ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฟิคสามก๊ก [Sun Shang Xiang x Zhou Yu x Xu Shu]

    ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 1 :: ซินเอี๋ยแตกพ่าย

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 135
      1
      11 มิ.ย. 56

    ณ เมืองซินเอี๋ย

     

    ภายในจวนเจ้าเมือง ฝ้าเพดานและผนังจวนสั่นสะเทือนหวั่นไหวจากเสียงอึกทึกที่ดังมาจากภายนอก กองทัพวุ่ยที่มีทหารกว่า20 หมื่น ประกอบไปด้วยทหารม้าที่ไม่น้อยกว่าจำนวน 10 หมื่น และยังคงพร้อมสรรพด้วยศาสตราวุทธนับไม่ถ้วน ทั้งหอก เกาทัณฑ์ หรืออาวุธทำลายล้างอย่างงเครื่องทลายกำแพงเมือง และ เครื่องดีดหิน

    แต่ถึงอย่าไรภายในจวนที่เงียบเชียบนั้นก็ร้างผู้คน ฝ้าเพดานสั่นสะเทือนทุกครั้งที่เกิดเสียงอึกทึกดังสนั่นหวั่นไหวจากภายนอกจวน ประสานเข้ากับเสียงทารกเพศชายคนหนึ่งที่ร้องไห้จ้า อยู่ในอ้อมอกของหญิงสาวคนหนึ่ง ที่ร่างบางของนางสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว สองแขนพยายามปลอบปะโลมลูกน้อยให้นิ่งเสีย พร่ำบอกกับเด็กน้อยว่าไม่มีอะไรน่ากังวล พลางร้องเพลงคลอเบาๆ แต่ในใจนั้นกำลังสวดภาวนาอ้อนวอนต่อสรวงสวรรค์ด้วยความหวาดหวั่น

    บิฮูหยินพยายามวิงวอนให้นางและลูกปลอดภัย ขอร้องให้นางและลูก...ได้พบท่านอ๋องอีกครั้ง

    "โครม!"ประตูหน้าถูกพังเข้ามาเสียงดังลั่น ร่างบางสะดุ้งโหยงเพราะความตกใจ แต่ไม่ส่งเสียงเล็ดลอดออกมาแม้แต่คำเดียว บิฮูหยินรีบเอามือขึ้นมาอุดปากลูกน้อยไม่ให้เสียงร้องไห้ดังออกไป เธอมองเห็นเงาร่างสูงกำยำของทหารวุ่ย ค่อยๆบุกเข้ามาสองสามคน ราวกับว่าเป็นการไม่ให้พวกเธอได้ตั้งตัว

    พวกมันคงรู้...รู้ว่าหล่อนอยู่ที่นี่

    ฮูหยินกัดฟันแน่น งอเข่าแล้วนั่งตัวแข็งทื่อราวกับรูปปั้นหิน

    "พวกมันคงหนีหางจุกตูดไปกันหมดแล้ว..."ทหารวุ่ยคนหนึ่งบ่นเสียงแหบ

    "ไอ้พวกขี้ขลาดเอ๊ย!"อีกเสียงหนึ่งเสริม

    "ใจเย็น...เมื่อตะกี้นี้หม่าเอี้ยนบอกกับข้าว่าได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ ข้าว่าบางทีพวกเราอาจจะไม่พลาดอะไรบางอย่างไปก็ได้"น้ำเสียงของทหารคนที่สามฟังดูมีเลศนัย ดวงตาของฮูหยินเบิกโพลง มือบางของหล่อนเย็นเฉียบ รู้สึกเหมือนดั่งวิญญานได้หลุดออกจากร่างไปชั่วขณะเมื่อสิ้นประโยคนั้น

    "เจ้าพูดฟังดูเข้าท่า บางทีอาจจะมีสมบัติหลงเหลืออยู่..."

    "เจ้าโง่เอ๋ย! ไอ้เล่าปี่มันถังแตกขนาดนี้จะให้มีสมบัติพัสถานใดๆเหลืออยู่อีก ที่มีมันคงเอาติดตัวไปหมดแล้ว"ทหารวุ่ยคนที่เสนอแผนการให้เพื่อนกลับลำกล่าว

    "ข้าจะบอกอะไรให้นะ ว่าตัวอ๋องน้อยลูกชายของมันน่ะ มีค่ามากกว่าเพชรนิลจินดาใดๆอีกโว้ย"มันพูด

    "ถ้าหากลูกมันมีค่าจริง แล้วมันจะมาทิ้งๆขว้างๆเอาไว้แถวนี้ทำไมวะไอ้เสี่ยวหลง"เพื่อนของเสียวหลงแย้ง

    "ใช่! ข้าไม่เชื่อหรอกว่าไอ้เล่าปี่มันจะทิ้งลูกทิ้งเมียไว้แถวนี้จริง อาจจะเป็นเสียงลูกคนใช้ที่ไหนก็ได้ หรือไอ้หม่าเอี้ยนมันหูฝาดไปเอง"

    ฮูหยินเริ่มใจชื้นขึ้น อดไม่ได้ที่จะถอนใจเบาๆ แต่ถึงกระนั้นหัวใจก็ยังคงเต้นแรง

    "นั่นนะสิ ทหารยามที่เฝ้าหน้าจวนก็ไม่มีสักคน ร้างไปหมด ถ้าฮูหยินกับลูกไอ้เล่าปี่มันอยู่ในนี้จริง ทหารยามคงเฝ้ากันนับสิบนับร้อยแล้ว"

    "พวกเจ้าไม่รู้อะไร มันเป็นกลลวงของไอ้จูกัดเหลียง ขงเบ้งต่างหาก ทำเหมือนว่าภายในจวนไร้ผู้คน แต่ที่แท้ฮูหยินกับลูกของไอ้เจ้าเล่าปี่มันยังคงซ่อนตัวอยู่ในนี้"เสี่ยวหลงเถียง วิเคราะห์ได้อย่างตรงจุดอย่างน่าอัศจรรย์

    "เจ้านี่มันเพ้อเจ้อไร้สาระไปกันใหญ่แล้ว จะไปหยั่งรู้เหนือเทวดาได้ยังไง ถ้าเจ้ารู้ทันกุนซือจะมาเป็นทหารเบี้ยทำไมกัน?"

    "ไม่รู้ล่ะ!ข้าจะเข้าไปดู"เสี่ยวหลงยืนกราน

    ทันใดนั้นเอง...

    เสียงม้าของใครบางคนควบทะยานเข้ามาภายในจวนเจ้าเมืองที่เล็กและคับแคบ ทหารวุ่ยทั้งสามที่กำลังเถียงกันอยู่นั้นสะดุ้งตกใจพร้อมกัน

    "เจ้า! เจ้าเป็นใครกัน!"ใครบางคนถามขึ้น

    "คนที่จะมากุดหัวเจ้า..."ผู้มาเยือนให้คำตอบ

    เพียงชั่วพริบตาเดียวเมื่อทวนสีเงินถูกวาดออก หัวของทหารวุ่ยก็หลุดจากบ่าพร้อมกันในเพลงเดียว ฮูหยินจำน้ำเสียงที่องอาจนั้นได้ ดวงตาคู่สวยสังเกตเห็นเงาสูงใหญ่และแน่ใจได้ทันทีว่าเป็นของแม่ทัพที่รูปงามที่สุดในทัพจ๊ก หล่อนรีบอุ้มลูกน้อยแนบไว้กับอก แล้ววิ่งไปทางประตูกระดาษอย่างรวดเร็ว

    "ท่านแม่ทัพ ท่านแม่ทัพเตียว"หล่อนร้องด้วยความปิติ บานประตูถูกเปิดออกอย่างไม่รอช้า เผยให้เห็นร่างสูงที่สง่างามของเตียวจูล่ง

    "ฮูหยิน! ผู้น้อยดีใจเหลือเกินที่ฮูหยินและท่านอ๋องน้อยปลอดภัยดี!"อัศวินทวนเงินไม่รีรอที่จะคุกเข่าลงเพื่อคารวะ ก่อนที่จะรีบลุกขึ้น

    "ไม่ต้องมากพิธีหรอกท่านแม่ทัพ ข้าว่าเรารีบไปจากที่นี่เสียเถิด...เกรงว่าจะรอช้าไม่ได้"นางกล่าวในระหว่างนั้นเองที่เสียงหินที่ถูกดีดมากระทบกับกำแพงเมืองดังเป็นเสียงกึกก้องอีกครั้งราวกับเป็นสัญญานบอกเหตุอะไรบางอย่าง ฮูหยินมองม้าขาวของจูล่ง ดวงตาของหล่อนกลับดูเลื่อนลอย

    ดูเหมือนว่าบิฮูหยินนั้นเริ่มที่จะหยั่งรู้ถึงชะตากรรมของตัวเอง....

    '

    '

    '

    ณ เมืองซงหยง

    หลังจากที่เมืองซินเอี๋ยแตก กองทัพจ๊กที่พ่ายจากทัพวุ่ยพากันลี้ภัยไปยังเมืองซงหยงที่อยู่ติดกับซินเอี๋ย การเดินทางผ่านช่องเขาแคบสร้างความยากลำบากและเหนื่อยล้าให้กับทัพจ๊กเป็นอย่างมาก ทหารที่หลงเหลืออยู่ไม่ถึงหกพันนายเริ่มที่จะอ่อนล้าหมดกำลังใจ ทหารบางส่วนจำนวนนับร้อยเมื่อผ่านช่องเขาก็หนีเข้าป่า บ้างก็ซ่อนตัวเข้าไปในหุบเขาลึก ดูเหมือนสถานการณ์เช่นนี้ดูน่าสิ้นหวังเป็นอย่างยิ่งสำหรับก๊กสู่

    พิธีศพของบิฮูหยินถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย ท่ามกลางความสำนึกเสียใจของเหล่าบรรดาแม่ทัพทั้งหลาย แต่เล่าปี่ก็ไม่อาจถือโทษโกรธผู้ใดในสถานการณ์ที่คับขันเช่นนั้น ทุกคนอยู่ในสนามรบรับมือกับทัพวุ่ยที่ประดังเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย ทหารสองหมื่นนายถูกกองทัพวุ่ยราวๆยี่สิบหมื่นโจมตีเสียจนราบคาบ แต่ถึงอย่างไรเตียวจูล่งที่อาสาไปช่วยนางบิฮูหยินก็พาอาเต๊ากลับคืนสู่อ้อมอกของบิดาได้

    ภายในจวนเจ้าเมืองซงหยง

    เหล่าแม่ทัพ เสนาธิการ และกุนซือ ต่างรับประทานอาหารร่วมกับเจ้าเมืองอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง แต่เนื่องจากเพิ่งจะเสร็จสิ้นพิธีศพของบิฮูหยินไม่นานทำให้บรรยากาศนั้นยังคงเงียบเชียบอึมครึม แม้กระทั่งเตียวหุยน้องเล็กแห่งสวนท้อ ก็ไม่กล้าที่จะรับประทานอาหารมูมมามเหมือนทุกๆครั้ง กุนซือใหญ่อย่างขงเบ้งสอดส่ายสายตาเฝ้ามองดูปฏิกิริยาของทุกคนภายในห้องอย่างเงียบเชียบ คีบผักหวานป่าเข้าปาก ค่อยๆละเลียดลิ้มรสมันราวกับว่าคืออาหารชั้นเลิศ สีหน้าของเขาดูพิลึกยากคาดเดา ชั่วขณะหนึ่งดูเหมือนว่าจะปรากฎรอยยิ้มเล็กๆบนใบหน้าของชายหนุ่มผู้นี้ สายตาของกุนซือหนุ่มดูมีความใน...

    และในไม่ช้าเขาก็เริ่มกล่าวอะไรบางอย่างขึ้น

    "ท่านอ๋อง...ผู้น้อยตัดสินใจที่จะไปยังง่อ"

    ทุกคนหันมามองหน้าเขาด้วยสีหน้าเดียวกัน ไม่เว้นแม้แต่ชีซีเพื่อนรัก แต่ใบหน้าของชายหนุ่มผู้อ่อนอาวุสโสที่สุดในห้องยังคงราบเรียบ รอยยิ้มยังคงแฝงอยู่ที่มุมปาก

    "เพราะเหตุใดหรือขงเบ้ง?"เจ้าเมืองซงหยงถาม

    "ผู้น้อยจะไปเจรจากับซุนกวน...เพื่อขอผูกพันธมิตร"เขากล่าวเรียบๆ

    "โถ่ จะมีไปมีประโยชน์อะไรล่ะ ไอ้เด็กเมื่อวานซืนพรรค์นั้น"เตียวหุยเริ่มขัดคอขึ้นมาทันที

    "โบราณว่า ผูกมิตรดีกว่ามีศัตรู"หนุ่มหน้าอ่อนในชุดขุนนางสีเขียวอีกคนเอ่ยขึ้นลอยๆก่อนวางตะเกียบบนชามเปล่า เขาผู้นั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากชีซี

    "ท่านแม่ทัพเตียว ข้าไม่คิดว่าพวกเราควรที่จะประมาทกองทัพง่อ"เขาเสริมอีก

    "เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเชียว พวกเจ้าสองคนนี่"เตียวหุยชี้หน้าสองกุนซือ

    "เงียบเสียเถิดน้องเล็ก พี่ใหญ่กำลังใช้ความคิด ไม่ว่าใครๆก็ไม่มีสิทธิ์วิจารณ์ทั้งนั้น!"กวนอูกล่าว วาจาของเขาช่างศักดิ์สิทธิ์ถึงกับทำให้ทั้งห้องเงียบกริบ

    แม่ทัพร่างอ้วนมองพี่ร้องของต้นด้วยสีหน้าขุ่นเคืองที่โดนหักหน้า ก่อนที่จะทุบโต๊ะหนึ่งทีแล้วลุกขึ้น

    "ข้าอิ่มแล้ว! คารวะท่านพี่ใหญ่"เขาพูดก่อนที่จะเดินจากไป ชายผู้มีใบหน้าแดงส่ายหน้าเบาๆก่อนจะทอดถอนใจอย่างระอาในอารมณ์ที่รุ่มร้อนของน้องนุชสุดท้อง แต่ถึงอย่างไรในใจก็อดแอบที่จะเห็นด้วยกับเตียวหุยไม่ได้ เขาคิดว่าซุนกวนยังคงไร้ซึ่งวุฒิภาวะและด้อยประสบการณ์เกินกว่าที่จะรับมือกับโจโฉ

    ขงเบ้งเฝ้าดูสีหน้าของผู้ที่เป็นเจ้านาย ไม่มีคำพูดใดๆเล็ดลอดออกจากกุนซือวัยยี่สิบเจ็ดปีเพื่อคาดคั้นการตัดสินใจ เพียงแค่เฝ้าสังเกตกิริยาเขาก็กระตุกยิ้มออกมาอีกครั้งอย่างมีชัย

    "เดินทางไปง่อเห็นทีจะลำบาก ท่านทานอีกเสียหน่อยสิ"เล่าปี่คีบผักหวานในชามข้าวของตนให้กับขงเบ้ง ชีซีที่เฝ้ามองอากัปกิริยาของคนทั้งสองก็อดไม่ได้ที่จะพลอยดีใจไปด้วย เขาส่งรอยยิ้มผ่านดวงตาที่จริงใจให้กับเพื่อนรุ่นน้อง

    ภายหลังจากมื้ออาหารกลางวัน

    กุนซือหนุ่มวัยยี่สิบเก้าเดินเล่นไปตามทางรอบๆจวนเจ้าเมือง ชมนกชมไม้ไปตามประสา เปลี่ยนบรรยากาศจากที่อุดอู้ในห้องทำงานแคบๆ

    จวนเจ้าเมืองซงหยงนี้นับว่าคับแคบ ลำบากอัตคัตเสียยิ่งกว่าเมืองซินเอี๋ย อาจเป็นเพราะไม่ใช่หัวเมืองหลักดังเช่นซินเอี๋ย ที่ชัยภูมิสงครามเป็นมั่นเหมาะ โจโฉถึงอยากโจมตีเอาเมืองเล็กๆแห่งนี้นักหนา...

    นอกจากการคมนาคมทางน้ำแล้ว... การจะบุกตีกังแฮ ชิงเอาเมืองเกงจิ๋ว ซงหยง หรือแม้กระทั่งไล่บุกตีไปจนถึงเสฉวนก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายดายในไม่ช้า...

    กุนซือหนุ่มทอดถอนใจเสียครั้งหนึ่ง น่าเสียดาย... น่าเสียดายยิ่งนัก

    เขาอดที่จะรู้สึกเช่นนั้นไม่ได้เมื่อนึกหวนไปถึงคราที่เล่าเปียวได้เรียกเจ้านายไปสั่งเสียก่อนจะสิ้นลม เจ้าเมืองเกงจิ๋วคนก่อนบอกให้เจ้านายเขาเอาเมืองเกงจิ๋ว แทนที่บรรดาบุตรชายที่ไร้ความสามารถของเขา

    แต่หากเป็นเพราะว่าเจ้านายของเขาช่างทรงคุณธรรมเสียเหลือเกิน...จึงทำให้มิอาจที่จะตบปากรับคำเล่าเปียว ยึดเมืองเกงจิ๋วเอาไว้เสียเองได้

    หากไม่เช่นนั้นแล้ว การทำสงครามกับวุ่ยนั้นอาจพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ... กองทัพของท่านอ๋องของเขาคงพลิกเอาชนะโจโฉได้อย่างง่ายดาย

    เขาถอนใจอีกครั้ง

    บางครั้งชีซีก็เกิดความคิดกับตัวเองเล็กๆ อดที่จะเปรียบเทียบไม่ได้ ว่าถ้าหากเขาเป็นกุนซือรับใช้สมุหนายกอย่างโจโฉ เขาอาจจะสุขสบายมากกว่าอยู่ในดินแดนที่อัตคัตขัดสนเช่นนี้ก็เป็นได้...

    โจโฉเป็นคนที่ชอบเลี้ยงดูเอาใจลูกน้องด้วยทรัพย์สมบัติ ใช้ความละโมบของคนเป็นจิตวิทยาในการที่ให้ลูกน้องสร้างผลประโยชน์ให้กับตน

    ชีซีลองอนุมานดู

    ถ้าหากเขารับใช้เจ้านายอย่างโจโฉ... ป่านนี้เขาคงถูกห้อมล้อมด้วยบรรดานารีที่โจโฉเลือกสรรมาเพื่อปรนเปรอปรนิบัติ โจโฉคงจะเรียกเขาไปเสพสุราด้วยทุกคืน มอบม้าชั้นดีให้กับเขาเหมือนกับที่มอบเซ็กเทาว์ให้กับกวนอู อาจจะได้รับเบี้ยหวัดถึงเดือนละยี่สิบตำลึง มีไร่นาเป็นของตัวเอง มีเตียงนุ่มอุ่นสบาย มีเนื้อกินทุกมื้อ

    "สวบ..."เสียงรองเท้าฟางครูดไถไปตามพื้นดิน ปลุกให้ชีซีตื่นจากภวังค์ความคิด

    กุนซือหนุ่มสั่นศีรษะเล็กน้อย พยายามเตือนสติตัวเอง... ตอกย้ำตัวเองอีกครั้ง ว่าเพราะเหตุใด เขาจึงเลือกที่จะรับใช้เล่าปี่แต่แรก แทนที่จะเป็นโจโฉหรือซุนกวน...

    ท่านอ๋องของเขา... เกิดในตระกูลราชนิกูลที่ตก ยากจนข้นแค้นเสียจนต้องทอเสื่อถักรองเท้าฟางขายเป็นรายได้ประทังชีวิต

    ไต่เต้าขึ้นมาเรื่อยๆจากนายอำเภอเล็กๆจนเป็นเจ้าเมือง แต่ทว่าแม้ในยามอายุสี่สิบปลายๆเช่นนี้ เล่าปี่ เหี้ยนเต๊กก็ยังคงไม่สามารถที่จะตั้งตัวเป็นหลักแหล่งได้ดั่งเจ้าเมืองคนอื่นเช่นโจโฉ ซุนเกี๋ยน อ้วนเสี้ยว หรืออ้วนสุด คนเหล่านี้ล้วนแต่ประสบความสำเร็จในวัยกลางคน

    ทว่าท่านอ๋องของเขาสามารถที่ประทานสิ่งที่เจ้านายคนอื่นไม่สามารถที่จะให้กับเขาได้... คือการเข้าถึงหัวใจของเขา เห็นเขาเป็นเหมือนดั่งญาติมิตร

    คำว่าถือตัวไม่เคยอยู่ในพจนานุกรมของชายผู้นี้เลยแม้แต่น้อย

    เขาสามารถครองใจลูกน้องทุกคนได้อย่างง่ายดาย... ไม่ว่าจะเป็นการดูแลเอาใจใส่ในเรื่องง่ายๆ เช่นการถักรองเท้าฟางให้กับแม่ทัพและกุนซือทุกคน ทุกๆครั้งที่รองเท้าของใครขาด... ท่านอ๋องของเขาจะเป็นคนถักคู่ใหม่ให้เองกับมือ

    ทุกๆครั้งที่แม่ทัพนั้นบาดเจ็บจนล้มหมอนนอนเสื่อ ท่านอ๋องของเขาก็จะคอยเฝ้าอยู่ข้างๆทั้งวันทั้งคืน คอยดูแลจนกว่าจะฟื้นไข้ เพื่อที่ว่าเมื่อฟื้นขึ้นมาแล้ว จะพบใบหน้าท่านอ๋องเป็นคนแรก...

    ไม่ใช่เรื่องแปลก หากแม่ทัพทุกคนและกุนซือทั้งสองในที่นี้ จะยินดีที่จะถวายการรับใช้ให้กับเขาอย่างยินดีพลีกายที่จะถวายชีวิต

    กุนซือหนุ่มกระตุกยิ้มบางๆที่มุมปากก่อนจะมองตรงไปข้างหน้า

    เขามองไปยัง บริเวณศาลาเล็กๆริมน้ำ เขาเห็นร่างเล็กๆของชายวัยกลางคนที่คุ้นเคย กำลังยืนเหม่อลอยเอนร่างพิงเสา มองไปตามลำน้ำแยงซีเกียงอย่างเลื่อนลอย

    "ท่านกำลังนึกถึงฮูหยินอยู่หรือท่านอ๋อง"เสียงนุ่มทุ้มของเขาสะกิดให้ผู้เป็นนายหันมาให้ความสนใจ

    เล่าปี่ถอนใจ ยิ้มก่อนที่จะชี้ขึ้นไปยังท้องฟ้า

    "นางอยู่ข้างบนแล้ว ไม่มีเหตุใดที่จักต้องเป็นห่วงนางอีก"

    เขาพูดก่อนที่จะนิ่งไปชั่วขณะ... ดูลังเลที่จะกล่าวประโยคถัดไป

    "ที่ควรจะห่วงคือคนที่มีชีวิตอยู่ต่างหาก... ประชาชนของข้า... และพวกเจ้า..."เจ้าเมืองซงหยงยิ้มบางๆออกมาราวกับว่าจะปลอบใจตัวเอง ดวงตาของเขาดูอิดโรย... ชีซีเข้าใจในสีหน้าและแววตาเหล่านั้น ริ้วรอยแห่งความตึงเครียดนั่นบ่งบอกถึงความทุกข์ใจที่ถึงเบี้ยหวัดค่าจ้าง ใบหน้าขาวของท่านอ๋องของเขาฉายแววละอายใจ จิตใจคงมัวพะวงถึงค่าจ้างเงินจำนวนห้าตำลึงที่ค้างจ่ายมาแล้วกว่าสามเดือน

    เงินในคลังของกองทัพนั้นร่อยหรอเต็มทน... อีกทั้งยังยากที่จะคาดหวังกับการเก็บเกี่ยวในฤดูกาลนี้ ในฤดูร้อนที่แห้งแล้งเช่นนี้ ทั้งประชาชนยังคงเหน็ดเหนื่อยหวาดกลัวจากภัยสงคราม ยากที่จะมีกะจิตกะใจที่จะทำไร่ทำนา...

    "ท่านอ๋องเข้าถึงจิตใจของประชาชน เหวี่ยนจื้อเลือกรับใช้ไม่ผิดนาย"ชีซีกล่าวก่อนที่จะคุกเข่าลงคารวะ

    "เจ้ากล่าวเกินไปแล้วชีซี..."เล่าปี่พูดอย่างอ่อนใจ ก่อนที่จะเดินเข้าไปใกล้ ตบบ่ากุนซือหนุ่มให้ลุกขึ้น

    "ผู้น้อยกล่าวจากใจจริง"เขายืนยัน

    "ข้าทำให้ความเป็นอยู่ของเจ้าอัตคัตข้นแค้น"เจ้าเมืองซงหยงพูดพลางถอนหายใจอย่างรู้สึกผิด

    "เหวี่ยนจื้อไม่อาจคิดหวนเสียใจแม้แต่วินาทีเดียว ที่ได้รับใช้ท่านอ๋อง"

    เล่าปี่ถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนยิ้มบางๆ น้ำตาเอ่อล้นปริ่มขอบตา รู้สึกซาบซึ้งใจในกำลังใจจากลูกน้อง

    "ชีซี..."

    "ขอรับท่านอ๋อง"

    "เจ้าจงไปช่วยขงเบ้งตระเตรียมการไปง่อที หากเขาขาดเหลือต้องการสิ่งใด ให้มาบอกกับข้า..."

    ชีซียิ้มก่อนกล่าวว่า

    "ข้าไม่คิดว่าเขาต้องการอะไร หรือแม้กระทั่งผู้ใดที่จะไปเป็นเพื่อน"

    "..."เล่าปี่มองหน้าชีซีด้วยความฉงน

    "ท่านอ๋องวางใจเสียเถิด เขามีวาทะศิลป์ที่เป็นเลิศกว่าข้านัก อีกทั้งยังมีไหวพริบปณิธานเฉลียวฉลาดเหนือคน..."

    "..."เจ้าเมืองซงหยงยังคงมองตากุนซือหนุ่ม ดูสีหน้าอยากจะกล่าวอะไรบางอย่าง

    ชีซีจึงพูดต่อว่า

    "แต่ถึงอย่างไรหากท่านอ๋องยืนกราน ผู้น้อยจะขอตัวกลับไปพบจูกัดเหลียงที่จวน.."กุนซือหนุ่มคารวะผู้เป็นเจ้านายเสียอีกครั้งก่อนที่จะกลับเข้าไปยังจวนเจ้าเมือง

    เขาเดินไปตามโถงทางเดินที่คับแคบ ก่อนที่จะเลื่อนประตูกระดาษพรวดพราดอัญเชิญร่างของตัวเองเข้าไปภายในห้องของศิษย์น้องร่วมสำนัก

    "ท่านช่างไร้มารยาทนัก"กุนซือรุ่นน้องกล่าวขึ้นทั้งที่ยังคงหันหลังให้กับเขา แม้นว่าชีซีจะเข้ามาโดยที่ไม่ได้ให้ซุ่มเสียงแต่ทว่า ขงเบ้งสามารถรับรู้ถึงตัวตนที่มีอยู่ของเขาได้

    "ข้าเพียงแต่ใช้สิทธิ์ในการเป็นรุ่นพี่"ชีซียิ้มหัวเราะเล็กๆในลำคอ

    "ท่านคงอยู่กับแม่ทัพเตียวมากเกินไป"เขาแขวะนิ่มๆ แล้วยิ้มอย่างสุขุมเยือกเย็น

    "แม่ทัพเตียวเพิ่งจะกล่าวว่าเราเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเมื่อครู่นี้เอง..."

    "เจ้าไม่เก็บสัมภาระหน่อยหรือ ระยะทางไปง่อนั้นใช่ว่าจะใกล้นัก"ชีซีถามหยั่งเชิง

    "อากาศร้อน เสื้อผ้าสองสามชุดเห็นทีจะเพียงพอ"จูกัดเหลียงพูดอย่างสบายๆพลางโบกพัดไปด้วย

    "เพราะเจ้ารู้ดีว่าอีกไม่นานกองทัพคงจะต้องนำสัมภาระของเจ้าไปที่ง่อกระมัง"ชายหนุ่มที่อาวุสโสกว่าพอจับใจความประโยคนั้นออก ชีซีรู้ดีว่าความหมายของชายหนุ่ม เขามั่นใจว่าการเจรจาขอผูกพันธมิตรกับง่อนั้นจะต้องสำเร็จลุล่วงด้วยดีเป็นแน่...

    "ท่านพี่กล่าวเกินไป ข้าเพียงแต่หมายความเช่นนั้นจริงๆ"ขงเบ้งยิ้มอย่างถ่อมตัว

    "โปรดเรียนท่านอ๋อง ว่าท่านจงอย่าได้ลำบากใจไป.."จูกัดเหลียงกล่าว ดูเหมือนว่าเขาจะรู้ดีว่าชีซีไม่ได้มาเยี่ยมเยียนเขาถึงห้องหอเพราะเจตนาส่วนตัว

    "ท่านอ๋องเพียงแต่เป็นห่วงสารทุกข์ของเจ้า ท่านคงอยากรู้ว่าเดินทางไปง่อครานี้เจ้าจะต้องใช้อะไรบ้าง"

    "...."

    กุนซือเอกแห่งกองทัพรู้ดีว่าชีซีนั้นรู้ดีอยู่แล้ว เพียงแต่อยากเห็นคำตอบจากเขา

    ศิษย์รุ่นน้องแห่งสำนักสุมาเต็กโชแลบลิ้นออกมา

    ชีซีพยักหน้า ยิ้มออย่างพึงพอใจก่อนที่จะเดินจากไป...

    _____________________________________________________________________________________________________________

    เหวียนจื้อ-ชื่อรองชีซี

    จูกัดเหลียง-ชื่อจริงขงเบ้ง ส่วนขงเบ้งคือชื่อรอง

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×