรียญ ผมลดราคาให้พิเศษ เหลือ 40 เหรียญก็แล้วกันครับ” เขาพูด
“อ๋อ โอเค” ผมเปิดกระเป๋าสตางค์แล้วยื่นเงินให้เขา เขายิ้มแล้วรับธนบัตรไป
“ขอให้สมหวังนะครับคุณรอสส์” เขายิ้ม “หากไม่พอใจกับผลลัพธ์ ผมยินดีคืนเงิน”
ผมเม้มปากแน่นระหว่างเก็บกระเป๋าสตางค์ไว้ในกระเป๋าเสื้อเช่นเดิม มือที่ถือขวดยาเสน่ห์ที่พึ่งเสร็จพิธีมาหมาดๆ ยังคงอยู่ในมือของผม เหงื่อเริ่มผุดขึ้นมาที่ไรผม ตอนนี้ผมรู้สึกได้ว่าผมเลยมีอาการประหม่าเล็กน้อยอีกครั้ง ท่าทางอันผิดสังเกตนั้นส่งผลให้เจ้าของสถานที่เดินเข้ามาใกล้ด้วยท่าทีที่เป็นห่วง
“เป็นอะไรไปหรือเปล่าครับคุณรอสส์” เขาเดินเข้ามาหา
“ผมขอโทษนะครับ” เมื่อสิ้นสุดประโยค ผมก็ดึงฝาที่ทำมาจากไม้ของขวดน้ำยาเสน่ห์ออก แล้วสาดไปที่ใบหน้าของพ่อหมอคนดัง น้ำในขวดแม้ว่าจะมีปริมาณไม่มากแต่มันก็ทำให้ใบหน้าอันหล่อเหลานั้นเปียกปอนไปทั่ว
“โอ้ว” เขาอุทานออกมา
“กลับบ้านไปกับผมเถอะ”
แต่กว่าที่เขาจะรู้ตัวและได้พูดอะไรออกมาอีก ผมก็ตัดสินใจดึงมือของเขาให้ออกไปข้างนอกอาคารแห่งนี้ด้วยกันกับผม ผมรับรู้เลยว่าเขาไม่ได้มีท่าทีขัดขืนอะไรและดูเหมือนจะเดินตามผมมาอย่างว่าง่ายด้วยซ้ำ ไม่น่าเชื่อเลยว่ายาเสน่ห์ในขวดนั้นจะออกฤทธิ์ได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพได้ถึงขนาดนี้
สมกับการที่เขาเป็นพ่อมดที่เก่งที่สุดจริงๆ
ควรบอกคุณรอสส์ดีไหมว่าจริงๆ แล้วยาเสน่ห์สูตรของผมนั้นแตกต่างจากคนอื่น วิธีใช้มันคือเอาไว้ใส่ในอาหารครั้งละ 1 หยดไม่ใช่การสาดแบบนี้ การสาดนั้นไม่ได้ช่วยอะไรและทำให้สิ้นเปลืองยาไปโดยเปล่าประโยชน์เพราะมันไม่ได้ออกฤทธิ์เลยสักนิด อีกอย่างคือแม้ว่าผมจะไม่มีความสามารถในด้านการอ่านใจคนแต่ผมก็เป็นนักท่องเวลา ผมเห็นฉากการสาดน้ำนี้มาแล้วหลายสิบรอบจากการท่องเวลาไปยังในอนาคตของผม ผมรู้อยู่แล้วว่าคุณรอสส์จะมา รู้อยู่แล้วว่าผมจะโดนสาดยาเสน่ห์ ผมจึงทำให้น้ำยาขวดมันเล็กกว่าปกติผมจะได้ไม่เปียกปอนจนเกินไป
ผมควรบอกความจริงทั้งหมดนี้ดีไหมนะ?
แต่คงไม่ต้องบอกหรอก ขนาดผมรู้อยู่แล้วว่าเหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้น ผมยังปล่อยให้มันเลยตามเลยมาจนถึงตอนนี้โดยไม่คิดที่จะเปลี่ยนแปลงมันเลยสักนิด ไว้ความแตกเมื่อไหร่ค่อยเฉลยก็แล้วกัน ตอนนี้ก็เลยตามเลยไปก่อน
ผมคิด ขณะกุมมือของคุณรอสส์ไว้แน่นและเดินตามไปอย่างว่าง่าย
----------
[Talk]
กลับมาเขียนงานใหม่ๆในรอบ 3-4 ปี ใช้เวลาปัดฝุ่นกันนานเลยค่ะกว่าจะเขียนจบ ไว้จะกลับมาเขียนอีกบ่อยๆนะคะ อาจจะช้าหน่อย เพราะไฟในการเขียนหายไปเยอะเลยค่ะ 55555
อ้ออออ .... ลืมเลย อยากแนะนำให้ไปฟังเพลง มูเตลูของวง PiXXiE ที่เป็นแรงบันดาลใจในการแต่งเรื่องนี้ด้วยนะคะ